ปิ่นตะวัน
-
เขียนโดย พราวรุ้ง
วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.
9 ตอน
69 วิจารณ์
3,337 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บูชาผีเมือง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เช้าวันใหม่ผู้คนในเฮือนจันทร์ต่างเดินกันขวักไขว่ไปมาทั้งวันเพราะวันนี้เป็นวันบูชาผีเมือง คนทั้งเชียงคำต้องทำความสอาดเรือนของตนเองเพื่อไล่สิ่งไม่ดีออกไป เชื่อกันว่าถ้าเรือนไหนมีความสอาดเรียบร้อยผีเมืองก็จะเข้ามาเยี่ยมและนำพาสิ่งมงคลมาให้คนในเรือนแต่ถ้าเรือนไหนไม่ทำความสอาดปล่อยให้เรือนของตนสกปรกมีฝุ่นและหยากไย่ ผีเมืองก็ปล่อยให้ปู่และย่าสังขาร มาเยี่ยมเยือนแทนทำให้คนในเรือนประสบแต่ความโชคร้ายตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีการทำบายศรีบูชาผีเมืองโดยแต่ละเรือนจะทำบายศรีส่งเข้ามาในวังเพื่อคัดเลือกบายศรีที่สวยที่สุดถ้าบายศรีของเรือนใดได้รับคัดเลือกให้ใช้บูชาผีเมือง คนในเรือนนั้นก็จะถูกโจษจันและยกย่องสรรเสริญจากเจ้าหลวงถือเป็นเกียรติสูงสุด
ปิ่นตะวันช่วยแช่มเช็ดเครื่องทองเหลืองจนสอาดเป็นเงาวาว ส่วนบ่าวผู้ชายก็ช่วยกันกวาดลานหน้าเรือน หนานไกรเดินเข้ามาหาหญิงสาวเพื่อตรวจดูความคืบหน้า เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นมาบนเรือนช้าๆ ปรากฏเป็นร่างสตรีที่คุ้นหน้าคร่าตากันดีถึงสองคน
“อ้ายไกรเจ้า” เสียงหวานร้องเรียกพร้อยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ช่างสดใส คำเอื้อยหิ้วตะกร้าหวายข้างในมีใบตองและดอกไม้นานาชนิด เตรียมมาเพื่อทำบายศรีโดยเฉพาะ
“พ่อไกรของน้า วันนี้น้ากับลูกขออาสาเป็นตัวแทนของเฮือนจันทร์ทำบายศรีส่งเข้าคุ้มหลวงเองจ้ะ” อุ่นคำพูดเสริมขึ้นมา
“แต่ไหนแต่ไรเฮือนคำมิเคยทำบายศรีส่งเข้าคุ้มหลวงเลยสักครั้ง น้าอุ่นคำกับคำเอื้อยมิต้องอาสาทำหรอกขอรับแค่ทำความสะอาดเรือนก็พอขอรับ”
“ไม่ได้เด็ดขาดนะหลานน้า งานบูชาผีเมืองครั้งนี้สำคัญมาก ทุกเรือนต้องส่งบายศรีเข้าคุ้มหลวง ให้น้ากับลูกคำเอื้อยช่วยเถอะนะ อย่างน้อยลูกคำเอื้อยของน้าก็มีฝีมือทำบายศรีมิแพ้ใคร ดีกว่าให้คนนอกมาทำ ฝีมือระดับชาวบ้านรึจะสู้คนที่อยู่ในคุ้มในวัง ”
“โอ้โห ปากแซ่บมาก จิกกัดเก่ง ชาติก่อนเกิดเป็นไก่รึไง จิกเอา จิกเอา” ปิ่นตะวันพูดกับตัวเองเบาๆหลังจากที่เห็นสายตาของอุ่นคำที่มองมายังเธอด้วยหางตา
“แม่นแล้วเจ้า ให้น้องทำให้เถอะเจ้าคนกันเองทั้งนั้น” คำเอื้อยเขยิบเข้าไปใกล้ๆชายหนุ่มทีละนิดด้วยท่าทีเขินอาย
“เรื่องนี้ หลานว่าให้คนในเฮือนจันทร์ทำเองดีกว่าขอรับ เรือนใครเรือนมันมิควรก้าวก่ายกันขอรับ” หนานไกรพูดพร้อมเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงและรักษาระยะห่างระหว่างตัวเขากับคำเอื้อยที่พยายามเข้ามาใกล้จนเกินงาม
“ช็อตฟีลมาก” ปิ่นตะวันยังคงนั่งพึมพำพูดกับตัวเองหลังจากได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าที่ทำเอาสองแม่ลูกยืนนิ่งไม่ไหวติง ถ้าเป็นเธอได้ยินคำตอบแบบนี้ล่ะก็คงหน้าชาแน่นอน
“แต่ว่าหลานน้า” อุ่นคำพยายามพูดค้าน
“แม่ปิ่นจะรับทำบายศรีเองขอรับ” หนานไกรพูดตัดบทเพื่อปัดรำคาญ คำเอื้อยที่ยืนฟังอยู่ถึงกลับเหวอ รีบหันขวับมามองหญิงสาวด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ให้ฉันทำเหรอคะ” ปิ่นตะวันชี้นิ้วมาที่หน้าตนเอง ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นการตกลง คำเอื้อยมองหนานไกรตัดสลับกับปิ่นตะวันก่อนจะย้ำเท้าเดินกระแทกออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ อุ่นคำที่เห็นลูกของตนแสดงกิริยาแบบนั้นจึงหันมาจ้องที่หญิงสาวใช้สายตาอาฆาตก่อนจะก้าวลงเรือนตามลูกสาวไปติดๆ
ปิ่นตะวันนั่งประดิดประดอยทำบายศรีที่โรงครัวอย่างตั้งอกตั้งใจ แช่มก็คอยช่วยเป็นลูกมือหยิบจับนู้นนี่มาให้ ใช้เวลาทำไม่นานเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
หญิงสาวมองดูบายศรีที่ตนทำอย่างภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่เป็นแชมป์ทำบายศรีมัธยมปลายสามสมัยซ้อน ก่อนจะส่งไปให้ตัวแทนอำมาตย์นำเข้าไปในคุ้มหลวง
“แม่หญิงเจ้า ดูนั่น” ชุ่มชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปเอาของบางสิ่งจากหญิงชราคนหนึ่ง แต่แปลกเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น บางคนที่ได้รับของมาแล้วก็เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยู่อย่างนั้น
“พวกเขาต่อแถวเข้าไปเอาอะไรเหรอพี่”
“ด้ายแดงเจ้า” ชุ่มตอบหญิงสาวด้วยท่าทีเขินอาย
“ด้ายแดงผูกรักน่ะเหรอ” ปิ่นตะวันนึกย้อนไปถึงตำนานด้ายแดงที่คอยผูกคนสองคนเข้าด้วยกันเพื่อเป็นเนื้อคู่ ไม่คิดว่าในเชียงคำจะความเชื่อคล้ายๆกัน
“ใช่แล้วเจ้า ด้ายแดงปลุกเสกของแม่หมอฟั้นได้ผลดีชะงัก ชายหญิงใดที่ได้ผูกด้ายแดงของแม่หมอฟั้นแล้วจะได้อยู่เป็นคู่ครองตลอดชีวิตเจ้า เพราะฉะนั้นคราใดที่เจ้าหลวงจัดพิธีบูชาผีเมือง ชายโสดในเชียงคำก็จะรีบเข้ามาขอด้ายแดงกันทุกคนเจ้า” ชุ่มอธิบายรายละเอียดให้หญิงสาวรับรู้
“นี่มันมหกรรมหาคู่ชัดๆ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง กวาดสายตามองดูเหล่าชายชาตรีที่มาขอด้ายแดงหวังจะมีคู่แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตน
“นั่นพี่หนานนี่ มาที่นี่ด้วยเหรอ” ปิ่นตะวันวิ่งเข้าไปหาหนานไกรทันทีที่ได้เห็น พลอยทำให้ชุ่มกับแช่มตามติดไปด้วย
ชายหนุ่มที่เห็นหญิงสาววิ่งเข้ามาหาตนด้วยสีหน้าระรื่นโดยไม่อายสายตาของคนอื่นที่กำลังมองมา ถึงกับถอนหายใจกับท่าทีม้าดีดกะโหลกของเจ้าหล่อนที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที
“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่เหรอคะ ไหนบอกจะว่าไม่มาไม่ใช่เหรอ”
“ข้าก็มิอยากจะมาหรอกไอ้ยอดนั่นแหละที่คะยั้นคะยอให้ข้ามา” หนานไกรหันไปมองยอดที่ก้มหน้าก้มตารับรู้ความผิดของตนเอง หญิงสาวสะดุดตากับสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในมือหนาก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันด้ายแดงผูกรักนี่ เห็นเงียบๆร้ายไม่เบานะคะพี่หนาน.” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะดูพิรุธคนตัวสูง
“ไอ้ยอดมันเอามาให้ข้า แม่ปิ่นอย่าคิดเป็นอื่น” หนานไกรพยายามพูดแก้ต่างให้ตนเอง อีกใจหนึ่งก็อยากจะเขกหัวไอ้ยอดเสียตรงนี้โทษฐานที่เอาด้ายแดงมาให้เขาจนปิ่นตะวันเห็น
“แหม ฉันแซวเล่นนิดหน่อยทำเป็นเขิน ดูสิหน้าแดงเชียว” ปิ่นตะวันชี้นิ้วไปยังใบหน้าของชายหนุ่มพร้อมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดู การันตีเลยว่าไม่เคยถูกผู้หญิงแซวแน่นอน
บรรยากาศบริเวณงานพิธีกรรมดูครึกครื้นผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาอย่างล้นหลามเหลือเพียงการเริ่มทำพิธีกรรมบูชาผีเมืองเท่านั้นที่ต้องรอฤกษ์งามยามดีถึงจะประกอบพิธีกรรมได้ ปิ่นตะวันมองผู้คนรอบๆที่เดินทางเข้ามาต่างแต่งกายเพื่ออวดโฉมความงามและความร่ำรวยของตนเองและวงศ์ตระกูล เพราะเป็นงานที่สำคัญมากๆของเชียงคำและจัดขึ้นนานๆครั้งจึงต้องแต่งกายให้สวยงามได้มากที่สุดเพื่อเป็นการเคารพต่อผีเมือง
“แต่ฉันว่าเนื้อคู่ของพี่หนานกำลังเดินมาหาแล้วล่ะ” หญิงสาวชี้นิ้วไปยังคำเอื้อยที่กำลังเดินมาหาชายหนุ่ม ทั้งสีหน้าและท่าทางบ่งบอกได้ว่าเจ้าหล่อนดีใจขนาดไหนที่เห็นชายหนุ่มโผล่มาในงานนี้ด้วย เมื่อหนานไกรเห็นคำเอื้อยเดินมาหาตนก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม
“เนื้อคู่ของพี่หนานมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะไม่อยากเป็น กขค. ”
“พูดกระไรของเจ้า มันหมายความว่าเยี่ยงไร”
“ก้าง ขวาง คอ” ปิ่นตะวันโน้มตัวเข้าไปพูดใกล้เพื่อให้คนตัวโตได้ยินชัดถ้อยชัดคำหลังจากนั้นจึงคิดจะเดินออกไปจากตรงนี้ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน
“เดี๋ยวก่อน” หนานไกรคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเข้ามาหาตนเมื่อเห็นร่างบางกำลังก้าวเดินออกไป ปิ่นตะวันหันไปตามแรงดึงก่อนจะเซถลาเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ดวงตาสองคู่มองประสานกัน ต่างคนต่างนิ่งเงียบราวกับต้องมนต์สะกดโดยพลัน
“อย่าพึ่งไป อยู่กับข้าก่อน” หนานไกรพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน จ้องเข้าไปข้างในดวงตาคู่สวยอย่างหลงใหลจนไม่อาจละสายตาไปได้จนเขาเผลอยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวโดยไม่รู้ตัวแต่แล้วชายหนุ่มก็ได้สติเมื่อมีเสียงโวยวายดังขึ้นใกล้ๆเขา
“ข้ามิยอม ข้ามิยอม อ้ายไกรต้องเป็นของข้า” คำเอื้อยเดินเข้ามาหาพร้อมตะโกนเสียงดังโวยวาย เท้าย้ำอยู่กับที่แสดงความไม่พอใจยามถูกขัดใจ ผู้คนที่อยู่ในงานต่างพากันหันมามองทั้งสามคนเป็นสายตาเดียวทำให้หนานไกรและปิ่นตะวันต้องรีบผละออกจากกันทันที เหมือนดั่งโชคชะตาหรือพรหมลิขิตได้สรรสร้างจึงทำให้ด้ายแดงที่อยู่ในมือชายหนุ่มได้ไปเกี่ยวติดกับกำไลทองบนข้อมือของหญิงสาวส่วนอีกด้านหนึ่งก็เกี่ยวกับแหวนทองหัวทับทิม ปิ่นตะวันมองดูด้ายแดงที่เชื่อมเธอกับหนานไกรไว้แล้วนึกย้อนถึงตำนานด้ายแดงที่ผูกเนื้อคู่เข้าด้วยกัน พลันใบหน้านวลเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ !!!” ชุ่มร้องอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นด้ายแดงถูกผูกติดเจ้านายทั้งสองของตนเอาไว้
คำเอื้อยที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งเสียสติกรีดร้องโวยวายเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของดั่งใจก่อนจะเดินออกไปพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง
หนานไกรปลีกตัวออกจากงานเพื่อไปทำการบางอย่าง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นกลางคืนแสงจันทร์ที่สาดส่องมาสลัวๆ ชายหนุ่มนอนบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่คอยซุ่มดูความเคลื่อนไหวระหว่างป่าเขตชายแดนของเชียงคำและเชียงเงินตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่อยู่เหนือศีรษะจวบจนถึงท้องฟ้าไร้แสงของพระอาทิตย์ เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้ตรงที่ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ หนานไกรนึกยิ้มในใจว่าจะเป็นตามอย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด คนลงมือต้องกลับมาทำพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับศพผู้หญิงเมื่อหลายวันก่อน ยิ่งวันนี้ทหารที่ลาดตระเวนถูกเกณฑ์ให้มารักษาความปลอดภัยบริเวณงานพิธีทำให้บริเวณชายแดนไม่มีทหารมาลาดตระเวนจึงเป็นโอกาสดีที่จะเก็บกวาดงานที่ค้างคาไว้ได้สะดวก ชายหนึ่งในนั้นนำเครื่องเซ่นวิญญาณใส่ในกระทงใบตองทั้งสี่ ใช้เลือดไก่หยดลงบนพื้นดินพร้อมสวดคาถากำกับจากนั้นหยิบใบพลูจากย่ามแล้วป้ายปูนแดงสวดคาถาแล้วนำมันมาป้ายที่ตาทั้งสองข้างของคนทำพิธีแล้วสอดใบพลูนั้นไว้ในกระทงเซ่นวิญญาณเป็นอันจบพิธีกรรมปิดตาสัมภเวสี
หนานไกรรอจังหวะที่คนกลุ่มนั้นเดินออกไปจากจุดทำพิธี ตัวเขาเองจึงใช้ผ้าอำพรางบังใบหน้าของตนเองเอาไว้แล้วท่องคาถาพลางตัว ก่อนจะออกมาจากที่ซ่อนและโผล่มายืนเผชิญหน้าตัวต่อตัว หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงสาดผงบางอย่างใส่ทุกคนในนั้นแล้วก็รีบหนีก่อนที่พวกนั้นจะตามมาทัน
ผงที่หนานไกรสาดใส่คนพวกนั้นคือผงพิษหลอน คนโดนสาดจะมีอาการเพ้อเห็นสิ่งต่างๆที่น่ากลัว จากนั้นก็จะคลุ้มคลั่งพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วก็จะทำร้ายคนรอบข้าง นั่นคือสาเหตุที่เขาจงใจสาดผงพิษหลอนใส่ทุกคนเพราะอยากเห็นพวกมันคลุ้มคลั่งทำร้ายกันเอง
‘คราวนี้คงได้เห็นกระไรสนุกๆแน่’ ชายหนุ่มพูดในใจเมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ปิ่นตะวันช่วยแช่มเช็ดเครื่องทองเหลืองจนสอาดเป็นเงาวาว ส่วนบ่าวผู้ชายก็ช่วยกันกวาดลานหน้าเรือน หนานไกรเดินเข้ามาหาหญิงสาวเพื่อตรวจดูความคืบหน้า เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นมาบนเรือนช้าๆ ปรากฏเป็นร่างสตรีที่คุ้นหน้าคร่าตากันดีถึงสองคน
“อ้ายไกรเจ้า” เสียงหวานร้องเรียกพร้อยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ช่างสดใส คำเอื้อยหิ้วตะกร้าหวายข้างในมีใบตองและดอกไม้นานาชนิด เตรียมมาเพื่อทำบายศรีโดยเฉพาะ
“พ่อไกรของน้า วันนี้น้ากับลูกขออาสาเป็นตัวแทนของเฮือนจันทร์ทำบายศรีส่งเข้าคุ้มหลวงเองจ้ะ” อุ่นคำพูดเสริมขึ้นมา
“แต่ไหนแต่ไรเฮือนคำมิเคยทำบายศรีส่งเข้าคุ้มหลวงเลยสักครั้ง น้าอุ่นคำกับคำเอื้อยมิต้องอาสาทำหรอกขอรับแค่ทำความสะอาดเรือนก็พอขอรับ”
“ไม่ได้เด็ดขาดนะหลานน้า งานบูชาผีเมืองครั้งนี้สำคัญมาก ทุกเรือนต้องส่งบายศรีเข้าคุ้มหลวง ให้น้ากับลูกคำเอื้อยช่วยเถอะนะ อย่างน้อยลูกคำเอื้อยของน้าก็มีฝีมือทำบายศรีมิแพ้ใคร ดีกว่าให้คนนอกมาทำ ฝีมือระดับชาวบ้านรึจะสู้คนที่อยู่ในคุ้มในวัง ”
“โอ้โห ปากแซ่บมาก จิกกัดเก่ง ชาติก่อนเกิดเป็นไก่รึไง จิกเอา จิกเอา” ปิ่นตะวันพูดกับตัวเองเบาๆหลังจากที่เห็นสายตาของอุ่นคำที่มองมายังเธอด้วยหางตา
“แม่นแล้วเจ้า ให้น้องทำให้เถอะเจ้าคนกันเองทั้งนั้น” คำเอื้อยเขยิบเข้าไปใกล้ๆชายหนุ่มทีละนิดด้วยท่าทีเขินอาย
“เรื่องนี้ หลานว่าให้คนในเฮือนจันทร์ทำเองดีกว่าขอรับ เรือนใครเรือนมันมิควรก้าวก่ายกันขอรับ” หนานไกรพูดพร้อมเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงและรักษาระยะห่างระหว่างตัวเขากับคำเอื้อยที่พยายามเข้ามาใกล้จนเกินงาม
“ช็อตฟีลมาก” ปิ่นตะวันยังคงนั่งพึมพำพูดกับตัวเองหลังจากได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าที่ทำเอาสองแม่ลูกยืนนิ่งไม่ไหวติง ถ้าเป็นเธอได้ยินคำตอบแบบนี้ล่ะก็คงหน้าชาแน่นอน
“แต่ว่าหลานน้า” อุ่นคำพยายามพูดค้าน
“แม่ปิ่นจะรับทำบายศรีเองขอรับ” หนานไกรพูดตัดบทเพื่อปัดรำคาญ คำเอื้อยที่ยืนฟังอยู่ถึงกลับเหวอ รีบหันขวับมามองหญิงสาวด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ให้ฉันทำเหรอคะ” ปิ่นตะวันชี้นิ้วมาที่หน้าตนเอง ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นการตกลง คำเอื้อยมองหนานไกรตัดสลับกับปิ่นตะวันก่อนจะย้ำเท้าเดินกระแทกออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ อุ่นคำที่เห็นลูกของตนแสดงกิริยาแบบนั้นจึงหันมาจ้องที่หญิงสาวใช้สายตาอาฆาตก่อนจะก้าวลงเรือนตามลูกสาวไปติดๆ
ปิ่นตะวันนั่งประดิดประดอยทำบายศรีที่โรงครัวอย่างตั้งอกตั้งใจ แช่มก็คอยช่วยเป็นลูกมือหยิบจับนู้นนี่มาให้ ใช้เวลาทำไม่นานเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
หญิงสาวมองดูบายศรีที่ตนทำอย่างภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่เป็นแชมป์ทำบายศรีมัธยมปลายสามสมัยซ้อน ก่อนจะส่งไปให้ตัวแทนอำมาตย์นำเข้าไปในคุ้มหลวง
“แม่หญิงเจ้า ดูนั่น” ชุ่มชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปเอาของบางสิ่งจากหญิงชราคนหนึ่ง แต่แปลกเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น บางคนที่ได้รับของมาแล้วก็เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยู่อย่างนั้น
“พวกเขาต่อแถวเข้าไปเอาอะไรเหรอพี่”
“ด้ายแดงเจ้า” ชุ่มตอบหญิงสาวด้วยท่าทีเขินอาย
“ด้ายแดงผูกรักน่ะเหรอ” ปิ่นตะวันนึกย้อนไปถึงตำนานด้ายแดงที่คอยผูกคนสองคนเข้าด้วยกันเพื่อเป็นเนื้อคู่ ไม่คิดว่าในเชียงคำจะความเชื่อคล้ายๆกัน
“ใช่แล้วเจ้า ด้ายแดงปลุกเสกของแม่หมอฟั้นได้ผลดีชะงัก ชายหญิงใดที่ได้ผูกด้ายแดงของแม่หมอฟั้นแล้วจะได้อยู่เป็นคู่ครองตลอดชีวิตเจ้า เพราะฉะนั้นคราใดที่เจ้าหลวงจัดพิธีบูชาผีเมือง ชายโสดในเชียงคำก็จะรีบเข้ามาขอด้ายแดงกันทุกคนเจ้า” ชุ่มอธิบายรายละเอียดให้หญิงสาวรับรู้
“นี่มันมหกรรมหาคู่ชัดๆ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง กวาดสายตามองดูเหล่าชายชาตรีที่มาขอด้ายแดงหวังจะมีคู่แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตน
“นั่นพี่หนานนี่ มาที่นี่ด้วยเหรอ” ปิ่นตะวันวิ่งเข้าไปหาหนานไกรทันทีที่ได้เห็น พลอยทำให้ชุ่มกับแช่มตามติดไปด้วย
ชายหนุ่มที่เห็นหญิงสาววิ่งเข้ามาหาตนด้วยสีหน้าระรื่นโดยไม่อายสายตาของคนอื่นที่กำลังมองมา ถึงกับถอนหายใจกับท่าทีม้าดีดกะโหลกของเจ้าหล่อนที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที
“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่เหรอคะ ไหนบอกจะว่าไม่มาไม่ใช่เหรอ”
“ข้าก็มิอยากจะมาหรอกไอ้ยอดนั่นแหละที่คะยั้นคะยอให้ข้ามา” หนานไกรหันไปมองยอดที่ก้มหน้าก้มตารับรู้ความผิดของตนเอง หญิงสาวสะดุดตากับสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในมือหนาก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันด้ายแดงผูกรักนี่ เห็นเงียบๆร้ายไม่เบานะคะพี่หนาน.” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะดูพิรุธคนตัวสูง
“ไอ้ยอดมันเอามาให้ข้า แม่ปิ่นอย่าคิดเป็นอื่น” หนานไกรพยายามพูดแก้ต่างให้ตนเอง อีกใจหนึ่งก็อยากจะเขกหัวไอ้ยอดเสียตรงนี้โทษฐานที่เอาด้ายแดงมาให้เขาจนปิ่นตะวันเห็น
“แหม ฉันแซวเล่นนิดหน่อยทำเป็นเขิน ดูสิหน้าแดงเชียว” ปิ่นตะวันชี้นิ้วไปยังใบหน้าของชายหนุ่มพร้อมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดู การันตีเลยว่าไม่เคยถูกผู้หญิงแซวแน่นอน
บรรยากาศบริเวณงานพิธีกรรมดูครึกครื้นผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาอย่างล้นหลามเหลือเพียงการเริ่มทำพิธีกรรมบูชาผีเมืองเท่านั้นที่ต้องรอฤกษ์งามยามดีถึงจะประกอบพิธีกรรมได้ ปิ่นตะวันมองผู้คนรอบๆที่เดินทางเข้ามาต่างแต่งกายเพื่ออวดโฉมความงามและความร่ำรวยของตนเองและวงศ์ตระกูล เพราะเป็นงานที่สำคัญมากๆของเชียงคำและจัดขึ้นนานๆครั้งจึงต้องแต่งกายให้สวยงามได้มากที่สุดเพื่อเป็นการเคารพต่อผีเมือง
“แต่ฉันว่าเนื้อคู่ของพี่หนานกำลังเดินมาหาแล้วล่ะ” หญิงสาวชี้นิ้วไปยังคำเอื้อยที่กำลังเดินมาหาชายหนุ่ม ทั้งสีหน้าและท่าทางบ่งบอกได้ว่าเจ้าหล่อนดีใจขนาดไหนที่เห็นชายหนุ่มโผล่มาในงานนี้ด้วย เมื่อหนานไกรเห็นคำเอื้อยเดินมาหาตนก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม
“เนื้อคู่ของพี่หนานมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะไม่อยากเป็น กขค. ”
“พูดกระไรของเจ้า มันหมายความว่าเยี่ยงไร”
“ก้าง ขวาง คอ” ปิ่นตะวันโน้มตัวเข้าไปพูดใกล้เพื่อให้คนตัวโตได้ยินชัดถ้อยชัดคำหลังจากนั้นจึงคิดจะเดินออกไปจากตรงนี้ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน
“เดี๋ยวก่อน” หนานไกรคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเข้ามาหาตนเมื่อเห็นร่างบางกำลังก้าวเดินออกไป ปิ่นตะวันหันไปตามแรงดึงก่อนจะเซถลาเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ดวงตาสองคู่มองประสานกัน ต่างคนต่างนิ่งเงียบราวกับต้องมนต์สะกดโดยพลัน
“อย่าพึ่งไป อยู่กับข้าก่อน” หนานไกรพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน จ้องเข้าไปข้างในดวงตาคู่สวยอย่างหลงใหลจนไม่อาจละสายตาไปได้จนเขาเผลอยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวโดยไม่รู้ตัวแต่แล้วชายหนุ่มก็ได้สติเมื่อมีเสียงโวยวายดังขึ้นใกล้ๆเขา
“ข้ามิยอม ข้ามิยอม อ้ายไกรต้องเป็นของข้า” คำเอื้อยเดินเข้ามาหาพร้อมตะโกนเสียงดังโวยวาย เท้าย้ำอยู่กับที่แสดงความไม่พอใจยามถูกขัดใจ ผู้คนที่อยู่ในงานต่างพากันหันมามองทั้งสามคนเป็นสายตาเดียวทำให้หนานไกรและปิ่นตะวันต้องรีบผละออกจากกันทันที เหมือนดั่งโชคชะตาหรือพรหมลิขิตได้สรรสร้างจึงทำให้ด้ายแดงที่อยู่ในมือชายหนุ่มได้ไปเกี่ยวติดกับกำไลทองบนข้อมือของหญิงสาวส่วนอีกด้านหนึ่งก็เกี่ยวกับแหวนทองหัวทับทิม ปิ่นตะวันมองดูด้ายแดงที่เชื่อมเธอกับหนานไกรไว้แล้วนึกย้อนถึงตำนานด้ายแดงที่ผูกเนื้อคู่เข้าด้วยกัน พลันใบหน้านวลเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ !!!” ชุ่มร้องอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นด้ายแดงถูกผูกติดเจ้านายทั้งสองของตนเอาไว้
คำเอื้อยที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งเสียสติกรีดร้องโวยวายเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของดั่งใจก่อนจะเดินออกไปพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง
หนานไกรปลีกตัวออกจากงานเพื่อไปทำการบางอย่าง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นกลางคืนแสงจันทร์ที่สาดส่องมาสลัวๆ ชายหนุ่มนอนบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่คอยซุ่มดูความเคลื่อนไหวระหว่างป่าเขตชายแดนของเชียงคำและเชียงเงินตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่อยู่เหนือศีรษะจวบจนถึงท้องฟ้าไร้แสงของพระอาทิตย์ เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้ตรงที่ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ หนานไกรนึกยิ้มในใจว่าจะเป็นตามอย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด คนลงมือต้องกลับมาทำพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับศพผู้หญิงเมื่อหลายวันก่อน ยิ่งวันนี้ทหารที่ลาดตระเวนถูกเกณฑ์ให้มารักษาความปลอดภัยบริเวณงานพิธีทำให้บริเวณชายแดนไม่มีทหารมาลาดตระเวนจึงเป็นโอกาสดีที่จะเก็บกวาดงานที่ค้างคาไว้ได้สะดวก ชายหนึ่งในนั้นนำเครื่องเซ่นวิญญาณใส่ในกระทงใบตองทั้งสี่ ใช้เลือดไก่หยดลงบนพื้นดินพร้อมสวดคาถากำกับจากนั้นหยิบใบพลูจากย่ามแล้วป้ายปูนแดงสวดคาถาแล้วนำมันมาป้ายที่ตาทั้งสองข้างของคนทำพิธีแล้วสอดใบพลูนั้นไว้ในกระทงเซ่นวิญญาณเป็นอันจบพิธีกรรมปิดตาสัมภเวสี
หนานไกรรอจังหวะที่คนกลุ่มนั้นเดินออกไปจากจุดทำพิธี ตัวเขาเองจึงใช้ผ้าอำพรางบังใบหน้าของตนเองเอาไว้แล้วท่องคาถาพลางตัว ก่อนจะออกมาจากที่ซ่อนและโผล่มายืนเผชิญหน้าตัวต่อตัว หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงสาดผงบางอย่างใส่ทุกคนในนั้นแล้วก็รีบหนีก่อนที่พวกนั้นจะตามมาทัน
ผงที่หนานไกรสาดใส่คนพวกนั้นคือผงพิษหลอน คนโดนสาดจะมีอาการเพ้อเห็นสิ่งต่างๆที่น่ากลัว จากนั้นก็จะคลุ้มคลั่งพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วก็จะทำร้ายคนรอบข้าง นั่นคือสาเหตุที่เขาจงใจสาดผงพิษหลอนใส่ทุกคนเพราะอยากเห็นพวกมันคลุ้มคลั่งทำร้ายกันเอง
‘คราวนี้คงได้เห็นกระไรสนุกๆแน่’ ชายหนุ่มพูดในใจเมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ