นิล

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.16 น.

  11 ตอน
  5 วิจารณ์
  2,473 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่สี่ เมื่อยามสายฝนโปรยปราย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิล

ปริศนาโรงเรียนอาถรรพ์

บทที่สี่  เมื่อยามสายฝนโปรยปราย

 

“นี่เธอ  เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ตึกเก่าหรือเปล่า”

“ไม่เคยเลย  เรื่องอะไรเหรอ?”

“ก็เรื่องนั้นไง  ที่ว่าเคยมีคนเจอผีน่ะ  งั้นชั้นจะเล่าให้เธอฟังเอง”

โรงเรียน(วันต่อมา)

   ในยามเช้า  ที่เมฆหมอกเริ่มเข้าปกคลุม  ทำให้ท้องฟ้าที่ควรจะสว่างสดใส  เต็มไปด้วยความดำมืด  และหยาดฝนก็เริ่มโปรยตัวลงมา  ส่งผลให้เหล่าผู้คนมากมาย  ต่างเปียกปอนกันในยามที่พวกเขา  ต่างเร่งรีบที่จะไปทำงานกัน  ดั่งกับว่า  หยาดฝนนี้  มันจะบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง  ที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา  หาเด็กสาวคนหนึ่ง  ที่ในยามนี้  เธอได้ยืนตระหง่าน  อยู่ที่หน้าห้องเรียน  เด็กสาวที่ไว้ผมหน้าม้า  ดวงตาที่กลมโตตัดกับสีปากที่อมชมพู  และที่เป็นจุดเด่นของเธอ  คือโบว์ขนาดใหญ่สีแดง  ที่อยู่ที่ผมของเธอ

                         “เอาล่ะ  และนี่คือเพื่อนใหม่ของเรา” อาจารย์หันมาทางเด็กสาว “แนะนำตัวสิ”

   เด็กสาวผงกหัว  พร้อมกับเริ่มแนะนำตัว

                         “สวัสดีค่ะ  ชั้นชื่อมณนิลค่ะ  ยินดีที่ได้รู้จักนะค๊ะ”

   นิลส่งยิ้มให้เพื่อนๆในห้องทุกคน  สายตาของเพื่อนในห้อง  ต่างจับจ้องมาที่เธอ  โดยเฉพาะพวกผู้ชาย  ที่ต่างหลงใหลในความน่ารักสดใสของเธอ  ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่  มันก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อวานตอนเย็น  หลังจากที่เธอแยกย้ายกับพยานทั้งหมดแล้ว

โรงเรียน(เมื่อวาน)

                         “ว่าไงนะ” ปุณกล่าวด้วยสีหน้าตกใจ “เธอจะปลอมตัวเข้าไปที่โรงเรียนนี้เหรอ”

   นิลพยักหน้าตอบรับ

                         “เธอคิดอะไรอยู่กันแน่”

   นิลถอนหายใจ  ก่อนที่เธอจะหันไปตอบชายหนุ่ม  ด้วยอาการเซ็งๆ

                         “ถึงชั้นจะบอกว่า  พอรู้ตัวคนร้ายแล้วก็เถอะนะ  และชั้นก็บอกไปแล้ว  ว่าชั้นต้องหาหลักฐานชิ้นสุดท้าย  ซึ่งหลักฐานชิ้นสุดท้าย  ก็ซ่อนอยู่ที่ตัวคนร้ายเองนั่นแหล่ะ”

   เมื่อได้ยินคำพูดของนิล  ปุณจึงชักสีหน้าเหมือนนึกอะไรได้

                         “หมายความว่า  เธอจะปลอมตัวเข้าไป  แล้วไปตีสนิทกับคนร้ายเหรอ”

                         “ถูกครึ่งนึง” นิลยิ้มรับ “แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด  ที่ชั้นจะทำน่ะ  คือตีสนิทกับเพื่อนของคนร้ายต่างหาก”

   ปุณทำสีหน้าสงสัยอีกครั้ง

                         “ทำไมถึงเป็นเพื่อนของคนร้ายล่ะ?”

                         “เท่าที่ชั้นพอจะบอกนายได้ตอนนี้  คือคนร้ายไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมากนักหรอกนะ  แล้วถ้าเพื่อนสนิทของคนร้าย  ดันมาสนิทกับชั้น  ที่เป็นคนที่พึ่งเข้ามาใหม่  นายคิดว่าคนร้ายจะรู้สึกยังไงกันล่ะ”

   ปุณทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เขาจะหันมาตอบนิล

                         “ถ้าเป็นชั้น  ท่าเพื่อนสนิทของตัวเอง  อยู่ดีๆไปสนิทกับคนอื่น  ชั้นก็คงจะรู้สึกไม่ดี  และคงรู้สึกอึคอัดล่ะมั้ง”

   นิลยิ้มออกมาที่มุมปาก  และตอบปุณกลับไป

                         “และนั่นแหล่ะคือคำตอบของคำถามนี้  เมื่อคนร้ายเริ่มที่จะโกรธเกลียดชั้นมากขึ้น  ทีนี้คนร้ายก็จะหันเหเป้าหมายมาที่ชั้น  และนั่นแหล่ะคือจังหวะที่ดีที่สุดของเรา”

   ปุณทำสีหน้าทึ่งในความคิดของนิล

                         “จริงด้วยทำไมชั้นถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ  ชั้นอยากรู้จริงๆ  เธอคิดแบบนี้ได้ยังไง”

                         “นายคิดว่า  คนสิบคน  ลักษณะการเดินเหมือนกันไหม”

   ปุณทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

                         “ชั้นคิดว่าไม่นะ”

                         “แปลว่านายยังพอเป็นคนช่างสังเกตอยู่บ้าง  ชั้นเคยลองสังเกตวิธีการเดินของแต่ละคนดู  และสิ่งที่ชั้นพบก็คือ  คนเราสิบคนลักษณะการเดินของแต่ละคน  มันไม่เหมือนกันแม้แต่คนเดียว  บางคนก้าวเท้ายาว  บางคนก้างเท้าสั้น  และสิ่งที่ชั้นจะบอกก็คือ  การเป็นนักสืบที่ดี  การสังเกตุสิ่งรอบข้างแม้เพียงเล็กน้อย  มันอาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างที่นายเอง  ก็คาดไม่ถึงในบางครั้งเลยล่ะ  ทำไมหมอบางคน  แค่คนไข้เดินเข้ามาในห้อง  หมอคนนั้นถึงไม่ต้องถามอาการของคนไข้อะไรเลย  เขาก็สามารถที่จะบอกอาการคนไข้ได้อย่างถูกต้อง  กลับกันกับหมอบางคน  ที่ต่อให้ซักถามอาการคนไข้ขนาดไหน  สุดท้านรักษามาอย่างมากก็แค่ให้ยามากิน  คำตอบคือ  เพราะหมอคนนั้นสังเกตอาการของคนไข้  ตั้งแต่ที่คนไข้คนนั้นเดินเข้ามาแล้วไง”

   ปุณทึ่งในคำตอบของนิล  เขาเป็นเพียงนักสืบที่จบมาใหม่  และในตอนนั้นเขาจึงคิดได้  ว่าเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย  ในฐานะของนักสืบ

                         “เอาล่ะ  งั้นเรารีบไปหา ผอ. กันเถอะ”

   สิ้นเสียงนิล  ในวันนั้นทั้งคู่จึงดำเนินเรื่อง  ให้นิลได้ปลอมตัวเข้ามาในโรงเรียนนี้  ในฐานะของนางสาวมณีนิล  เด็กสาวที่เรียนอยู่ห้องม.4/1

ปัจจุบัน(ห้องม.4/1)

   สายตาของผู้คนในห้อง  ต่างจับจ้องมาที่นิลอย่างไม่ลดล่ะ  แต่ดูเหมือนจะมีสายตาคู่หนึ่ง  ที่ตกใจกับนิลเป็นพิเศษ  เขาคือชายหนุ่ม  ผู้มีสักเป็นหลานของนิล  ซึ่งก็คือมายด์  สีหน้าของเขาไม่อยากจะเชื่อ  เพราะเขาไม่คิดว่า  ย่าของเขาจะปลอมตัวเข้ามาที่นี่  ดังที่เธอบอกจริง

สำนักงานนักสืบ(เมื่อวาน)

   ในยามเย็น  ที่เหล่าคนในบ้านของนิล  ต่างกลับมาจากที่ทำงานกันหมดแล้ว  ส่วนมายด์ก็พึ่งเลิกเรียน  และไปรับน้องสาวของเขา  กัลบมาจากโรงเรียนแล้วเรียบร้อย  แต่ในตอนนั้น  ก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้คนทั้งบ้าน  ต่างต้องตกใจกันยกใหญ่

                         “อะไรนะ  แม่จะปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนในโรงเรียนของมายด์เหรอ”

   นิลพยักหน้าตอบรับ

                         “ย่าพูดจริงๆใช่ไหมนิ?” มายด์กล่าวถาม

                         “อย่าให้ต้องพูดอะไรซ้ำๆน่า  บอกว่าจริงก็จริงสิ”

   ทั้งมายด์และลูกชายของนิล  ต่างเอามือมากุมขมับด้วยความลำบากใจ  มีเพียงลูกสะใภ้  ที่กล่าวถามออกมา

                         “อย่าพึ่งทำสีหน้าแบบนั้นกันสิ  การที่แม่ตัดสินใจแบบนี้  มันต้องมีเหตุผลอยู่  ถูกไหมค๊ะ”

   นิลพยักหน้าตอบรับ  พลางเอาหลังพิงพนักโซฟา  และเอามือประสานกันไว้ที่หน้าตัก

                         “คนร้ายน่ะ  อยู่ในโรงเรียนนั่นแหล่ะ  และการที่เราจะหาหลักฐานมาเอาผิดกับคนคนนั้นได้  ก็มีแต่จะต้องทำแบบนี้เท่านั้น”

   มายด์มี่ได้ยินแบบนั้น  จึงชักสีหน้าตกใจเล็กน้อยออกมา

                         “แต่เรื่องนั้น  เขาตัดสินกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ  ว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายน่ะ”

   นิลถอนหายใจเล็กน้อย

                         “หลานไม่รู้เรื่องนี้งั้นเหรอ”

   มายด์ส่ายหัว  พร้อมกับตอบย่าของเขา

                         “ตอนที่รู้ว่ามีคนกระโดดตึกฆ่าตัวตายน่ะ  ทางโรงเรียนก็รีบไล่นักเรียนทุกห้อง  ให้เข้าไปอยู่แต่ในห้องเรียน  เลยไม่มีใครรู้ใครเห็นอะไรทั้งนั้น”

   นิลเอามือทุบลงไปที่หน้าตักของเธอเบาๆ  พร้อมทั้งพูดสวนมายด์หลานชายของเธอขึ้นมา

                         “และนั่นแหล่ะ  คือจุดที่เราจะสามารถปลอมตัวเข้าไปอย่างไม่มีใครรู้  และใช่อย่างที่หลานบอกนั่นแหล่ะ  แต่นี่มันคือการที่คนร้ายจงใจให้มันเป็นการฆ่าตัวตาย  และเมื่อคนอื่นๆคิดว่าเป็นแบบนั้น  ความผิดของคนร้ายก็จะไม่มี  และคนร้ายก็จะยังคงลอยนวลต่อไป  ย่าคงยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก

   มายด์ที่ได้ยินแบบนั้น  เขาถึงกับกลืนน้ำลายเล็กน้อย”

                         “ถ้าแม่ตัดสินใจแบบนั้น  ผมก็คงขัดแม่ไม่ได้หรอก”

   คนที่เหลือต่างก็พยักหน้าตามลูกชายของนิลกันหมด  และเมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น  จึงตกลงกันว่า  ในตอนเช้าให้มายด์พาย่าของเขาไปโรงเรียนด้วย  ในฐานะนักเรียนใหม่  แต่เมื่อเช้ามา  ด้วยความที่มายด์ไม่ได้อยากจะให้นิลไปด้วย  เขาจึงแอบหนีไปโรงเรียนก่อน  แต่แค่ไปโรงเรียนของมายด์แค่นี้  นิลเองก็เคยไปมาแล้ว  มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถนิลเสียเท่าไหร่  และในตอนนี้  ตัวของนิลเองก็แอบโมโหมายด์อยู่เล็กน้อยเช่นกัน

โรงเรียน(ปัจจุบัน)

 

                         “นี่นั่นพี่สาวนายเหรอมายด์” เพื่อนของมายด์กระซิบ

                         “อา  แต่ชั้นว่านายอย่าไปยุ่งจะดีกว่านะ”

   เพื่อนของมายด์ทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย  ก่อนที่คุณครูจะบอกที่นั่งของนิลให้นิลทราบ

                         “งั้นเดี๋ยวเธอไปนั่งที่นั่งว่างข้างเจนจิรานะ”

                         “ค่ะ”

   สิ้นเสียงนิล  เธอเดินไปยังที่นั่งของเธอ  แต่สายตาของเหล่าชายหนุ่มในห้อง  ต่างจับจ้องไปที่เธออย่างไม่ลดละ  อย่างกับดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมออกมาตลอดเวลา  แต่ก็บางคน  ที่มองนิลด้วยสายตาที่อิจฉา  และบางคนที่มองนิลด้วยสายตาที่เฉยชา  อย่างเช่นเด็กสาวที่เป็นพยานในคดีนี้  กับเด็กสาวเพื่อนผู้ตายอีกสองคน  ที่พวกเธอนั้น  รู้ตัวตนของนิลเป็นอย่างดี  แต่พวกเธอยังคงทำตัวตามปกติ  เหมือนกับนิลเป็นเด็กสาวที่เข้ามา  มนฐานะนักเรียนใหม่  นิลเดินไปนั่งที่ข้างเจนจิรา  พลางกล่าวกับเจนจิรา

                         “ยินดีที่ได้รู้จักนะเจนกับ...”

   นิลหันไปมองเพื่อนสาวที่ข้างโต๊ะเธอฝั่งขวามือ  เด็กสาวคนข้างขวาจึงแนะนำตัวกับนิล  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

                         “เราชื่อเค้กนะ”

   เด็กสาวทั้งสองคน  คือเพื่อนของสุกัญญาผู้ตาย  ที่นิลเคยเรียกมาคุยด้วยเมื่อวานนี้

                         “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

โรงเรียน(เมื่อวาน)

   เมื่อยานเย็นเริ่มเข้ามาเยือน  หยาดน้ำของสายฝนก็เริ่มโปรยปราย  เหล่านักเรียนที่ยังคงนั่งจับเข่าคุยกันอยู่  บ้างก็รีบเตรียมตัวกลับบ้าน  บ้างยังคงติดพันนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติ  เหล่านักกีฬาของโรงเรียนก็ยังคงซ้อมต่อ  หาได้เกรงกลัวกับสายฝนไม่

                         “แล้วเธอจะรู้ได้ยังไง  ว่าเด็กพวกนั้นอยู่ห้องไหน”

   นิลลุกจากเก้าอี้  ก่อนที่เธอจะเดินไปรอบห้อง  และอธิบายให้ปุณได้ฟัง

                         “อย่างที่ชั้นบอกนายไง  ตอนนี้เรารู้แล้ว  ว่าเด็กคนนั้นอยู่ ม.สี่  และจากคำพูดของเด็กคนนั้น  ที่ให้การกับเราอย่างฉะฉาน  และมีชั้นเชิงในการให้การโดยที่เราไม่ต้องถามอะไรมาก  แสดงว่าเด็กคนนั้นเอง  ต้องเป็นเด็กที่หัวดีไม่เบา  แสดงว่าเด็กคนนั้น  ต้องเรียนอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนอีกสองคนของสุกัญญาแน่”

   ปุณทำหน้าสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

                         “แล้วเธอรู้ได้ยังไง  ว่าเพื่อนของสุกัญญาเรียนอยู่ห้องไหน”

                         “ตอนที่เราเรียกเพื่อนของสุกัญญามา  ท่าทีของพวกเธอ  ไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย  ที่พวกเราเรียกมา  ต่างกับบางคน  ที่แค่พูดชื่อตำรวจออกไป  ก็ตัวสั่นแล้ว  แล้วอีกอย่าง  เด็กสาวที่เป็นพยาน  เธอก็พูดอย่างชัดเจนแล้วนิ  ว่าเธอเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนของผู้ตายน่ะ”

   ปุณพยักหน้าอย่างยอมรับในคำพูดของนิล

โรงเรียน(ปัจจุบัน)

   ท่าทีของของเจนกับเค้กยังคงเป็นปกติ  พวกเธอไม่ได้มีท่าทีที่จะสงสัย  หรืออยากจะสอบถามในสิ่งที่นิลทำแต่อย่างใด  นิลจึงทำตัวเป็นเด็กใหม่  ที่พึ่งเข้ามาเรียนในวันนี้ได้อย่างแนบนวล  โดยที่คนทั้งห้องเอง  ก็ปฏิบัติกับเธอดังเช่นเด็กใหม่เช่นกัน  จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง  ที่เมื่อาจารย์ออกจากห้องเรียนไป  เหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย  ต่างรีบวิ่งกรูกันเข้ามา  เพื่อทำความรู้จักกับนิล  บ้างก็อาสาเป็นคนพาเดินชมโรงเรียน  บ้างก็เข้ามาตีสนิทกับนิล  หวังจะจีบเด็กใหม่ 

                         “ขอบคุณทุกคนที่หวังดีนะค๊ะ  แต่เดี๋ยวชั้นให้เจนกับเค้ก  เป็นไกด์พาชมโรงเรียนก็ได้เนอะ”

   สิ้นเสียงนิล  เธอหันไปมองเด็กสาวทั้งสองคน  ที่ในตอนนี้  เธอทั้งคู่เป็นดั่งเพื่อนสนิท  ที่นิลให้ความไว้วางใจที่สุด  และเมื่อนิลพูดดังนั้น  เหล่าชายหนุ่มที่เคยมาลุมล้อมเธออยู่  จึงยอมสลายตัวออกไป  นิลจึงชวนเพื่อนใหม่ทั้งสองคนของเธอ  ออกไปข้างนอก  แต่ละหว่างที่เดินอยู่ด้วยกันสามคนนั้น  เค้กที่แอบสงสัยในตัวของนิล  เธอจึงเอ่ยถามนิลออกมา

                         “คุณทำอะไรของคุณน่ะค๊ะ  คุณนักสืบ”

   นิลหันมาตอบเค้กด้วยสีหน้าแปลกใจ

                         “ทำอะไรเหรอ  ก็จับคนร้ายไง?”

                         “งั้น  ทำไมคุณถึงเข้ามาเรียนกับเรากันค๊ะ”

   นิลยิ้มตอบรับ  แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  เค้กจึงพูดขึ้นมาต่อ

                         “อีกอย่าง  คดีนี้พวกคุณก็สรุปกันไปแล้วไม่ใช่เหรอค๊ะ  ว่ามันคือการฆ่าตัวตายน่ะ  แล้วพวกเราเอง  ก็ไม่รู้จะโดนคำสาปนี้ตอนไหนด้วย”

   สิ้นเสียงของเค้ก  ใบหน้าของทั้งเจนและเค้ก  ต่างบ่งบอกถึงความเศร้าหมอง  ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน  นิลที่เห็นดังนั้น  เธอจึงพูดปลอบคนทั้งสองอีกครั้ง

                         “พวกตำรวจจะว่ายังไง  ชั้นไม่รู้หรอกนะ  แต่ในเมื่อชั้นบอกว่า  จะจับคนร้ายให้ได้  นั่นก็หมายความว่า  นี่ต้องเป็นคดีฆาตกรรมอย่างไม่ผิดแน่นอน  และอีกอย่าง  ชั้นบอกไปแล้วนิ  ว่าพวกเธอจะต้องไม่เป็นอะไร  พวกเธอก็ต้องปลอดภัยหายห่วงอย่างแน่อนอน”

   รอยยิ้มจางๆปรากฏชึ้นที่ใบหน้าของสองสาว  คำพูดของนิล  อาจจะไม่ได้ทำให้พวกเธอหายกังวลอย่างเสียทีเดียว  แต่มันก็ทำให้พวกเธอรู้สึกว่า  ยังมีใครบางคนที่พร้อมจะช่วยเหลือพวกเธอ  ในยามที่พวกเธอลำบาก

                         “เอาล่ะ  เรารีบไปหาอะไรกันกินเถอะ  เดี๋ยวมันจะหมดเวลาพักซะก่อนนะ”

   สองสาวพยักหน้าตอบรับ  พร้อมทั้งพานิลเดินชมโรงเรียนในบางส่วนด้วย  ทั้งสามสาวต่างรีบกินข้าว  แต่ในขณะที่นั่งกินกันอยู่นั้น  สายตาของคนในโรงอาหาร  ต่างจับจ้องมาที่นิล  ที่เป็นเด็กใหม่  ที่มีใบหน้าสวยสะดุดตาหนุ่มในโรงอาหารอย่างอดมิได้

                         “พวกเธอสองคนเป็นอะไรกันเหรอ?” นิลกล่าวถาม

                         “ก็คนในโรงอาหารน่ะสิ  มองมาที่เธอกันหมดเลย”

   ได้ยินดังนั้น  นิลจึงหันไปมองรอบๆโรงอาหาร  และก็เป็นอย่างที่เค้กพูด  คนในโรงอาหารต่างมองมาที่เธอกันหมด  เธอยิ้มและพูดคุยกับเค้กและเจนโดยที่ไม่ได้สนสายตาที่มองมาที่เธอแต่อย่างใด  แต่เมื่อคุยไปสักพัก  สายตาของนิลได้เหลือบมองไปที่ตึกเก่า  และเห็นเงาสีดำปรากฏอยู่ที่ชั้นสาม  นิลจึงขยี้ตาของ  และจ้องมองที่ตึกเก่าชั้นสามอีกครั้ง  เงาสีดำนั้นได้จางหายไปแล้ว

                         “มีอะไรเหรอนิล” เจนกล่าว

                         “เปล่าจ้ะ  เรารีบไปเรียนกันเถอะ”

   พูดจบ  นิลจึงลุกเอาจานข้าวไปเก็บ  ก่อนที่ทั้งสามสาวจะเดินกลับขึ้นไปเรียนต่อ  โดยที่คาบบ่ายนั้น  เป็นวิชาพละ  แต่นิลกลับไม่มีชุดพละที่จะใช้ใส่เรียน  ในคาบนี้อาจารย์จึงให้เธอไปนั่งพักที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ตัวหนึ่ง  แต่ในระหว่างที่เปลี่ยนชุดก่อนเข้าเรียนนั้น  นิลได้ไปคุยกับเค้กและเจนในห้องแต่งตัว

   แต่เมื่อเจนถอดเสื้อออกมา  นิลก็ต้องสะดุดตากับเนื้อตัวของเจน  เพราะที่ตามตัวของเจนนั้น  เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย  นิลจึงกล่าวถามไปด้วยใบหน้าที่ตกใจ

                         “เธอไปโดนอะไรมาน่ะเจน?”

   เจนที่ได้ยินดังนั้น  สีหน้าของเธอมันสลดลงทันที  เธอหันมาตอบนิลด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง

                         “ไม่มีอะไรหรอก  ชั้นแค่สะดุดล้มนิดหน่อยน่ะ”

   นิลไม่เขื่อในคำตอบของเจนเสียทีเดียว

                         “เธอแน่ใจนะ  ว่าเธอโอเคน่ะ”

   เจนพยักหน้าตอบรับ  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

                         “รีบไปกันเถอะ  เดี๋ยวจะเข้าเรียนสายเอานะ”

   ทั้งสามคนจึงรีบออกจากห้องแต่งตัวไป  และในคาบเรียนนั้น  มีเพียงนิลคนเดียว  ที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้  แต่ก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่อาจารย์  ว่านิลเข้ามาในโรงเรียนนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร  เพราะฉะนั้นการที่เธอจะเข้าเรียนหรือไม่  ก็ไม่ได้มีผลอะไรอยู่แล้ว 

   วิชาเรียนในวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี  และดูเหมือนความสัมพันธ์ของเค้กกับเจนนั้น  ก็จะก้าวหน้าเป็นไปอย่างที่นิลหวัง  หลังจากเลิกเรียน  มายด์เดินมาชวนนิลกลับบ้าน  แต่ได้ปฏิเสธไปเพราะเธอยังคงมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่

                         “แล้วย่ากลับบ้านถูกเหรอ”

   ดูเหมือนคำพูดของมายด์คำนี้  จะชวนให้นิลเกิดความโมโหขึ้นมาอย่างทันท้วงที  เพราะเมื่อตอนเช้า  มายด์ได้ปล่อยให้นิลต้องมาโรงเรียนคนเดียว  ทั้งที่ตกลงกันเอาไว้แล้วแท้

                         “ไม่เป็นไรจ้ะ  หลานกลับไปก่อนเลย”

                         “แน่ใจแล้วนะ”

   นิลพยักหน้าตอบรับ  ด้วยรอยยิ้มแห่งความโกรธ

                         “ตามใจ  อย่าหาว่าไม่ชวนนะ”

   สิ้นเสียงมายด์  เจ้าตัวเดินกลับบ้านไป  และเมื่อคนกลับกันไปจนหมดแล้ว  นิลจึงเดินออกมาที่นอกตึกเรียน  และเหลียวมองไปที่ตึกเก่า  มันช่างบังเอิญจริงๆ  เพราะสิ่งที่นิลอยากเห็นอีกครั้ง  มันได้ปรากฏอยู่ตรงหน้านิลในยามนี้อีกครั้ง  มันคือเงาสีดำ  ที่มีดวงตาสีแดงทมึฬ  ส่อแววของความอาฆาตแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด  นิลยิ้มรับให้กับเงานั่น 

                         “กำลังอยากเจออยู่พอดีเลย  รอชั้นอยู่ตรงนั้น  อย่าพึ่งหายไปไหนอีกนะ”

   นิลไม่รอช้า  รีบพุ่งเข้าไปหาเงานั่นอย่างทันท้วงที  หวังที่จะจับเงานั่นให้ได้  เพราะเงานั่น  คือเงาที่ว่ากันว่า  เป็นดั่งคำสาปของตึกเรียนนี้  และยังอาจจะเป็นต้นเหตุการณ์เสียชีวิตของสุกัญญาอีกด้วย  นิลรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามอย่างไม่รอช้า 

   แต่เมื่อเธอมาถึงที่ชั้นสามแล้ว  เงาสีดำทมึฬได้อัตทานหายไปอีกครั้ง  สร้างความแปลกใจให้นิลเป็นอย่างมาก  แต่นิลก็ยังคงไม่ยอมแพ้  เธอรีบเดินไปยังตำแหน่งที่เงานั่นปรากฏให้เธอเห็น  แต่ขณะที่เธอกำลังค่อยก้าวไปยังตำแหน่งที่เงาปรากฏนั้น  ได้มีเสียงของใครบางคน  ตะโกนเรียกเธอมาจากทางด้านหลัง

                         “ขึ้นมาทำอะไรบนนี้น่ะนักเรียน”

   นิลสะดุ้งด้วยความตกใจ  และหันกลับไปดูต้นเสียงที่เรียกเธอ  เธอเพ่งมองฝ่าความมืดไป  ร่างที่ตะโกนเรียกเธอนั้น  เป็นร่างของ รปภ. คนหนึ่ง  และดูเหมือน รปภ. คนนั้นจะรู้จักกับนิลด้วย

                         “อ้าวคุณนักสืบนี่ครับ” รปภ.กล่าว  พลางเดินเข้ามาหานิล “ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับเนี่ย”

   นิลยิ้มรับอย่างงุนงง

                         “ขึ้นมาหาอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ” นิลเหมือนนึกอะไรออก “งั้นเดี๋ยวเราเดินลงไปแล้วคุยกันไปดีไหมค๊ะ  ชั้นมีเรื่องอยากถามคุณนิดหน่อยด้วยน่ะค่ะ”

                         “เอาสิครับ  คุณมีอะไรสงสัยก็ถามผมมาได้เลย”

                         “งั้นไปกันเลยไหมค๊ะ”

   สิ้นเสียงนิล  ทั้งคู่ต่างเดินลงจากตึกนี้ไป  และคุยกันไปด้วยระหว่างทาง  นิลได้สอบถามเรื่องราวมากมาย  เกี่ยวกับตึกเรียนเก่าแห่งนี้  และเรื่องของอาถรรพ์ของตึกนี้ที่เขาเล่าลือกันอย่างละเอียด  พร้อมทั้งเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้ในบางเรื่องอีกด้วย  จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาจนถึงหน้าโรงเรียน  นิลจึงขอตัวกลับบ้านก่อน

                         “ขอบคุณมากนะค๊ะสำหรับข้อมูล”

                         “ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ”

เช้าวันต่อมา(โรงเรียน)

   ในวันนี้สายฝนยังคงซัดซาดกระหน่ำลงมาอีกเช่นเคย  นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า  บัดนี้ได้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว  นักเรียนบางคนก็พกร่มมาติดตัวด้วย  นักเรียนบางคนวิ่งตากฝนจนเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด  แต่ตัวของนิลเองนั้น  เธอเป็นคนที่ค่อนข้างจะคาดคะเนได้ดีอยู่แล้ว  เธอได้บอกกับหลานชายของเธอให้พกร่มไปด้วย  เพราะในวันนี้ฝนตกเป็นแน่  แต่ดูเหมือนหลานชายของเธอ  จะไม่ฟังเธอเท่าไหร่นัก  เพราะทุกครั้งที่หลานชายเธอมองเธอ  ตัวของเขานั้นมักจะไม่คุ้นชินกับกับนิลในร่างนี้เสียเท่าไหร่  แม่ระยัเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มายด์นั้น  ต้องเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยสายฝน

                         “บอกแล้วใช่ไหม  ว่าให้พกร่มมาด้วยน่ะ”

   มายด์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา  นิลจึงยื่นร่มของเธอให้หลานชายเก็บเอาไว้  ก่อนที่เธอจะขอแยกตัวไปทำธุระในยามเช้านี้ก่อน  มายด์รับร่มมาด้วยใบหน้าที่สงสัย  แต่เจ้าตัวยังคงไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี  และทั้งคู่จึงแยกตัวกันที่หน้าตึกเรียน  นิลได้ขึ้นไปยังชั้นห้าของตึกเรียน  และนั้นคือสิ่งที่จะเป็นคำตอบให้กับคดีนี้

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา