นิล

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.16 น.

  11 ตอน
  66 วิจารณ์
  4,377 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่สาม ตึกอาถรรพ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิล

ปริศนาโรงเรียนอาถรรพ์

บทที่สาม  ตึกอาถรรพ์

 

   เมื่อยามราตรีคืบคลานเข้ามา  มันเป็นสัญญาว่า  ผู้ล่าเริ่มที่จะออกล่าเหยื่อที่ตนหมายปอง  บ้างก็ใช้มีดในการสังหารเหยื่อ  บ้างก็ใชปืนในการสังหารเหยื่อ  หรือแม้กระทั่ง  เรื่องเล่าที่ทำให้เหล่าผู้ที่ได้ฟังมัน  ถึงกับต้องอกสั่นขวัญแขวน  จนไม่กล้าย่างกลายเข้าไปในพื้นที่ของนักล่าคนนั้น  ซึ่งนี่เองก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่เรียกตนเองว่านักสืบ

โรงเรียนวิทยา

   นิลกับปุณเดินทางมาถึงโรงเรียนวิทยา  แต่เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน  นิลกลับมีอาการตกใจเล็กน้อย  จนปุณเองต้องแปลกใจ

                         “มีอะไรเหรอ?”

   นิลหันมาตอบปุณ  ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

                         “ที่นี่มันโรงเรียนน้องชายของชั้นน่ะ”

   ปุณทำสีหน้าตกใจนิดๆออกมา  ก่อนที่เขาจะเอามือไปจับไว้ที่ปลายคางของเขา

                         “มันช่างบังเอิญจริงๆ  แบบนี้น้องชายของเธอเอง  ก็น่าจะรู้อะไรบ้างสิ  บางทีเราอาจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มบ้างก็ได้นะ”

   นิลนึกถึงมายด์หลานชายของเธอ  พร้อมกับถอนหายใจออกมา  พร้อมกับส่ายมือให้กับปุณ

                         “ในทางตรงกันข้ามต่างหาก  ชั้นคิดว่าเราอย่าไปหวังอะไรกับหมอนั่นเลยจะดีกว่า”

                         “ทำไมล่ะ  เขาเรียนอยู่ที่นี่  การที่เรารู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้เพิ่มมากขึ้น  มันก็เป็นการดีไม่ใช่เหรอ”

   นิลถอนหายใจอีกครั้ง

                         “เชื่อชั้น  แล้วเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะน่า”

   สิ้นเสียงนิล  เธอเดินนำปุณเข้าไปในโรงเรียน  ทิ้งความสงสัยไว้ให้ปุณยื่นสงสัยอยู่หน้าโรงเรียน  ก่อนที่ปุณจะค่อยๆเดินตามนิลเข้าไปในโรงเรียน  ซึ่งภายในโรงเรียน  ทั้งคู่ได้เห็นเจ้าหน้าที่กำลังมุงกันอยู่หน้าตึกเรียนแห่งหนึ่ง  ที่ในโรงเรียนนี้ประกอบไปด้วยตึกเรียนสามตึก  เรียงติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม  โดยตึกซ้ายมือที่เป็นตึกเล็ก  และมีสภาพเก่าที่สุด  ที่นักเรียนหญิงถูกฆาตกรรมลงมา  โดยนักเรียนที่เหลือ  โดนกันออกไปจากที่เกิดเหตุ  ให้อยู่แต่เพียงในตึกใหญ่  ซึ่งคือตึกทางขวามือเพียงเท่านั้น

   นิลกับปุณมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ  โดยปุณได้พานิลเข้าไปหาหัวหน้าของเขา  โดยที่หัวหน้าของเขา  กำลังวุ่นกับการหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ  โดยที่เจ้าหน้าที่บางส่วน  ต่างก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว  เพราะพวกเขาต่างลงความเห็นว่า  คดีนี้เป็นการฆ่าตัวตาย

                         “หัวหน้าครับ  ผมพาคนที่จะไขคดนี้มาแล้วครับ” ปุณเอ่ยบอกหัวหน้า

   หัวหน้าที่กำลังวุ่นวายอยู่  หันมาหาปุณด้วยสีหน้าที่กำลังหงุดหงิด  และเหลือบไปมองนิลต่อ

                         “นี่แกรอชั้นเล่นใช่ไหม  ชั้นให้แกไปพาคุณนิลมา  ไม่ใช่เด็กแบบนี้”

                         “แต่เด็กคนนี้เอง  ก็วิเคราะห์คดีได้เชียบขาดไปเลยนะครับ  แถมยังเป็นเจ้าของสำนักงานนักสืบอีก”

   หัวหน้าหันไปมองนิลด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดอีกครั้ง  แต่เมื่อเขามองดูนิลอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง  สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ  จากสีหน้าที่หงุดหงิด  กลายเป็นสีหน้าที่ตกใจ  ปุณที่เห็นสีหน้าของหัวหน้า  เขาจึงเอ่ยถามหัวหน้าไป

                         “หัวหน้าเป็นอะไรไปครับ?”

   หัวหน้าหันมาทางปุณ  พร้อมทั้งตอบอย่างตะกุกตะกัก

                         “ป..เปล่า  ไม่มีอะไร  ลองดูก็ได้ไม่เสียหายอะไร” พร้อมทั้งหันไปถามนิล “เธอชื่ออะไรเหรอ  แม่สาวน้อย”

                         “นิล  มณีนิลค่ะ  เป็นเจ้าของสำนักงานนักสืบค่ะ”

                         “เธอคงทราบเรื่องทั้งหมด  จากนายปุณเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” หัวหน้าถาม  ด้วยสีหน้าที่สุขุม

                         “ทราบแล้วค่ะ”

                         “แล้วเธอคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้ล่ะ?”

   นิลหันหน้าไปมองที่ศพ  พร้อมทั้งกล่าวตอบกับหัวหน้า

                         “ชั้นคิดว่า  นี่น่ะเป็นคดีฆาตกรรมอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะค่ะ”

   หัวหน้าที่ได้ยินดังนั้น  เขายิ้มออกมาที่มุมปาก  พร้อมทั้งพรึมพร่ำกับตัวเอง

                         -ช่างเหมือนกันจริงๆ  ทั้งการตัดสินใจที่เด็ดขาด  และมองสถานการณ์ลึกกว่าคนอื่นๆ

                         “’งั้นในเมื่อมีคนจัดการคดีนี้ต่อแล้ว  ชั้นขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ  ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำต่อน่ะ-ฝากด้วยนะ”

   สิ้นเสียงหัวหน้า  เขาเดินออกจากที่เกิดเหตุไป  พร้อมทั้งสั่งให้นายตำรวจที่เหลือ  ให้ความร่วมมือกับนิลและปุณ

                         “งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

                         “แล้วเธอจะเริ่มจากตรงไหนก่อน?” ปุณถามด้วยความสงสัย

                         “บัตรประชาชนของผู้ตายอยู่ที่ใคร?” นิลเอ่ยถามต่อ

                         “เจ้าหน้าที่ข้างหน้า  น่าจะเก็บไปแล้วล่ะ  เดี๋ยวชั้นไปเอามาให้”

   สิ้นเสียงปุณ  เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง  ก่อนที่เจ้าหน้าที่นายนั้น  จะยื่นบัตรประชาชนให้กับปุณ  ปุณจึงเดินกลับมาหานิล  และยื่นบัตรประชาชนให้กับนิล  นิลจึงรับมาและดูบัตรอย่างสนใจ

                         “นางสาวสุกัญญา  อายุสิบหกปีงั้นเหรอ”

   สิ้นเสียงนิล  เธอเดินไปยืนมองศพอย่างพินิจ  พิจารณาก่อนที่เธอจะเอาหน้าเข้าไปดมที่บริเวณปากของซพ  และก้มๆเงยๆอย่างข้างศพครู่หนึ่ง  และออกมาเดินบริเวณรอบๆศพ  เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง  และเดินกลับเข้ามาหาปุณ

                         “ได้อะไรบ้างไหม?” ปุณเอ่ยถาม

                         “ก็นิดหน่อยน่ะนะ  พยานที่เห็นเหตุการณ์  บอกว่าเหยื่อตกลงมาจากชั้นสามสินะ”

                         “เธอว่าอย่างนั้น”

                         “งั้นเราขึ้นไปสำรวจชั้นสามกัน”

   สิ้นเสียงนิล  ทั้งสองคนต่างรีบเดินขึ้นไปที่ตึกเรียนชั้นสาม  แต่ท่าทางการเดินของนิล  เป็นท่าเดินที่เหมือนกับเธอกำลังก้มมองอะไรตลอดเวลา  ปุณที่เห็นแบบนั้นจึงเอ่ยถามนิลออกมา

                         “เธอกำลังมองอะไรมาตั้งแต่ที่เดินขึ้นมาแล้วกันน่ะ”

   นิลที่ได้ยินปุณถาม  จึงเงยหน้าขึ้นมา  และหันมาตอบปุณด้วยสีหน้าประหลาดใจ

                         “นายไม่ได้สังเกตุเลยเหรอ”

                         “สังเกตุ?”

                         “ตั้งแต่ข้างล่างเมื่อกี้นี้  และตลอดทางที่เราเดินขึ้นมา  มีรอยเท้าสองรอย  ที่เดินมาด้วยกันขึ้นมาที่นี่น่ะ”

   ปุณที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงหยุดชะงัก  และลองเพ่งมองที่พื้นตามที่นิลบอกให้ดีๆ  เขาจึงสังเกตเห็นในสิ่งที่นิลบอกกล่าว  และเป็นอีกครั้งที่ตัวเขาต้องทึ่ง  ในการสังเกตของนิล

                         “ถ้าลองสังเกตดูดีๆ  จะเห็นได้ชัดว่า  รอยเท้าทั้งสองรอย  เป็นรอยเท้าของรองเท้านักเรียนหญิง” นิลก้มลงไป  และเอานิ้วสัมผัสไปที่รอยเท้า “นั่นหมายความว่าเรื่องที่ผู้ตายจะฆ่าตัวตายนั้น  ตัดทิ้งไปได้เลย  เพราะคนที่จะฆ่าตัวตายที่ไหนจะพาเพื่อนมาด้วย  เว้นเสียแต่ว่า  คนร้ายจะเป็นผู้หญิงเท่านั้นแหล่ะ  รีบไปที่ชั้นสามกันเถอะ  ที่นั่นอาจจะต้องมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีกแน่  ถ้าเป็นตามที่ชั้นคิดน่ะนะ”

   ปุณพยักหน้าตอบรับ  ทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้าเดินตามรอยเท้าไปยังชั้นสาม  โดยที่ทั้งสองหวังว่า  ที่นั่นจะมีคำตอบ  ที่ทั้งสองคนตามหามันอยู่

ชั้นสาม

                         “รอยเท้าสิ้นสุดแค่ตรงนี้”

   นิลกล่าวขึ้น  โดยที่รอยเท้าสองรอยที่เธอเดินตามมานั้น  มันได้สิ้นสุดลง  ที่หน้าห้องเรียนม.6/4  เมื่อเห็นดังนั้น  นิลจึงลองเดินเข้าไปสำรวจรอยเท้าใกล้ๆอีกครั้ง

                         “ที่หน้าห้องเรียนตรงนี้  มีกองเศษไม้ตกกระจายอยู่เต็มไปหมด  และรอยเท้าทั้งสองรอย  พอมาถึงที่หน้าห้องเรียนตรงนี้  ทั้งคู่ต่างแยกเดินกันไปคนล่ะทาง” นิลยื่นมือไปหยิบน็อต  ที่ตกอยู่บริเวณกองไม้หน้าห้อง “นายลองดูนี่สิ” นิลยื่นน็อตที่เก็บได้  ให้กับปุณดู “หมายความว่า  คนร้ายใช้อะไรบางอย่าง  ในการผลักผู้ตายให้ตกลงไปข้างล่าง”

   นิลลุกจากบริเวณพื้นทางเดิน  และเดินไปสำรวจบริเวณระเบียง  โดยที่ในครั้งนี้  เธอหยิบเวณขยายออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ  เธอสำรวจบริเวณระเบียงอย่างถี่ถ้วน  ทุกอณูของพื้นผิวระเบียง  เธอแทบจะไม่พลาดมันแม้แต่น้อย  และเพียงครู่เดียว  เธอจึงค่อยเก็บแว่นขยายลงกระเป๋า  ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดกับปุณอีกครั้ง

                         “เท่านี้ก็รู้วิธีลงมือก่อเหตุของคนร้ายแล้วล่ะนะ”

                         “เธอรู้แล้วเหรอ  ว่าคนร้ายลงมือก่อเหตุยังไง?” ปุณพูดด้วยสีหน้าที่สงสัย

   นิลพยักหน้าตอบรับ

                         “แต่ก็ยังไม่รู้  ว่าคนร้ายใช้อะไรในการผลักเยื่อให้ตกลงไปตายน่ะนะ  อ้อ” นิลทำสีหน้านึกบางอย่างออก “นายจำได้ไหม  ที่ชั้นเคยบอกนายว่า  ถ้ามาที่นี่  แล้วจะรู้น่ะ  ว่าคนร้ายเป็นมือสมั้ครเล่น  หรือจงใจทิ้งหลักฐานไว้น่ะ” ปุณพยักหน้าตอบรับ “ชั้นได้คำตอบแล้วล่ะ  ว่าจริงๆแล้วคนร้ายเป็นแค่มือสมัครเล่นเท่านั้นแหล่ะ”

                         “เธอมั่นใจได้ยังไง” ปุณทำสีหน้าสงสัย

                         “นายก็เห็นหลักฐานทุกอย่าง  ที่มันอยู่ในที่เกิดเหตุแล้วนิ  ทั้งรอยเท้าที่คนร้ายพลาดเหลือทิ้งไว้  ทั้งเศษไม้พวกนี้  แล้วยังน็อตที่อยู่ในมือนายนั่นอีกด้วย  และที่สำคัญ  รอยนิ้วมือที่ระเบียงนั่น  ลองคิดดูสิว่าถ้ามืออาชีพลงมือ  ผู้ตายคงไม่มีเวลาได้ตั้งตัว  ขนาดที่จะเหลือรอยนิ้วมือไว้ที่ระเบียงหรอก  และอีกอย่างที่ชั้นมั่นใจ  นั่นก็คือคนร้ายน่ะ  ต้องเป็นเพื่อนกับผู้ตายแน่นอน”

   ปุณที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

                         “อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น”

   นิลถอนหายใจออกมา  ก่อนที่เขาจะตอบปุณ

                         “นายลองคิดดูดีๆสิ  ตั้งแต่ต้นชั้นบอกนายไปชัดเจนแล้วนะ  ว่ารอยเท้าที่เดินขึ้นมาที่นี่  มันมีอยู่สองรอยที่เดินตามกันมาน่ะ”

   เมื่อนิลพูดอย่างนี้  ปุณเองจึงคิดอะไรบางอย่างได้

                         “จริงด้วย  ถ้าผู้ตายไม่รู้จักกับคนร้าย  เธอก็คงไม่เดินตามคนร้ายมาแน่นอน”

   นิลพยักหน้าตอบรับ  ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ

                         “งั้นชั้นขอคุยกับพยานที่เห็นเหตุการหน่อยได้ไหม”

                         “ได้สิ  งั้นเดี๋ยวชั้นไปตามเธอมาให้นะ”

   สิ้นเสียงปุณ  เขาได้เดินหายออกไปจากตึกครู่ใหญ่  ส่วนนิลเธอได้เดินไปรอปุณ  อยู่ที่ห้องประชุม  ที่ทางโรงเรียนได้จัดไว้ให้สอบปากคำพยานในตอนแรก  ก่อนที่ปุณจะเดินกลับมา  พร้อมกับพยานที่เห็นเหตุการณ์  เธอเป็นเด็กสาวม.ปลาย  ที่ในตอนนี้สีหน้าของเธอ  มันบ่งบอกถึงความกังวล  ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม  เมื่อเห็นดังนั้น  เด็กสาวเมื่อเห็นหน้านิล  เธอมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ  เมื่อเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับเธอ  ได้รับความไว้วางใจจากตำรวจ  ให้ทำคดีสืบสวนได้  นิลผายมือเพื่อเชิญเธอให้นั่ง  หญิงสาวที่เห็นดังนั้น  เธอจึงดึงเก้าอี้ออกมา  และนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนิล  แต่เมื่อนิลเห็นสีหน้าของเธอ  นิลจึงกล่าวออกไป

                         “ไม่ต้องกังวลไป  เราแค่อยากได้ข้อมูลอะไรจากเธอสักเล็กน้อย”

   หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ  นิลจึงเริ่มเอ่ยถามออกไป

                         “ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนที่เธอเจอสุกัญญาให้ฟังหน่อยได้ไหม”

   หญิงสาวเอามือมาประสานกันไว้ที่หน้าตัก

                         “ตอนนั้นหลังจากที่หนูเคารพธงชาติเสร็จ  หนูเปิดกระเป๋าเพื่อดูพวกหนังสือในกระเป๋า  และหนูก็เห็นว่า  หนูลืมหยิบหนังสือมาเล่มนึง  หนูเลยตัดสินใจที่จะเดินไปซื้อหนังสือที่สหกรณ์ของโรงเรียน  แต่ระหว่างที่หนูเดินไป  หนูก็ได้ยินเสียงของสุกัญญาดังมาจากทางด้านตึกเก่า  หนูเลยมองไปตามเสียงนั้น  หนูก็เห็นร่างของสุกัญญาอยู่ที่ชั้นสาม  เธอร้องโวยว้ายเหมือนขอชีวิตจากใครบางคน  มือของเธอกำระเบียงไว้แน่น  เพื่อพยายามไม่ให้ร่างของเธอตกลงมา”

                         “แล้วเห็นใครอื่นนอกจากสุกัญญาไหม?”

                         “ไม่เลยค่ะ” หญิงสาวพูด  พร้อมส่ายหน้า

                         “งั้นตอนนั้นสุกัญญาร้องขอชีวิตกับใคร?”

                         “ตอนนั้นหนูเห็นเหมือยมีเงาดำๆอยู่กับสุกัญญาน่ะค่ะ”

   นิลกับปุณมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ  ก่อนที่นิลจะกันกลับมาถามหญิงสาวอีกครั้ง

                         “เงาดำเหรอ?”

                         “ใช่ค่ะ  เป็นเงาดำทมิฬร่างใหญ่  แต่ด้วยแสงที่ส่องลงมาไม่ถึงตึกเก่า  ทำให้หนูเห็นร่างนั้นได้เพียงรางๆน่ะค่ะ”

   นิลเอามือตบลงไปที่โต๊ะเสียงดังลั่นห้อง

                         “นั่นไง  คนร้ายรู้มุมเป็นอย่างดี  เลยล่อลวงเหยื่อให้ไปที่ตึกเก่า  แล้วค่อยลงมือฆ่า  เพราะเจ้าตัวรู้ดีอยู่แล้ว  ว่าเวลาไหนที่คนจะมองเห็นตนเองได้อย่างชัดเจน  และเวลาไหนที่แสงจะอำพรางร่างของตนได้ดี”

                         “เอออ  งั้นหนูขอเล่าต่อเลยนะค๊ะ”

                         “เชิญเลย”

                         “หลังจากที่หนูเห็นสุกัญญากำลังจะตกลงมา  หนูจึงรีบกำลังจะวิ่งขึ้นไปช่วย  แต่เพียงแค่ครู่เดียว  ร่างของสุกัญญา  ก็ตกลงมากระแทกกับพื้น” ขณะที่หญิงสาวกำลังเล่าอยู่  ตัวของเธอก็สั่นเทา  ด้วยอาการของคนที่หวาดกลัว  แต่เธอยังคงเล่าต่อไป “เลือดของเธอไหลนองจนเต็มพื้นไปหมด  กลิ่นของเลือด  มันลอยเข้ามาจนในตอนนี้  ตัวชั้นเองก็ยังไม่ลืมกลิ่นนั้น  เมื่อชั้นเห็นดังนั้น  ชั้นก็ทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น  และร้องออกมาอย่างสุดเสียง  จนครู่หนึ่ง  พวกพี่รปภ.  ที่เฝ้าอยู่หน้าโรงเรียน  ต่างก็พากันวิ่งเข้ามาเพราะเสียงร้องของชั้น  และตอนนั้นเองพวกพี่เขาจึงรีบไปแจ้วอาจารย์  จนพวกพี่เจ้าหน้าที่มานั่นแหล่ะค่ะ”

                         “อืม  ตรงกับที่นายเล่าทุกอย่างเลย  ว่าแต่เธอเรียนอยู้ชั้นเดียวกับสุกัญญาไม่ใช่เหรอ  ไม่ร็จักอะไรกันเป็นพิเศษเหรอ”

                         “ไม่เลยค่ะ  ชั้นแค่เรียนห้องเดียวกับสุกัญญาน่ะค่ะ”

                         “แล้วตอนที่อยู่ห้องเดียวกัน  เธอไม่ได้เห็นสิ่งผิดปกติ  ที่บ่งบอกว่าสุกัญญาจะทำเรื่องแบบนี้บ้างเลยเหรอ”

   หญิงสาวทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบนิล

                         “ไม่เลยนะค๊ะ-อ้อแต่มีเรื่องนึงที่อาจจะเกี่ยวข้องกันนะค๊ะ”

                         “ลองว่ามาสิ”

                         “เรื่องอาถรรพ์ของตึกเก่าน่ะค่ะ”

                         “อาถรรพ์ตึกเก่าเหรอ?-ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ” นิลถามด้วยความสงสัย

                         “เมื่อสองปีก่อน  จู่ๆตึกเก่าที่เลิกใช้ไปนานแล้ว  ก็มีเรื่องเล่าว่ามีคนเห็นวิญญาณอยู่ที่ตึกนั้น  และในเวลาต่อมาไม่นานนัก  ก็มีเรื่องเล่าว่า  ถ้าใครที่เข้าไปในตึกเรียนนั้น  จะต้องมีอันเป็นไป  สุกัญญากับเพื่อนสนิทของเธออีกสามคนไม่เชื่อเรื่องนั้น  ในปีนั้นพวกเธอจึงพากันเข้าไปที่ตึกนั้น  และดูเหมือนพวกเธอจะเจออะไรที่ตึกนั้น  จึงพากันรีบหนีออกมา”

                         “พวกเธอได้เล่าไหม  ว่าเห็นอะไรที่ตึกนั้น”

   นิลเอ่ยถามแทรกขึ้นมา  พรางเอามือมากุมกันไว้ที่โต๊ะอย่างสนใจ  หญิงสาวส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ  เมื่อได้ยินดังนั้น  นิลจึงทำสีหน้าผิดหวังอีกครั้ง  ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มเล่าต่อ

                         “และในปีเดียวกัน  ตอนที่พวกเราอยู่ม.สอง  หนึ่งในเพื่อนสนิทของสุกัญญาก็กระโดดตึกฆ่าตัวตายของเย็นวันที่เลิกเรียน  ในลักษณะเดียวกันกับสุกัญญาน่ะค่ะ  และที่หน้าประหลาดใจก็คือ  ที่กระดานไวบอร์ด  ในตอนเช้าก่อนเข้าเรียนมีข้อความที่เขียนด้วยเลือดว่า  “กูจะเอาชีวิตมึง”  เหตุการณ์ในครั้งนั้น  สร้างความหวาดกลัวให้กับตึกเก่า  จนไม่มีใครกล้าเข้าไปที่ตึกนั้นอีกเลย  และในปีต่อมาก็เป็นเหตุการณ์ของสุกัญญานี่ล่ะค่ะ”

   นิลทำสีหน้าครุ่นคิดตามอีกครั้ง  ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหญิงสาว

                         “เธอบอกว่ามีรปภ.มาพบศพอีกคนสินะ”

   หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ

                         “งั้นช่วยไปตามรปภ.คนนั้น  กับเพื่อนสนิทอีกสองคนของสุกัญญาให้ชั้นทีจะได้ไหม”

   หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ  หลังจากนั้นปุณจึงพาเธอไปหารปภ.  และตามเพื่อนสนิทของสุกัญญาอีกสองคน  โดยนิลเริ่มสอบสวนรปภ.ต่อจากหญิงสาว  โดยใจความที่ได้จากรปภ.คือ

   ในวันที่พบศพของสุกัญญานั้น  เป็นสายๆของเมื่อเช้านี้  รปภ.ได้เดินตรวจความเรียบร้อยของโรงเรียน  และได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กสาวที่เห็นเหตุการณ์  รปภ.จึงรีบวิ่งไปที่เกิดเหตุ  และพบกับเด็กสาวและศพของสุกัญญา  รปภ.จึงรีบเข้าไปพยุงร่างของเด็กสาวให้ออกมาจากที่เกิดเหตุ  เพื่อให้เธอได้สติ  และรปภ.จึงรีบไปแจ้งเรื่องนี้กับผอ.ของโรงเรียน  เพื่อให้ผอ.เรียกตำรวจมายังที่เกิดเหตุ  ซึ่งตรงกับที่เด็กสาวบอกทุกอย่าง  นิลจึงถามเรื่องอาถรรพ์ของตึกเก่าไป  รปภ.จึงบอกว่า  ตึกเก่านั้นสมัยก่อนมันเคยเป็นตึกเรียนหลักของโรงเรียน  แต่ด้วยความที่เริ่มขยายโรงเรียน  และความที่ตึกนั้นมันเก่ามากแล้ว  จึงทำให้มันเลิกใช้งานไป  และมาใช้งานตึกที่สร้างใหม่แทน  ส่วนเรื่องอาถรรพ์มันเริ่มขึ้นเมื่อสองปีก่อน  โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเหมือนกัน  ว่ามันมีที่มาจากอะไร  แต่รู้อีกทีเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องเล่าของโรงเรียนไปเสียแล้ว  และในปีต่อมา  ก็มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง  ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายที่ตึกเก่านี้  และในปีต่อมาก็เป็นสุกัญญา  ซึ่งคำให้การทั้งหมดของรปภ.นั้น  มันสอดคล้องกับของเด็กสาวทุกอย่าง  ทำให้นิลต้องปล่อยตัวรปภ.ไป  และเรียกเพื่อนสนิทของสุกัญญาสองคนเข้ามาต่อ  โดยที่เด็กสาวคนซ้ายมือ  เธอไว้ผมยาวปะบ่า  ดวงตาแหลมคม  ผิวขาวเธอมีชื่อว่าเค้ก  และเด็กสาวที่อยู่ขวามือ  เธอใส่แว่นเหมือนเด็กเรียน  ท่าทางเธอเหมือนคนขี้กลัว  เธอมีชื่อว่าเจน

                         “ก่อนที่สุกัญญาจะตกตึกลงมา  เธอไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลยเหรอ?”

   เค้กเอ่ยตอบออกมาอย่างครุ่นคิด

                         “ไม่เลยนะค๊ะ” เค้กทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “แต่ก่อนวันที่เธอจะฆ่าตัวตาย  เหมือนเธอบอกกับชั้นว่า  เธอรู้สึกว่ามีคนตามเธอตลอดเวลาน่ะค่ะ”

                         “เท่านั้นเหรอ”

   ทั้งคู่พยักหน้าตอบรับ  นิลจึงเอ่ยถามต่อ

                         “แล้วพวกเธอเชื่อเรื่องอาถรรพ์ของตึกเก่าไหม”

   ทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน  ก่อนที่เจนจะหันมาตอบนอล

                         “เชื่อค่ะ”

                         “งั้นปีหน้า  ก็ต้องเป็นหนึ่งในพวกเธอสองคนสินะ”

   ทั้งคู่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา  แต่นิลสังเกตได้อย่างชัดเจน  ถึงสีหน้าที่แสดงออกถึงความหวาดกัลวของทั้งคู่  นิลจึงเอ่ยให้ทั้งคู่ได้สบายใจ  ก่อนที่จะให้ทั้งคู่กลับไป

                         “ไม่ต้องห่วงหรอก  ชั้นจะหยุดเรื่องเล่านี้เอง”

   เมื่อทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้น  สีหน้าของถึงคู่จึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย  ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันกลับไป  เมื่อคนทั้งหมดไปแล้ว  ปุณจึงเดินเข้ามาหานิล

                         “เธอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่  มันเป็นยังไงกัน?”

   นิลเอาหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างโล่งใจ  ก่อนที่เขาจะตอบปุณกับไป

                         “ก็อย่างที่ชั้นบอกไปตอนแรกนั่นแหล่ะ  ฆาตกรคนนี้น่ะ  ยังเป็นมือใหม่เรื่องการฆ่าคน  แต่เรื่องความฉลาดในการวางแผน  และความใจเย็นในการลงมือของเธอนั้น  ชั้นยอมรับว่าเธอสุดยอดมากเลยล่ะ”

                         “นั่นก็หมายความว่า  เหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อน  ก็เป็นคนร้ายคนเดียวกันเหรอ”

                         “สัญชาติญาณนักสืบของนายเริ่มทำงานแล้วนิ  อย่างที่ชั้นบอกนั่นแหล่ะ  คนร้ายใจเย็นมากในการลงมือ  เธอทิ้งช่วงเวลาให้เรื่องทั้งหมด  มันเป็นเรื่องของอาถรรพ์ตึกเก่า  เพื่อไม่ให้คนในโรงเรียนสงสัยน่ะ”

                         “แล้วเธอพอจะรู้หรือยัง  ว่าคนร้ายเป็นใคร”

                         “ถ้าการสันนิฐานของชั้นไม่ผิดน่ะนะ  แต่ชั้นขอเวลาสักสองสามวัน  รับลองชั้นจับคนร้ายได้แน่  แล้วหลังจากนั้น  ชั้นจะติดต่อคุณกลับไปเอง”

   ปุณทำสีหน้าสงสัยอีกครั้ง

                         “เธอคิดจะทำอะไร?”

                         “ก็หาหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่จะทำให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดไง  อ้อแต่นายต้องช่วยชั้นด้วยนะ”

   ปุณทำหน้าสงสัยอีกครั้ง

                         “เอาเถอะน่า  มันไม่เกินอำนาจของนายหรอก”

   สิ้นเสียงนิล  ทั้งคู่ต่างเดินออกจากห้องประชุมไป  ถึงไว้เพียงปริศนามากมาย  ที่รอการไขมันออก

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา