แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  37 วิจารณ์
  4,782 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่6 พนักงานใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่6 พนักงานใหม่

 

บริษัทมาวิน(หลายสัปดาห์ต่อมา)

   ชาติชายที่เข้ามาหามาวินที่บริษัท  ทั้งคู่ต่างก็นั่งคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อย  ถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้  จนชาติชายเอ่ยถามเรื่องของเอิญ

                      “เออมึง” ชาติชายกล่าว  พรางเอาหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ “แล้วเอิญเป็นยังไงบ้างวะ”

                      “เอิญเหรอ” มาวินกล่าวตอบเพื่อนของเขา  ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิดนิดๆ “ก็ไม่เป็นยังไงนะ  ตอนนี้เขาก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว  และเขาก็ย้ายกลับไปอยู่กับแม่ของเขาแล้ว  ส่วนบ้านที่เขาสร้างมากับสามีเขา  รู้สึกตอนนี้เขาบอกว่าจะขายน่ะนะ”

   ชาติชายที่ได้ยินดังนั้น  ก็พยักหน้าเชิงตอบรับเพื่อนของเขา  ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อจากมาวิน

                      “ก็ดีนะ” ชาติชายกล่าว  พรางมองหน้าชาติชาย  ด้งยรอยยิ้มเบาๆ “ถ้าเอิญเก็บบ้านหลังนั้นเอาไว้  ก็มีแต่จะคิดถึงอดีตที่เลวร้ายเปล่าๆ”

   มาวินที่ได้ยินเพื่อนของตนพูดดังนั้น  จึงพยักหน้าเบาๆ  เป็นการตอบรับเพื่อนของตน  ก่อนที่มาวินจะเอ่ยถามเพื่อนของเขาขึ้นมาต่อ

                      “ว่าแต่มึงเถอะ” มาวินกล่าว  พรางมองหน้าเพื่อนเขาอย่างกวนๆ “ช่วงนี้หายไปเลยนะมึง  กับยัยอลิซเป็นไงบ้างวะ”

   ชาติชายได้ยินดังนั้น  จึงมีอาการหน้าแดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด  เขาจึงกล่าวกับเพื่อนเขา  เพื่อกลบความเขิลอายของเขา

                      “อลิซอะไรวะ” ชาติชายกล่าวขึ้น  ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “ก็แค่เพื่อนกัน  ไม่มีอะไรที่มันเกินเลยกว่านั้นหรอก”

   มาวินที่ได้ยินแบบนั้น  จึงเดินมาตบไหล่เพื่อนของเขา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเพื่อนของเขาต่อ

                      “กูเห็นมึงมีความสุข” มาวินกล่าว  พรางตบไหล่เพื่อนของเขา “กูก็ดีใจว่ะเพื่อน”

   ชาติชายได้ยินดังนั้น  จึงนั่งหน้าแดงตัวเกร็งอยู่ที่เก้าอี้  แต่ยังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะคุยกันจบ  ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่ง  เปิดประตูเข้ามา  พรางยื่นเอกสารให้กับเจ้านายของเขา  และพูดกับเจ้านายของเขา

                      “นี่เอกสาร  ของพนักงานที่มาสมัครใหม่ค่ะ”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  จึงเอ่ยขอบคุณไป  พรางหยิบเอกสารของพนักงานคนนั้นขึ้นมาดู  ก่อนที่เขาจะมีสีหน้าที่ตกใจ  และกล่าวขึ้นมากับเพื่อนของเขา

                      “ไอ้ชาย” มาวินกล่าวขึ้น  พรางยื่นเอกสารให้กับเพื่อนของเขา “มึงลองดูนี่ดิ”

   ชาติชายที่ได้ยินดังนั้น  จึงหยิบเอกสารมาดู  ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ  แต่เมื่อตัวเขาเองหยิบเอกสารมาดู  เขาก็ต้องมีสีหน้าที่ตกใจเช่นกันไม่ต่างจากมาวิน  โดยในเอกสารเป็นชื่อของหญิงสาวคนนึง  ที่มีชื่อว่า

                      “นางสาว  ณัฐชา  คงสุข”

   ทั้งคู่ที่เห็นดังนั้น  ต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย  ก่อนที่ชาติชายจะกล่าวขึ้นมา  เพื่อมลายความเงียบในตอนนี้  ให้มันหายออกไป

                      “นี่มันเอิญนี่หว่า”

   มาวินที่ได้ยินเพื่อนตนเองพูดดังนั้น  จึงกล่าวขึ้นมาต่อจากเพื่อนของเขา

                      “ก็เออดิวะ” มาวินกล่าว  พรางทำสีหน้าฉงนสงสัย “เจ้าตัวเขาคิดอะไรของเขาอยู่วะ  ได้ยินเขาบอกจะไปสมัครงานอยู่เหมือนกัน  แต่ไม่คิดว่าจะมาสมัครที่นี่”

   สิ้นเสียงมาวิน  ชาติชายจึงกล่าวขึ้นมาต่อ  ด้วยสีหน้าที่กวนๆนิดๆ

                      “เอิญอยากใกล้ชิดมึงรึเปล่า” ชาติชายกล่าวขึ้น  พรางมองหน้าเพื่อนของเขาอย่างกวนนิดๆ “เขาถึงเลือกมาสมัครงานที่นี่น่ะ”

                         “ไม่หรอกมั้ง” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด “เขาก็แค่อาจจะอยากหางานที่มันเงินเดือนดีๆก็ได้  เพราะบริษัทกู  ก็เงินเดือนไม่ใช่น้อยๆนะมึง”

   แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะคำตอบกันได้  เลขาที่นั่งอยู่หน้าห้องของมาวิน  ก็โทรเข้ามา  ว่าเอิญที่มาสมัครงาน  ได้มารออยู่ที่หน้าห้อง  เพื่อเข้ารับการสัมภาษแล้ว  เมื่อได้ยินดังนั้น  มาวินจึงบอกให้เธอเข้ามาได้เลย  สิ้นเสียงมาวิน  เสียงประตูห้องของมาวิน  ก็ดังขึ้น  ทั้งคู่ต่างมองไปที่ประตูพร้อมๆกัน  ที่ประตูก็ปรากฏร่างของหญิงสาว  ที่แต่งตัวด้วยชุดเดรสสีชมพูอ่อน  ปากที่ทาด้วยสีแดงบวกกับรองเท้าส้นสูง  กับผมที่ยาวสลวย  ที่ชายใดได้เห็น  คงต้องร้องให้กับความสวยผสมเซ็กซี่ของเธอ  มาวินเองที่เห็นดังนั้น  ก็ร้องโอ้วออกมาเช่นกัน  เพราะหญิงสาวคนนี้  ต่างจากเอิญที่เขารู้จักเป็นอย่างมาก  เอิญที่เขารู้จัก  เป็นผู้หญิงเรียบร้อยน่ารัก  ทาปากบางๆ  แต่งตัวมิดชิด  แต่งหน้าเป็นธรรมชาติ  แต่เอิญในตอนนี้  ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  แต่ถึงอย่างไร  แค่มาวินได้เห็นเอิญ  หัวใจของเขาก็เต็นโครมครามไม่เป็นจังหวะแล้ว  เขายืนตัวแข็งทื่อ  ไม่พูดอะไร  ชาติชายเพื่อนของเขาที่เห็นดังนั้น  ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  จนกระทั่งเอิญกล่าวทักทาย

                      “สวัสดีค่ะท่านประทาน”

   เพราะเสียงของเอิญ  ทำให้สติของมาวินกลับมาอีกครั้ง  และเริ่มเอ่ยกับเอิญอีกครั้ง

                      “คุณคิดอะไรของคุณอยู่เนี่ย”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  จึงหันไปหาชาติชาย  และพูดกับชาติชาย

                      “ชายออกไปก่อนได้ไหม” เอิญกล่าวขึ้น  พรางมองหน้าชาติชาย “ชั้นขอคุยกับวินแค่สองคน”

   ชาติชายพยักหน้าตอบรับเบาๆอย่างงงๆ  ก่อนที่เขาจะเดินไปรอทั้งคู่ที่หน้าห้อง  พรางยกหูโทรศัพท์  โทรหาอลิซ  เพื่อบอกกับอลิซ  เรื่องที่เอิญมาสมัครงานที่บริษัทของมาวิน  ส่วนทางด้านเอิญ  เมื่อชาติชายออกไปแล้ว  เจ้าตัวจึงเดินเข้าประชิดตัวมาวิน  พรางเอามือไปดึงเน็กไทของมาวิน  ให้หน้าของมาวินเข้ามาประชิดหน้าของเขา  จนลมหายใจของทั้งสองคนสอดประสานกัน  สายตาของทั้งคู่ต่างเพ็งมองกันอย่างไม่กระพริบตา  หัวใจของมาวินเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  เขากลืนน้ำลายเสียงดังอึ้กอย่างชัดเจน  เอิญที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มพูด

                      “คุณถามว่าทำไมชั้นถึงมาสมัครงานที่นี่สินะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางเอามือเริ่มลูบไปที่หน้าอกของมาวิน  เชิงยั้วยวน “นั่นก็เพราะ  ชั้นอยากจะอยู่ใกล้ๆคุณไง  คุณรู้ไหม  ตั้งแต่ที่เราเจอกันที่โรงพยาบาลในวันนั้น  คุณทำให้ชั้นคิดถึงคุณตลอดเวลาเลยนะ”

   มาวินที่โดนเอิญรุก  เจ้าตัวทำได้เพียงแค่อ้ำๆอึ้งๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบอะไรกลับไปบ้าง  เพื่อกลบความเขิลอายของตนเองในครั้งนี้

                      “เออออ  คุณ” มาวินกล่าวขึ้น  พรางพยายามเอามือดันเอิญออกไป “ผมว่าคุณใกล้ไปแล้วนะ”

   เอิญที่เห็นมาวินเขิลอาย  เจ้าตัวจึงพยายามรุกหนักกว่าเก่า  ด้วยการเข้าประชิดมาวินกว่าเดิม  มาวินที่เห็นดังนั้น  เขาถอยร่นจนหลังติดกับกระจก  ส่วนมือของเขาก็พยายามผลักเอิญออกไปอย่างเบาๆ

                      “ทำไมล่ะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางส่งยิ้มหวานและเอามือทั้งสองข้าง  โอบไปที่คอของมาวิน  เพื่อให้หน้าใกล้ชิดกว่าเดิม “เสืออย่างคุณ  ปกติทำมากกว่านี้อีกไม่ใช่เหรอ  หรือตอนนี้เสือตัวนั้น  กลายเป็นแมวไปแล้วกัน”

   ยิ่งเอิญรุกหนักเท่าไหร่  ใจของมาวินยิ่งเต้นระรัวหนักขึ้นมากเท่านั้น  แต่เจ้าตัวก็พยายามดันเอิญออกไป  เพราะความรักของมาวิน  ที่มีให้กับเอิญ  มันไม่ใช่แค่รักที่ต้องการแค่มีเซ็ก  แต่มันคือรักที่ผู้ชายคนนึง  มอบให้กับผู้หญิงคนนึงหมดทั้งใจ  เขาจึงไม่เคยพยายามที่จะล่วงเกินเอิญเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ถ้าเจ้าตัวไม่ยอม  มาวินดันเอิญออกไป  และกล่าวกับเอิญต่อ

                      “เอาเป็นว่า” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ “ผมรับคุณเข้าทำงานแล้วกัน  คุณพร้อมเริ่มงานวันไหน”

   เอิญที่ได้ยินมาวินถามดังนั้น  จึงเดินเข้ามาหามาวิน  พรางพูดขึ้นมาอีกครั้ง

                      “ชั้นพร้อมที่จะเริ่มงานเดี๋ยวนี้เลย” เอิญกล่าวขึ้น  พรางเดินเข้ามาหามาวิน  และเอามือลูบไปที่หน้าอกมาวินอีกครั้ง “และกลางวันนี้  คุณต้องไปกินข้าวกับชั้น  โอเคไหม”

   มาวินยิ้ม  และตอบรับอย่างว่าง่าย  ราวกับสิ่งที่เอิญพูดเป็นความจริง  ตอนนี้มาวินได้เปลี่ยนจากเสือกลายเป็นแมวไปแล้ว  ส่วนมาวินเอง  การที่เอิญมาทำงานที่นี่  ตัวเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจหรือกลัวอะไรแต่อย่างใด  แต่เขากลับดีใจด้วยซ้ำ  ที่ทุกๆวัน  เขาจะได้เจอหน้าเอิญ  ได้กินข้าวกับเอิญ  และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเอิญอีกครั้ง  ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่า  ตนเองย้อนกลับไปตอนที่ทั้งคู่ยังคบกันก็มิปาน  เมื่อตกลงที่จะเริ่มงานในวันนี้แล้ว  เอิญจึงเอ่ยถามมาวินต่อ

                      “แล้ว” เอิญกล่าวขึ้น  พรางส่งสายตาที่หวานเยิ้มให้มาวิน  จนทำให้มาวินต้องตัวแข็ง  เหมือนต้องมนตร์สะกดอีกครั้ง “จะให้ชั้นทำงานที่ไหนล่ะ”

   มาวินที่ได้ยินเอิญถาม  เขาก็ได้เหมือนกับหลุดจากผวังอีกครั้ง  ก่อนที่เขาจะตอบเอิญกลับไป

                      “อ้อ” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “งั้นคุณตามผมมาเลย  เดี๋ยวผมพาคุณไป”

   พูดจบมาวินจึงเดินตามนำเอิญออกไป  ก่อนที่เอิญจะเดินตามหลังมาวินไป  แต่เมื่อมาวินเปิดประตูห้องของเขาออกมา  ทั้งเอิญและมาวินต่างก็ต้องตกใจอีกครั้ง  เพราะที่หน้าประตูห้องของเขา  มีชาติชายกับอลิซมาแอบฟังทั้งคู่สนทนากันอยู่  โดยที่ชาติชายกับอลิซ  เอาหูแนบกับประตูเพื่อให้ได้ยินชัดขึ้น  มาวินที่เห็นดังนั้น  จึงเอ่ยถามคนทั้งคู่ไป 

                      “นี่พวกแก  แอบมาฟังอะไรกันเนี่ย” มาวินเอ่ยถามไป  ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจนิดๆ  ชาติชายที่ได้ยินเพื่อนของตนถาม  เขาจึงเอ่ยตอบด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนนิดๆ

                      “แอบฟังอะไร” ชาติชายกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้ามีพิรุธ  กับมือที่ชี้นู้นชี้นี่มั่วไปหมด “กูกับอลิซก็แค่ยืนรอมึงกับเอิญ  แล้วก็ดูนู้นดูนี่ว่ามันสวยดีไปเรื่อย  เนอะคุณเนอะๆ”

   อลิซที่เห็นชาติชายพูดแบบนั้น  จึงพยักหน้าตามที่ชาติชายพูดไป  ชาติชายจึงเอ่ยถามมาวินกลับไปบ้าง

                      “แล้วนี่พวกแกจะไปไหนกันอ่ะ”

                      “อ้อชั้นว่าจะพาเอิญไปดูที่ทำงานของเขาน่ะ”

   แต่ก่อนที่มาวินจะทันได้พาเอิญไปดูห้องทำงสนของเขา  อลิซก็ดึงแขนของเอิญไป 

                      “นี่แกทำอะไรของแกอยู่เนี่ย” อลิซกล่าวขึ้น  พรางมองเอิญตั้งแต่หังจรดเท้า “ทำไมแกถึงมาสมัครงานที่นี่  แล้วไหนจะการแต่งตัวนี่อีก”

   เอิญที่ได้ยินแบบนั้น  จึงยิ้มและตอบอลิซกัลบมา  ด้วยท่าทางที่เรียบเฉย

                      “ชั้นก็บอกเธอไปแล้วนี่” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “ว่าชั้นจะไปหางานทำน่ะ”

                      “เรื่องนั้นชั้นก็รู้” อลิซกล่าว  พรางผายมือไปด้านข้าง “แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นที่นี่”

                      “ไม่ต้องห่วงหรอก” เอิญกล่าวขึ้น  พรางเอามือไปตบไหล่เพื่อนของเขา “ชั้นดูแลตัวเองได้  ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง  เดี๋ยวชั้นขอไปดูที่ทำงานใหม่ก่อนนะ”

   พูดจบเอิญจึงเดินตามมาวินไป  ปล่อยให้อลิซและชาติชายยืนงงอยู่ตรงนั้นด้วยกัน  ส่วนมาวินก็พาเอิญมาดูที่ทำงานของเขา  โดยที่ห้องทำงานของเขา  อยู่ไม่ไกลจากห้องของมาวินเท่าไหร่นัก  แค่มองมา  มาวินก็เห็นเอิญได้อย่างชัดเจน  เพราะตำแหน่งที่เอิญทำ  เมื่อเทียบกับคุณวุฒิของเอิญแล้ว  มันช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก  บวกกับเงินเดือนของเอิญ  ที่สูงลิ้ว  ทำให้การเลือกงานของเอิญในครั้งนี้  มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดสักเท่าไหร่  เมื่อจัดแจงดูทำงานกันเรียบร้อย  เอิญจึงเริ่มทำงานตามหน้าที่ของเขา  โดยที่ทางด้านมาวินเอง  ก็กลับเข้าไปยังที่ทำงานของเขา  โดยที่มีชาติชายกับอลิซตามเข้าไปคุยด้วย

                      “มึงคิดอะไรอยู่เนี่ย” ชาติชายกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่งุนงงนิดๆ “รับเอิญเข้ามาในที่ทำงานแบบนี้  เดี๋ยวเมียมึงรู้เรื่องเข้า  เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องกันอีกหรอก”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  ก็ทำหน้าเซ็งนิดๆ

                      “แล้วมึงจะให้กูทำยังไงเล่า” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เซ็งนิดๆ “เอิญเอง  เขาก็หางานทำอยู่  กูจะไม่ช่วยเหลือเขาเลย  มันก็ยังไงๆอยู่นะเว้ย  ส่วนเรื่องเมย์  มึงไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวกูจัดการเอง”

                      “จัดการให้มันจริงๆนะ” อลิซกล่าวขึ้น  พรางส่งสายตาจริงจังไปที่มาวิน “อย่าทำให้เพื่อนของชั้นเดือดร้อนอีกก็พอ”

   มาวินที่เห็นทั้งคู่ต่างพูดเข้าขากัน  เขาจึงแซวขึ้นมา

                      “แหม่ดูเข้ากันดูเหลือเกินนะ  พวกแกสองคนเนี่ย”

   สิ้นเสียงมาวิน  ทั้งคู่ต่างทำสีหน้าเขิลอาย  ก่อนที่ทั้งคู่จะขอตัวกับพร้อมๆกัน  โดยที่หลังจากตอนนั้น  มาวินก็พาเอิญไปทานข้าวกลางวันตามสัญญาที่คุยกันเอาไว้  โดยในวันนั้นทั้งวัน  ทั้งคู่ต่างใช้เวลาอยู่ร่วมกัน  โดยเวลาทำงานก็ส่งข้อความคุยกันอย่างหวานชื่น  ส่งสายตาให้กันบ้าง  หลังเลิกงานพากันไปกินข้าว  และมาวินก็พาเอิญไปส่งจนถึงบ้าน  เรียกว่าความรู้สึกเก่าๆ  สมัยที่ทั้งคู่คบกัน  ได้กลับมาอีกครั้งก็มิปาน  แต่เมื่อมาวินกลับมาถึงบ้าน  เหมือนเขาได้กลับมาสู่โลกความเป็นจริง  ที่ตัวเขาต้องเผชิญมันอีกครั้ง  เมื่อภรรยาของเขา  ได้นั่งรอเขากลับมา  อยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน  โดยที่ตัวมาวินเอง  เขาก็ทำตัวเช่นทุกครั้ง  คือต่างคนต่างอยู่  แต่ในครั้งนี้เมื่อเขาจะเดินผ่านภรรยาเขาไป  ภรรยาของเขากลับพูดขึ้นมา

                      “เดี๋ยวสืพี่” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด  มาวินเมื่อได้ยินดังนั้น  เขาจึงหยุด  และหันกลับมาถามเมย์กลับ

                      “มีอะไรเหรอ?”

   เมย์ที่ได้ยินมาวินถาม  จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้  พรางเอามือกอดอก  ก่อนที่เขาจะตอบมาวินกลับไป

                      “ชั้นว่าพี่น่าจะรู้ดีนะ” เมย์กล่าวขึ้น  พรางหันมาจ้องตามาวิน  ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “ว่าวันนี้พี่รับใครเข้ามาทำงานน่ะ  อย่านึกว่าชั้นไม่รู้นะ”

   มาวินที่ได้ยินเมย์พูดดดังนั้น  เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆเฮือกนึง  ส่วนนึงตัวเขาเองก็เตรียมใจไว้แล้ว  ว่าเมย์ต้องถามเรื่องนี้แน่นอน  เพราะเรื่องในบริษัทของเขา  เมย์เองก็รู้ดีในฐานะภรรยา  เขาจึงหันไปตอบเมย์ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

                      “อืม  พี่รับเอิญเข้ามาทำงาน”

   เมย์ที่ได้ยินมาวินตอบแบบนั้น  ตัวเขาเองเริ่มอาการที่โกรธ  เขากำหมัดแน่น  ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป  ไปเป็นคนที่โมโหเอามากๆ

                      “แล้วพี่รับมันเข้ามาทำงานทำไม” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่โมโห  และเดินเข้ามาเอานิ้วชี้จี้ไปที่ตัวมาวิน “หรือว่าจริงๆแล้วพี่ยังมีใจให้มัน  พี่ยังอยากที่จะมีอะไรกับมันอยู่ใช่ไหมฮะ”

   มาวินที่ได้ยินเมย์โวยวาย  ตัวเขาเองก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง  และเขาจึงตอบเมย์กลับไปแบบเรียบเฉยอีกครั้ง

                      “ใช่พี่ยังรัก  ยังคิดถึงเอิญอยู่” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “และพี่ก็ยอมรับ  ว่าส่วนหนึ่งพี่รับเอิญเข้ามา  เพราะพี่ยังอยากจะเห็นหน้าเขาทุกวัน  แต่เมย์เองก็คงรู้ดีนะ  ว่าที่เราแต่งงานกันมันเพราะอะไร”

   คำตอบของมาวิน  ยิ่งทำให้เมย์โกรธหนักเข้าไปอีก 

                      “นี่พี่เป็นเด็กเนอสเซอรี่รึเปล่าฮะ” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าโกรธสุดขีด “พี่คิดว่าพี่ทำแบบนี้แล้วจะทำให้ชั้นเลิกกับพี่เหรอ  พี่คอยดูนะ  อีนังนั่นต่างหาก  ที่มันต้องกระเด็นออกจากบริษัทไปน่ะ”

                      “เมย์อยากทำอะไรก็เชิญ” มาวินกล่าว  พรางสะบัดหน้าหนี  และเดินเข้าบ้านไป “พี่เป็นประธาน  คนที่จะสั่งให้ใครอยู่  หรือให้ใครออก  คือพี่ต่างหาก”

   สิ้นเสียงมาวิน  เขาเดินหนีเมย์เข้าบ้านไป  ส่วนเมย์ที่ยืนโวยวายอยู่หน้าบ้าน  เมื่อเขาบังคับมาวินไม่ได้  เขาจึงทำได้เพียงยืนกัดฟันเสียงดังกรอด  และกำหมัดแน่นด้วยความโมโหอยู่ที่หน้าบ้านเพียงเท่านั้น  แต่ดูเหมือนตัวเขาเองก็จะไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้แน่  ส่วนพ่อแม่ที่เห็นดังนั้น  ในคืนนั้นพ่อได้มานั่งคุยกับมาวิน  ที่นั่งจิบเบียร์เบาๆ  และคุยแชทกับเอิญอยู่

                      “ไงไอ้เสือ” พ่อกล่าวทักทายลูกเขา “คืนนี้ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ”

   มาวินที่เห็นพ่อเดินเข้ามาคุยด้วย  เขาจึงปิดโทรศัพท์  และหันกลับตอบพ่อของเขา

                      “ผมเลิกไปตั้งนานแล้วพ่อ”

   พ่อของเขาที่ได้ยินดังนั้น  จึงยิ้มออกมา  และเอ่ยถามลูกของเขากลับไป

                      “ตั้งแต่ที่กลับมาคุยกับเอิญ?”

                      “ก็...อะไรประมาณนั้น”

   พ่อที่ได้ยินลูกชายของเขาตอบดังนั้น  เขาจึงโอบไหลลูกชายของเขา  ด้วยความเป็นห่วง

                      “พ่อเห็นแกได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง  พ่อก็ดีใจนะ” พ่อกล่าวขึ้น  พรางมองหน้าลูกชายของเขา “แต่แกเอง  เมื่อเลือกทางนี้แล้ว  แกเองก็ต้องรับผลที่จะตามมาของมันด้วยนะ  สุดท้ายแกก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง  แกเองจะเลือกทั้งสองทาง  พ่อคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  จึงเอ่ยถามพ่อเขากลับไป

                      “พ่อจะบอกให้ผมเลิกกับเมย์เหรอ?”

   พ่อที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงยักไหล่พรางผายมือทั้งสองข้างออกจากกัน  มาวินที่เห็นดังนั้น  เขาจึงกล่าวกับพ่อเขาต่อ

                      “ตอนนี้คงยังไม่ได้หรอกพ่อ  ผมสงสารลูกที่กำลังจะเกิดมาน่ะ”

   พ่อที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงยิ้มออกมาเบาๆ  พรางตอบลูกชายเขาแบบเรียบเฉย

                      “แกโตแล้ว  ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของแก” พ่อกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “แต่สุดท้าย  พ่อเชื่อว่าแกจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแน่นอน  พ่อไปนอนก่อนนะ”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงบอกฝันดีและขอบคุณพ่อของเขาไป  ก่อนที่เขาจะนั่งคิดอะไรต่อคนเดียวเพลินๆในคืนนั้น

บริษัทของมาวิน(วันต่อมา)

   ที่หน้าบริษัท  เอิญที่เดินลงจากรถมา  ด้วยชุดที่ดูเรียบเฉยกว่าเมื่อวาน  เขาเตรียมตัวเดินเข้าบริษัท  แต่ที่หน้าบริษัท  กลับมาร่างของภรรยาเจ้าของบริษัทยืนคอยเขาอยู่  ก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้ามาหาเอิญ  และเริ่มแสดงฤทธิ์เดชใส่เอิญ

                      “ไม่คิดเลยนะ” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่ดูถูกเอิญ “ว่าแกจะมาเสนอตัวให้ผัวชั้นถึงที่น่ะ”

   เอิญที่เห็นเมย์เข้ามาหาเรื่อง  เขาเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้อยู่แล้วเช่นกัน

                      “เสนอตัวเหรอ” เอิญกล่าว “หึ  ชั้นไม่คิดเลยนะ  ว่าจิตใจของเธอมันจะต่ำได้ขนาดนั้น  ในหัวเธอคงจะมีแต่เรื่องแบบนั้นสินะ  ถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกมาน่ะ”

   เมย์ที่ได้ยินเอิญสวนกลับ  ก็แอบมีน้ำโหนิดๆ  แต่เขาเลือกที่จะเก็บอาการเอาไว้  และแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมา

                      “ชั้นจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่ข่มความโกรธเอาไว้ “ชั้นขอให้เธอลาออกไปเสียแต่โดยดี  และเธออยากจะได้เงินเท่าไหร่  ชั้นพร้อมจะให้เธอ”

   เอิญที่ได้ยินเมย์พูดแบบนั้น  เขาจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

                      “ขอโทษนะจ้ะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางหัวเราะไปด้วย “แต่ชั้นไม่ใช่คนเห็นแก่เงินน่ะนะ  เงินซื้อชั้นไม่ได้หรอก-แต่เอ  เธอคงจะทำแบบนี้กับคนที่เธอไม่พอใจหลายคนเลยสินะ  รวมถึงเธอใช้เงินซื้อผู้ชายเวลาที่ไม่ได้อยู่กับวินด้วยรึเปล่านะ”

   สิ้นเสียงเอิญ  เมย์ที่เหมือนมีอะไรไปสะกิดใจ  เขาในตอนนี้กลั้นโมโหต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว  เขาเตรียมที่จะพุ่งเข้ามาเพื่อตบเอิญ  แต่ดูเหมือนพนักงานที่มุ่งดูอยู่  ก็มีอยู่ส่วนนึงที่เอาเรื่องนี้ไปบอกมาวิน  จนมาวินกับชาติชายได้ลงมาห้ามทั้งคู่เอาไว้  และไล่ให้เมย์กลับบ้านไป  พนักงานที่อยู่ตรงนั้น  ทุกคนต่างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  ทั้งหมดจริงรู้โดยทั่วกัน  ว่าเมย์เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเอิญก่อน  ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้น  เอิญกลายเป็นนางเอกไป  แต่เป็นนางเอกที่ไม่ยอมตัวโกงอย่างเมย์  เมย์ที่มองไปรอบๆ  เห็นผู้คนมากมายมามุงดูกัน  เจ้าตัวจึงยอมล่าถอยไปแต่โดยดี  ส่วนมาวินก็เดินเข้ามาถามเอิญ  ด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใย

                      “คุณเป็นอะไรไหม”

                      “ชั้นไม่เป็นอะไร” เอิญกล่าวขึ้น  พรางมองไปรอบๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะบอกให้มาวินกับชาติชายรีบเข้าไปในที่ทำงาน “พวกคุณรีบเข้าไปในที่ทำงานเถอะ  สายแล้ว”

ห้องประธานบริษัท(ห้องมาวิน)

   ทั้งสามคนเอิญ  มาวิน  ชาติชายต่างมานั่งคุยกันถึงเรื่องที่พึงเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้  โดยชาติชายเอ่ยถามมาวินไป

                      “แล้วทีนี้มึงจะเอายังไงต่อไอ้วิน”

   มาวินที่ได้ยินเพื่อนตนเองถาม  เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกนึง  ก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบเพื่อนเขาไป

                      “กูก็คิดไม่ออกว่ะ”

                      “ถ้ามึงยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป” ชาติชายกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เครียดเอามากๆ “คนที่เดือดร้อนไม่ใช่ใคร  แต่จะเป็นตัวเอิญเองนั่นแหล่ะ”

   ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะคุยอะไรกันต่อไป  ก็มีเสียงข้อความโทรศัพท์ของชาติชายดังขึ้นมา  ชาติชายที่ได้ยินดังนั้น  จึงหยิบขึ้นมาดู  โดยที่คนที่ส่งข้อความมา  ก็คืออลิซ  โดยใจความของข้อความนั้นคือ

                      “นายอยู่กับวินใช่ไหม  รีบบอกให้เขาเปิดเฟสบุ๊คดูด่วนเลย”

   เมื่อชาติชายเห็นดังนั้น  เขาจึงบอกให้เอิญกับมาวินเปิดเฟสบุ๊คดู  โดยในเฟสบุ๊ค  มีข้อความที่เมย์โพส  และแชร์ไปทั่วเต็มหน้าเฟสไปหมด  ใจความว่า

                      “อีเอิญมันร่าน  มันเข้ามาทำงานที่บริษัทของสามีชั้น  เพราะต้องการจะจับผัวของชั้น  คนอย่างมัน  ไม่สมควรจะมีที่ยืนในสังคมนี้”

   ซึ่งไม่เพียงแค่ข้อความเท่านั้น  แต่เมย์ยังคงเอารูปของเอิญ  แนบไปกับข้อความนั้นด้วย  แต่เพียงชั่วครู่เดียว  เมย์ก็โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของเอิญ  ซึ่งเจ้าตัวได้เอ่ยขู่เอิญ

                      “ไง  ถ้าไม่อยากจะอายมากไปกว่านี้  ควรรีบลาออกจะดีกว่านะ  แล้วชั้นจะลบโพสนั้นให้  ก่อนที่มันจะกระจายไปมากกว่านี้”

   เอ่ยที่ได้ยินดังนั้น  เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย  แต่กลับมีท่าทีที่เฉยชา  และตอบเมย์กลับไป  ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

                      “ชั้นว่าเธอต่างหาก  ที่ควรจะรีบลบโพสนั้นซะ” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “ชั้นเตือนเธอด้วยความหวังดีนะ  เพราะคนที่จะเดือดร้อน  ไม่ใช่ชั้นแต่เป็นเธอต่างหาก  ชั้นให้เวลาถึงแค่ชั้นว่างสายไปเท่านั้นนะ”

   พูดจบเอิญก็ตัดสายไป  และหันไปบอกมาวินกับชาติชาย

                      “พวกคุณน่ะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางส่งสายตาข้อร้อง “ช่วยพาชั้น  ไปที่บ้านของวินหน่อยได้ไหม”

   มาวินกับชาติชายต่างมองหน้ากันด้วยคงามงุนงง  ก่อนที่มาวินจะกล่าวกับเอิญ

                      “ก็ได้นะ” มาวินกล่าว  ด้วยใบหน้าที่งุนงง “แต่คุณจะไปบ้านผมทำไม”

                      “เอาน่า” เอิญเอ่ยตอบ  ด้วยใบหน้าอย่างคนมั่นใจ “ไปถึงแล้ว  เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองนั่นแหล่ะ-ไปกันเถอะ”

   สิ้นเสียงเอิญ  เจ้าตัวเปิดประตูห้องประธานออกไป  ต่างก็ต้องพบกับสายตาของพนักงาน  ที่มองเอิญกลับมาด้วยความดูถูก  บ้างก็มองด้วยความเห็นใจ  แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไร  กลับเดินออกจากบริษัทไป  ด้วยเมินเฉย

บ้านมาวิน

   เมื่อจอดรถได้  ทั้งสามคน  ต่างก็รีบเดินเข้าบ้านไป  เมย์ที่เห็นเอิญมา  เจ้าตัวรีบเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับพ่อแม่  เมย์ที่เห็นเอิญมา  เขาก็เริ่มกล่าวกับเอิญก่อน

                      “ไงจ้ะ” เมย์กล่าว  ด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ยเอิญ “จะมาขอความเห็นใจจากชั้นเหรอ”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  เขาก็หัวเราะออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาบ้าง

                      “เห็นใจเหรอ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางมองเมย์  อย่างคนที่ไม่กลัวอะไร “สำคัญตัวผิดไปรึเปล่า  ชั้นบอกเธอแล้วนะ  ว่าให้รีบลบโพสนั้นซะ  ไม่อย่างนั้นคนที่จะเดือดร้อนน่ะ  คือเธอเองต่างหาก”

   เมย์ที่ได้ยินเอิญพูดดังนั้น  จึงทำสีหน้าแปลกใจ  ปนรอยยิ้ม

                      “ชั้นเหรอจะต้องเดือดร้อน” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่แปลกใจ “เธอละเมออะไรรึเปล่า”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  เขาจึงยิ้มมุมปาก  ก่อนที่เขาจะเอ่ยกล่าวต่อ

                      “งั้นเธอลองดูนี่แล้วกัน” เอิญกล่าวขึ้น  พรางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋า “แล้วมาดูกันว่า  ใครกันแน่  ที่จะเป็นฝ่ายที่เดือดร้อน”

   สิ้นเสียงเอิญ  เจ้าตัวจึงเปิดคลิ๊ปในโทรศัพท์ขึ้นมาคลิ๊ปนึง  ภายในคลิ๊ปนั้น  มันเป็นคลิ๊ปที่เมย์  กับชายหนุ่มคนนึง  พากันเข้าโรงแรมไป  และอีกคลิ๊ปนึง  เป็นคลิ๊ปที่เมย์ออกมาจากโรงแรม  และก่อนแยกย้ายกัน  เมย์ได้กอดและจูบกับชายหนุ่มคนนั้น  ที่หน้าโรงแรม  ซึ่งเมื่อจบคลิ๊ป  เมย์ถึงกับหน้าถอดสี  ส่วนมาวินกับชาติชาย  และพ่อแม่  เมื่อได้ดูคลิ๊ปทั้งสองจบ  ต่างก็มีสีหน้าที่ตกใจ  ไม่แพ้เมย์เช่นกัน  แต่เมย์ที่เอง  ก็ยังคงที่จะไม่ยอมรับ  เจ้าตัวพยายามปฏิเสธ

                      “คนในคลิ๊ปนั้น” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่ตกใจบวกกับน้ำเสียงที่สั่นเคลือ  พรางชี้ไปที่เอิญ “ไม่ใช่ชั้นนะ  นังนี่มันพยายามใส่ร้ายชั้น”

                      “ยังจะปฏิเสธอีกเหรอ” เอิญกล่าว  ด้วยใบหน้าของผู้มีชัย “เห็นหน้าชัดขนาดนี้  แล้วคนที่ถ่ายคลิ๊ปก็คือชั้นเอง  เพราะฉะนั้นในวันนั้น  ชั้นเห็นอย่างชัดเจนทุกเหตุการณ์เลยล่ะ  ว่าเธอกับพ่อหนุ่มหน้าเกาหลีนั่น  ทำอะไรกันบ้างน่ะ”

   เมย์พยายามที่จะพูดอะไรออกมา  แต่เขามองไปรอบๆบ้านในยามนี้  ทั้งมาวิน  ชาติชาย  พ่อแม่  ต่างก็มีสีหน้าที่ผิดหวังในตัวเขา  แต่เขายังไม่คิดจะยอมแพ้  เขาเดินเข้าไปขอความเห็นใจจากมาวิน

                      “พี่วิน” เมย์กล่าว  พรางเอื้อมมือไปกุมมือของมาวินไว้ “มันไม่ใข่อย่างที่พี่คิดนะ  พี่ฟังหนูก่อน”

   แต่มาวินกลับมีสีหน้าที่เฉยชา  เขาสะบัดมือของเมย์  ที่กุมมือของเขาไว้  พรางเอ่ยกล่าวกับเมย์  ด้วยใบหน้าที่เฉยชา

                      “พอเถอะเมย์” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เฉยชา “อย่าทำให้พี่ต้องผิดหวังกับเธอมากไปกว่านี้เลย  จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาหลายเหตุการณ์  มันก็ทำให้พี่ไม่อยากมองหน้าเธอแล้ว”

   สิ้นเสียงมาวิน  เอิญจึงเดินเข้ามาหาเมย์  และกล่าวกับเมย์

                      “นี่” เอิญกล่าว  พรางยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเมย์ “แล้วก็ช่วยลบโพสทั้งหมด  ที่เธอโพสเมื่อกี้ด้วยนะ  ถ้าไม่อยากให้คลิ๊ปพวกนี้หลุดน่ะ”

   สิ้นเสียงเอิญ  เจ้าตัวจึงขอตัวกลับ  ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือไหว้พ่อกับแม่  ส่วนมาวิน  เขาอาสาขอไปส่งเอิญที่บ้าน  โดยที่เขาไม่แยแสเมย์  ที่ยืนโมโห  กัดฟันกรอดกำหมัดแน่น  น้ำตาแห่งความผิดหวัง  ไหลออกมาจากใบหน้าของเจ้าตัว  แต่เขาในยามนี้  ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรเอิญได้เลย

   หลังจากที่มาวินไปส่งเอิญที่หน้าบ้าน  เจ้าตัวจึงเอ่ยชวนออกไปเที่ยวคาเฟ่ประจำตัวของทั้งคู่กันในวันหยุดนี้  เอิญเองก็อยากไปอยู่แล้วเช่นกัน  เจ้าตัวจึงรับปากไป  ก่อนที่เจ้าตัวจะลงรถไป  และโบกมือลามาวิน  ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้  ทำให้ตัวเขาหัวใจพองโต  และรู้สึกคิดถึงเอิญมากขึ้นไปอีก  ตัวครั้งเหมือนกับกับมามีความรักอีกครั้ง  หลังจากที่ความรู้สึกนี้  มันได้ห่างหายไปนาน

วันต่อมา(เสาร์)

   วันที่มาวินกับเอิญ  ตกลงกันว่าจะไปคาเฟ่  โดยที่มาวินโทรหาเอิญแต่เช้า

                      “จ้า” มาวินกล่าวขึ้น  ผ่านสายโทรศัพท์  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “กำลังจะออกไปแล้วจ้า  แล้วเจอกันนะ”

   หลังจากที่มาวินว่างสายโทรศัพท์ไป  ก็มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง  วิ่งมาตัดหน้าเขา  เพื่อหญงเขาเอาไว้  ผู้หญิงคนนั้นคือเมย์  โดยเจ้าตัวในยามนี้  มีใบหน้าที่เป็นทุกอยู่นิดๆจากเรื่องเมื่อวาน  เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

                      “พี่จะไปไหน” เมย์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เป็นทุก “หนูขอไปด้วยได้ไหม  หนูจะไม่สร้างความวุ่นวายให้พี่เลย”

                      “ไม่ได้หรอก” มาวินกล่าวขึ้น  พรางโบกมือส่ายไปมา “ชั้นนัดเอิญเอาไว้  ชั้นอยากไปกับเอิญสองคนน่ะ  ขอตัวนะ”

   พูดจบมาวินรีบเดินไปที่รถ  แต่เมย์เขาไม่ยอมแพ้  เขารีบวิ่งตามมาวินไปที่รถ  และกระโดดขึ้นรถไป  โดยไม่ฟังคำพูดใดๆของมาวินเลย  มาวินที่เห็นดังนั้น  ก็ได้แต่ตะโกนร้องห้าม  แต่ดูเหมือนเมย์จะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น  จนมาวินต้องยอมแพ้  และยอมให้เมย์ไป  แต่ก็ห้ามเมย์เอาไว้  ว่าให้ไปได้เพียงแค่นั้น  แต่ห้ามมีปฏิกิริยาใดๆ  เมื่อเข้ากับเอิญทำอะไรกันก็แล้วแต่  เมย์ที่ในตอนนี้  ไม่เหลือความเชื่อใจใดๆกับมาวินแล้ว  เขาทำได้เพียงตกปากรับคำไปเท่านั้น  เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว  มาวินจึงออกรถไปรับเอิญ  เอิญที่เห็นเมย์มาด้วย  เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร  เจ้าตัวพูดเพียงว่า

                      “ไปกันหลายๆคน  ก็สนุกดีนะ”

   และทั้งสามคน  ต่างก็มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่

B&w caffe

   เมื่อทั้งสามคนมาถึง  เขาก็รีบเดินเข้าไปที่คาเฟ่  เมื่อพนักงานเห็นเอิญกับมาวินมาด้วยกัน  พนักงานทุกคนต่างทักทายทั้งสองคน  เพราะพวกเขาไม่เห็นทั้งคู่มาด้วยกันนานแล้ว  ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กับคำทักทายของพนักงานไป  และเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำของทั้งคู่  ทั้งคู่ต่างคุยเรื่องต่างๆมากมาย  พรางคิดถึงบรรยากาศเก่าๆไปด้วย  ส่วนเมย์ที่มากับทั้งคู่ด้วยนั้น  เขาเหมือนเป็นส่วนเกินของทั้งคู่  เขานั่งกำหมัดแน่น  และมองดูทั้งคู่พลอดรักกัน  มองดูทั้งคู่ถ่ายรูปด้วยกัน  ในบางจังหวะ  เอิญหันมาถามเมย์ด้วยความสุภาพ

                      “คุณเมย์อยากถ่ายรูปไหมค๊ะ  เดี๋ยวชั้นถ่ายให้”

   นั่นยิ่งทำให้ไฟในอกของเมย์  มันยิ่งสุมมากขึ้นไปอีก  เขาตัดสินใจครั้งสุดท้าย  ว่าคืนนี้เขาต้องพิชิตใจของมาวินให้ได้  เขายอมปล่อยให้ทั้งคู่พลอดรักกันอย่างเต็มที่  ก่อนที่ทั้งสามคนจะตัดสินใจกลับบ้านกัน  โดยมาวินไปส่งเอิญที่บ้านของเขาก่อน  และระหว่างทางกลับบ้าน  เมย์ได้เอ่ยถามมาวิน

                      “พี่รักมันมากใช่ไหม”

   มาวินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  และพากันกลับบ้าน  ก่อนที่เมย์จะเข้าบ้านไปอาบน้ำ  และมาวินก็กลับเข้าห้องของเขาไป  และรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และส่งข้อความไปหาเอิญ

                      “กลับบ้านมาแปปเดียว  คิดถึงคุณอีกแล้ว”

                      “ผ่านมานานแล้ว  คุณยังปากหวานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ  นิสัยเจ้าชู้ของคุณเอง  ก็คงจะเหมือนเดิมสินะ”

                      “ตั้งแต่เลิกกับคุณไปครั้งนั้น  ผมไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนอีกเลย  ในใจผมมันคิดถึงแต่คุณ  มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้น”

                      “พูดไปเรื่อยเปื่อย  ชั้นไปนอนดีกว่า  วันนี้เหนื่อยแล้ว”

                      “ฝันดีนะครับ”

   จบข้อความ  มาวินแอบนั่งยิ้มอยู่คนเดียวด้วยความดีใจ  หัวใจของเขามันพองโตเหมือนชายหนุ่ม  ที่พึ่งได้เจอรักครั้งแรกก็มิปาน  ส่วนทางด้านเอิญเอง  ในใจของเขา  ก็รู้สึกไม่ต่างกับมาวินเท่าไหร่นัก  แต่ดูเหมือนความสุขมันจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น  เพราะในขณะที่มาวินมีความสุขอยู่นั้น  ประตูห้องนอนของเขาก็เปิดขึ้น  เมย์ที่ใส่ชุดคลุมของคนที่พึ่งอาบน้ำเสร็จมานั้น  เขาเดินมาตรงหน้าของมาวิน  มาวินที่เห็นเมย์เข้ามา  เขาจึงตกใจเล็กน้อย  และเอ่ยถามเมย์ไป

                      “เมย์  เข้ามาทำไม”

                      “นี่ห้องสามีหนูนะ  ทำไมหนูจะเข้ามาไม่ได้”

   พูดจบเมย์จึงถอดชุดคลุมนั้นออก  เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเมย์  มาวินที่เห็นเมย์ทำแบบนั้น  จึงแสดงสีหน้าที่ตกใจออกมา  แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ  เมย์ก็บุกเข้าใส่มาวิน  โดยเมย์กดแขนมาวินลงกับเตียง  และเขาระดมจูบไปที่ปากของมาวิน  หวังปลุกอารมณ์ของมาวินให้มาวินมีอารมณ์ร่วมกับเขา  โดยเขาหวังจะครอบครองหัวใจของมาวินให้ได้ในค่ำคืนนี้  แต่มาวินก็พยายามขัดขืนอย่างเต็มที่  จนหลุดออกมาได้  เมย์ที่เห็นสามีของตนเองไม่สนใจตนสักนิด  เขาจึงร้องไห้ออกมายกใหญ่  ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามมาวินไป

                      “พี่รังเกียจหนูขนาดนี้เลยเหรอ”

   มาวินก็นิ่งเงียบ  ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  เมย์ที่เห็นสามีตนเงียบไป  เขาจึงเอ่ยออกมาต่อ

                      “พี่รู้ไหม  หนูทำแบบนี้  หนูเองก็อายมากนะ”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงเริ่มเอ่ยออกมาบ้าง

                      “ไม่ต้องรอนะ  คืนนี้พี่ไม่กลับบ้าน”

   สิ้นเสียงมาวิน  เจ้าตัวจึงเดินออกจากบ้านไป  โดยที่เขาไม่ได้สนใจเมย์เลยแม้แต่น้อย  โดยเขาปล่อยให้เมย์ร้องไห้อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง  มาวินขับรถออกไปข้างนอกโดยไร้จุดหมาย  เขาขับไปในพื้นที่ต่างๆของกรุงเทพฯ  โดยที่เขาไม่ได้จอดที่ไหนเลย  ในใจเขาคิดถึงเรื่องต่างๆที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงนี้  แต่ในใจของเขาคิดถึงแต่เพียงเรื่องของเอิญซะเป็นส่วนใหญ่  ทำให้มันไม่ยากเลย  ที่เขาจะขับรถไปที่หน้าบ้านของเอิญ

บ้านเอิญ

   มาวินขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเอิญ  เขามองไปที่หน้าต่างห้องของเอิญ  ก็เห็นว่าเอิญได้ปิดไฟลงไปแล้ว  เอิญคงจะเหนื่อยจากการไปเที่ยวในวันนี้เป็นแน่  เขาตัดสินใจส่งข้อความไปหาเอิญ  ทางด้านเอิญ  เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น  ช่างบังเอิญนัก  ที่เอิญสะดุ้งตื่นขึ้นมา  เพราะเอาโทรศัพท์วางไว้ที่ข้างหูพอดี  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  เปิดดูข้อความของมาวิน  โดยที่มาวินพิมพ์มาว่า

                      “โผล่หน้าออกมาหน่อยได้ไหม  ผมอยู่ที่หน้าบ้านของคุณ”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  จึงแอบตกใจเล็กน้อย  ก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่หน้าออกไปดู  ก็เห็นมาวินโบกมือให้  ก่อนที่เขาจะพิมพ์ข้อความถามกลับไป

                      “ดึกดื่นป่านนี้  มาทำอะไร”

                       “ผมคิดถึงคุณ  ขับรถไปขับรถมา  รู้ตัวอีกที  ก็มาอยู่ที่หน้าบ้านคุณแล้ว”

                      “แล้วทำไมไม่กลับบ้านไปนอน”

                      “ผมไม่อยากกลับบ้าน”

   สิ้นประโยคนี้เอิญจึงถอนหายใจยกใหญ่  ก่อนที่เขาจะยอมเปิดหน้าต่าง  และแอบเอาบันได้พาดให้มาวินปีนขึ้นมา  เพราะถ้าให้มาวินเข้ามาทางประตูในยามดึกเช่นนี้  เห็นทีคงจะไม่เหมาะเป็นแน่  มาวินที่เห็นเอิญพาดบันไดให้ตน  เขาก็ไม่รอช้า  จัดการปีนป่ายเข้ามาอย่างคนที่เร่งรีบก็มิปาน  เมื่อเท้าเขาเหยียบห้องของเอิญ  เอิญจึงเอ่ยถามเขาไปอีกหน

                      “ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่สงสัย “ทำไมถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านชั้นกันฮึ”

                      “พอดี” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดนิดๆ “ผมมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยน่ะ  ผมขออยู่ที่นี่จนกว่าจะสบายใจขึ้นนะ”

   เอิญได้ยินดังนั้น  จึงถอนหายใจออกมาอีกรอบ  ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมา

                      “เมื่อก่อนคุณเองก็แอบปีนเข้ามาบ่อยอยู่แล้วนิ” เอิญกล่าว  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มนิดๆ “ตอนนี้ทำอีกสักหน  จะเป็นอะไรไป”

   มาวินที่ได้ยินดังนั้น  จึงยิ้มออกมา  และจเข้ามากอดเอิญ  แต่เอิญได้ร้องห้ามไว้  พรางกล่าวขึ้นมา

                      “อะๆ  หยุดเลยนะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางโบกมือเพื่อห้าม “ชั้นแค่ให้คุณมานอนเฉยๆ-ส่วนที่นอนของคุณน่ะ  ข้างเตียงชั้นนู้น”

   มาวินที่เห็นดังนั้น  เขาจึงแสดงสีหน้าเซ็งๆออกมา  ก่อนที่เขาจะหยิบหมอนและผ้าปู  ไปปูนอนที่ข้างเตียงเอิญแต่โดยดี  เอิญที่เขาเห็นมาวินว่าง่าย  เธอจึงยิ้มออกมา  ราวกับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา  ที่เธอมีสามีเธอไม่เคยได้ยิ้มแบบนี้เลย  เมื่อมาวินปูที่นอนเรียบร้อย  เอิญจึงบอกให้มาวินปิดไฟ  เพื่อเตรียมเข้านอน  แต่เมื่อปิดไฟได้  มีเหรอที่อดีตเสืออย่างมาวิน  จะยอมที่จะนอนบนพื้นนิ่งๆ  เขาแอบกระโดดขึ้นมาบนเตียงเอิญ  และสวมกอดเอิญจากทางด้านหลัง  เอิญที่เห็นดังนั้น  ถึงกับร้องอุ้ยออกมาเบาๆ  ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมา

                      “ที่นอนของคุณมันข้างล่างนะ” เอิญกล่าว  ด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ “ขึ้นมาบนนี้ทำไม”

                      “ก็ผมอยากกอดคุณนิ” มาวินกล่าวขึ้น  พรางกระซิบที่ข้างหูเอิญ “คุณรู้ไหม  ว่าตั้งแต่กลับจากคาเฟ่มา  ผมคิดถึงคุณตลอดเลยนะ”

   ซึ่งเพราะคำพูดนั้น  ทำให้เอิญต้องยอมใจอ่อน  ให้มาวินมานอนบนเตียงด้วยแต่โดยดี  โดยที่เอิญพูดว่า

                      “แค่นอนนะ  ห้ามทำอะไรมากกว่านั้น”

   ด้วยมาวินที่รักเอิญอย่างบริสุทใจ  ทำให้เขายอมทำตามที่เอิญพูด  เขาทั้งคู่นอนกอดกันเฉยๆ  แต่ไม่ได้มีอะไรที่เกินเลยมากกว่าไปนั้น  พอเมื่อถึงเวลารุ่งเช้า  มาวินจึงค่อยๆแอบออกจากบ้านไป  และกลับบ้านไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน  โดยที่เขาเข้าบ้านมา  และพบเมย์  แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย  แต่กลับเป็นเมย์  ที่ในยามนี้  เจ้าตัวต้องเป็นฝ่ายอายไปเอง

บริษัทมาวิน

   ที่หน้าบริษัท  เอิญที่แยกกับมาวินในยามเช้า  เจ้าตัวเข้ามาทำงานตามปกติ  โดยเอิญได้เดินหำเพลงมาตลอดทาง  แต่เมย์ได้มาดักรอเขาอยู่ที่มุมตึกหน้าบริษัท  และเมื่อเขาเดินผ่านมา  เมย์จึงเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

                      “ดูมีความสุขจริงนะ”

   เอิญหยุดแล้วหันไปมองตามเสียง  เขาเห็นเมย์ยืนอยู่ที่มุมตึก  ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาเอิญ  และกล่าวกับเอิญ

                      “ชั้นจะยอมถอยให้เธอก็ได้” เมย์กล่าว  ด้วยใบหน้าที่เย้อหยิ่ง “แต่เธอก็อย่าลืมนะ  ว่าชั้นกับพี่วิน  มีทะเบียนสมรสกันน่ะ  ถึงเธอจะพยายามยังไง  แต่สุดท้ายเธอก็ต้องแพ้ให้กับทะเบียนสมรสอยู่ดี”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงยิ้มออกมาเบาๆ  ก่อนที่เขาจะกล่าวตอบไปบ้าง

                      “ถึงทะเบียนสมรสจะอยู่กับเธอ” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มเบาๆ “แต่ใจกับกายของเขา  มันอยู่กับชั้น  แบบนี้เธอจะมีความสุขได้ยังไงกันนะ-อ้อไม่สิ  เธออาจจะมีความสุขก็ได้นะ  กับชายหนุ่มที่หน้าโรงแรมคนนั้นน่ะ  ขอตัวนะชั้นมีงานที่ต้องทำน่ะ  ไม่ใช่คนว่างงาน  ที่คอยตามหาเรื่องคนอื่นเขาตลอดแบบนี้”

   พูดจบเอิญก็เดินหายรับเข้าไปในตึก  ปล่อยให้เมย์โมโห  กระทืบเท้าอยู่ที่หน้าตึก  ส่วนเอิญเมื่อเขาว่างกระเป๋าได้  มาวินก็มาเรียกให้เขา  เข้าไปหาในห้องโดยที่เขาและคนในที่ทำงาน  ต่างไม่รู้เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าเลย  ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวกับเอิญ

                      “คุณ” มาวินกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่สดใส “เสาร์อาทิตย์นี้คุณไปไหนมั้ย”

   เอิญที่ได้ยินมาวินถามดังนั้น  เขาจึงส่ายหน้า  เป็นการตอบรับ  มาวินที่เห็นดังนั้น  เขาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง  พรางกล่าวขึ้นมาอีก

                      “งั้นเราไปทะเลกันไหม  ชวนไอ้ชายกับอลิซไปด้วย”

   เอิญที่ได้ยินแบบนั้น  เขาจึงยิ้มออกมา  และกล่าวตอบมาวินกลับไป

                      “เอาสิคุณ” เอิญกล่าวตอบ  พรางเอามือทั้งสองข้างมาประกบกัน “ชั้นอยากไปทะเลอยู่พอดีเลย  ไปกันหลายๆคนก็สนุกดีนะ”

                      “โอเคคุณ  งั้นคุณเก็บกระเป๋ารอเลยนะ  ที่เหลือผมจัดการเอง”

   เอิญพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง  ด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ  และมาวินก็จัดการจองทั้งที่พักที่เป็นรีสอร์ท  ที่ติดริมทะเล  ในจังหวัดทางภาคใต้  ที่คนส่วนใหญ่ชอบไปเที่ยวกัน  โดยเขาจองสองห้อง  ห้องหนึ่งให้เอิญกับอลิซนอนด้วยกัน  ส่วนอีกห้องเป็นมาวินกับชาติชาย  แต่ระหว่างนั้น  วันจันทร์ถึงศุกร์  มาวินกับเอิญ  ต่างก็พากันไปดูหนัง  กินข้าวที่ร้านประจำของทั้งคู่  ที่ที่ทั้งคู่ตกลงคบกันเมื่อครั้งอดีต  และสถานที่ที่ทั้งคู่ต้องจบความสัมพันธ์กัน  และกิจกรรมอีกมากมาย  ดั่งที่คู่รักเขาทำกัน  นั่นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่  พัฒนากันไปไกล  จนเมย์ที่เห็นดังนั้น  ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนใจ  แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในยามนี้  เพราะตัวเขาเอง  ก็มีชนักติดหลังที่เป็นแผลใหญ่อยู่  ทำได้เพียงเหนี่ยวรั้ง  ความสัมพันธ์ในฐานะภรรยาของมาวินเอาไว้ได้  เพียงเท่านั้น  แต่นั่นเองก็ทำให้เอิญลำบากใจไม่น้อย  ในฐานะที่เขาเอง  ก็อาจจะได้ชื่อเป็นมือที่สามเช่นกัน  จนกระทั้งวันเสาร์

วันเสาร์(วันที่ทั้งสี่คนไปทะเลกัน)

   ทั้งสี่คน  มาวิน  เอิญ  ชาติชาย  อลิซ  มาเที่ยวทะเลกัน  ทั้งสี่คนต่างเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน  และนอนอาบแดดกันที่ริมชายเคล้าสายลมที่พัดมาปะทะร่างกาย  ให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต้องเผลอเคลิ้มหลับกันไปที่ริมชายหาด  จนทั้งสี่คนต้องลุกขึ้นมาหยิบกล้อง  ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกของกันและกัน  ตั้งแต่ยามเช้า  จนถึงยามเย็นของวันนั้น  ที่ทั้งสี่คนมาทะเลทั้งที  ก็ต้องไม่พลาดอาหารทะเลที่ทั้งสด  ทั้งอร่อยเป็นแน่แท้  ก่อนที่มาวินและเอิญ  จะไปนั่งกันที่ทะเล  เพื่อพลอดรักกัน 

                      “คุณรู้ไหม” มาวินกล่าวขึ้น  พรางมองไปที่ทะเลในยามค่ำที่เงียบสงัด  ที่มีเพียงเสียงคลื่นสัดสาด “ตอนที่เราห่างกันไป  ผมคิดถึงเพียงคุณแค่คนเดียว  ไม่เคยไปมองใครอีกเลย”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  เจ้าตัวถึงกับยิ้มออกมาเบาๆ  และกล่าวกับมาวิน

                      “อย่ามาโม้หน่อยเลย” เอิญกล่าวตอบ  ด้วยใบหน้าที่ไม่เชื่อ “เสืออย่างคุณ  มีหญิงสาวมากมาย  จะมาคิดถึงผู้หญิงธรรมดาอย่างชั้นน่ะเหรอ  เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

                      “คุณไม่เห็นเหรอ” มาวินกล่าว  พรางหันมามองหน้าเอิญ “เดี๋ยวนี้ผมไม่มีผู้หญิงคนไหนเลย  ผมตั้งใจทำงาน  มีเวลาให้คุณมากขึ้น  แล้วก็อยู่กับคุณตลอด  ทำงานเสร็จกินข้าวกับคุณเสร็จ  ผมก็ตรงกับบ้านอย่างเดียว  ถึงบ้านผมก็ทักหาคุณก่อนเลย  ผมไม่เหมือนคนเก่าแล้วนะ”

   เอิญยิ้มออกมาด้วยความปลื้มใจ  เพราะเมื่อเขาคิดดูดีๆ  สิ่งที่มาวินพูดมา  มันอยู่ในสายตาเขาตลอดจริงๆ  หลังจากที่เขากับมาวินกลับมาคุยกัน  มาวินเลิกเป็นเสือไปในทันที  เขากับมาวินเหมือนคนที่ตัวติดกันอยู่ตลอดเวลา  ไปไหนก็ไปด้วยกัน  ไม่เคยห่างกันเลย  แม้ตาวันเสาร์อาทิตย์  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เขาจึงเอ่ยตอบมาวินกลับไป

                      “ชั้นเชื่อก็ได้” เอิญกล่าว  พรางมองไปที่ทะเล “แต่แค่นิดหน่อยนะ  ยังไม่เขื่อทั้งหมด  ถ้าคุณอยากให้ชั้นเชื่อทั้งหมด  คุณต้องพิสูจน์ให้ชั้นเห็น”

   มาวินที่ได้ยินเอิญพูดดังนั้น  เขาจึงยิ้มออกมาบางๆ  ก่อนที่เขาจะกล่าวตอบเอิญกลับไป

                      “ได้ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเอง”

   สิ้นเสียงมาวิน  ทั้งคู่ต่างสบสายตากัน  ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆยื่นหน้าเข้าหากัน  และปากของทั้งคู่  ค่อยๆประกบกันอย่างดูดดื่ม  ห้องที่จ้องเอาไว้  ให้ผู้หญิงนอนกับผู้หญิง  ผู้ชายนอนกับผู้ชาย  แต่ดูเหมือนบัดนี้  มันจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้ว  เมื่อเอิญกับมาวิน  ต่างสานสัมพัรธ์กันอยู่ที่ห้องหนึ่ง  โดยร่างกายของทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่า  ปากของทั้งคู่ประกบกันอย่างดูดดื่ม  ร่างของทั้งคู่กอดกายกันอยู่บนที่นอน  โดยที่ในครั้งนี้  เอิญเองก็เป็นฝ่ายที่เต็มใจด้วยเช่นกัน  ส่วนทางด้านของชาติชายกับอลิซ  ทั้งคู่ต่างเหน็ดเหนื่อยกับการเที่ยวในวันนี้  ทำให้ทั้งคู่ต่างพลอยหลับไป  โดยที่ไม่ได้ทำอะไรกันเลย

วันต่อมา

   โดยในยามเช้า  ทั้งเอิญและมาวินต่างตื่นเช้ากันทั้งคู่  และมานั่งดูพระอาทิตย์กันแต่เช้า  มือของทั้งคู่ต่างกุมกันไว้  ใบหน้าของเอิญ  ซบไปที่ไหล่ของมาวิน  อย่างข้าวใหม่ปลามันก็มิปาน  แต่เวลาแห่งความสุข  ก็มักจะโดนขัดอยู่เสมอ  โดยที่ข้างหลังของทั้งคู่  ได้มีเสียงกระแอมของชาติชายขึ้นมาขัด

                      “หวานกันจังนะครับ”

   ทั้งคู่ต่างหันไปมองตามเสียงของชาติชาย  โดยที่ชาติชายยืนมองทั้งคู่อยู่  และมีอลิซที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ  โดยเมื่อเอิญกับมาวินเห็นดังนั้น  ทั้งคู่ต่างทำหน้าเขิลอาย  และต่างพสกันไปหาอะไรกันทั้งสี่คน  เวลาเผลอแปปเดียว  ทั้งสี่คนต่างพากันเก็บข้าวของ  และพากันกลับบ้าน  ดดยที่มาวินขับรถไปส่งทั้งชาติชาย  และอลิซก่อน  และเอิญเป็นคนสุดท้าย  ก่อนที่ทั้งสองคน  จะหอมแก้มกัน  และแยกย้ายกันกลับบ้านไป  เอิญเดินเข้ามาในบ้าน  ด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน  ดั่งหญิงสาวที่พึ่งเริ่มมีความรักใหม่ๆ  แม่ที่เห็นสีหน้าของเอิญ  ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง  แต่ยังไม่ทั้งได้ทักอะไร  เอิญก็กล่าวสวัสดีแม่ก่อน  และเดินขึ้นห้องไป  ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเขาจะดังขึ้น  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  เห็นเป็นเบอร์มาวิน  เขาจึงรีบรับสาย  แต่เสียงของปลายสายที่เขารับ  ทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้ง  เพราะเสียงของมาวิน  มันขาดๆหายๆ  และสั่นเคลืออย่างไม่สู้ดีนัก

                      “คุณ...ผม...” มาวินกล่าวขึ้น  ผ่านสายโทรศัพท์  ด้วยเสียงที่สั่นเคลือ “คิดถึงคุณ...จัง”

                      “คุณ” เอิญกล่าวขึ้น  ผ่านสายโทรศัพท์  ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “คุณเป็นอะไร”

                      “ผม....” มาวินกล่าว  ผ่านสายโทรศัพท์ “รถ....คว่ำ”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  เขาก็ตกใจมาก  เขาจึงหยิบสายโทรศัพท์  และกดไปที่ปุ่มวีดีโอคอลอย่างเร่งรีบ  เมื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา  ภาพที่เขาเห็น  เป็นรถของมาวิน  ที่มีไฟลุกท่วมอยู่ข้างทาง  และร่างของมาวินที่เขาเห็นเพียงขา  นั่งอยู่ที่ข้างทาง  โดยมีรถบรรทุกคันหนึ่ง  จอดอยู่ข้างทาง  พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกหลายคน  ที่มามุงช่วยผู้บาดเจ็บและหยุดเหตุการณ์นี้อีกจำนวนหนึ่ง  โดยเอิญที่เห็นดังนั้น  เขาโยนกระเป๋าเข้าไปในห้องของเขา  ก่อนที่เอิญจะรีบวิ่งออกจากบ้านเร่งไปหามาวินโดยทันที  แต่ระหว่างทาง  เขาก็เอ่ยถามอาการมาวินไปด้วยตลอดทาง  จนถึงที่เกิดเหตุ  เขาก็เห็นรถพยาบาลมารับมาวินไปที่โรงพยาบาลแล้ว  เมื่อเห็นมาวินปลอดภัย  เขาจึงโทรหาพ่อแม่ของมาวิน  และชาติชายกับอลิซ  ทั้งหมดต่างพากันไปที่โรงพยาบาล  แต่ก็ไม่เห็นเมย์มาด้วยแต่อย่างใด 

   โดยหลังจากวันนั้น  เอิญต่างเฝ้าดูอาการของมาวินมิห่างเหิน  เขาคอยอยู่เคียงข้างมาวินตลอดเวลา  แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเห็นเงาของเมย์  ย่างกรายมาเยี่ยมผู้เป็นสามีแม้แต่วันเดียว  โดยเพื่อนๆของเขา  และพ่อแม่เอง  ก็พรักเปลี่ยนกันมาเฝ้าดูมาวินไม่เว้นแต่ละวัน  โดยตัวมาวินเอง  อาการของเขา  ก็ดีวันดีคืน  เพราะเขามีสุดที่รักของเขา  มาคอยเฝ้าดูตลอดเวลา  มันเหมือนกับเขาหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝัน  ที่เขาเฝ้าคอยมันมานานแสนนาน  จนกระทั่งเขาออกจากโรงพยาบาล  เอิญจึงกล่าวกับเขาขึ้นมา

                      “คุณ” เอิญกล่าวขึ้น  ในระหว่างที่เดินออกจากโรงพยาบาล “ชั้นว่าเราไปทำบุญให้เรื่องซวยๆมันออกไปหน่อยดีไหม”

   ชาติชายกับอลิซที่มารับมาวิน  เขาทั้งคู่ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของเอิญ

                      “กว่าก็ดีนะไอ้วิน” ชาติชายกล่าวขึ้น พรางพยักหน้าเห็นด้วยกับเอิญ “ช่วงนี้มึงแม่ง  เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้  เข้ามาในชีวิต  ทำบุญบ้างก็ดี  เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้น”

   สิ้นเสียงชาติชาย  มาวินก็ไม่อาจจะปฏิเสธอะไรได้  เขาจึงต้องตามทั้งสามคนไป 

วัดแห่งหนึ่งในกทม. 

   เอิญพามาวินมาทำบุญ  ทำสังฆทาน  ปล่อยนกปล่อยปลา  เพื่อให้เรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา  มันได้ออกไปบ้าง หวังว่าให้ชีวิตของมาวินต่อจากนี้ไป  ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ  เมื่อทำบุญเสร็จ  เอิญจึงหันไปถามมาวินด้วยใบหน้าที่สดชื่น

                      “เป็นไง  สบายใจขึ้นบ้างไหม”

   มาวินที่ได้ยินเอิญถาม  เจ้าตัวยิ้มตอบ  และพยักหน้าตอบกลับเอิญ  ด้วยใบหน้าที่สดใสเช่นกัน  แต่ระหว่างที่ทั้งสี่คนจะกลับบ้านกัน  ก็มีแม่ชีคนหนึ่ง  เดินเข้ามาทักทั้งสี่คน

                      “หนู” แม่ชีกล่าวขึ้น “หนูทั้งสี่คนน่ะ  มีเวลาสักหน่อยไหม”

   ทั้งสี่คนได้ยินแม่ชีทั้งดังนั้น  เขาต่างมองหน้ากัน  ก่อนที่เอิญจะหันไปตอบแม่ชีองค์นั้น

                      “ว่างค่ะ”

                      “ดีเลย” แม่ชีกล่าว  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิด “งั้นตามแม่มาหน่อยได้ไหม  เพราะดูแล้วพวกลูก  น่าจะมีเรื่องร้ายๆกันน่าดูเลยสินะ”

   ทั้งสี่คนต่างทำหน้าแปลกใจ  กับสิ่งที่แม่ชีพูด  ทั้งสี่คนต่างซุบซิบปรึกษากัน  จนแม่ชีแห่งดังนั้น  ท่านจึงกล่าวกับทั้งสี่คนไป

                      “แม่ไม่ได้คิดร้ายกับพวกลูกหรอก” แม่ชีกล่าว  ด้วยท่าทางที่สุขุม “แม่แค่อยากจะบอก  ในสิ่งที่ทำให้พวกลูกทุกข์ใจในยามนี้กันอยู่น่ะ”

   ทั้งสี่คนได้ยินแม่ชีพูดดังนั้น  ทั้งสี่คนต่างมองหน้ากัน  แต่เมื่อแม่ชีพูดขนาดนี้  ทั้งสี่คนก็มีแต่ต้องลองตามไปดูเท่านั้น  โดยทั้งสี่คนต่างคิดว่า  อย่างน้อยพวกเราก็มากันสี่คน  และนี่ในวัด  ผู้คนพรุกพราน  ถ้ามีอะไร  อย่างน้อยๆ  ก็ต้องมีใครเห็น  และช่วยพวกเขาบ้างแหล่ะ  โดยแม่ชีพาพวกเขามาที่กุฏิแห่งหนึ่ง  ที่ไม่ใหญ่  ที่ดูภายนอก  แค่เห็นก็ทำให้ใจสงบแล้ว  โดยที่ทั้งสี่คนเดินเข้าไปบนกุฏิ  ความเงียบสงัดในแถวนั้น  ทำให้ทั้งสี่คนเมื่อก้าวขึ้นบันได  เสียงเท้าที่เหยียบลงไปกับไม้นั้น  ได้ยินอย่างชัดเจน  ภายในกุฏิ  มีพระมากมายประดับประดาอยู่บนหิ้ง  ภายในห้องมีของใช้ของผู้หญิงเพียงหยิบมือวางอยู่  ที่เหลือก็มีแค่เตียง  กับทีวีเพียงเท่านั้น  โดยที่เมื่อมาถึงภายในห้อง  แม่ชีองค์นั้น  ก็นั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง  ส่วนทั้งสี่คน  ก็นั่งลงที่พื้นไม้หน้าแม่ชี  เมื่อเรียบร้อยแล้ว  แม่ชีจึงเริ่มกล่าวขึ้น

                      “พ่อหนุ่มคนนี้น่ะ” แม่ชีกล่าวขึ้น  พรางมองไปที่มาวิน “พึ่งออกจากโรงพยาบาลมาวันนี้  เพราะขับรถตัดหน้ารถบรรทุกมาสินะ”

   ทั้งสี่คนได้ยินดังนั้น  ต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ  เพราะยังไม่มีใครเล่าอะไรให้แม่ชีฟังทั้งนั้น  มาวินได้ยินดังนั้น  เขาจึงกล่าวถามแม่ชีไป  ด้วยความสงสัย

                      “แม่ชีรู้ได้ยังไงครับ?”

   แม่ชียิ้มอย่างสุขุม  พรางเอ่ยตอบมาวิน

                      “มันเป็นเรื่องของกรรมในอดีตน่ะ”

   ทั้งสี่คนได้ยินดังนั้น  ต่างทำหน้างสงสัยในปริศนาธรรมของแม่ชี  ก่อนที่เอิญจะกล่าวขึ้นมาบ้าง

                      “กรรมในอดีต  หมายความว่ายังไงค๊ะ”

   แม่ชียิ้มออกมาอีกครั้ง  และกล่าวกับทั้งสี่คน

                      “งั้นแม่จะเริ่มเล่าเลยแล้วกันนะ” แม่ชีกล่าวขึ้น  พรางมองทั้งสี่คน “ถึงกรรมในอดีตของพวกลูกๆ  ส่วนพวกลูกจะเชื่อไหม  เรื่องนั้นก็แล้วแต่พวกลูก”

   ทั้งสี่คนต่างพยักหน้าพร้อมกัน  พรางมองหน้าแม่ชีอย่างตั้งใจ  แม่ชีเห็นดังนั้น  ท่านจึงเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต

                      “มันเป็นเหตุการณ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนหรือมากกว่านั้น” แม่ชีกล่าวขึ้น “ในสมัยรัชกาลที่ห้า”

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา