แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  33 วิจารณ์
  4,544 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เอิญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่4 เอิญ

 

ร้านกาแฟ(ปัจจุบัน)

                        อ๊อฟ “เรื่องเป็นงี้จริงดิพี่”

                        พี่ลดา “ที่พี่เล่าเรื่องจริงหมดเลย”

   สิ้นเสียงพี่ลดา  อ๊อฟหยิบกาแฟขึ้นมาดูดหนึ่งอึก  ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อ

                        อ๊อฟ “แล้วพี่เอิญล่ะพี่  หลังจากนั้นพี่เอิญเป็นยังไงบ้าง”

   พี่ลดาทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง  ก่อนที่จะหันหลับมาพูดกับอ๊อฟ

                        พี่ลดา “โอเค  งั้นพี่จะเล่าเรื่องของเอิญหลังจากที่แยกกับมาวินให้ฟัง”

   อ๊อฟที่ได้ยินดังนั้น  จึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ  หลังจากนั้นพี่ลดาจึงเริ่มกล่าวต่อ

                        พี่ลดา “เรื่องมันเป็นหยั่งงี้”

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

   หลังจากที่เอิญแยกทางกับมาวิน  เวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์  โดยที่เอิญเอาแต่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง  เอาแต่เหม่อลอยมองไปบนฟากฟ้า  ข้าวปลาก็ไม่แม้แต่จะแจะเลยสักคำ  งานการเขาก็ลาหยุดไม่ได้ไปทำเลย  เขาเอาแต่คิดถึวเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา  ว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเขาด้วย  ทั้งที่อีกไม่นานแต่เขาเองจะได้เป็นเจ้าสาวแล้วแท้ๆ  แต่ยังโชคดีที่ตัวเขาเองไม่ได้เดี่ยวดาย  เพราะยังมีเพื่อนสนิทของเขา  อย่างอลิซคอยเทียวไปเทียวมาดูแลเพื่อนของเขาอย่างไม่ห่าง  ค่อยให้เอิญกินข้าวแม้ว่าเอิญจะไม่เต็มใจก็ตาม  และในตอนนี้เองก็เช่นกัน  อลิซเดินขึ้นบันไดบ้านมา  และเปิดประตูห้องของเอิญ  และกล่าวกับเอิญ

             “นี่เอิญ” อลิซเปิดประตูห้อง  พรางกล่าวขึ้น “ชั้นได้ยินมาจากแม่เธอแล้วนะ  ทำไมเธอไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วฮะ  พอชั้นไม่อยู่เธอก็ไม่ยอมกินข้าวเลยนะ”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  ก็ตอบอลิซเพียงสั้นๆ

             “ชั้นไม่หิวนิ”

   อลิซได้ยินเพื่อนตนเองพูดดังนั้น  ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ  ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อนของเขา

             “ถึงไม่หิวก็ต้องกิน” อลิซกล่าว  พรางชี้มาที่เอิญ “ไม่อย่างนั้น  “ไม่อย่างนั้นมันจะอันตรายกับตัวเธอเองนะ –ไปอาบน้ำแต่งตัวเลย  เดี๋ยวชั้นพาไปคาเฟ่สวยๆ”

   อลิซกล่าว  พรางจูงแขนเอิญให้เข้าไปอาบน้ำ  โดยที่ท่าทีของเอิญไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก  แต่เอิญก็ต้องจำใจทำ  เพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนของตนคงไม่ยอมแน่ๆ  เพียงครู่เดียวเอิญก็ทำการอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ  อลิซที่เห็นเพื่อนของตนแต่งหน้าแต่งตา  ก็ถึงกับร้องออกมา

             “อืม” อลิซร้องออกมา  พรางเอามือกอดอกเอาไว้ “ค่อยดีมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย  ต่างจากสภาพศพมีชีวิต  ที่นั่งเศร้าอยู่ตรงหน้าต่างเมื่อกี้ลิบลับ”

   สิ้นเสียงอลิซเอิญก็กล่าวขึ้นมาต่อ

             “ชั้นไม่ออกไปไม่ได้เหรอ”

             “ไม่ได้” อลิซกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจ  ในคำพูดของเอิญ “เธอต้องออกไปเปิดหูเปิดตามั้ง  จะเอาแต่นั่งเศร้าอยู่ในห้อง  เพราะผู้ชายไม่ได้เรื่องคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด-มาตามชั้นมาเลย”

   สิ้นเสียงอลิซ  อลิซเอื้อมมือไปจับมือของเอิญ  พรางจูงมือเอิญให้เดินตามตนมา  ใบหน้าของเอิญในยามนี้  แสดงถึงความเศร้า  ที่ไม่พร้อมไปเจอผู้คนเท่าไหร่นักในยามนี้  แต่อลิซเพื่อนของเขา  ก็ไม่ยอมที่จะให้เขานั่งเศร้าอยู่คนเดียวในห้องแคบๆ  ที่ไม่ได้ช่วยให้จิตใจเขาดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย  อลิซลากเอิญออกมาที่คาเฟ่แห่งหนึ่งทางภาคใต้  ที่มีวิวดอกไม้สวยๆ  ทรงร้นที่ตบแต่งอย่างสวยงามที่มองออกไปทางหน้าต่าง  ก็เห็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล  พร้อมกับโต๊ะเก้าอี้มากมายที่ประดับประดาเอาไว้สำหรับถ่ายรูป  และนั่งจิบกาแฟชิลๆ  ให้เหล่าคนที่อยากเสพบรรยากาศธรรมชาติ  ได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันในวันหยุด

             “คนเยอะจัง” เอิญกล่าวขึ้น “ไปร้านอื่นไม่ได้เหรอ  ร้านที่คนน้อยๆน่ะ”

             “ร้านนี้แหล่ะ” อลิซกล่าวขึ้น  พรางจับมือเอิญไว้แน่นไม่ยอมปล่อย  ราวกับว่ากลัวเอิญจะหนีไปไหน “ไปเข้าไปข้างในกัน  ไปดูวิวธรรมชาติให้จิตใจสบายขึ้นมั้ง”

   สิ้นเสียงอลิซ  อลิซลากเอิญไปนั่งโต๊  ที่ยามนี้เธอทำหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณ  พรางกล่าวกับเอิญ

             “นี่ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิ” อลิซกล่าวขึ้น  พรางผายมือไปด้านข้าง “ชั้นถามจริงๆ  ผู้ชายเจ้าชู้มีผู้หญิงไปทั่วแบบนั้น  ทำไมเธอถึงยังตัดใจไม่ได้อีกฮะ”

   เอิญที่ได้ยินเพื่อนตนเองพูดแบบนั้น  ก็หันมาตอบเพื่อนของตนเองในทันที

             “ชั้นกำลังจะได้เป็นเจ้าสาวอยู่แล้วนะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางมีหยดน้ำตาเอ่อล้นออกมา “แต่เพราะมาวินเขา...”

   อลิซที่เห็นเพื่อนตนเองน้ำตาค่อยๆซึมออกมา  ก็ถึงกับลนลานจนทำอะไรไม่ถูก  ก่อนที่เขาจะหาทางพูดทำให้เพื่อนเขาอารมณ์ดีขึ้น

             “นี่ชั้นว่า” อลิซกล่าวขึ้น  พรางชี้ไปที่ริมแม่น้ำ “เราไปถ่ายรูปตรงนั้นกันดีมะ”

             “ไม่ล่ะ” เอิญกล่าวขึ้น “เธอไปถ่ายเลย  เดี๋ยวชั้นนั่งรออยู่ตรงนี้เอง”

   สิ้นเสียงเอิญ  ใบหน้าของเอิญ  ก็ยังคงแสดงความเหม่อลอยออกมาเช่นเคย  อลิซที่เห็นดังนั้น  ก็พลอยห่อเหี่ยวไปด้วย  แต่เพียงครู่เดียว  ดูเหมือนจะมีชายหนุ่มปริศนาบางคน  ที่เดินเข้ามาเพิ่มสีสันให้กับพวกเอิญซะแล้ว  เขาได้กล่าวทักทายเอิญ  ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

             “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “ไม่รู้ว่าคุณผู้หญิงไปเจออะไรมา  ถึงได้มีสีหน้าที่ไม่สบายใจแบบนี้  แต่ถ้าไม่รังเกียจ  ผมขอนั่งคุยทำความรู้จัก  เพื่อที่จะให้คุณสบายใจขึ้นด้วยได้ไหมครับ”

   อลิซที่กำลังกินกาแฟอยู่  เมื่อเจอชายหนุ่มคนนี้พูดแบบนี้  ก็ถึงกับสำลักกาแฟออกมาพรวดใหญ่  ด้วยความตรงไปตรงมาของผู้ชายคนนี้  ก่อนที่อลิซจะเอ่ยออกมาแทนเพื่อนเขา  ที่นั่งนิ่งด้วยความงงงวย

             “ขอโทษนะค๊ะ” อลิซกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแบบเจื่อนๆ “คุณเป็นคนตรงๆใช่ไหมค๊ะเนี่ย  ถึงเดินเข้ามาคุยซะตรงเชียว”

   ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้น  ทำหน้างงๆ  ก่อนที่เขาจะเอ่ยกับพวกเอิญ

             “ใช่ครับผมเป็นคนตรงๆ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  พรางส่งสายตาหวานให้กับเอิญ “และผมก็อยากจะรู้จักกับคุณผู้หญิงคนนี้ด้วย”

   อลิซที่ได้ยินดังนั้น  ก็ถึงกับทำหน้าตกใจ  แต่ก็เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคนนี้  ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนของตน

             “งั้นเชิญคุณมานั่งตรงนี้เถอะค่ะ” อลิซกล่าวขึ้น  พรางลุกจากเก้าอี้ให้ชายหนุ่มนั่ง “ขอโทษนะค๊ะ  คุณชื่ออะไรเหรอค๊ะ”

   ชายหนุ่มที่ได้ยินอลิซถาม  กล่าวบอกชื่อของตนเองด้วยความยินดียิ่ง

             “ผมชื่อมาวินครับ”

   อลิซกับเอิญที่ได้ยินดังนั้น  ถึงกับทำหน้าตกใจให้กับความบังเอิญนี้  แต่อลิซก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร  แต่กลับหลีกทางให้ชายหนุ่มได้นั่งคุยกับเพื่อนของตน  เพราะเขาคิดว่าถึงจะชื่อเหมือนกัน  แต่ไม่ได้หมายความว่านิสัยจะเหมือนกันซะทีเดียว  โดยที่เขาบอกกับเพื่อนของเขาว่าจะไปถ่ายรูป  แต่เพื่อนของเขาก็ส่งสายตาให้อลิซเป็นเชิงนัยๆว่า  อย่าไปไหนให้อยู่กับตน  แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขากลับเลือกที่จะทำตรงกันข้ามกับความประสงค์ของเอิญ  โดยที่เพื่อนของเขาเลือกที่จะเดินออกไปถ่ายรูปข้างนอกเพียงคนเดียว  และปล่อยให้เอิญกับมาวินชายหนุ่มที่เข้ามาหาเอิญ  ได้นั่งพูดคุยทำความรู้จักกัน  ก่อนไปเขาได้กล่าวกับชายหนุ่ม

                            “ฝากเพื่อนชั้นด้วยนะค๊ะ”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  ได้เอ่ยออกมาบ้าง

                            “เดี๋ยวสิแก!!!”

   สิ้นเสียงเอิญ  เพื่อนของเขาก็เดินออกไป  โดยที่ใบหน้าของอลิซ  เต็มไปด้วยรอยยิ้ม  และหวังว่าชายหนุ่มคนนี้  จะเป็นคนที่ดีพอ  ที่จะช่วยทำให้จิตใจของเพื่อนเขา  ได้ครายความเจ็บปวดลงได้บ้าง

   ส่วนชายหนุ่ม  ที่เห็นเพื่อนของหญิงสาวที่ตนหมายปอง  เปิดโอกาสให้แล้ว  ก็ไม่รอช้าที่เขาจะนั่งลง  ที่เก้าอี้ข้างหญิงสาว  และเริ่มบทสนากับหญิงสาวในทันที

                            “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  พรางสบตาของเอิญ “ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอครับ  คุยกันมาตั้งนาน  ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

   เอิญได้ยินชายหนุ่มถามชิ่อของตน  จึงตอบไปเป็นมารยาท  เพื่อไม่ให้น่าเกลียดที่เขาถามมา

                            “ชั้นชื่อเอิญค่ะ”

                            “ถึงคุณจะชื่อเอิญ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “แต่การที่เราได้มารู้จักกันแบบนี้  ผมว่าไม่บังเอิญนะครับ  แต่มันน่าจะเป็นพรหมลิขิตมากกว่า”

   เอิญได้ยินชายหนุ่มเล่นมุขเสี่ยวๆ  เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความตลก  ชายหนุ่มที่เห็นหญิงสาวนั่งหน้าไม่รับแขกมาตลอด  เมื่อเห็นหญิงสาวยิ้มออกมา  เขาเองก็ยิ้มตามไปด้วย  ก่อนที่เขาจะแซวหญิงสาวกลับไป

                            “ผมดีใจนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  ด้วยรอยยิ้มบางๆ “ที่คุณยิ้มออกมาแล้ว  หลังจากที่ตั้งแต่ที่คุณเข้าร้านมา  คุณเอาแต่ทำหน้าเศร้าอยู่ตลอด”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  จึงถามชายหนุ่มกลับไปด้วยความสงสัย

                            “นี่คุณ” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่สงสัย “นั่งมองชั้นอยู่ตลอดเลยเหรอค๊ะ”

                            “ใช่ครับ” ชายหนุ่มกล่าว  พรางสงสายตาหวานให้กับเอิญอีกครั้ง “ผมมองคุณ  ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณเดินเข้ามาในร้านนี้”

   เอิญที่ได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น  ตัวเขาถึงกับหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขิลอาย  หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มชวนหญิงสาวคุยเรื่องต่างๆนาๆ  ส่วนอลิซที่ออกมาด้านนอก  เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้คุยกับเพื่อนของเขา  แอบชำเรื่องมองทั้งคู่  ที่ดูจะไปกันได้ด้วยดี  อลิซที่เห็นแบบนั้น  ก็อมยิ้มที่เห็นเพื่อนของตนมีรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่ง  อลิซเดินถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆในร้านอยู่อีกพักหนึ่ง  ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปหาเพื่อนของเขา  ที่นั่งคุยกับชายหนุ่มอยู่ในร้านอย่างเพลิดเพลิน

                            “ไงจ้ะทั้งคู่” อลิซกล่าว  พรางส่งสายตามองทั้งคู่อย่างมีเลสนัย “คุยกันไปถึงไหนกันแล้ว”

   สิ้นเสียงอลิซ  ทั้งคู่ต่างยิ้มออกมาด้วยความเขิลอาย  และส่งสายตาประสานกันอย่างหวานชื่น  ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นมากับเอิญ

                            “งั้นผมขอเฟซบุ๊คหรือไลน์ไว้ติดต่อคุณได้ไหมครับ” ชายหนุ่มกล่าว  พรางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และยื่นไปให้หญิงสาวที่เขาหมายปอง  หญิงสาวเห็นดังนั้น  ก็ไม่ได้ปิดกั้นโอกาสอะไร  เขาหยิบโทรศัพทืของชายหนุ่มมา  และพิมพ์อะไรบางอย่าง  ก่อนที่เขาจะเอาโทรศัพท์  ยื่นคืนให้กับชายหนุ่ม  ชายหนุ่มเอาโทรศัพท์ของตนมาดู  พร้อมกับอลิซที่แอบดูโทรศัพท์ของชายหนุ่มด้วยเช่นกัน  ภาพที่อลิซเห็น  คือเพื่อนของตน  ได้ให้เฟซบุ๊คกับชายหนุ่ม  และยังเอาข้อความชายหนุ่มทักหาตนด้วย  อลิซที่เห็นดังนั้น  จึงเอ่ยขึ้นมา

                            “หือไม่เบานะเอิญ” อลิซกล่าว  พร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์และยิ้มที่มุมปากให้เอิญ “ทักหาหนุ่มก่อนด้วยนะ”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  ก็หน้าแดงออกมา  ก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบเพื่อนเขา

                            “ก็มันจะได้หาข้อความได้ง่ายๆไง”

   ชายหนุ่มที่ได้ยินหญิงสาวทั้งคู่สนทนากัน  ก็หัวเราะออกมา  ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากขอตัวก่อน  เพราะตนลุกออกมาจากโต๊ะเพื่อนของเขานานแล้ว  เอิญที่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยกับชายหนุ่ม

                            “งั้นไว้คุยกันนะค๊ะ”

   ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้น  ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ  ผสมกับใบหน้าที่แดงด้วยความเขิล  พรางพยักหน้าเป็นการตอบรับให้กับคำพูดของหญิงสาว  ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา  เมื่อชายหนุ่มเดินพ้นสายตาไป  อลิซเริ่มกล่าวกับเพื่อนของเขา

                            “ไง” อลิซกล่าวขึ้น  พรางหันไปมองเพื่อนของตน “เริ่มรู้สึกใจเต้นแรงอีกครั้งแล้วล่ะสิ”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  ถึงกับหน้าแดงออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเพื่อนเขาด้วยความเขิลอาย

                            “พูดอะไรของเธอ” เอิญกล่าว  ด้วยสีหน้าที่แดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ชั้นก็แค่...  คุยกับเขาเพราะเธอเดินหนีไปนิ”

   อลิซที่ได้ยินเพื่อนตนพูดแบบนั้น  ก็อมยิ้มเบาๆ  และทำสายตาสงสัยเพื่อนตนอย่างกวนๆ  ก่อนที่จะพูดกับเพื่อนของตน

                             “จริงเหรอจ้ะ”

                             “ก็จริงน่ะสิ-ไป  กลับกันได้แล้ว” สิ้นเสียงเอิญ  เธอเดินหนีเพื่อนของตนออกจากร้านไป  ด้วยความเขิลอาย  อลิซที่เห็นเพื่อนของตน  มีสีหน้าที่ดีขึ้น  เขาก็แอบดีใจ  ที่เพื่อนของตนกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง  ไม่เสียแรงที่เขาพาเพื่อนของเขามาที่นี่  คิดจบเขาก็เดินออกจากร้านตามเพื่อนของเขาไป  เมื่อขึ้นรถได้  ตลอดทางเพื่อนของเขาก็มีท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทาง  ดังสาวแรกรุ่นที่พึ่งหัดมีความรัก  อลิซจึงเอ่ยถามเพื่อนของเขาไปอีกครั้ง

                              “แล้วนัดเจอกันอีกเมื่อไหร่ล่ะ”

   เอิญที่ได้ยินเพื่อนของตนเอ่ยถาม  ก็มีท่าทางเหมือนคนที่หลุดจากผวังแห่งความฝัน  เขาหันกลับมาตอบเพื่อนเขาด้วยสีหน้าเหมือนคนมีพิรุธ

                             “นัดเนิดอะไร” เอิญกล่าว  ด้วยสีหน้าที่มีพิรุธนิดๆ “ชั้นพึ่งคุยกับเขาเอง  และอีกอย่าง  เขาเป็นคนยังไง  ชั้นก็ยังไม่รู้เลย”

                             “แต่อย่างน้อยๆ” อลิซกล่าว  ด้วยสีหน้าเหมือนคนมีความสุข “เขาทำให้แกมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งได้  แค่นั้นชั้นก็ดีใจแล้วล่ะนะ  ที่เหลือพวกแกทั้งคู่ก็ไปศึกษากันเอาเองแล้วกันนะ  ขอให้รักครั้งนี้ของแกมันไปได้ด้วยดีนะพื่อน”

   เอิญที่ได้ยินเพื่อนของตนพูดดังนั้น  ก็แอบยิ้มออกมา  เพราะความดีใจ  ที่เพื่อนของตน  เป็นห่วงตนมากขนาดนี้  เขาจึงตอบเพื่อนของเขาไปเพียงสั้นๆ

                            “อืม  ขอบคุณแกมากนะ”

   ตลอดทางทั้งคู่ต่างนั่งคุยกันไปตามภาษาเพื่อน  แต่เพียงไม่นานเท่าไหร่นัก  ชายหนุ่มที่พึ่งเจอกัน  ก็ส่งข้อความมาหาเอิญ

                            “ตั้งใจว่าตอนกลับจะมาหาคุณ  แต่เดินมาที่โต๊ะที่คุณนั่ง  ก็ไม่เจอคุณแล้ว  เลยคิดว่าคุณน่าจะกลับไปแล้ว  ผมเลยอยากจะบอกคุณว่า  ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ”

   หญิงสาวที่เห็นข้อความของชายหนุ่ม  แอบอมยิ้มออกมา  พรางพิมพ์ข้อความตอบชายหนุ่มกลับไป  เพียงสั้นๆ

                            “ขอบคุณนะค๊ะ”

   อลิซที่เห็นเพื่อนตนเองนั่งยิ้มและพิมพ์ข้อความิย่างมีความสุข  ก็อดไม่ได้ที่จะแซวเพื่อนของตนขึ้นมา

                            “ยิ้มใหญ่เลยนะ” อลิซกล่าวขึ้น  พรางส่งสายตาเชิงแซว  ให้กับเพื่อนของตนเอง “หนุ่มส่งข้อความหรือไงจ้ะ”

   เอิญที่ได้ยินเพื่อนตนแซว  จึงมีท่าทีที่เขิลอาย  จึงรีบตอบเพื่อนของตนกลับไปทันที

                            “ยุ่งน่า” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ “ขับรถไปเลยนะ”

   อลิซที่ได้ยินแบบนั้น  ก็หัวเราะออกมาก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาต่อ

                            “อะๆรีบกลับหน่อยแล้วกัน” อลิซกล่าวขึ้น  พรางเร่งความเร็วรถ “เพราะคนแถวนี้  คงอยากรีบคุยกับหนุ่มจะแย่อยู่แล้ว”

   สิ้นเสียงอลิซ  อลิซรีบเหยียบคันเร่ง  เพื่อที่จะรีบตรงกลับบ้านของเอิญในทันที  เอิญที่เห็นแบบนั้น  ก็ได้แต่ร้องเตือนเพื่อนของตน  ว่าอย่าขับรถเร็ว  แต่ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะไม่ได้ฟังอะไรเท่าไหร่นัก  ยังคงตั้งหน้าตั้งตารีบขับเหมือนเดิม

บ้านเอิญ

   ทั้งคู่กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ  แต่ดูท่าทางของเอิญจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นัก  อลิซที่เห็นแบบนั้น  จึงเอ่ยถามเพื่อนของตนไป

                            “เป็นอะไรล่ะน่ะ?”

                            “ยังจะถามอีกนะ” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่โมโห “ขับรถแบบนี้ยังมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง”

   อลิซที่ได้ยินดังนั้น  จึงหัวเราะออกมายกใหญ่  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเพื่อนเขาไป

                            “เอาน่า” อลิซกล่าว  พรางเอามือไปตบที่ไหล่ของเพื่อนตน “แค่ปลอดภัยถึงบ้าน  ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ-ไปเข้าบ้านกันดีกว่า”

   พูดจบทั้งคู่จึงเดินเข้าบ้านไป  แต่ในขณะที่ทั้งคู่เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูนั้น  ทั้งคู่ก็พบว่าลูกบิดประตูมันไม่ได้ล็อก  อลิซที่เห็นดังนั้น  จึงหันมามองหน้าเอิญ  ก่อนที่อลิซจะกระซิบถามเอิญ

                            “ตอนออกจากบ้าน” อลิซกล่าวขึ้น  พรางยื่นหน้ามากระซิบเอิญ “แกไม่ได้ล็อกประตูบ้านเหรอ”

   สิ้นเสียงอลิซ  เอิญจึงยื่นหน้ามากระซิบอลิซบ้าง

                            “ชั้นล็อกแล้ว” เอิญกล่าวขึ้น  พรางกระซิบอลิซเช่นกัน “สงสัยแม่ชั้นกลับมาจากทำธุระข้างนอกแล้วมั้ง  ยังไงลองเปิดประตูเข้าไปดูก่อนดีกว่า”

                            “แล้วถ้าคนข้างในเกิดไม่ใช่แม่แกล่ะ” สิ้นเสียงอลิซ  ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันอยู่ครู่นึง  ก่อนที่เอิญจะเอ่ยกับเพื่อนเขาขึ้นมาอีกครั้ง

                            “ลองเข้าไปกันเถอะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางยื่นมือไปจับที่ลูกบิดประตู  และเตรียมจะเปิดประตู “เราจะได้รู้กันไปเลย  ว่าคนข้างในคือใคร”

   เมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว  อลิซที่เห็นดังนั้น  จึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ  ให้กับการตัดสินใจของเพื่อนตน  ทั้งคู่เปิดประตูบ้านออก  และสิ่งที่เขาได้พบในบ้าน  ต่างก็ทำให้พวกเขาถึงกับถอนหายใจออกมา  ด้วยความโล่งใจ  เพราะคนที่อยู่ข้างในบ้าน  ก็คือแม่ของเอิญที่นั่งอยู่บนโซฟา  พรางกินขนมและกำลังนั่งดูทีวีอยู่  ส่วนแม่ที่เห็นเอิญกับอลิซพึ่งกลับแม่  จึงเอ่ยทักทายทั้งสองคน

                            “กลับมากันแล้วเหรอ”

   สิ้นเสียงของแม่  เอิญจึงกล่าวขึ้นมาต่อ

                            “โถ่แม่” เอิญกล่าวขึ้น  พรางทำสีหน้าโล่งใจ “มาถึงบ้านแล้วก็ไม่บอกกันก่อนเลย”

   แม่ที่เห็นท่าทางของลูกสาวตนเองที่ดูเปลี่ยนไป  จากที่ก่อนหน้านี้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเป็นอาทิตย์  ตอนนี้กลับมีท่าทางที่ดูร่าเริงแจ่มใส  ราวกับเป็นคนล่ะคนกัน  แม่เห็นแบบนั้น  จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

                            “นี่ไปไหนกันมาเนี่ย” แม่กล่าว  พรางมองลูกสาวตนเอง  ด้วยความแปลกใจ “ทำไมยัยเอิญดูเปลี่ยนไปอย่างงี้”

   เอิญที่ได้ยินแม่ตนเองถามดังนั้น  ก็ทำหน้าแปลกใจ  ว่าก่อนหน้านี้ตนดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ  อลิซที่ได้ยินดังนั้น  ก็หลุดขำออกมา  ก่อนที่อลิซจะเอ่ยกับแม่ของเอิญ

                            “เป็นอย่างงี้ก็ดีแล้วนิแม่” อลิซกล่าว  พรางยักไหล่  และผายมือทั้งสองข้างออกจากกัน “ดีกว่ายัยผีตายซาก  ที่เอาแต่นั่งเหม่อทั้งวันก่อนหน้านี้น่ะ”

   แม่ที่ได้ยินดังนั้น  ก็พยักหน้าให้กับสิ่งที่อลิซพูด  ก่อนที่แม่จะเอ่ยออกมาต่อจากอลิซเพียงสั้นๆ

                            “อืม  ก็จริงนะ”

   สิ้นเสียงแม่  อลิซจึงกล่าวขึ้นมาต่อ

                            “งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะแม่” อลิซกล่าว  พรางยกมือขึ้นมาไหว้แม่  และโบกแม่ลาเพื่อนของตน “ชั้นไปก่อนนะเอิญ”

   เอิญเห็นเพื่อนของตนกำลังจะกลับ  จึงตะโกนบอกกับเพื่อนของตนไป

                            “ขับรถดีๆนะ  ไม่ต้องรีบขับ  เดี่ญวจะเกิดอุบัติเหตุเอา”

   อลิซได้ยินเพื่อนของตนพูดดังนั้น  ถึงกับสะอึกในใจ  เขาจึงหันกับมาพูดกับเพื่อนของเขาด้วยท่าทางกวนนิดๆ

                            “รู้แล้วล่ะจ้ะ  ไม่รีบหรอกน่า”

   พูดจบอลิซจึงเดินออกมจากบ้านไป  ส่วนเอิญเมื่อเพื่อนของตนกลับไปแล้ว  เขาจึงขอตัวขึ้นห้องของเขาไป  เมื่อเข้าห้องมาได้  เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู  ว่ามีข้อความจากชายหนุ่มที่หมายปองเขาไหม  และเขาก็ได้พบว่า  ชายหนุ่มคนนั้น  ได้ส่งข้อความมาหาเขาด้วยใจความว่า

                            “ขอบคุณมากครับ  มันจะดีมากเลย  ถ้าคุณถึงบ้านแล้วจะบอกผมสักนิด  เพราะผมอยากรู้ว่าคุณเดินทางปลอดภัยไหม”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  จึงแอบอมยิ้มออกมาเล็กน้อย  เขาไม่รอช้าที่จะตอบข้อความกับชายหนุ่มคนนั้น

                            “ชั้นถึงบ้านแล้วค่ะ  แล้วคุณล่ะถึงบ้านรึยัง”

   เพียงครู่เดียว  ชายหนุ่มก็ตอบข้อความของหญิงสาวกลับมา  ราวกับว่าเขสจ้องข้อความของหญิงสาวอยู่ตลอด

                            “ถึงแล้วครับ  พึ่งถึงเมื่อสักครู่นี้เอง  ว่าแต่คุณทานอะไรรึยังครับ”

   ทั้งคู่ต่างคุยกันต่างๆนาๆ  ทั้งเรื่องที่ทำงานของหญิงสาว  ที่ทำงานของชายหนุ่ม  โดยที่ชายหนุ่มก็พยายามหยอดคำหวานๆให้กับหญิงสาว  ให้หญิงสาวได้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ  หญิงสาวที่ได้คุยกับชายหนุ่มที่เป็นดั่งคนดูแลหัวใจคนใหม่  ก็แอบนั่งอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา  จนสุดท้ายชายหนุ่มจึงเอ่ยชวนหญิงสาวไปทานข้าวด้วย

                            “พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ?”

   หญิงสาวที่เห็นดังนั้น  จึงรีบตอบกลับไป

                            “หลังทุ่มนึงไปค่ะ  ว่างตลอด”

                            “งั้นเราไปหาอะไรทานกันดีไหมครับ”

                            “ได้ซิค๊ะ”

                            “งั้นเดี๋ยวทุ่มนึงผมไปรอคุณที่ทำงานนะครับ  คืนนี้ฝันดีครับ”

   สิ้นข้อความนั้น  หญิงสาวแอบนั่งยิ้มอยู่คนเดียวที่มุมห้อง  วันต่อมาหญิงสาวก็ไปทำงานปกติ  แต่เพื่อนที่ทำงาน  เห็นหญิงสาวหายไปเป็นอาทิต  เมื่อเห็นหน้าหญิงสาว  ทั้งหมดต่างก็วิ่งเข้ามาถามหญิงสาว  ว่าเขาเป็นอย๋างไรบ้าง  เพราะทุกคนต่างได้ข่าวมา  ว่าหญิงสาวได้เลิกกับอดีตแฟนหนุ่มเพราะอดีตแฟนหนุ่มไปมีผู้หญิงอื่น  หญิงสาวที่เห็นดังนั้น  จึงตอบเพื่อนๆของตนไป

                            “ชั้นไม่เป็นไรแล้วค่ะ” เอิญกล่าวขึ้น  พรางมองไปที่พวกเพื่อนๆของตน “ตอนนี้ชั้นโอเคขึ้นแล้วค่ะ”

   พวกเพื่อนๆที่ได้ยินดังนั้น  บวกกับสีหน้าของเอิญ  ที่ในยามนี้เขามีสีหน้าที่ดูแจ่มใสมาก  พวกเพื่อนๆต่างก็โล่งใจ  ส่วนเอิญในวันนั้น  เขาก็รีบเคลียงานให้เสร็จไวๆ  เพราะเขามีนัดที่สำคัญคอยเขาอยู่

   เมื่อตกเย็น  ชายหนุ่มก็ไม่ได้ผิดคำสัญญา  เขามารอรับหญิงสาวที่หน้าที่ทำงาน  ก่อนทีทั้งคู่จะออกไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ในกรุงเทพ  ทั้งคู่นั่งคุยกันอย่างหวานชื่น  ชายหนุ่มก็เทคแคร์  ดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดู  ไม่ให้ขายตกบกพร่องแต่อย่างใด  ราวกับว่าหญิงสาวเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็มิปาน  หญิงสาวเองก็ยิ้มออกมา  ด้วยความพึงพอใจกับชายหนุ่มในคราวนี้

หนึ่งอาทิตต่อมา(เช้าวันศุกร์)

                            “ค่ะ” เอิญกล่าว  พรางคุยโทรศัพท์กับชายหนุ่มไปด้วย “กำลังจะออกจากบ้านแล้วค่ะ  เอ๋มารออยู่ที่หน้าบ้านเหรอค๊ะ  ได้ค่ะเดี๋ยวเอิญรีบลงไปนะค๊ะ”

   พูดจบหญิงสาวจึงรีบวิ่งลงจากห้องของตนเอง  และรีบวิ่งไปที่หน้าบ้านของตนเองอย่างไว  เมื่อวิ่งผ่านแม่  เขารีบกล่าวลาแม่  และออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว  ปล่อยให้แม่ของเขายืนงงอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว  ที่หน้าบ้านของเอิญ  มีรถยนต์คันหนึ่งจอดรออยู่  หญิงสาวรีบวิ่งไปเปิดประตูรถยนต์คันนั้น  และขึ้นไป  พรางกล่าวกับเจ้าของรถยนต์คันนั้น  ซึ่งก็คือมาวิน(ชายหนุ่มที่มาจีบเอิญ)

                            “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะค๊ะ”

   ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น  จึงเอ่ยกับหญิงสาวไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุข

                            “ก็ผมคิดถึงคุณนิครับ”

   สิ้นเสียงชายหนุ่ม  หญิงสาวแอบอมยิ้มด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ  ก่อนที่ชายหนุ่มจะพาหญิงสาวไปส่งที่ทำงาน  และก่อนที่หญิงสาวจะลงจากรถไป  ชายหนุ่มจึงเอ่ยกับหญิงสาวไป

                            “เดี๋ยวเย็นนี้ผมมารับนะครับ”

   หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้น  จึงยิ้มออกมา  และพยักหน้าเป็นการตอบรับ  ก่อนที่หญิงสาวจะเดินลงจากรถไป  และโบกมือลาชายหนุ่ม  พวกเพื่อนๆที่เห็นดังนั้น  จึงเดินเข้ามาแซวหญิงสาว  ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินเข้าที่ทำงานไป  ตกเย็นชายหนุ่มก็มารับหน้าที่ทำงานจริงๆ  ชายหนุ่มพาหญิงสาวไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ที่ชายหนุ่มได้จองห้อง vip เอาไว้หนึ่งห้อง  ภายในห้องมีเพียงแค่ชายหนุ่มกับหญิงสาว  หญิงสาวที่เห็นแบบนั้น  ก็แอบตกใจเล็กน้อย  ที่ชายหนุ่มเปิดห้องส่วนตัวเอาไว้  เพียงเพื่อกินข้าวกับเขาสองคน  แต่ไม่เพียงแค่ทานข้าวปกติ  เพราะเมื่อสั่งอาหารอะไรเรียบร้อยแล้ว  ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาหญิงสาวอย่างใกล้ชิด  ก่อนที่เขาจะนั่งคุกเข่าลวตรงหน้าหญิงสาว  และเขาก็เอ่ยกับหญิงสาว

                            “ผมคิดว่า  เราก็เป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  พรางนั่งคุกเข่ามองหน้าหญิงสาว “ผมจึงอยากจะเลื่อนสถานะ  จากคนคุย  ไปเป็นคนรู้ใจจะรังเกียจไหมครับ”

   หญิงสาวที่เห็นชายหนุ่มทำแบบนั้น  ก็แอบตกใจนิดๆ  แต่หญิงสาวก็พยักหน้าตอบรับ  เป็นการตกลงในการขอเป็นแฟนครั้งนี้  เมื่อหญิงสาวตอบตกลง  ชายหนุ่มจึงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  และแสดงออกถึงความดีใจตลอดการกินข้าวครั้งนั้น

   เมื่อกลับมาถึงบ้าน  หญิงสาวจึงรีบโทรหาเพื่อนสนิทของตน  และเล่าให้เพื่อนของตนได้ฟัง  โดยที่หญิงสาวได้เปิดลำโพงตลอดการสนทนา

                            “ก็ดีแล้วนิแก” อลิซกล่าวขึ้น  ผ่านสายโทรศัพท์ “แกจะได้มีคนดูแลหัวใจเสียที”

                            “มันก็ใช่อยู่หรอก” เอิญกล่าวขึ้น  พรางยกหูคุยกับเพื่อนของตน “แต่มันไวไปรึเปล่า  คุยกันแค่อาทิตย์เดียว  ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว”

                            “โอ้ยแก” อลิซกล่าวขึ้น “บางคนคุยกันแค่สามวัน  ตกลงเป็นแฟนกันยังมีเลย  นี่ของแกตั้งหนึ่งอาทิต  เขาไม่เรียกว่าพึ่วคุยกันแล้ว  อีกอย่างแกทั้งคู่  ก็ชอบกันตั้งแต่วันแรกที่เจอ  มันไม่นานไปหรอก  ความรักมันไม่มีอะไรมาตัดสินหรอก  ว่าต้องคุยกันกี่วัน  แล้วคบกันอ่ะ”

                            “ก็จริงของแกนะ” สิ้นเสียงเอิญ  ชายหนุ่มก็โทรเข้าแทรกการคุยกันระหว่างเอิญกับอลิซ  เอิญจึงขอตัววางสายจากเพื่อนของตน  และรับสายของชายหนุ่ม  วันเวลาผ่านไป  ชายหนุ่มกับหญิงสาวต่างพัฒนาความสัมพันธ์กันมากขึ้นไปเรื่อยๆ  โดยที่ชายหนุ่มแทคแคร์ดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี  ทั้งพาไปเที่ยวดูหนังฟังเพลง  พาไปกินข้าวทุกค่ำคืนที่เลิกงาน  วันหยุดต่างๆก็พาไปเที่ยวนอนบนดอยทางภาคเหนือ  ไปทะเลดูพระอาทิตย์ตกกันพรางนั่งประสานสายตากันริมหาด  ที่มีเกรียวคลื่นสัดสานดั่งคำอวยพร  ก่อนที่ริมฝีปากของชายหนุ่มและหญิงสาวจะได้ประสานกัน    มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับเอิญอยู่ในความฝัน  ประดุจตนอยู่ในเทพนิยายก็มิปาน  จนกระทั่งวันนึง  ที่หญิงสาวไปกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน

หนึ่งเดือนต่อมา(ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวที่ทำงานเอิญ)

                            “อยู่ไหนกันแล้ว” เอิญกล่าวขึ้น  พรางคุยกับเพื่อนที่ทำงาน “กำลังมากันเหรอ  อืมชั้นรออยู่ที่หน้าร้านแล้ว  เข้าไปก่อนได้เลยเหรอจองไว้แล้ว  จ้ะแล้วเจอกันนะ”

   พูดจบเอิญจึงเตรียมจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร  แต่เขาต้องหยุดชะงัก  เมื่อเขามองไปที่ทางเข้าโรงแรมข้างร้านอาหาร  เขาได้พบกับเมย์  ภรรยาของมาวิน(อดีตแฟนหนุ่มของเขา)  ที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้า  ที่ไม่ใช่มาวิน  ที่หน้าโรงแรมข้างร้านอาหาร  เอิญที่เห็นดังนั้น  ก็แอบตกใจนิดๆ  ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้  และรีบยกโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแอบถ่ายไว้  ก่อนที่เมย์  ภรรยาของมาวิน  จะเดินเข้าไปในโรงเรียนกับชายหนุ่มปริศนาคนนั้น  เอิญที่เห็นแบบนั้น  จึงรีบยกหูโทรศัพท์  โทรหาอลิซ

                            “ฮัลโหล” เอิญกล่าวขึ้น  พรางยกหูคุยกับเพื่อนของตน  ด้วยความตกใจ “แก  แกอยู่ไหน  อะไรในอยู่ต่างจังหวัดเหรอ  แล้วเมื่อกี้ได้เจอกับชาติชายเพื่อนของมาวินอีก-พอดีเลย  ชั้นมีคลิ๊ปเมย์เมียของมาวินจะให้แกดู  เดี๋ยวชั้นส่งให้นะ”

   พูดจบเอิญจึงส่งคลิ๊ปที่ตนพึ่งถ่ายได้เมื่อกี้  ให้อลิซดู  ก่อนที่เขาจะยกสายขึ้นมาคุยกับอลิซต่อ

                             “ เนี่ยคลิ๊ปนี้แหล่ะแก” เอิญกล้าวขึ้น  พรางคุยสายกับอลิซ “แกดูแล้วใช่ปะ  อืมชั้นเจอที่หน้าโรงแรมเลย  ได้ๆเก็บคลิ๊ปไว้นะ  ได้ๆจ้ะเจอกันนะ”

  พูดจบเอิญจึงวางสายไป  และมองดูที่ปากทางเข้าโรงแรม  ก่อนที่เขาจะเดินเข้าร้านอาหารไป  หลังจากนั้นเอิญก็นั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่พักใหญ่ๆ  แต่เมื่อทานเสร็จก็เย็นมากแล้วมาวิน(แฟนหนุ่มของเอิญ)  จึงขับรถมารับที่หน้าร้านอาหาร  แต่เมื่อเอิญกำลังจะเดินขึ้นรถ  เขาก็สังเกตเห็นเมย์  ภรรยาของมาวิน(อดีตแฟนหนุ่มของเอิญ)  เดินออกมาจากโรงแรมกับชายหนุ่มปริศนา  เอิญที่เห็นดังนั้น  จึงแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิ๊ปเอาไว้อีกครั้ง  เมื่อเมย์กับชายหนุ่มปริศนาแยกย้ายกันไป  เมย์จึงรีบขึ้นรถยนต์ของแฟนหนุ่มของตนไป  ก่อนที่แฟนหนุ่มจะเอ่ยถามแฟนสาวของตน

                            “ใครอ่ะตัวเอง” ชายหนุ่มเอ่ยถามแฟนสาว “ไปถ่ายเขาไว้ทำไม”

   เอิญที่ได้ยินแฟนหนุ่มตนเองถาม  ก็สะอึ้กอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะหันมาตอบแฟนหนุ่มด้วยอาการสุขุม

                            “แฟนของเพื่อนอ่ะตัวเอง” เอิญกล่าวขึ้น  ด้วยสีหน้าที่สุขุม “มันแต่งงานกันแล้วนะ  แต่ดูผู้หญิงดิ  ยังมากับคนแปลกหน้าอยู่เลย”

   ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น  ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ  แต่กลับตอบอย่างอื่นมาแทน

                            “ร้ายเนอะ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  พรางขับรถออกจากตรงจุดนั้น “แต่งงานกันไปแล้วไม่น่าทำกันแบบนี้เลย  แบบนี้ผู้ชายรู้  ผู้ชายเสียใจแย่  ตัวเองอย่าทำกับเขาแบบนี้นะ”

   หญิงสาวที่เห็นชายหนุ่มพูดดังนั้น  ก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ  แต่ในใจเขาก็แอบดีใจ  ที่ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรตนเองมาก  และยังเชื่อใจตนเองอีก  หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และเอาคลิ๊ปนั้น  ส่งให้อลิซ  อลิซจึงตอบกลับมา

                            “อีนี่มันร้ายจริงๆ  แกไม่ต้องไปยิ่งอะไรกับมันแล้ว  ตอนนี้แกมีของแกแล้ว  ปล่อยพวกมันทั้งคู่ไป”

   เอิญที่เห็นเพื่อนตนเองพิมพ์แบบนั้นกลับมา  จึงส่งเพียงสติ๊กเกอร์  ให้กับเพื่อนตนเองเพียงแค่นั้น  เอิญที่ทำใจเรื่องของมาวิน(อดีตแฟนหนุ่ม)  ได้แล้วจึงปลดบล็อกไลท์ของมาวิน  แต่ดูเหมือนอดีตแฟนหนุ่มจะรู้ทัน  ในคืนนั้น  เขาได้ส่งข้อความมาหาเอิญ

                      “เป็นยังไงบ้าง  สบายดีไหม”

   เอิญที่เห็นข้อความนั้น  แอบใจเต้นนิดๆ  แต่เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป  เพราะความรักของหญิงสาวครั้งใหม่  กำลังไปได้ด้งยดี  เขาเลือกที่จะปิดไฟห้องนอน  และเข้านอนไปในคืนนั้น

วันต่อมา

   หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และโทรหาเพื่อนของเขา  พรางเปิดลำโพงไปด้วย

                      “อือชั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป”

                      “ดีแล้วแหล่ะแก” อลิซกล่าว  ผ่านสายโทรศัพท์ “แกเองก็มีความรักดีๆแล้ว  แกก็ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นแล้วแหล่ะ  โฟกัสแค่เรื่องของแกก็พอ  ว้าย.....”

   ขณะที่คุยกัน  เอิญก็ได้ยินเพื่อนของตนร้องออกมา  เอิญจึงรีบถามอลิซกลับไป

                      “อลิซ  เป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นอลิซ”

   แต่เพียงคู่เดียว  อลิซก็รีบกลับมาตอบเอิญ

                      “แกเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ  มันมีตัวน่ารำคาญมาเจ๊าะแจ๊ะชั้นน่ะ”

   พูดจบอลิซก็วางสายไป  แต่เมื่ออลิซวางสายได้ไม่นาน  ก็มีข้อความของมาวิน(อดีตแฟนเอิญ)  เข้ามาอีกด้วยประโยคเดิม

                      “เป็นยังไงบ้าง  สบายดีไหม”

   เอิญที่เห็นดังนั้น  ก็ไม่ได้สนใจอะไร  และก็กลับไปทำงานตามเดิม  เวลาก็ผ่านไปร่วมอาทิตย์  ทุกๆวันมาวิน(อดีตแฟนเอิญ)  ก็ส่งข้อความเดิมๆมาหาหญิงสาว  แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป  จนกระทั้งวันหนึ่ง  ที่มาวิน(แฟนสาวของเอิญ)  พาเอิญไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ที่ครั้งนี้เขาก็ทำเช่นเคย  คือการจองห้องอาหารส่วนตัว  ที่มีเพียงเขากับแฟนสาวเท่านั้น  โดยที่เขาได้ให้เด็กเสริฟ  เอากล่อง  กล่องหนึ่งที่ดูหรูหราผิดปกติมาให้เขา  เขาเดินเข้าไปตรงหน้าแฟนสาวของเขา  ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตรงหน้าแฟนสาวของเขาอีกครั้ง  และยืนกล่องกล่องนั้นให้กับแฟนสาว  และเปิดมันออก  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับแฟนสาวของเขา

                      “เราก็คบกันมานานแล้วนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น  พรางนั่งคุกเข่า “ผมคิดว่าผมรู้จักคุณดีพอแล้ว  ผมจึงอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือของผม  กับคุณเพียงคนเดียว  แต่งงานกับผมนะครับ”

   ชายหนุ่มหยิบแหวนเพชรที่อยู่ในกล่อง  และยื่นมันให้หญิงสาว  ก่อนที่หญิงสาวจะน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้มันเป็นน้ำตาแห่งความยินดี  หญิงสาวตอบรับด้วยการยื่นมาข้างหนึ่ง  ให้ชายหนุ่มได้สวมแหวนวงนั้น  ให้กับหญิงสาวเพื่อเป็นการตอบตกลง  ทั้งคู่ต่างเข้าสวมกอดกัน  โดยที่ค่ำคืนนั้น  ก็เป็นค่ำคืนแสนสุขของหญิงสาวก็มิปาน

บ้านเอิญ

                      “จริงดิ” อลิซกล่าว  ผ่านสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ “นี่พ่อหนุ่มคนนั้นขอเธอแต่งงานแล้วเหรอ”

   เอิญที่ได้ยินเพื่อนของตนตอบกลับมา  ขึงเอ่ยต่อ

                      “ใช่แล้วชั้นก็ตอบตกลงไปแล้วด้วย”

                      “ดีใจด้วยนะแก” อลิซกล่าว  ด้วยน้ำเสียงที่มีความดีใจ “ขอให้รักของแกครั้งนี้  มันราบรื่นตลอดรอดฝั่งนะ  และถ้าแกมีอะไรให้ชั้นช่วย  บอกชั้นได้ตลอดเลยนะ  ชั้นพร้อมจะช่วยแกเสมอ”

                      “จ้า” เอิญกล่าว “ว่าแต่แกเถอะ  เมื่อไหร่ที่แกจะมีแฟนกับเขาสักที”

   อลิซที่ได้ยินดังนั้น  ก็เงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเพื่อนของเขา

                      “แกไม่ต้องยุ่งเรื่องของชั้นหรอกน่า” อลิซกล่าว  ด้วยน้ำเสียงที่ออกเขิลนิดๆ “เอาแค่เรื่องของแกคนเดียวก็พอแล้ว  แค่นี้แหล่ะ”

   สิ้นเสียงอลิซ  เอิญก็หัวเราะออกมา  ก่อนที่อลิซจะวางสายไป  และเพียงครู่เดียว  ก็มีข้อความที่คุ้นเคยส่งมาหาเอิญอีกครั้งหนึ่ง

                      “เป็นยังไงบ้าง  สบายดีไหม”

   หญิงสาวที่เห็นดังนั้น  ก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่ในครั้งนี้  เขาเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และตอบข้อความของชายหนุ่มกลับไป

                      “เราสบายดี  ขอบคุณนะที่ยังไม่ลืมกัน  แต่เรากำลังจะแต่งงานแล้วนะ  ถ้าวินว่าง  ก็มางานแต่งเราด้วยนะ  แล้วก็ขอบคุณสิ่งดีๆและช่วงเวลาดีๆที่เคยมอบให้กันนะ  เราจะไม่ลืมมันเลย”

   พิมพ์จบ  หญิงสาวก็เลือกที่จะปิดไฟแล้วเข้านอน  จนกระทั่งวันแต่งงานก็มาถึง  หญิงสาวที่สวยสง่าราศีเจ้าสาวจับ  ชายหนุ่มในชุดสูตรสีขาว  ที่เดินควงแขนของหญิงสาวอยู่  และแขกในงานอีกมากมายที่มาร่วมงาน  บรรยากาศในงานต่างมีแต่ความชื่นมืน  แต่ในงานนั้น  เขากลับไม่เห็นชายหนุ่ม  ที่ส่งข้อความหาเขาทุกวันเลย

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา