แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  5 วิจารณ์
  2,568 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่2 จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่2 จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์

 

   เมื่อดอกไม้แรกเริ่มผลิบาน  มันได้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน  อันชวนหลงใหล  จนผู้คนมากหน้าหลายตา  ต่างอยากเด็ดมันมาโดบดม  และเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมัน  แต่ครั้นเมื่อกลิ่นของมันได้จางหายไปแล้วนั้น  ผู้คนเหล่านั้น  กลับไม่เห็นคนค่าของมัน  กลับโยนมันทิ้งขว้างอย่างของที่ไม่มีคุณค่าอันใด  ความรักเองก็เช่นกัน  แรกเริ่มนั้น  หนุ่มสาวต่างคิดว่ามันคือพรหมลิขิต  ที่ได้ดลบันดาลให้ทั้งคู่ได้มาพบเจอกัน  และได้ครองคู่กัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ความหวานชื่นที่เคยมีให้กันนั้น  มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่าง  ที่แม้แต่หน้าของอีกฝ่าย  บางคู่ไม่แม้แต่ที่จะมองมันอีกเลย

สองปีก่อน

   ในวันที่อากาศแจ่มใส  แต่รถในตัวเมืองนั้น  ยังคงติดอยู่เช่นเคยไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ผู้คนมากหน้าหลายตา  ต่างเร่งรีบเพื่อที่จะกระเสือกกระสนตัวเอง  ไปให้ทันเวลาเข้าทำงาน  ไม่เช่นนั้น  พวกเขาอาจมีอันต้องโดนตัดเงินเดือนเป็นแน่แท้ 

   ต่างจากชายหนุ่มวันยี่สิบหกปี  ที่ตัวเขานั้น  เรียนจบมาได้สักพักนึงแล้ว  แต่ตัวเขา  ก็ไม่ได้เร่งร้อนฝักใฝที่จะเริ่มรับธุรกิจต่อจากพ่อของเขาแต่อย่างใด  แต่ถ้าพูดถึงเรื่องหัวสมองของเขาแล้วนั้น  เขาจัดว่าเป็นชายหนุ่มที่ฉลาด  และเก่งรอบด้านเรื่องธุรกิจคนหนึ่งเลยทีเดียว  แต่เมื่อเรียนจบมานั้น  เขากลับขอสนุกกับชีวิตเสเพลให้เต็มที่เสียก่อน  ในทุกค่ำคืน  เขาต่างพาสาวมากหลายตา  มาที่บ้านของเขาทุกค่ำคืน  จนพ่อกับแม่ของเขาต้องออกปากว่า ‘ถ้าจะมีอะไรกัน  ก็พาไปข้างนอกเถอะ  พ่อกับแม่ข้อร้อง’ ซึ่งชายหนุ่มก็รับฟังแต่โดยดี  หลังจากวันนั้น  ทุกครั้งที่เขาพาสาวกลับมาจากสถานบันเทิง  เขาจะพาสาวๆเหล่านั้น  ไปที่โรงแรม  และตัวเขาเอง  ก็เลือกที่จะกลับบ้านในตอนเช้าเลย  จนสุดท้ายพ่อกับแม่ทนไม่ไหว  ต้องเอ่ยปากคุยกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาไป

                      “นี่แกเคยคิดจะทำงานบ้างไหม” พ่อถามมาวินด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด  แต่ลูกชายของเขา  ก็ไม่ได้จะมีอาการที่สลดแต่อย่างใด  เขากลับตอบพ่อของเขา  อย่างติดตลกเหมือนเคยที่เขาเคยทำ

                      “ยังไม่พร้อมน่ะพ่อ  ขอสนุกอีกนิดน่านะๆ”

   พ่อที่ได้ยินลูกชายของตัวเองพูดแบบนั้น  เขาถึงกับเอามือมากุมขมับตัวเอง  อย่างคนที่หมดอาลัยตายอยาก     

                       -ไม่คิดเลยว่าลูกชายตัวเอง  จะใช่ชีวิตเสเพลได้ขนาดนี้

   แต่พ่อเองก็ไม่ได้คิดจะยอมแพ้  เขามัดมือชก  จัดการบังคับลูกชายตนเอง  ให้มารับตำแหน่งแทน  โดยที่ตัวพ่อนั้น  ให้เหตุผลกับลูกชายตนเองว่า

                      “ถ้าแกไม่คิดจะทำงาน  งั้นต่อไปนี้  แกหาเงินใช้เองก็แล้วกัน  พ่อไม่ให้แกแล้ว”

                      “โธ่พ่อ  ผมก็แค่ยังอยากสนุกอยู่ก็เท่านั้นเอง  เดี๋ยวผมพร้อมเมื่อไหร่  ผมก็รับช่วงต่อบริษัทพ่อเองนั่นแหล่ะ”

                      “ไม่” พ่อพูดพรางส่ายมือไปมา “ถ้าแกยังให้เหตุผลกับพ่อว่าไม่พร้อม  ต่อจากนี้ก็ตามที่พ่อพูดไป  ดูเพื่อนแกสิ  ทุกวันนี้เขาติดดาว  จนมียศมีการงานที่มั่นคงไปแล้ว  แล้วดูแกสิ”

   สิ้นเสียงพ่อ  พ่อส่ายหัวเป็นเชิงผิดหวังกับลูกชายตนเอง  ส่วนเพื่อนของมาวินที่พ่อพูดถึงนั้น  ก็คือชาติชาย  เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของมาวิน  ที่ไม่ว่าเวลาที่ทั้งคู่จะไปไหน  ต้องมีกันและกัน  ถึงนิสัยของทั้งคู่จะต่างกันราวฟ้ากับดิน  แต่ทั้งคู่กับอยู่ด้วยกันได้อย่างน่าประหลาด  ชาติไปเที่ยวทุกที่ที่มาวินไป  แต่เรื่องผู้หญิงเขาไม่เคยสนใจเลย  ทุกครั้งที่มาวินได้ผู้หญิงติดไม้ติดมือกลับไปด้วย  เขามักจะเป็นฝ่ายที่ต้องกลับบ้านคนเดียวอยู่เสมอ  แต่ตัวเขาก็ไม่เคยนึกโกรธเกลียดเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

   เมื่อพ่อยื่นคำขาดให้ดังนั้น  มาวินเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก  เขามีแต่จะต้องยอมรับมันเพียงเท่านั้น  เพื่อปากท้องและความสุขของเขาแล้ว  ถ้าเขาไม่ยอมรับในสิ่งที่พ่อบอก  เขาคงต้องขาดเรื่องทั้งหมดนั่นไปเป็นแน่  ยอมรับไว้ก่อนเสียดีกว่า  เดี๋ยวทำงานไม่ได้  พ่อก็คงเข้าใจเองนั่นแหล่ะ  เมื่อคิดได้ดังนั้น  พ่อจึงส่งเขาไปศึกษาดูงาน  ที่บริษัทเพื่อนของเขา  เป็นเวลาสองวัน  เพื่อนให้ตัวเขานั้น  พร้อมที่จะทำงาน  และเข้ารับตำแหน่งต่อจากพ่อของเขาโดยทันที 

บริษัทเพื่อนพ่อ

                      “ครับผมอยู่หน้าบริษัทแล้วครับ” มาวินยกหูโทรศัพท์  เมื่อเขาอยู่ที่หน้าบริษัท “เข้าไปแล้วขึ้นไปชั้นห้าเลยใช่ไหมครับ  โอเคครับ”

   วางสายโทรศัพท์แล้ว  ตัวเขาก็ไม่รอช้า  เขารีบมุ่งหน้าไปที่ลิฟท์  แต่ในระหว่างที่เขากำลังเดินไปที่ลิฟท์นั้น  ก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง  เดินสวนออกมาจากทางแยกพอดี  ทำให้เขากับผู้หญิงคนนั้น  ชนกันเข้าอย่างจัง  ผู้หญิงคนนั้นจึงทำการขอโทษขอโพยเขายกใหญ่

                      “ขอโทษค่ะๆ”

                      “ไม่เป็นไรครับ  ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

   สิ้นเสียงมาวิน  ทั้งคู่ต่างเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน  ทำให้มาวินสบตากับหญิงสาวคนนั้นอย่างชัดเจน  ในทันทีที่สบตากัน  มาวินเอง  ก็เหมือนต้องมนตร์สะกดของหญิงสาวคนนั้นเข้าให้  เพราะหญิงสาวที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั้น  ช่างงดงามจนเขาต้องหลงใหล  ดวงตาดที่กลมโต  ปากที่ทาลิปสติกสีชมพูอ่อน  แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรกันต่อ  หญิงสาวก็ดูนาฬิกา  และร้องขึ้นมา

                      “อ้าไปส่งเอกสารสายแล้ว-ขอตัวก่อนนะค๊ะ”

   หญิงสาวหันมาพูดกับมาวิน  และเธอก็วิ่งหายไป  ทิ้งไว้เพียงความหลงใหล  ให้มาวินต้องคิดถึงเธอตลอดทั้งวัน  โดยในวันนั้น  ไม่ว่าเพื่อนพ่อของเขา  จะสอนงานอะไรให้ก็ตาม  มันต่างไม่ได้เข้าหูของเขาเลยแม้แต่น้อย  วันนั้นทั้งวัน  ทั้งน้ำเสียง  กิริยาท่าทาง  แม้กระทั่งกลิ่นกายของผู้หญิงคนนั้นเอง  มันต่างลอยไปลอยมาอยู่ในทุกส่วนของร่างกายเขา  เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  ว่าตัวเขาเป็นอะไร  จะเลือกว่าความชอบไหม  ก็แค่ผู้หญิงที่เจอกันแค่ไม่ถึงนาที  ทำไมถึงชอบได้  เมื่อคิดได้ดังนั้น  ทางเดียวที่จะรู้คำตอบของเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ  เมื่อคิดได้ดังนั้น  หลังเลิกงาน  เขาจึงยกโทรศัพท์  และโทรหาเพื่อนเขา

                      “ไปหาอะไรกินกันไหมวะไอ้ชาย”

                      “นี่มึงพึ่งเรียนร็งานวันแรก  มึงก็จะเอาเลยเหรอ”

   อย่างที่เคยบอก  ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน  เพราะฉะนั้น  แค่เรื่องที่มาวินยอมทำงาน  ไม่มีทางที่ชาติชายเองจะไม่รู้

                      “นิดหน่อยน่า  กูมีเรื่องอยากคุยกับมึง”

   ชาติชายเงียบไปพักนึง  แล้วเขาจึงค่อยตอบเพื่อนของเขา

                      “ก็ได้  แต่ไม่หนักนะมึง  พรุ่งนี้กูเองก็ต้องทำงานเหมือนกัน”

   เมื่อตกลงกันได้  ทั้งคู่จึงนัดไปเจอกันที่ร้านอาหาร  โดยที่มาวินเอง  ระหว่างขับรถไปที่ร้านแห่งนั้น  เขาเหมือนคนที่ตกอยู่ในโลกสีชมพูสดใส  เขาห่ำเพลงตลอดเวลาที่ขับรถ  พรางนึกถึงหญิงสาวคนนั้นไปตลอดทาง  พรางแอบคิดไปว่า  พรุ่งนี้ตัวเขาจะได้เจอหญิงสาวคนนั้นไหมนะ  ทำความรู้จักเอาไว้ดีรึเปล่า  หรือตัวเราควรทำอย่างไรดี  เขาคิดไปต่างๆนานา  จนได้ข้อสรุปว่า  ไม่สมกับเป็นเสือเลย  เสือที่ไหนจะมานั่งนึกถึงผู้หญิงแบบนี้  เป๊นเสือก็ต้องฟันอย่างเดียวสิ 

ร้านอาหาร

   เมื่อทั้งคู่สั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว  มาวินจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้เจอกับหญิงสาวคนนั้น  ให้เพื่อนของเขาฟังอย่างละเอียด  พร้อมทั้งบอกอาการที่ตนเป็นอยู่ตอนนี้  ให้เพื่อนได้ฟังด้วย

                      “สรุปกูเป็นอะไรวะ”

   ชาติชายส่ายหัวพร้อมถอนหายใจออกมา

                      “สงสารผู้หญิงคนนั้นว่ะ  ที่ต้องมาเจอผู้ชายแบบมึง”

   คำพูดของเพื่อนเขา  มันไปสะกิดต่อมโมโหของมาวินเข้าให้เต็มๆ

                      “ทำไมวะ  ผู้ชายอย่างกูมันเป็นยังไง”

                      “รักสนุกไปวัน  งานการไม่อยากทำถ้าไม่โดนพ่อบังคับ  และที่สำคัญ  ไม่เคยจริงใจกับสาวใดเลยแม้แต่คนเดียว”

   สิ้นเสียงชาติชาย  มาวินถึงกับสะอึกออกมา  เพราะที่เพื่อนเขาพูดนั้น  ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น  แต่กระนั้น  ชาติชายก็พูดต่อไปอีก

                      “แต่อาการแบบนี้  ก็เข้าใจได้  ว่ามึงเอง  อาจจะเผลอชอบผู้หญิงคนนั้นเข้าให้แล้ว”

   มาวินหน้าแดงออกมา  เมื่อบอกพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมา

                      “มันได้ด้วยเหรอวะ  คนเราเจอหน้ากันยังไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ”

                      “มันก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ  ไม่งั้นเขาจะมีคำว่า ‘รักแรกพบ’ ได้ยังไงกันเล่า  แต่ถ้ามึงอยากรู้จักเขาจริงๆนะ  กูแน่ะนำว่า  พรุ่งนี้  มึงลองไปหาเขาดู  และถ้ามึงเข้าไปใกล้เขา  แล้วใจมึงเต้นระระว  จนทำอะไรไม่ถูก  นั่นแหล่ะมึงชอบเขา  ส่วนที่เหลือ  ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว  ว่ามึงจะเอายังไงกับเขาต่อไป”

   พูดจบ  อาหารที่พวกเขาสั่ง  ก็มาวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาอยู่เต็มไปหมด  แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้กิน  ก็มีหญิงสาวจากโต๊ะข้างๆ  เข้ามาขอเบอร์โทรศัพท์ของมาวิน  แต่มาวินเลือกที่จะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นไป  จนชาติชายเห็น  ชาติชายเองยังตกใจ  เพราะปกติถ้ามาแบบนี้  เพื่อนของเขาคงมีผู้หญิงติดไม้ติดมือกลับไปด้วยแล้วเป็นแน่

                      “เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ”

                      “นานๆทีป่าววะมึง”

                      “แต่ปกติ  มาแบบนี้  มึงไม่เคยปล่อยให้รอด”

                      “เออ  คงเพราะผู้หญิงคนนั้นมั้ง”

   ว่าแล้วทั้งคู่จึงนั่งกินข้าวกันไป  และคุยกันไปเรื่องต่างๆนานา  ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไป  โดยในค่ำคืนนั้น  มาวินเอาแต่เฝ้าคิดถึงหญิงสาวคนนั้น  เขาภาวนา  ขอให้พรุ่งนี้ได้เจอเธออีกสักครั้งนึง  เพื่อให้แน่ใจว่า  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น  มันเป็นเรื่องจริง  ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง

วันต่อมา

   โดยในวันนี้  เขารีบมาที่บริษัทแต่เช้า  เพื่อที่ว่าเขาจะได้เจอผู้หญิงคนนั้น  และจะได้ทักทายทำความรู้จักกันไป  แต่รอแล้วรอเล่า  ก็ยังไม่พบหน้าเธอ  ผู้เป็นดั่งหญิงในความฝันเสียที  เขาจึงตัดใจ  และเดินเข้าไปในบริษัทอย่างเศร้าสร้อย  พรางคิดว่า

                      -ชาตินี้เราคงไม่มีบุญวาสนาต่อกันแล้ว

   แต่ยังไม่ทันจะคิดจบดี  ที่มุมเดิมที่เขาได้เจอกับเธอเมื่อวาน  ในวันนี้เองเขาได้ชนกับหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง  ภาพเดิมที่มุมเดิม  หญิงสาวคนนั้นเอง  ก็พูดคำเดิมออกมา

                      “ขอโทษค่ะๆ”

   เมื่อมาวินเห็นดังนั้น  เขาจึงยิ้มได้อีกครั้ง  แต่ในใจของเขานั้น  เสียงหัวใจมันเต้นโครมครามออกมายกใหญ่  ด้วยความตื่นเต้น  อย่างที่ชาติชายเคยบอกเอาไว้ก็มิปาน  ก่อนที่เขาจะประครองร่างของหญิงสาวให้ยืนขึ้นมา  และถามกับหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

                      “เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”

   หญิงสาวจึงทำเช่นเดิม  คือยกนาฬิกาขึ้นมาดู  และพูดประโยคเดิม

                      “ไปส่งเอกสารสายแล้ว-ขอตัวก่อนนะค๊ะ”

   แต่ในครั้งนี้  เมื่อชายหนุ่มเห็นหญิงสาวกำลังจะจากไป  เขาจึงรีบคว้าแขนของหญิงสาวคนนั้นไว้ 

                      “เดี๋ยวสิคุณ  ผมยังไม่ทันได้คุยอะไรกับคุณเลยนะ”

                      “แต่ชั้นรีบไปทำงานนิค๊ะ”

                      “งั้นผมขอช่องทางติดต่อคุณไว้ได้ไหม  อะไรก็ได้  เฟส  ไลท์  หรือเบอร์ก็ได้”

                      “เอาไปทำไมค๊ะ?”

                      “ก็เอาไว้คุยกันไง  นะนะ”

   เมื่อมาวินคะยันคะยอแบบนั้น  หญิงสาวจึงยอมใจอ่อน  และหันกลับมาคุยกับมาวินแบบดีๆ  โดยที่เธอเอง  ก็ให้ช่องทางการติดต่อกับชายหนุ่ม  ตามที่ชายหนุ่มขอเอาไว้  และทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไป  โดยที่วันนั้นก็เป็นอีกวัน  ที่มาวินเองก็ไม่เป็นอันทำงาน  เพราะในใจของเขา  มีแต่เรื่องของหญิงสาวคนนั้นเต็มไปหมด  เมื่อเลิกงาน  มาวินเองก็ไม่รอช้า  เขารีบทักหาหญิงสาวโดยทันที

                      “กลับบ้านแล้วเหรอคุณ”

   ซึ่งตัวขาทักไว้เพียงแค่นั้น  โดยที่หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลย  ตัวเขาที่ยืนรอหญิงสาวอยู่หน้าบริษัท  หวังจะได้ทำความรู้จักกับเธออีกสักหน่อย  เป็นอันต้องยอมแพ้  และกลับบ้านไปแต่โดยดี  แต่ดูเหมือนในค่ำคืนนั้น  ตัวเขาจะไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว  เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน  หญิงสาวก็ได้ตอบข้อความเขากลับมา

                      “ค่ะพอดีพึ่งถึงบ้าน  เลยพึ่งเห็นข้อความน่ะค่ะ”

   ประโยคเพียงสั้นๆ  แต่ทำให้ชายหนุ่มมีรอยยิ้มออกมาได้อย่างชื่นบาน  โดยที่เขาเอง  ได้เอ่ยถามชื่ของหญิงสาวไป

                      “เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลยอ่ะ  ผมชื่อมาวินนะ  คุณล่ะ”

                      “ชั้นชื่อ  เอิญ  ค่ะ”

   โดยในค่ำคืนนั้น  ทั้งคู่ต่างคุยกันจนดึกดื่น  ส่วนหัวใจของมาวินในยามนั้น  มันช่างพองโต  ราวกับว่า  เขาได้เจอกับรักแรกพบของเขาก็มิปาน

วันต่อมา

   โดยในวันนี้  เป็นวันแรก  ที่เขาเข้ามารับตำแหน่งต่อจากพ่อของเขาอย่างเต็มตัว  โดยที่คนในบริษัทต่างทราบโดยทั่วกัน  ว่าบัดนี้เรามีบริษัทของเราได้มีประธานคนใหม่แล้ว

                      “สุดท้ายมึงก็ได้ทำความรู้จักเขาแล้ว” ชาติชายเอ่ยถาม

   มาวินพยักหน้าตอบรับ  โดยที่ตัวเขานั้น  นั่งบิดไปมาบนเก้าอี้ด้วยความเขิลอาย  แต่ชาติชายเอง  ก็ไม่ได้เชื่อในตัวเพื่อนของเขาเท่าไหร่  ด้วยว่าที่ผ่านมา  ตัวเพื่อนของเขานั้น  ไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน  ผู้หญิงทุกคน  ล้วนแล้วแต่ผ่านมา  แล้วก็ผ่านไป  บางคนรู้จักกันแค่คืนเดียวด้วยซ้ำไป  คนนี้เอง  เขาก็ไม่รู้ว่าเพื่อนของเขานั้น  จะเป็นแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

                      “จะไหวเร้อ  เดี๋ยวสุดท้ายมึงก็ทิ้งเขาอยู่ดี”

                      “แต่คนนี้  กูรู้สึกไม่เหมือนกับคนอื่นเขานะเว้ย  กูรู้สึกว่า  เหมือนโหยหาเขามาเนิ่นนาน  แล้วสุดท้าย  กูก็ได้เจอเขาเสียที”

   ชาติชายส่ายหัวให้กับความน้ำเน่าของเพื่อนตน

                      “แล้วแต่มึงแล้วกัน  เพราะกูห้ามยังไง  มึงก็คงไม่เชื่อกูหรอก”

   พูดจบ  ชาติชายจึงลุกออกไป  มาวินที่เห็นเพื่อนของตนลุกออกไป  เขาจึงตะโกนถามไป

                      “แล้วมึงจะไปไหนว่ะ”

                      “กูก็ไปทำงานของกูบ้างสิ”

   สิ้นเสียงชาติชาย  มาวินได้ยิ้มออกมา  เขาเองสัมผัสได้  ถึงเพื่อนของเขาจะว่าเขาอย่างไร  แต่สุดท้ายตัวมันเอง  ก็เป็นห่วงเขาไม่แพ้พ่อแม่ของเขาเลย  หลังจากวันนั้น  มาวินกับเอิญ  จึงเริ่มต้นคุยกันอย่างจริงจัง  ทั้งคู่ต่างทำความรู้จักกันมากมาย  ซึ่งจากที่คุยกัน  มาวินเองก็สัมผัสได้  ว่าเอิญเป็นผู้หญิงที่ติดดิน  ไม่เห็นแก่เงินทองมากมาย  และเป็นคนที่รักครอบครัวมากด้วย  นั่นจึงไม่ยากเลย  ที่มาวินเอง  จะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้  มาวินจึงตัดสินใจ  ที่จะขยับความสัมพันของเขากับเอิญขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง  ด้วยการที่เขารวบรวมความกล้านัดเอิญไปกินข้าวด้วยกัน

                      “พรุ่งนี้ว่างไหมคุณ”

                      “หลังจากเลิกงาน  ก็ไม่ได้ไปไหนนะ  ทำไมเหรอ?”

                      “ผมอยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยกันน่ะ”

   เอิญนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง  เธออ่าน  แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอยู่พักใหญ่

                      “พาเพื่อนไปด้วยได้ไหม  ชั้นไม่เคยไปไหนกับผู้ชายสองต่อสองน่ะ”

   ประโยคที่เอิญบอกว่า ‘ไม่เคยไปไหนสองต่อสองกับผู้ชาย’ ทำให้มาวินเผลอหลุดยิ้มออกมา  โดยพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ด้วย  ต่างมองหน้ากัน  ว่าลูกชายของตนเองเป็นอะไร  ทำไมมันมานั่งยิ้มคนเดียวอยู่ตรงนี้  มาวินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และตอบเอิญกลับไปโดยทันที

                      “ได้สิ  เอาตามที่คุณสะดวกเลย”

   เมื่อคุยจบ  มาวินจึงตะโกนออกมาเสียงดัง  ด้วยความดีใจ  และวิ่งขึ้นห้องไป  ปล่อยให้พ่อกับแม่  ต้องยืนงงอยู่ตรงนั้น  แต่ตัวเขาเอง  ก็แอบคิดเหมือนเอิญอยู่อย่างนึง  นั่นคือตัวเขา  ก็จะพาเพื่อนไปด้วยเช่นกัน  เพราะเขาเองหลังจากวันที่ขอไลท์มาแล้ว  เขาก็ไม่ได้เจอเอิญอีกเลย  ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเจอกันส่วนตัวเป็นครั้งแรก  ทำให้ตัวเขารู้สึกปะหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เขาจึงยกหูดทรศัพท์  และโทรหาชาติชายโดยทันที

                      “ไอ้ชาย  พรุ่งนี้มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

                      “ไปไหนวะ?”

                      “ไปกินข้าวกับเอิญน่ะ”

                      “เอ้า  กินข้าวกับหญิง  มึงก็ไปเองดิ  จะชวนกูไปทำไม  กูไม่ได้จีบเขากับมึงด้วยซะหน่อย”

                      “แต่เขาก็พาเพื่อนมาด้วยนี่หว่า  แล้วอีกอย่าง  กูรู้สึกประหม่ายังไงบอกไม่ถูกว่ะ  นะนะ  ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”

   มาวินได้ยินเสียงเพื่อนของตนถอนหายใจออกมา

                      “ก็ได้  แต่มึงเลี้ยงนะ”

                      “เออมึงอยากกินอะไร  มึงสั่งเต็มที่เลย”

   ทั้งคู่ต่างตกลงกันในค่ำคืนนั้น  และวางสายแยกย้ายกันเข้านอนไป  โดยหลังจากที่มาวินเริ่มคุยกับเอิญ  เขาก็ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวไหนอีกเลย

สถานที่ราชการแห่งหนึ่งวันต่อมา(ตอนเย็น)

   หลังจากที่ชาติชายทำงานเสร็จ  เขาเตรียมเก็บของ  เพื่อที่จะไปรับมาวิน  ไปยังร้านอาหาร  ที่เขานัดกับเอิญไว้  แต่รัหว่างที่จะเดินออกไปนั้น  เขาได้กล่าวทักผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่หน้าตาและทรงผมน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่น  โดยเธอคนนั้นมีชื่อว่าอลิซ

                      “เย็นนี้ไปไหนไหมคุณ  ไปกินข้าวด้วยกันเปล่า”

                      “ขอโทษทีนะคุณ  วันนี้ชั้นมีนัดน่ะ”

   ชาติชายที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงทำหน้าประหลาดใจ  ปนใจหวิวๆนิดนึง

                      “นัดกับแฟนเหรอ?”

                      “บ้า  ชั้นมีแฟนที่ไหนเล่า  นัดกับเพื่อนน่ะ  เห็นว่ามันจะไปเจอหนุ่มครั้งแรก  เลยอยากให้ชั้นไปเป็นเพื่อนน่ะ  ก็นะคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ  จะไม่ช่วยก็ไม่ได้”

                      “จริงดิคุณ” ชาติชายแสดงสีหน้าตกใจออกมา “ผมเองก็นัดเพื่อนไว้เหมือนกัน  เพื่อนผมมันก็นัดเจอหญิง  และมันก็ชวนผมไปด้วย  เพราะมันเขิลเหมือนกัน  หรือว่าเพื่อนคุณกับเพื่อนผมจะ”

                      “ไม่หรอกมั้ง  อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”

                      “นั่นสิเนอะคุณ  คงเป็นไปไม่ได้”

   ทั้งคู่ต่างเดินไปและคุยกันไป  จนถึงรถใครรถมัน  และทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป  ชาติชายขับรถไปรับมาวินที่บริษัท

                      “ช้าจังวะ” มาวินพูดด้วยสีหน้าเหวี่ยงๆ

                      “ไอ้ห่า  รถมันก็ต้องติดมั้งสิวะ  นี่มันกรุงเทพนะ  ไม่ใช้ต่างจังหวัด  ที่ถนนจะโล่งตลอดทางเนี่ย”

   เมื่อชาติชายบ่นจบ  ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร  ที่มาวินกับเอิญตกลงกันว่าจะไป  โดยที่เมื่อลงรถมาได้  เขาจึงรีบยกหูโทรศัพท์  และโทรหาเอิญโดยทันที

                      “ถึงไหนแล้วคุณ”

                      “ใกล้ถึงแล้ว  แล้วคุณล่ะ?”

                      “ผมรออยู่ในร้านเรียบร้อยแล้ว”

   เมื่อมาวินวางสายไป  ได้มีรถเก๋งคันหนึ่ง  ขับเข้ามาจอดที่ข้างๆรถของชาติชาย  ซึ่งชาติชายเอง  รู้สึกสะดุดตากับรถคันนี้มาก  โดยที่เขาแอบนึกในใจ

                      -ทำไมรถคันนี้มันคุ้นจังวะ

    ด้วยเหตุนั้น  เขาจึงหันไปถามมาวิน

                      “ไอ้วิน  มึงเคยถามเอิญมะ  ว่าเพื่อนของเขาชื่ออะไร”

                      “ไม่เคยว่ะ  ทำไมวะ?”

                      “เปล่าๆไม่มีอะไรหรอก”

   เมื่อสิ้นเสียงชาติชาย  ทั้งเอิญและเพื่อนของเขาเธอ  จึงได้ลงจากรถมา  แต่เมื่อชาติชายเห็นหน้าเพื่อนของเอิญ  ตัวเขานั้นถึงกับต้องร้อง ‘อ้าว’ ออกมา  โดยที่ทั้งเอิญและมาวิน  ต่างต้องงงไปตามๆกัน  เพราะเพื่อนของเอิญนั้น  คืออลิซ  หญิงสาวที่บอกว่ามีธุระเมื่อครู่นี้เอง

                      “คุณเป็นเพื่อนกับเอิญเหรอ?”

                      “คุณเองก็  เป็นเพื่อนกับมาวินเหรอ?”

   ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไป  มาวินที่เห็นดังนั้น  เขาจึงเดินเข้ามาระหว่างสองคนนี้  เพื่อเบรกสถานการณ์

                      “สรุปพวกเธอทั้งคู่รู้จักกันเหรอ”

                      “ใช่ก็คุณอลิซน่ะ  เขาทำงานอยู่ที่เดียวกับกูไง”

                      “งั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก  ก็เข้าไปกินด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ  จะได้ทำความรู้จักสนิทสนมกันไว้  เนอะคุณ”

   มาวินหันไปหาเอิญ  เอิญยิ้มและพยักหน้าตอบรับ  โดยที่ทั้งสี่คนต่างมุ่งหน้าเข้าไปในร้าน  และสั่งอาหารมากินกัน  ทั้งสี่คนต่างทำความรู้จักกันในเรื่องต่างๆ  แต่ชาติชายกับอลิซนั้น  ไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกันเพิ่มเติม  เพราะทั้งคู่ต่างรู้จักกันดีอยู่แล้ว  ด้วยงานที่ทำร่วมกัน  แต่เอิญกับมาวินนั้น  พวกเขาทั้งคู่  ต่างคุยกันในทุกๆเรื่อง  รวมถึงเรื่องของพวกเขาเองด้วย  โดยที่มาวินทำให้เอิญ  และเพื่อนๆของเขา  หังเราะออกมาตลอดเวลา  มื้อนั้น  ถือเป็นมื้อที่พวกเขามีความสุขเป็นอย่างมากก็มิปาน  เมื่อกินข้าวเสร็จ  พวกเขาต่างแยกย้ายกันไป  โดยที่มาวินกลับกับชาติชาย  ส่วนเอิญเองก็กลับกับอลิซ  โดยที่ก่อนแยกย้าย  ทั้งคู่ต่างโบกมือล่ำลากัน

   เมื่อกลับมาถึงบ้าน  มาวินเองก็ไม่รอช้า  เขารีบยกสายโทรศัพท์ขึ้นมา  และโทรหาเอิญโดยทันที

                      “ถึงบ้านรึยังคุณ”

                      “พึ่งถึงเมื่อกี้นี่เอง”

                      “ขอบคุณนะ  ที่ยอมออกมากินข้าวกับผม”

                      “ไม่หรอก  ชั้นเองก็อยากเจอคุณเหมือนกัน”

   สิ้นเสียงเอิญ  ทั้งคู่ต่างเขิลกันอยู่สักพัก  ก่อนที่มาวินจะชวนเอิญ  ไปดูหนังกันในวันพรุ่งนี้  เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของทั้งคู่

วันต่อมา

   ทั้งคู่ต่างใช้เวลาทั้งวัน  ในการเสพความสุข  ของวันนั้นทั้งวัน  โดยที่ทั้งคู่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันมากมาย  ทั้งดู  กินข้าว  เดินซื้อของด้วยกัน  พูดคุยกันในเรื่องต่างๆมากมาย  โดยที่มาวินเอง  ไม่คิดที่จะล้วงเกินผู้หญิงคนนี้อย่างถึงเนื้อถึงตัวเลยแม้แต่น้อย  เป็นผู้หญิงคนแรก  ที่เขาคิดแบบนี้  โดยที่ผ่านมา  ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเขา  แค่วันเดียวเขาก็จบทุกอย่างลงได้แล้ว  ด้วยเรื่องบนเตียง  แต่กํบผู้หญิงคนนี้  ต่างออกไป  เขาอยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอ  มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง  และแม้นเขาจะได้ผู้หญิงคนนี้ทั้งใจทั้งกายแล้ว  เขาก็ปฏิญาติกับตนเองว่า  เขาจะไม่ทอดทิ้งเธอแน่นอน

   จนกระทั้งวันเวลาผ่านไป  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต่างเพิ่มทวีคูณมากคุณ  พวกเขาทั้วงคู่ต่างรู้จักนิสัยของกันและกันเป็นอย่างดีแล้ว  ชาติชายเองเมื่อเห็นเพื่อนเขาดูแลผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างดี  เขาก็ไว้วางใจ  ว่าเพื่อนของเขาคงรักผู้หญิงคนนี้จริง  เมื่อโอกาสมาถึง  มาวินได้ชวนเอิญ  ไปงานวัดแห่งหนึ่ง  แถวใจกลางกรุงเทพ  มันเป็นงานที่ใหญ่โตโออา  ผู้คนมากหน้าหลายตาตัวเดินกันอย่างล้นหลาม  แต่มันกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข  โดยที่คนทั้งคู่  ต่างเดินกันจนทั่วงานและเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว  ทั้งคู่จึงมานั่งพักกันยังริมคลอง  ที่มีลมพัดไหวไปมากระทบกับร่างกาย  จนเย็นสบาย  มันช่างสบโอกาสนัก  ที่มาวินเองจะทำในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้  โดยเขาหันไปหาเอิญด้วยสายตาที่มุ่งมั้น

                      “เอิญครับ”

                      “ค๊ะ”

   เมื่อเอิญเห็นสายตาที่จริงจังของมาวิน  เธอจึงหน้าแดงออกมา

                      “ได้โปรดคบเป็นแฟนกับผมด้วยนะครับ”

   เอิญได้เตรียมใจไว้อยู่แล้ว  ว่าสักวันนึง  วันนี้ต้องมาถึง  เธอได้คิดคำตอบ  ที่จะตอบผู้ชายคนนี้มาสักพักแล้ว  เธอจึงยิ้มให้กับชายคนนี้  ที่อยู่ตรงหน้าเธอ  พร้อมทั้งตอบออกไป

                      “คบค่ะ”

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา