หน่วยลับมังกรทมิฬ (The black Dragon Team)
-
เขียนโดย Yuanjinxia
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 19.26 น.
18 ตอน
3 วิจารณ์
8,448 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 20.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ดูละครย้อนดูตัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหอพักชั่วครั้งชั่วคราว
มายาหาหอพักได้ทันเวลาเพื่อให้ลูกน้องทั้งสองได้พักผ่อนจากการเดินทางที่ยาวนาน สำหรับการไล่ล่าคนร้ายตามรายงานที่ได้รับจากสายข่าวของหน่วยอินทรีเงา
“อ๊อก!! แหวะ!” แชนปล่อยอาหารเช้าที่กินระหว่างเดินทางออกมาจนหมด “อุ๊บ! อ๊อก!”
“รอเดี๋ยว” ปราณกำลังผสมยาแก้คลื่นไส้สูตรพิเศษให้แชน แต่ชายหนุ่มแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่จะเอ่ยปาก
“ข้า…เกลียด…เมืองนี้ อ๊อก!” ชายหนุ่มนั่งกอดกระโถน อาเจียนต่อไม่หยุดแม้ว่าจะไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้วก็ตาม
“ถ้าไม่ไหวข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อน เพราะดูแล้วคงต้องทนดมไปอีกนาน” มายายืนกอดอกมองสภาพน่าเวทนาของลูกน้อง
“ไม่ๆ ข้าหายแล้ว อึก! หายแล้ว” คนที่อยากอยู่ทำงานต่อรีบปฏิเสธ เอาผ้าขนหนูอุดปากตนเองไว้
“เอ้าดื่มซะ” ปราณยื่นแก้วยาให้
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่ยาพิษ” เขาถามพลางก้มมองน้ำสีดำข้นในแก้ว ด้วยท่าทางพะอืดพะอมขั้นสุด
“กินๆ ไปเถอะน่า!” สาวผมสั้นเริ่มหงุดหงิดเธอจับศีรษะชายหนุ่มมาใกล้ๆ แล้วเอาแก้วมาจ่อที่ปากเขาพยายามบังคับให้ดื่มให้หมด
“อัก! แคก! แคก! ยัยปีศาจ ข้าจะตายเพราะเจ้าเนี่ยแหละ แคก!” แม้จะสำลักยาแต่แชนก็ยอมดื่มมันจนหมด
ช่วงเวลาพลบค่ำหลังจากที่แชนนอนหลับไปนาน ในที่สุดชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาคึกคักได้อีกครั้งเพราะยาสูตรพิเศษของปราณ ทำให้เขาถึงกลับต้องรีบมาขอบคุณเธอ
“ฮ่าฮ่า ข้ายังไม่ตายเจ้าเห็นรึเปล่า” แชนกระดี๊กระด๊าเดินหมุนตัวไปรอบๆ ห้องพัก “ยาพิษของเจ้ามันได้ผล ขอบใจนะ” เขาส่งยิ้มตาหยีพลางตบป้าบไปที่บ่าของหญิงสาวสองที
“จ๊ะ ดีใจด้วยนะ” เธอตอบแล้วลูบบ่าตนเองเบาๆ เพราะแรงของอีกฝ่ายที่ส่งมาดูจะหนักเกินไปหน่อย
“หายก็ดีแล้วมานั่งนี่” มายาที่กำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงานหันมาเรียก
แชนเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้อย่างว่าง่าย ปราณก็ขยับที่นั่งของตนเข้ามาฟังใกล้ๆ เช่นกัน
“ถ้าพรุ่งนี้ไหวก็เริ่มงานกันได้เลย” ผู้เป็นหัวหน้าสั่ง “จดหมายล่าสุดที่ได้รับจากหน่วยอินทรีเงาบอกว่าที่หัวขโมยเลือกจะซ่อนตัวที่นี่ เพราะเมืองซินเนียเป็นบ้านเกิดของเจ้านั่น”
“พวกเราต้องทำอะไรบ้าง” แชนถาม
“เจ้าเอานี่ไป” มายายื่นม้วนภาพขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือส่งให้แชน “เป็นภาพวาดคนร้ายตามคำบอกเล่าของคนในหน่วยเต่าแห่งปราชญ์ เอาไปสืบจากคนท้องถิ่นแถวนี้ ดูว่ามีใครรู้จักบ้าง เอาข้อมูลมาให้มากที่สุด”
“รับทราบ” แชนยื่นมือไปรับม้วนภาพมาดู ซึ่งมันเล็กมากจนมองได้ไม่ค่อยถนัด
“ส่วนปราณ เจ้าไปสืบทางออกจากเมืองทุกเส้นทางที่สามารถใช้ได้ เขียนมาให้ละเอียดแล้วนำมันมาให้ข้า ข้าจะวิเคราะห์ทางหนีของคนร้าย”
“รับทราบค่ะ” ปราณก้มศีรษะรับคำสั่งอย่างอ่อนน้อม
“ตอนนี้เรายังไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าหัวขโมยคนนั้นใช่ไหม” ชายหนุ่มถามต่อ
“ยัง เห็นว่าล่าสุดสายข่าวของอินทรีเงาคลาดสายตาจากคนร้ายไปแล้ว”
“แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนร้ายยังอยู่ที่เมืองหรือไปแล้ว” ปราณสงสัยเช่นกัน
“ในรายงานไม่ได้แจ้งมา บอกแค่ว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายกำลังรอเพื่อติดต่อกับกบฏคนอื่นๆ จึงน่าจะยังไม่ออกจากเมือง”
“เยี่ยมไปเลย อย่างนี้ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยสินะ ปล่อยให้มันติดต่อกันแล้วเราค่อยรวบทีเดียว” แชนถึงกับดีดนิ้วเป๊าะอย่างถูกใจ
ชายหนุ่มหวังจะสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับแก่หัวหน้าและผู้บัญชาการใหญ่ เพื่อโอกาสในการรับโบนัสก้อนโตช่วงสิ้นปี เขาจะได้ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหลังจากเสียพนันให้เลโอจนหมดตัว แต่คำตอบของหัวหน้าทำให้เขาต้องฝันสลาย
“ยังก่อน คิดแค่เรื่องชิงแผนที่ก็พอ เราได้รับคำสั่งมาแค่นั้น”
ห้าวันต่อมา แชนยังคงวนเวียนอยู่ในละแวกเดิมไม่ไปไหน ชายหนุ่มยังไม่ได้เบาะแสอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีเพียงปราณที่ต้องขี่ม้าตระเวนไปรอบเมือง เพื่อหาดูทางหนีทีไล่ที่อยู่นอกเหนือจากแผนที่ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ช่วงเช้า หลังจากที่ได้รับจดหมายจากหน่วยอินทรีเงาส่งมายืนยันที่อยู่ล่าสุดของหัวขโมย หญิงสาวก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องอีกคนไปทำหน้าที่สืบประวัติคนร้ายมาอย่างด่วนที่สุด ก่อนจะมีการเคลื่อนย้าย 'ของ' หนีไปเร็วๆ นี้
ส่วนตัวมายาเอง เธอได้คาดเดาสถานที่ที่จะใช้หลบหนีของคนร้ายเอาไว้คร่าวๆ แล้วสองแห่ง และหนึ่งในนั้นก็ถูกต้องตรงกับรายงานที่หน่วยอินทรีเงาส่งมาให้พอดี เธอจึงไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากรอข่าวที่ให้ไปสืบของลูกน้อง
ตลาดมวลผกา
ตลาดมวลผกาเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซินเนีย ที่มีร้านค้าขายดอกไม้แปรรูปจำนวนมากไม่ต่างจากที่อื่นๆ จะต่างกันก็เพียงแค่ตลาดแห่งนี้ดูจะครื้นเครงกว่าอยู่สักหน่อย ด้วยมีโรงละครและคณะตลกเดินทางมาปักหลักทำการแสดงอยู่หลายวัน
มายาที่ทำงานหนักออกสำรวจไปตามพื้นที่ต้องสงสัยต่างๆ มาหลายวัน เพิ่งจะได้มีเวลาพักเป็นส่วนตัว หญิงสาวเดินผ่อนคลายไปเรื่อยๆ ก็เห็นกลุ่มคนหลากเพศหลายวัยกำลังจับจองที่นั่งหน้าเวทีกันอย่างคึกคัก
ตึง! ตึง! แต็ก! ตึง! ตึง! แต็ก!
จู่ๆ ก็มีเสียงกลองรัวขึ้นเป็นจังหวะตามด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและปรบมือของผู้คนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พร้อมๆ กับจังหวะกลองนั้น แล้วเมื่อเสียงหยุดลงก็มีชายสูงวัย จมูกโต ใส่กางเกงขายาวสูงถึงเอว ออกมายืนโบกไม้โบกมือให้กับให้กับฝูงชน
“เฮ้! วู้ฮู้!”
“ดูนั่นสิ! เขาออกมาแล้ว”
“สวัสดีผู้ชมที่รักทุกท่าน พบกับข้าน้อยอีกแล้วในวันดีๆ เช่นนี้” ชายสูงวัยกวาดสายตาไปหาทุกคน “แน่นอนว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่คณะละคร ‘ยิ้มแฉ่ง’ มีโอกาสได้เล่นให้ทุกท่านดู แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าเราต้องเก็บเรื่องที่แสนยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ในวันสุดท้าย”
“เย้! วู้ฮู้! เริ่มเลย เริ่มเลย”
“พร้อมจะชมกันหรือยัง!” พิธีกรทำท่าป้องหูฟังเสียงผู้ชม
“พร้อมแล้ว!!!”
“เอาเลย อยากดูแล้ว!”
“ขอแบบขำสุดๆ ไปเลยนะ!”
ทุุกคนพากันตะโกนและพร้อมใจกันปรบมือเป็นกำลังใจให้นักแสดง ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบเสียงลงรอชมสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจบนเวที
“ถ้าพร้อมแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับละครที่มีชื่อเรื่องว่า ‘สงครามปีศาจกับทับทิมแห่งความตาย!!’ ” เมื่อพูดจบเขาก็โค้งคำนับแล้วเดินหายเข้าฉากด้านข้างเวทีไป
มายาที่เริ่มสนใจละครชื่อแปลกเรื่องนี้ตัดสินใจนั่งลงบนพื้นห่างไกลจากเวที แต่ก็พอจะมองเห็นและได้ยินเสียงการแสดงชัดเจน
ผู้ชมที่รอชมละครตลกอาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะเรื่องที่นักแสดงกำลังเล่นอยู่นี้หาความขบขันไม่เจอเลยสักนิด กลับกันผู้ชมที่นั่งดูอยู่กลับรู้สึกเดือดดาลและโกรธแค้นกันเป็นอย่างมาก จนบางคนถึงกับด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเลยก็มี
“เจ้ามนุษย์ไพรต่ำต้อย ไสหัวออกไปจากดินแดนแห่งนี้ซะ!!” เสียงของชายใส่ผมปลอมสีแดงที่พยายามดัดเสียงของตัวเองให้แหลมเล็ก พร้อมทำท่าชี้นิ้วกรีดกรายไปยังชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนประจันหน้าอยู่
“เจ้าสิที่ต้องออกไป! ดินแดนนี้เป็นของพวกเรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ใครที่บังอาจมารุกราน ข้าก็พร้อมจะต่อสู้” ชายหนุ่มผมดำตอบกลับด้วยเสียงขึงขังพร้อมชักดาบออกมา
“ตายซะเถอะเจ้าพวกชั้นต่ำ!” ชายใส่ผมปลอมสีแดงพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมกับตรงเข้าไปบีบคออีกฝ่ายทันที
ชายหนุ่มยืนตัวแข็งปล่อยดาบหลุดจากมือ ในขณะที่กำลังจะสิ้นใจนั้นเอง ก็มีชายอีกคนแต่งตัวคล้ายคนแก่เดินออกมาจากข้างเวที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพวกปีศาจผิวแดง!!”
คำพูดของผู้ที่เดินออกมาใหม่ ปลุกใจผู้ชมที่นั่งดูอยู่ได้ดีมาก พวกเขาพากันโห่ร้องปรบมือด้วยความยินดีและตะโกนออกไปด้วยความโกรธแค้น ‘ฆ่าเจ้าปีศาจนั่นเลย’ ‘ตัดหัวมันซะ’
“มาตายอีกคนแล้วเหรอ ฮี่ฮิฮี่ฮี่” เสียงหัวเราะแหลมเล็กเปล่งออกมา พร้อมกับปล่อยคอของชายหนุ่มออกจากมือ
ทันใดนั้นเอง ก็มีชายร่างกำยำอีกสองคนโผล่มาด้านหลัง เข้ามาล็อกที่แขนทั้งสองข้างของชายที่ใส่ผมปลอมสีแดง เขาแผดเสียงดังลั่นและดิ้นสุดแรง
“กล้าดียังไงมาแตะตัวข้า! ปล่อยนะเจ้าพวกโสโครก!” เขาพูด
ชายที่แต่งตัวเหมือนคนแก่ ชูอัญมณีสีแดงเข้มขึ้นฟ้า คนที่โดนล็อกตัวอยู่มีสีหน้าตกใจอย่างหนัก
“เจ้าเอามันมาได้ยังไง!” เขาตะโกนถาม
“สิ่งนี้เองสินะที่ทำให้พวกเจ้าเอาชนะเราได้ แต่วันนี้ข้าจะใช้มันต่อสู้และขับไล่พวกเจ้าออกไปเอง!”
ผู้ชมปรบมือและส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น นี่คงเป็นฉากที่ทุกคนรอคอย เมื่อชายแก่ถืออัญมณีสีแดงไว้และทำท่าปล่อยพลังเวทมนตร์ใส่ โดยการยื่นก้อนหินสีแดงออกไปข้างหน้า ก่อนจะดึงเอามีดสั้นวิ่งเข้าโจมตีเสียบเข้าสีข้างชายผมแดง จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
ร่างไร้วิญญาณของเผ่าพันธุ์ผู้บุกรุกล้มลงไปนอนกองที่พื้น ผู้ชมทุกคนยืนขึ้นปรบมือ และส่งเสียงให้กำลังใจนักแสดง
“เฮ้! เฮ้! สนุกดี”
“ข้าหลงรักเรื่องนี้”
“เอาอีก เอาอีก”
พวกเขาพยายามขอร้องให้มีการแสดงต่อ แต่ผู้ดูแลคณะละครที่ยืนอยู่ข้างเวที ได้รูดผ้าม่านสีแดงเข้าหากัน เป็นอันปิดฉากการแสดงอันน่าประทับใจที่จำลองภาพเหตุการณ์ในอดีตให้ผู้ชมได้ดู
มายานั่งดูละครจำอวดนี้อย่างเงียบๆ ไม่แสดงท่าทีใดออกมาจนจบเรื่อง บัดนี้สายตาของหญิงสาวจับจ้องไปยังผู้คนที่ทยอยเดินจากไป แชนที่ไม่รู้ว่ามาจากทางไหน จู่ๆ ก็เดินมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นขนมปังให้เธอหนึ่งแผ่น
“ไม่ยักรู้ว่าท่านชอบดูละคร” เขาเอ่ยแซว
“ข้าชอบดูคนที่มาดูละครมากกว่า” เธอพูดและรับเอาขนมปังมากัดคำเล็กๆ “พวกเขาใส่อารมณ์กับละคร อย่างกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง”
“แต่ละครมันก็มาจากเรื่องจริงนะหัวหน้า”
“เรื่องจริงมีเพียงแค่ มนุษย์ก่อสงครามไร้สาระขึ้นมา แล้วห้ำหั่นกันจนถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์ แค่นั้น”
“ก็นะ” ชายหนุ่มยักไหล่ “ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา หากมนุษย์ไพรไม่ฆ่าก็ต้องถูกมณีมานฆ่า หนึ่งในบทเรียนของเด็กฝึก ท่านน่าจะจำมันได้ดีกว่าข้า”
“ข้าต้องจำได้อยู่แล้ว” มายาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ต้องฆ่าก่อน ก่อนที่เขาจะฆ่าเรา” แววตาของเธอไหววูบลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมานิ่งสงบเช่นเดิม
“ก็เหมือนที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ ฆ่ากบฏ ก่อนที่มันจะฆ่าเรา”
คำพูดของแชนสะกิดโดนความรู้สึกลึกๆ ของมายาเข้าอย่างจัง ที่ผ่านมามีใครเคยโดยกบฏฆ่าตายก่อนด้วยหรือนอกจากที่พวกเขาทำเพื่อปกป้องชีวิตตนเอง้ท่านั้น แท้จริงแล้วการไล่ล่าสังหารกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากสงครามที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเลยสักนิด
มายาหาหอพักได้ทันเวลาเพื่อให้ลูกน้องทั้งสองได้พักผ่อนจากการเดินทางที่ยาวนาน สำหรับการไล่ล่าคนร้ายตามรายงานที่ได้รับจากสายข่าวของหน่วยอินทรีเงา
“อ๊อก!! แหวะ!” แชนปล่อยอาหารเช้าที่กินระหว่างเดินทางออกมาจนหมด “อุ๊บ! อ๊อก!”
“รอเดี๋ยว” ปราณกำลังผสมยาแก้คลื่นไส้สูตรพิเศษให้แชน แต่ชายหนุ่มแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่จะเอ่ยปาก
“ข้า…เกลียด…เมืองนี้ อ๊อก!” ชายหนุ่มนั่งกอดกระโถน อาเจียนต่อไม่หยุดแม้ว่าจะไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้วก็ตาม
“ถ้าไม่ไหวข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อน เพราะดูแล้วคงต้องทนดมไปอีกนาน” มายายืนกอดอกมองสภาพน่าเวทนาของลูกน้อง
“ไม่ๆ ข้าหายแล้ว อึก! หายแล้ว” คนที่อยากอยู่ทำงานต่อรีบปฏิเสธ เอาผ้าขนหนูอุดปากตนเองไว้
“เอ้าดื่มซะ” ปราณยื่นแก้วยาให้
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่ยาพิษ” เขาถามพลางก้มมองน้ำสีดำข้นในแก้ว ด้วยท่าทางพะอืดพะอมขั้นสุด
“กินๆ ไปเถอะน่า!” สาวผมสั้นเริ่มหงุดหงิดเธอจับศีรษะชายหนุ่มมาใกล้ๆ แล้วเอาแก้วมาจ่อที่ปากเขาพยายามบังคับให้ดื่มให้หมด
“อัก! แคก! แคก! ยัยปีศาจ ข้าจะตายเพราะเจ้าเนี่ยแหละ แคก!” แม้จะสำลักยาแต่แชนก็ยอมดื่มมันจนหมด
ช่วงเวลาพลบค่ำหลังจากที่แชนนอนหลับไปนาน ในที่สุดชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาคึกคักได้อีกครั้งเพราะยาสูตรพิเศษของปราณ ทำให้เขาถึงกลับต้องรีบมาขอบคุณเธอ
“ฮ่าฮ่า ข้ายังไม่ตายเจ้าเห็นรึเปล่า” แชนกระดี๊กระด๊าเดินหมุนตัวไปรอบๆ ห้องพัก “ยาพิษของเจ้ามันได้ผล ขอบใจนะ” เขาส่งยิ้มตาหยีพลางตบป้าบไปที่บ่าของหญิงสาวสองที
“จ๊ะ ดีใจด้วยนะ” เธอตอบแล้วลูบบ่าตนเองเบาๆ เพราะแรงของอีกฝ่ายที่ส่งมาดูจะหนักเกินไปหน่อย
“หายก็ดีแล้วมานั่งนี่” มายาที่กำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงานหันมาเรียก
แชนเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้อย่างว่าง่าย ปราณก็ขยับที่นั่งของตนเข้ามาฟังใกล้ๆ เช่นกัน
“ถ้าพรุ่งนี้ไหวก็เริ่มงานกันได้เลย” ผู้เป็นหัวหน้าสั่ง “จดหมายล่าสุดที่ได้รับจากหน่วยอินทรีเงาบอกว่าที่หัวขโมยเลือกจะซ่อนตัวที่นี่ เพราะเมืองซินเนียเป็นบ้านเกิดของเจ้านั่น”
“พวกเราต้องทำอะไรบ้าง” แชนถาม
“เจ้าเอานี่ไป” มายายื่นม้วนภาพขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือส่งให้แชน “เป็นภาพวาดคนร้ายตามคำบอกเล่าของคนในหน่วยเต่าแห่งปราชญ์ เอาไปสืบจากคนท้องถิ่นแถวนี้ ดูว่ามีใครรู้จักบ้าง เอาข้อมูลมาให้มากที่สุด”
“รับทราบ” แชนยื่นมือไปรับม้วนภาพมาดู ซึ่งมันเล็กมากจนมองได้ไม่ค่อยถนัด
“ส่วนปราณ เจ้าไปสืบทางออกจากเมืองทุกเส้นทางที่สามารถใช้ได้ เขียนมาให้ละเอียดแล้วนำมันมาให้ข้า ข้าจะวิเคราะห์ทางหนีของคนร้าย”
“รับทราบค่ะ” ปราณก้มศีรษะรับคำสั่งอย่างอ่อนน้อม
“ตอนนี้เรายังไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าหัวขโมยคนนั้นใช่ไหม” ชายหนุ่มถามต่อ
“ยัง เห็นว่าล่าสุดสายข่าวของอินทรีเงาคลาดสายตาจากคนร้ายไปแล้ว”
“แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนร้ายยังอยู่ที่เมืองหรือไปแล้ว” ปราณสงสัยเช่นกัน
“ในรายงานไม่ได้แจ้งมา บอกแค่ว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายกำลังรอเพื่อติดต่อกับกบฏคนอื่นๆ จึงน่าจะยังไม่ออกจากเมือง”
“เยี่ยมไปเลย อย่างนี้ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยสินะ ปล่อยให้มันติดต่อกันแล้วเราค่อยรวบทีเดียว” แชนถึงกับดีดนิ้วเป๊าะอย่างถูกใจ
ชายหนุ่มหวังจะสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับแก่หัวหน้าและผู้บัญชาการใหญ่ เพื่อโอกาสในการรับโบนัสก้อนโตช่วงสิ้นปี เขาจะได้ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหลังจากเสียพนันให้เลโอจนหมดตัว แต่คำตอบของหัวหน้าทำให้เขาต้องฝันสลาย
“ยังก่อน คิดแค่เรื่องชิงแผนที่ก็พอ เราได้รับคำสั่งมาแค่นั้น”
ห้าวันต่อมา แชนยังคงวนเวียนอยู่ในละแวกเดิมไม่ไปไหน ชายหนุ่มยังไม่ได้เบาะแสอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีเพียงปราณที่ต้องขี่ม้าตระเวนไปรอบเมือง เพื่อหาดูทางหนีทีไล่ที่อยู่นอกเหนือจากแผนที่ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ช่วงเช้า หลังจากที่ได้รับจดหมายจากหน่วยอินทรีเงาส่งมายืนยันที่อยู่ล่าสุดของหัวขโมย หญิงสาวก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องอีกคนไปทำหน้าที่สืบประวัติคนร้ายมาอย่างด่วนที่สุด ก่อนจะมีการเคลื่อนย้าย 'ของ' หนีไปเร็วๆ นี้
ส่วนตัวมายาเอง เธอได้คาดเดาสถานที่ที่จะใช้หลบหนีของคนร้ายเอาไว้คร่าวๆ แล้วสองแห่ง และหนึ่งในนั้นก็ถูกต้องตรงกับรายงานที่หน่วยอินทรีเงาส่งมาให้พอดี เธอจึงไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากรอข่าวที่ให้ไปสืบของลูกน้อง
ตลาดมวลผกา
ตลาดมวลผกาเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซินเนีย ที่มีร้านค้าขายดอกไม้แปรรูปจำนวนมากไม่ต่างจากที่อื่นๆ จะต่างกันก็เพียงแค่ตลาดแห่งนี้ดูจะครื้นเครงกว่าอยู่สักหน่อย ด้วยมีโรงละครและคณะตลกเดินทางมาปักหลักทำการแสดงอยู่หลายวัน
มายาที่ทำงานหนักออกสำรวจไปตามพื้นที่ต้องสงสัยต่างๆ มาหลายวัน เพิ่งจะได้มีเวลาพักเป็นส่วนตัว หญิงสาวเดินผ่อนคลายไปเรื่อยๆ ก็เห็นกลุ่มคนหลากเพศหลายวัยกำลังจับจองที่นั่งหน้าเวทีกันอย่างคึกคัก
ตึง! ตึง! แต็ก! ตึง! ตึง! แต็ก!
จู่ๆ ก็มีเสียงกลองรัวขึ้นเป็นจังหวะตามด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและปรบมือของผู้คนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พร้อมๆ กับจังหวะกลองนั้น แล้วเมื่อเสียงหยุดลงก็มีชายสูงวัย จมูกโต ใส่กางเกงขายาวสูงถึงเอว ออกมายืนโบกไม้โบกมือให้กับให้กับฝูงชน
“เฮ้! วู้ฮู้!”
“ดูนั่นสิ! เขาออกมาแล้ว”
“สวัสดีผู้ชมที่รักทุกท่าน พบกับข้าน้อยอีกแล้วในวันดีๆ เช่นนี้” ชายสูงวัยกวาดสายตาไปหาทุกคน “แน่นอนว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่คณะละคร ‘ยิ้มแฉ่ง’ มีโอกาสได้เล่นให้ทุกท่านดู แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าเราต้องเก็บเรื่องที่แสนยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ในวันสุดท้าย”
“เย้! วู้ฮู้! เริ่มเลย เริ่มเลย”
“พร้อมจะชมกันหรือยัง!” พิธีกรทำท่าป้องหูฟังเสียงผู้ชม
“พร้อมแล้ว!!!”
“เอาเลย อยากดูแล้ว!”
“ขอแบบขำสุดๆ ไปเลยนะ!”
ทุุกคนพากันตะโกนและพร้อมใจกันปรบมือเป็นกำลังใจให้นักแสดง ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบเสียงลงรอชมสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจบนเวที
“ถ้าพร้อมแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับละครที่มีชื่อเรื่องว่า ‘สงครามปีศาจกับทับทิมแห่งความตาย!!’ ” เมื่อพูดจบเขาก็โค้งคำนับแล้วเดินหายเข้าฉากด้านข้างเวทีไป
มายาที่เริ่มสนใจละครชื่อแปลกเรื่องนี้ตัดสินใจนั่งลงบนพื้นห่างไกลจากเวที แต่ก็พอจะมองเห็นและได้ยินเสียงการแสดงชัดเจน
ผู้ชมที่รอชมละครตลกอาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะเรื่องที่นักแสดงกำลังเล่นอยู่นี้หาความขบขันไม่เจอเลยสักนิด กลับกันผู้ชมที่นั่งดูอยู่กลับรู้สึกเดือดดาลและโกรธแค้นกันเป็นอย่างมาก จนบางคนถึงกับด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเลยก็มี
“เจ้ามนุษย์ไพรต่ำต้อย ไสหัวออกไปจากดินแดนแห่งนี้ซะ!!” เสียงของชายใส่ผมปลอมสีแดงที่พยายามดัดเสียงของตัวเองให้แหลมเล็ก พร้อมทำท่าชี้นิ้วกรีดกรายไปยังชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนประจันหน้าอยู่
“เจ้าสิที่ต้องออกไป! ดินแดนนี้เป็นของพวกเรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ใครที่บังอาจมารุกราน ข้าก็พร้อมจะต่อสู้” ชายหนุ่มผมดำตอบกลับด้วยเสียงขึงขังพร้อมชักดาบออกมา
“ตายซะเถอะเจ้าพวกชั้นต่ำ!” ชายใส่ผมปลอมสีแดงพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมกับตรงเข้าไปบีบคออีกฝ่ายทันที
ชายหนุ่มยืนตัวแข็งปล่อยดาบหลุดจากมือ ในขณะที่กำลังจะสิ้นใจนั้นเอง ก็มีชายอีกคนแต่งตัวคล้ายคนแก่เดินออกมาจากข้างเวที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพวกปีศาจผิวแดง!!”
คำพูดของผู้ที่เดินออกมาใหม่ ปลุกใจผู้ชมที่นั่งดูอยู่ได้ดีมาก พวกเขาพากันโห่ร้องปรบมือด้วยความยินดีและตะโกนออกไปด้วยความโกรธแค้น ‘ฆ่าเจ้าปีศาจนั่นเลย’ ‘ตัดหัวมันซะ’
“มาตายอีกคนแล้วเหรอ ฮี่ฮิฮี่ฮี่” เสียงหัวเราะแหลมเล็กเปล่งออกมา พร้อมกับปล่อยคอของชายหนุ่มออกจากมือ
ทันใดนั้นเอง ก็มีชายร่างกำยำอีกสองคนโผล่มาด้านหลัง เข้ามาล็อกที่แขนทั้งสองข้างของชายที่ใส่ผมปลอมสีแดง เขาแผดเสียงดังลั่นและดิ้นสุดแรง
“กล้าดียังไงมาแตะตัวข้า! ปล่อยนะเจ้าพวกโสโครก!” เขาพูด
ชายที่แต่งตัวเหมือนคนแก่ ชูอัญมณีสีแดงเข้มขึ้นฟ้า คนที่โดนล็อกตัวอยู่มีสีหน้าตกใจอย่างหนัก
“เจ้าเอามันมาได้ยังไง!” เขาตะโกนถาม
“สิ่งนี้เองสินะที่ทำให้พวกเจ้าเอาชนะเราได้ แต่วันนี้ข้าจะใช้มันต่อสู้และขับไล่พวกเจ้าออกไปเอง!”
ผู้ชมปรบมือและส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น นี่คงเป็นฉากที่ทุกคนรอคอย เมื่อชายแก่ถืออัญมณีสีแดงไว้และทำท่าปล่อยพลังเวทมนตร์ใส่ โดยการยื่นก้อนหินสีแดงออกไปข้างหน้า ก่อนจะดึงเอามีดสั้นวิ่งเข้าโจมตีเสียบเข้าสีข้างชายผมแดง จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
ร่างไร้วิญญาณของเผ่าพันธุ์ผู้บุกรุกล้มลงไปนอนกองที่พื้น ผู้ชมทุกคนยืนขึ้นปรบมือ และส่งเสียงให้กำลังใจนักแสดง
“เฮ้! เฮ้! สนุกดี”
“ข้าหลงรักเรื่องนี้”
“เอาอีก เอาอีก”
พวกเขาพยายามขอร้องให้มีการแสดงต่อ แต่ผู้ดูแลคณะละครที่ยืนอยู่ข้างเวที ได้รูดผ้าม่านสีแดงเข้าหากัน เป็นอันปิดฉากการแสดงอันน่าประทับใจที่จำลองภาพเหตุการณ์ในอดีตให้ผู้ชมได้ดู
มายานั่งดูละครจำอวดนี้อย่างเงียบๆ ไม่แสดงท่าทีใดออกมาจนจบเรื่อง บัดนี้สายตาของหญิงสาวจับจ้องไปยังผู้คนที่ทยอยเดินจากไป แชนที่ไม่รู้ว่ามาจากทางไหน จู่ๆ ก็เดินมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นขนมปังให้เธอหนึ่งแผ่น
“ไม่ยักรู้ว่าท่านชอบดูละคร” เขาเอ่ยแซว
“ข้าชอบดูคนที่มาดูละครมากกว่า” เธอพูดและรับเอาขนมปังมากัดคำเล็กๆ “พวกเขาใส่อารมณ์กับละคร อย่างกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง”
“แต่ละครมันก็มาจากเรื่องจริงนะหัวหน้า”
“เรื่องจริงมีเพียงแค่ มนุษย์ก่อสงครามไร้สาระขึ้นมา แล้วห้ำหั่นกันจนถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์ แค่นั้น”
“ก็นะ” ชายหนุ่มยักไหล่ “ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา หากมนุษย์ไพรไม่ฆ่าก็ต้องถูกมณีมานฆ่า หนึ่งในบทเรียนของเด็กฝึก ท่านน่าจะจำมันได้ดีกว่าข้า”
“ข้าต้องจำได้อยู่แล้ว” มายาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ต้องฆ่าก่อน ก่อนที่เขาจะฆ่าเรา” แววตาของเธอไหววูบลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมานิ่งสงบเช่นเดิม
“ก็เหมือนที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ ฆ่ากบฏ ก่อนที่มันจะฆ่าเรา”
คำพูดของแชนสะกิดโดนความรู้สึกลึกๆ ของมายาเข้าอย่างจัง ที่ผ่านมามีใครเคยโดยกบฏฆ่าตายก่อนด้วยหรือนอกจากที่พวกเขาทำเพื่อปกป้องชีวิตตนเอง้ท่านั้น แท้จริงแล้วการไล่ล่าสังหารกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากสงครามที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเลยสักนิด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ