หน่วยลับมังกรทมิฬ (The black Dragon Team)

-

เขียนโดย Yuanjinxia

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 19.26 น.

  18 ตอน
  3 วิจารณ์
  8,442 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 20.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ชายแปลกหน้านามว่า ‘มูมุน’

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากเหตุการณ์ที่ทั้งสามคนพบใกล้กับโรงเตี๊ยมแห่งสัจจะ มายาเลือกที่จะมองผ่านแล้วเดินทางต่อ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นจัดการ เพราะพวกเธอได้รับหน้าที่เพียงนำของสำคัญกลับไปส่งเท่านั้น

 

รถม้าสีดำของขณะเดินทางจากหน่วยมังกรทมิฬแล่นผ่านถนนเส้นยาวสายเล็กเพื่อมุ่งหน้าสู่ เมืองหินผา เรียบสองข้างทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยต้นเรดโอ๊คขึ้นเรียงรายยาวไปตลอดแนว มีพุ่มไม้ ต้นหญ้าและดอกไม้เล็กๆ ขึ้นแซมระหว่างต้นเรดโอ๊กแต่ละต้น ส่งเสริมให้ทัศนียภาพของถนนเส้นนี้น่าดูชมยิ่งขึ้น

 

ยังมีฝูงผีเสื้อสีเหลืองอีกนับร้อยนับพันตัวบินวนเวียนอยู่ภายในทุ่งโล่งกว้าง ที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลจากแนวถนน ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้คงจะหาไม่ได้อีก เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตของรัฐจันทรา

 

ม้าใหญ่พวงพีที่ใช้เทียม วิ่งควบไปตามเส้นทางที่กำลังจะเข้าสู่เขตเมืองใหม่ แต่แล้วก็มีเหตุให้แชนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีต้องรีบหยุดม้ากะทันหัน

 

“หยุด!!!”

 

“ฮี่! ฮี่! ฟู่! ฟู่!” เสียงเจ้าม้าร้องดังปนหายใจแรงด้วยความตระหนก

 

“เกิดอะไรขึ้น!” ปราณที่นั่งอยู่ด้านในกับมายาตะโกนออกมาถาม หลังจากที่หน้าของเธอแทบคะมำไปกับพื้น

 

“มีไอ้เจ้าบ้าที่ไหนไม่รู้มาขวาง!” แชนกัดฟันกรอดแล้วกระโดดลงไปดู

 

มายาวางหนังสือที่อยู่ในมือ แล้วเปิดม่านออกมาสำรวจ เห็นชายผู้หนึ่งวัยประมาณห้าถึงหกสิบปี ท่าทางบาดเจ็บที่ต้นขาและหัวไหล่ มีเลือดไหลย้อยลงมาตามขมับล้มลงขวางรถม้าของเธออยู่

 

“ช่วยด้วย! ช่วยข้าที” เสียงแหบพร่าดังมาจากปากของชายผู้นั้น

 

“เจ้าถูกใครทำร้ายมา” แชนถามพร้อมกับช่วยพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้น

 

ชายสูงวัยส่ายหัว “ข้าไม่รู้จัก ข้าไม่รู้” เขาตอบ

 

“ท่านชื่ออะไร” มายาถามขึ้น หลังกระโดดลงมาจากรถ

 

มูมุน

 

“ปราณ ดูแผลให้มูมุนทีสิ”

 

“ค่ะ หัวหน้า” ปราณรับคำ แล้วรีบไปช่วยแชนพยุงให้มูมุนเดินไปนั่งพักที่หินก้อนใหญ่ข้างทาง

 

 

 

ฉึก!

 

เสียงมีดเล่มเล็กพุ่งแหวกอากาศไปปักคาอยู่กลางต้นไม้ต้นหนึ่ง ระยะห่างเกือบยี่สิบเมตรจากตัวผู้ที่ขว้างมันออกไป

 

เป็นฝีมือของมายานั่นเองที่เป็นคนส่งมีดเล่มนั้นไป เพื่อหวังขู่ให้คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ออกมาเผชิญหน้า

 

“เจ้าคงคิดว่าตัวเองแอบมิดแล้วสินะ” หญิงสาวกล่าวสีหน้านิ่งเรียบ “ไม่ยอมออกมาหน่อยเหรอ”

 

ผู้ที่ยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ยังคงเงียบไม่เคลื่อนไหว เขายืนลังเลอยู่นานว่าจะเผชิญหน้ากับหญิงผู้นี้เช่นไรโดยไม่ต้องถึงเลือดถึงเนื้อ ส่วนมายาที่ได้ยินเสียงกิ่งไม้และใบไม้ไหวตั้งแต่ตอนลงมาจากรถม้าก็ได้แต่ยืนคุมเชิงอีกฝ่ายอยู่ ยังไม่ยอมส่งมีดเล่มที่สองออกไป

 

เมื่อประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ บุคคลปริศนาที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม่จึงตัดสินใจขว้างมีดพกเล่มเล็กของตัวเองสวนกลับมา มายาใช้สัญชาตญาณเอี่ยวตัวหลบ ก่อนจะหันไปมองตามหลังของชายตัวโตผู้หนึ่ง ที่วิ่งซิกแซกหลบสายตาและอาวุธหนีหายไปหลังพุ่มไม้ใหญ่

 

 

 

ลูกน้องทั้งสองคนของมายายังคงง่วนกับการหาทางช่วยรักษาบาดแผลของชายสูงวัยบาดเจ็บ โดยไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นหัวหน้าที่ปามีดใส่บุคคลปริศนา หรือที่คนผู้นั้นปามีดสวนกลับมา เพราะทั้งคู่ต่างก็รู้ความสามารถของหัวหน้าตนเองดีอยู่แล้วจึงไม่คิดเป็นกังวลหากเธอยังอยู่กับพวกเขา

 

“หัวหน้า เขาถูกพิษที่หัวไหล่” ปราณรายงานหลังตรวจบาดแผลจนละเอียด “อาวุธโดนแค่เฉี่ยวๆ ก็จริงแต่พิษต้องลามแน่ ถ้าหายาถอนไม่ทันคงต้องตัดแขน ไม่งั้นอาจถึงตาย” 

 

“ข้างหน้าก็เป็นเมืองแล้วคงพอหายาแก้ได้ พยุงเขาขึ้น”

 

สิ้นคำสั่งของมายา ลูกน้องทั้งสองก็ช่วยกันพยุงมูมุนขึ้นไปบนรถม้าแล้วรีบออกเดินทางต่อในทันที

 

 

 

เมืองหินผา

 

“เจ็บนิดนึงนะ” ปราณบอกก่อนจะใช้มีดขูดเนื้อที่หัวไหล่บริเวณที่ถูกพิษของมูมุนออก

 

“อ้าก!!!”

 

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาจากผ้าที่เขากัดไว้ มายายืนกอดอกมองไปนอกหน้าต่างห้องพักในโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่พวกเขาหาได้ ส่วนแชนก็ยืนกัดเล็บอยู่ข้างๆ ด้วยความลุ้นเอาใจช่วย

 

ปราณใส่ยาสมุนไพรที่เธอหาซื้อได้ลงไปบนบาดแผล โชคดีที่เมืองนี้อยู่ติดกับเมืองหลวง จึงมีความเจริญมากพอหาที่จะหาซื้อตัวยาสำคัญและยาหายากตามที่ต้องการได้

 

 

 

“เฮ้อ! เสร็จ” คุณหมอจำเป็นเช็ดเลือดออกจากมือ แล้วปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อย

 

“ฮ่าฮ่า เจ้าโชคดีแค่ไหนรู้ไหมที่มาเจอพวกเรา ไม่งั้นป่านนี้ไปเยือนยมโลกแล้ว!” แชนเดินเข้ามามองดูสภาพของมูมุนแล้วยิ้มทะเล้นให้

 

แต่ชายสูงวัยที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายมา กลับนอนร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพลางเอาแขนขึ้นมาปาดน้ำตา ทำเอาคนพูดไม่ดูกาลเทศะถึงกับใจเสีย

 

“เอ้า! ใจเย็นสิ ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” แชนยกมือขึ้นห้ามด้วยความตกใจ

 

“อย่าไปพูดบั่นทอนคนอื่นได้ไหม!!”

 

ป้าบ!

 

ปราณเดินเข้ามาตบที่กลางหลังของคนพูดมากเข้าฉาดใหญ่

 

“ข้าเพิ่งเสียลูกสาวไป นางต้องมาตายเพราะข้า” มูมุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

 

“หญิงที่นอนตายอยู่ในตรอกข้างร้านขายเนื้อ ที่เมืองดาเลีย คือลูกสาวท่านใช่ไหม” มายาที่เงียบอยู่นานหันมาถามเสียงเรียบ

 

“ท่านรู้ได้ยังไง!?” ดวงตาของมูมุนเบิกโพลง น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความตกใจ

 

“ที่ลูกสาวท่านถูกฆ่าและที่ตัวท่านถูกตามล่าก็เพราะท่านเป็นกบฏ” คนที่ทายถูกยืนกอดอกมองชายสูงวัยด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก

 

“ข้าไม่รู้ท่านพูดเรื่องอะไร” เขาปฏิเสธทันควัน พยายามเก็บอาการแม้จะยังรู้สึกเสียใจเรื่องบุตรสาว

 

แชนที่ฟังอยู่เลิกคิ้วขึ้น ชายหนุ่มปรี่เข้าหาชายสูงวัยที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมกระชากเสื้อเขาให้เปิดออก ที่โต๊ะด้านข้างมีอ่างใส่น้ำล้างมืออยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มใช้ผ้าชุบน้ำแล้วนำมาบิดใส่ที่แผงอกของมูมุน เผยให้เห็นสัญลักษณ์คล้ายรูปหยดน้ำสีแดง

 

“หัวหน้า รอยสักพวกกบฏ!” แชนกล่าวพร้อมใช้มือบีบรอบคอของคนที่กำลังนอนเจ็บอยู่

 

มายายกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ชายหนุ่มจึงยอมปล่อยมือออก

 

“คนที่ตามล่าท่านจะไม่มีวันปล่อยท่านไป พวกเขาถูกฝึกมาเพื่อฆ่าเท่านั้นและจะไม่หยุดจนกว่าเป้าหมายจะตาย” เธอบอกก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อีกฝ้ายขึ้นมากอีก

 

“ถ้าข้ารู้ก่อนคงไม่ยอมเสียเงินซื้อสมุนไพรดีๆ มาช่วยเจ้าแน่!” ปราณพูดอย่างไม่สบอารมณ์

 

“ดูเหมือนพวกท่านจะไม่ใช่คนธรรมดาสินะ ถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ แถมยังมองออกตั้งแต่แรก” ชายที่เพิ่งถูกช่วยไว้เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า บางทีนี่อาจเป็นการหนีเสือปะจระเข้

 

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ข้าคงตัดคอท่านทันทีโดยไม่ถามไถ่แล้วโยนศพให้แร้งกิน แต่ตอนนี้ข้าพอจะหลับหูหลับตาได้อยู่” คนที่ยืนกอดอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต่อจากนี้ท่านคงต้องเอาตัวรอดเอง ขอให้โชคดี” พูดจบก็เดินไปที่ประตู

 

“ช้าก่อน!” มูมุนเรียก “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นใคร แต่…ดูแล้วคง…ไม่ใช่คนเลว” น้ำเสียงของชายสูงวัยเริ่มอ่อนแรงลง

 

มายาหันกลับมามองผู้ที่เรียกเธอไว้และตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อสาร

 

“พวกท่านเรียกข้าว่า…กบฏ แต่…แท้จริงแล้ว…พวกเราคือ…ผู้ปลดปล่อยต่างหาก” น้ำเสียงที่แผ่วลงบ่งบอกว่าผู้พูดกำลังใกล้สิ้นสติเต็มที

 

“ปลดปล่อยจากอะไร” มายาถามกลับ

 

“จากสงคราม…สงครามเทพพิโรธ” ดวงตาของเขาปรือลง

 

“สงครามนั่นมันจบมาตั้งห้าร้อยปีแล้ว เจ้าโง่!” แชนโพลงขึ้น

 

“ไม่…มันยังไม่จบ..มันจะไม่จบ...จนกว่าคนผู้นั้น…จะตาย…” มูมุนเค้นคำพูดสุดท้ายออกมาแล้วจึงสลบไป

 

“เพ้อเจ้อจริงๆ ตาแก่นี่! สงสัยโดนพิษจนสมองกลับ” ปราณบ่น “เอาไงดีหัวหน้า ถ้าเราเข้าไปยุ่งอาจจะมีปัญหากับหน่วยพยัคฆ์กร้าวได้”

 

“มีก็ดีสิ ข้าอยากลองวัดกับพวกนั้นสักตั้งมานานแล้ว” แชนทำท่าหักนิ้วจนเสียงดังกร๊อบแกร๊บ

 

มายากำลังครุ่นคิดถึงบางอย่าง สิ่งที่ชายคนนี้พูดทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เคยสงสัย แต่ได้สลัดทิ้งออกจากหัวไปเมื่อนานมาแล้ว

 

ตลอดหลายปีที่ได้รับคำสั่งให้ตามฆ่าและกวาดล้างพวกกบฏ เธอไม่เคยถามหาถึงเหตุผล เพียงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่หลายชีวิตที่เธอปลิดทิ้งไป มีบางครั้งที่ในแววตาคู่นั้นสะท้อนออกมาเพียงความใสซื่อบริสุทธิ์

 

‘คนเหล่านี้น่ะหรือที่คิดจะทำลายอาณาจักร’

 

คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเธอมาตลอด แม้จะมีบางสิ่งที่ขัดต่อความรู้สึก แต่เธอก็ยังคงทำตามคำสั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

บัดนี้ทางผู้บัญชาการได้เรียกหน่วยพยัคฆ์กร้าว ที่ควรจะทำหน้าที่กวาดล้างพวกกึ่งมนุษย์โครมันอยู่ทางเหนือสุดของอาณาจักรให้กลับมาทำหน้าที่นี้แทน นั่นก็หมายถึงออตโต้คงกำลังวางแผนกวาดล้างพวกกบฏครั้งใหญ่จนต้องใช้กำลังคนของหน่วยพยัคฆ์กร้าวที่มีจำนวนมากกว่าหน่วยของเธอหลายเท่า

 

“วันนี้พักกันที่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยพาเขาขึ้นรถม้าเดินทางต่อ เราจะไปแวะที่บ้านของเมซ่ากัน”

 

“รับทราบ!” ลูกน้องทั้งสองคนประสานเสียง พวกเขารีบช่วยกันจัดแจงที่พัก แชนหาเชือกขนาดพอเหมาะมามัดมือของมูมุน เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน

 

 

 

เมืองอนันตนคร

 

ในที่สุดคณะเดินทางของมายาที่ในตอนนี้ได้เพิ่มเป็นสี่คน ก็ได้เดินทางมาถึงจุดหมายหลังจากที่ต้องหยุดเป็นระยะตลอดหลายวัน เนื่องจากพิษไข้ของมูมุนกำเริบ จนทำให้พวกเขามาถึงช้ากว่ากำหนด

 

“เฮ้อ! ถึงสักทีนะ ก้นข้าใกล้จะด้านแล้ว” คนที่บ่นออกมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแชน ที่ตอนนี้กำลังบิดขี้เกียจไปมา หลังโดดลงจากรถม้าเป็นคนแรก

 

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่” คนที่เดินออกมาทักทายแขกผู้มาเยือน คือหญิงสาวร่างเล็ก ผมยาวหยิกหย็อง มาพร้อมกับแว่นตาอันหนาเตอะ

 

“สวัสดีเมซ่า ขอโทษที่มารบกวน” มายาที่กระโดดตามลงมาพร้อมกับปราณกล่าวทักทาย

 

“เอ๊ะ! นั่นมายาของข้านี่หน่า มายา!!!” เมซ่าตะโกนลากเสียงยาวแล้วโผเข้ากอดหญิงสาวตรงหน้าด้วยความดีใจสุดขีด

 

“เออะ!” คนที่ถูกกอดแบบสายฟ้าแลบถึงกับเซแทบหงายหลัง

 

สาวผมหยิกใช้แก้มของเธอแนบกับแก้มนุ่มของอีกฝ่ายแล้วถูไปถูมา

 

“คิดถึงจังเลย” เธอกล่าวพลางกอดรัดแน่นขึ้น

 

“พอเถอะน่าเมซ่า! เลิกทำแบบนี้สักที!” มายาถอนหายใจหนักให้กับอดีตเพื่อนรวมหน่วยที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นนักสะสมและนักค้าของแปลก

 

มายาค่อยๆ แกะมือของสาวร่างเล็กตรงหน้าออก พร้อมกับผลักเจ้าหล่อนให้ออกไปห่างๆ

 

“ทั้งหน่วยก็มีแค่เจ้านี่แหละที่กล้าทำแบบนี้ ฮ่าฮ่า” แชนพูดพลางหัวเราะคิกคักให้กับการกระทำสุดใจกล้าของเพื่อน

 

แม้แต่ปราณที่ปกติจะไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้เป็นหัวหน้าเท่าไหร่ ยังอดอมยิ้มให้กับความดื้อดึงของเมซ่าไม่ได้ แต่แปลกที่หัวหน้าของเธอไม่เคยสั่งลงโทษการกระทำที่ไม่ค่อยรู้กาลเทศะของสาวแว่นผู้นี้เลย ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนสั่งขัง ไม่ก็คุกเข่าสักสามสี่วัน

 

“มีของมาฝากรึเปล่า” เมซ่าทวง เพราะปกติมายามักจะมีของแปลกๆ ติดไม้ติดมือมาฝากเธอเสมอ

 

“มีแน่นอน ปราณ!” มายาหันไปเรียกลูกน้อง

 

ปราณรู้หน้าที่ของตนเองทันที เธอขึ้นไปบนรถม้าแล้วพยุงชายสูงวัยบาดเจ็บให้ค่อยๆ ลงจากรถ สภาพของเขาโงนเงนเต็มทีจนแชนต้องรีบเข้าไปช่วย

 

“ฝากไว้หน่อย ข้าเอาเขากลับไปที่หน่วยไม่ได้” มายาขอร้องเพื่อน

 

“นี่น่ะเหรอของฝาก” เมซ่าเดินมาใช้นิ้วจิ้มๆ ตามตัวของมูมุน “สภาพยับเยินมาเชียว”

 

“โดนพวกพยัคฆ์กร้าวไล่ฆ่ามา เขาเป็นพวกกบฏ”

 

“ดีจริง ของฝากรอบนี้เป็นกบฏหนึ่งคน” เมซ่าพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน

 

“ข้ามีเรื่องอยากถามอะไรเขาหน่อย แต่สภาพตอนนี้คงตอบไม่รู้เรื่องแน่” มายาเล่าพร้อมกวักมือให้ลูกน้องช่วยกันพยุงมูมุนเข้าไปในบ้านของเมซ่า

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา