เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) 9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ลุงคนนั้นจะมาไหมฮะ?”
เด็กน้อยในชุดแฟนซีคล้ายกะลาสีเรือถามผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ในขณะที่เขากำลังออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียนในวันที่เขาต้องไปทำการแสดง เมษาผู้เป็นแม่ยังคงเงียบ เธอเพียงจัดชุดให้ลูกชายให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยที่ไม่สามารถบ่งบอกสิ่งใดได้เลย
ในนาทีที่รถประจำทางจอดเรียบฟุตบาท สองแม่ลูกต่างพากันเบียดเสียดเข้าไปในรถประจำทางคันนั้น ผู้คนต่างแออัดจนแทบหายใจไม่ออก คงอาจจะเป็นเพราะนี่คือเจ็ดโมงเช้าเวลาที่เร่งรีบของคนเมือง แต่ก็ยังโชคดีที่มีคุณป้าใจดีเสียสละที่นั่งให้กับหนูน้อยซัมเมอร์ เมษาผู้เป็นแม่ไม่ได้พูดสิ่งใด เธอเพียงโค้งตัวเพื่อเป็นการขอบคุณหญิงวัยกลางคนเท่านั้น คงอาจจะเป็นเพราะความแออัดของรถประจำทางในชั่วโมงเร่งรีบ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความแออัดของความคิดของเธอเองที่มันทำให้เธอเมินเฉยต่อสิ่งรอบตัว
หลังจากที่เมษาส่งซัมเมอร์เข้าโรงเรียนแล้ว เธอก็ยังไม่ตามเข้าไปยังห้องรับรองผู้ปกครองที่จะมาชมการแสดงของเด็ก ๆ เมษายังคงเดินวนเวียนอยู่รอบรั้วโรงเรียน สายตาของเธอสอดส่องไปทั่ว เธอเฝ้าดูสิ่งผิดสังเกต ซึ่งเธอเองไม่แน่ใจว่าเธอกำลังเฝ้าระวังสิ่งผิดสังเกต หรือเธอกำลังรอสิ่งผิดสังเกตให้เกิดขึ้นอยู่กันแน่
“สู้ ๆ !”
เสียงปรบมือของผู้ปกครองมากหน้าหลายตาที่ต่างมาเชียร์บุตรหลานของตัวเองดั่งสนั่นหลังจากที่กลุ่มเด็ก ๆ ขึ้นมายืนตั้งแถวหน้ากระดานบนเวที เมษาไม่ได้ส่งเสียงกู่ร้องเหมือนกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ เธอเพียงยิ้มพร้อมกับมองตรงไปที่ซัมเมอร์ที่สดใสเหมือนฤดูร้อนในชีวิตของเธอ เสียงดนตรีสดใสฉุดให้ออกห่างจากชีวิตจริงดังขึ้น ตามมาด้วยท่าเต้นที่เด็ก ๆ ซักซ้อมกันมา เด็กบางคนก็สามารถเต้นท่าเต้นเหล่านั้นได้อย่างน่ารักน่าชัง ไม่เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย เด็กบางคนก็ไม่เน้นเต้น พวกเขาแค่สนุกไปกับเสียงดนตรี เด็กบางคนก็เต้นไปทั้งน้ำตาด้วยความกลัวผู้คนแปลกหน้าที่เอาแต่จ้องพวกเขาตลอดเวลา แต่สำหรับซัมเมอร์เขาไม่ได้ทั้งเต้นแบบเอาจริงเอาจัง ไม่ได้เต้นแค่สนุกไปกับเสียงเพลง หรือ ไม่ได้เต้นไปร้องไห้ไป เขาเพียงแค่เต้น เต้นในขณะที่สายตาของเขากำลังมองหาใครบางคน ใครบางคนที่เขากำลังรอคอย
งานวันนี้จบลงอย่างเรียบง่าย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคใด ๆ เด็กนักเรียนต่างมีความสุขที่วันนี้จะได้กลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ หนูน้อยซัมเมอร์รีบวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นแม่ เขากอดเธอไว้อย่างนั้น โดยที่เมษาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม มันเป็นอ้อมกอดที่ผิดหวังแต่ก็ไม่ได้เศร้าจนต้องร้องไห้ออกมา มันอาจจะเป็นแค่อ้อมกอดของความเหงาก็ได้
“อยากกินไอศกรีมไหมครับ?”
คงจะจริงที่เขามักจะพูดว่าไอศกรีมสามารถทำให้วันที่อึมครึมกลายเป็นวันที่สดใสได้ในทันตา เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มที่มันเป็นเหตุผลเดียวที่เมษาจะมีชีวิตต่อไป เมษายื่นมือไปหาเด็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจูงมือกันไป เพิกเฉยต่อความโดดเดี่ยวและการรอคอยใครบางคนที่ไม่สมควรรอคอย
ในขณะที่คู่แม่ลูกกำลังจะเดินพ้นประตูโรงเรียน เธอก็ได้ยินกับเสียงเอะอะโวยวายอยู่หน้าโรงเรียน จนกระทั่งสายตาของเธอได้เห็นภาพชายรักษาความปลอดภัย 3 คน กำลังรุมล้อมชายคนหนึ่ง ชายที่เมษารู้สึกคุ้นเคยแต่เธอก็ไม่รู้ว่าเธอเคยไปเจอเขาที่ใด
ชายชราผมเผ้ารุงรังที่อยู่ภายใต้หมวกแก็ปสีแดงใบเก่า เนื้อตัวของเขาดูสกปรก เสื้อเชิ้ตที่เขาสวมใส่อยู่ก็ยับเยินไม่ต่างกัน ในมือของเขาถือขวดเหล้าแต่ปากเอาแต่พร่ามบอกว่าเขาจะไปหาลูก ลูกของเขากำลังเต้นอยู่ในนั้น กลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยต่างทำอย่างสุดความสามารถที่จะกันให้ชายผู้นี้ออกไป
เมษาทำได้แค่พยายามโอบกอดลูกของเธอไว้ยามที่เดินผ่านชายคนนั้น ซัมเมอร์กอดเอวของเธอแน่น ซึ่งมันทำให้เมษาโอบลูกของเธอแน่นขึ้นไปอีก เหมือนกับว่าเธอไม่ยอมให้สิ่งใดทำร้ายลูกของเธอได้ แต่ในขณะนั้นเองเธอก็เผลอไปสบตากับชายผู้นั้นด้วยความบังเอิญ แล้วโลกทั้งใบก็หยุดหมุน สายตาคู่นั้นมองกลับมายังเธอ…พี่ธีร์
ชายผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นใด แต่เขาคือพี่ธีร์ อดีตสามีของเธอ และพ่อของซัมเมอร์ ดวงตาคู่นั้นยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ต่างแค่พี่ธีร์คนเดิมที่อยู่ในความทรงจำของเธอไม่มีอีกแล้ว ชายอันตรายที่แฝงไปด้วยความสง่างาม ที่ตอนนี้เขาเป็นเพียงชายชราจนตรอกที่น่าอดสู ผมดำขับของเขาตอนนี้กลายเป็นผมขาวยาวยุ่งเหยิง หนวดเคราที่เคยถูกตกแต่งเป็นอย่างดี ตอนนี้พวกมันยาวรกไปทั่วใบหน้า กลิ่นกายที่เมษาเคยหลงไหล ตอนนี้เหลือเพียงกลิ่นของสุราที่คละคลุ้งจนบดบังตัวตนของเขาในอดีตไปจนหมด
ในชั่วอึดใจที่ธีร์รู้ว่าคนที่เขาอยากจะพบอยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งภรรยา และซัมเมอร์ลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา ธีร์จึงไม่รอช้าที่จะพุ่งตัวเข้าหาบุคคลทั้งสอง
“ซัมเมอร์ !...มาหาพ่อ !...พ่อมาดูลูกเต้นแล้ว!”
ธีร์ตะโกนเรียกลูกของเขาในขณะที่เขาพยายามอย่างสุดแรงที่จะสลัดชายรักษาความปลอดภัยที่ยื้อยุดฉุดกระชากเขาออก
“ปล่อยกู ! กูจะไปหาลูก”
เมษาตกอยู่ในอาการช็อก เธอได้แต่โอบกอดลูกเธอไว้แน่น
“เมษาบอกพวกมันให้ปล่อยผม ผมจะไปหาลูก”
น้ำเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดกลายเป็นเสียงสะอื้นในทันทีเมื่อเขาพูดถึงลูก ธีร์ที่ตอนนี้เขาไม่สนใจเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เขาดิ้นอย่างสุดแรงจนล้มลงไปกับพื้น เขาพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคลานไปหาลูก แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือ ความหวาดกลัวของซัมเมอร์เมื่อมองมาที่เขา เขากลายเป็นอสูรร้ายสำหรับลูกของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ซัมเมอร์กอดเอวของผู้เป็นแม่แน่น เขาร้องไห้จ้าออกมาด้วยความกลัวผสมกับความตกใจ มันทำให้หัวใจของชายชราแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แทบเท้าลูกของตัวเอง ในขณะที่เขาถูกลากตัวไป เขาได้แต่ทนเห็นภาพลูกชายของเขาที่ค่อย ๆ ไกลจากเขาจนหายวับไปกับตา
“มึงช่วยกูทำไม ?”
คนเคยสนิทของผมที่ตอนนี้สภาพของมันไม่ต่างจากหมาข้างถนนตัวหนึ่งพูดกับผมในขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ในสถานีตำรวจ ผมรู้ว่าภาพของพวกเรามันคงจะย้อนแย้งกับความเป็นจริง พ่อค้ายารายใหญ่กำลังนั่งอยู่ในสถานีตำรวจ ไม่ใช่ในฐานะผู้ต้องหาแต่ในฐานะผู้มาประกันตัว
ผมรู้เรื่องนี้มาจากไอ้กร มือขวาของผม มันบอกว่าตอนนี้ไอ้ธีร์โดนจับอยู่ที่โรงพัก เพราะมันไปก่อกวนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในตอนแรกที่ผมรู้เรื่อง ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวผม เพราะไอ้ธีร์มันได้ลาออกจากการเป็นมือขวาของผมไปตั้งนานแล้ว แต่พอผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะมันกลับไปหาลูก ความรู้สึกผิดในใจของผมมันก็ก่อตัวจนผมต้องมาที่นี่
“สภาพมึงไม่ต่างจากหมาเลยว่ะ”
ผมพูดขึ้นพลางมองดูสภาพร่างของคนตรงข้าม แล้วผมก็อดขำไม่ได้
ไอ้ธีร์มันไม่ได้พูดสิ่งใด มันเพียงลุกขึ้นด้วยอาการเซจนเกือบล้ม มันกำลังจะเดินจากไป
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกกูได้ เรามันคนคุ้นเคยกัน”
หลังผมพูดจบไอ้ธีร์มันก็ตรงปรี่เข้ามาคว้าคอเสื้อของผมทันที มันจ้องตาผมหมายจะเอาเรื่อง ก่อนที่มันจะพูดสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจผมมานาน
“ทั้งหมดก็เพราะมึง!”
ผมยังจำเรื่องราวของผมกับมันได้ดี มันเคยเป็นมือขวาของผม เป็นมือปืนที่ถ้ามันเล็งกระบอกปืนไปที่ใคร พญามัจจุราชก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างมัน มันอยู่กับผมตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ที่ผมเพิ่งย้ายเข้ามาในเมืองนี้ ตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่มีอำนาจ จนตอนนี้อำนาจผมล้นมือจนสามารถนั่งอยู่ในสถานีตำรวจโดยที่ไม่ต้องกลัวสิ่งใดได้
เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นมาตลอด ผมมีมัน มันมีผม พวกเราเหมือนเพื่อนรักกัน จนบางครั้งผมก็รู้สึกว่าถ้าผมไม่มีมันผมคงอยู่ไม่ได้ แต่เรื่องทั้งหมดมันก็กลับตาลปัตรไปหมด ตั้งแต่ตอนที่มันเจอเมษา มันค่อย ๆ ออกห่างจากผม ออกห่างจากความฝันที่เราหวังว่าวันหนึ่งเราจะมีอำนาจเหนือกว่าใคร ๆ แล้วไม่นานมันก็ค่อย ๆ กลายเป็นไอ้ขี้แพ้ในสายตาของผม เพราะความรักที่มันเทิดทูน
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันเดินมาขอลาออกกับผม มันบอกว่ามันอยากมีชีวิตปกติ มันไม่ต้องการอำนาจใด ๆ อีกแล้ว แต่ผมเองก็สืบจนรู้ความจริงว่าเมษากำลังตั้งท้อง และเธอก็เป็นคนขอร้องให้ไอ้ธีร์มันออกมาใช้ชีวิตเป็นคนปกติกับเธอ ในตอนนั้นผมโกธรมาก ผมรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง มันทิ้งผม ทิ้งความฝัน เพื่อไปใช้ชีวิตที่น่าสมเพชของมันกับลูกเมียของมัน แม้ว่าผมไม่ได้ตอบสิ่งใด แต่ในหัวของผมกลับมีแผนการอันร้ายกาจเตรียมพร้อมสำหรับคนที่กล้าท้าทายอำนาจของผมเรียบร้อยแล้ว
ในคืนนั้นเองผมได้ชวนให้ไอ้ธีร์มันอยู่กินเหล้ากับผม ที่ถือเป็นการเลี้ยงส่งท้ายก่อนที่มันจะกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่มันต้องการ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ให้ลูกน้องอีกกลุ่มบุกเข้าไปจับตัวเมียของมันที่กำลังตั้งท้อง ไอ้ธีร์และเมียของมันต้องได้รับบทเรียนราคาแพงที่กล้ามาท้าทายอำนาจด้วยการหักหลังผม
ผมยังจำสีหน้าของไอ้ธีร์ในคืนนั้นได้ดี สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดแค้นจนมันสามารถฆ่าผมให้ตายอยู่ตรงนั้นได้ ผมยื่นรูปเมียของมันในขณะที่เธอกำลังถูกมัด ร้องขอความช่วยเหลือจนดูน่าสงสารไม่ต่างไปจากกวางน้อยที่กำลังติดกับดักของนายพราน ผมยื่นข้อเสนอที่มันไม่สามารถปฏิเสธได้ เพื่อช่วยเมียกับลูกที่อยู่ในท้องของเธอ ไอ้ธีร์มันต้องไปทำภารกิจสุดท้ายให้กับผม และถ้ามันทำสำเร็จผมจะปล่อยตัวเมียมัน และผมจะไม่กลับไปยุ่งกับชีวิตมันและครอบครัวอีกเลย
ไอ้ธีร์ตกลงข้อเสนอของผมด้วยความเครียดแค้น ผมให้มันออกตามหาสิ่งของบางอย่างให้กับผม สิ่งของที่ทำให้มันจะไม่มีวันลืมผมไปตลอดชีวิต และในที่สุดมันก็ทำสำเร็จ ไอ้ธีร์เจอของที่ผมต้องการให้มันไปหา มันเป็นเพียงกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่วางอยู่ในโกดังร้าง ไอ้ธีร์มันค่อย ๆ เปิดกล่องนั้น ก่อนที่มันจะเจอของขวัญที่ผมจงใจมอบให้มัน ใบหูของเมษาผู้หญิงที่มันรัก ถ้าคุณพอจะรู้เรื่องของวินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตกรเอกระดับโลกที่ตัดหูตัวเองให้กับโสเภณีที่เขารัก ผมว่ามันฟังดูโรแมนติกดี ผมเลยอยากเดินตามรอยความรักอันวิปริตแต่สวยงามนั้น เพียงแต่ผมแค่เปลี่ยนจากหูตัวเองกลายเป็นหูคนที่มันรักเสียเลย ใบหูของโสเภณีชั้นต่ำที่พร้อมจะสังเวยความรักของพวกมัน
ผมรู้ว่าตอนนั้นไอธีร์คงอยากจะฆ่าผมเต็มที ผมเห็นมันทรุดลงร้องไห้อยู่กับพื้น ก่อนที่ผมจะลากเมษาออกมาจากความมืดพร้อมกับลูกน้องของผม ไอ้ธีร์มันแทบจะวิ่งเข้ามาฆ่าผมในทันที แต่ลูกน้องของผมก็จับตัวมันได้ทันการ การล้างแค้นของผมมันยังไม่เสร็จสิ้น มันต้องนั่งดูช่วงที่สำคัญให้จบก่อน ผมค่อย ๆ เดินไปบีบคอเมษาที่ตอนนี้กำลังดิ้นทุรนทุรายเพื่อเอาตัวรอด ใบหน้าของเธอเต็มใบด้วยเลือดที่ไหลมาจากใบหูของเธอที่ถูกตัดออกไป แต่ในขณะนั้นเอง ไอ้ธีร์มันก็หลุดออกจากการจับกุมของลูกน้องผมมาได้ มันรีบปรี่เข้าไปช่วยเมียของมัน ก่อนที่จะนำมีดพกของมันเชือดเข้าไปที่คอของผม แล้วมันก็หนีไปในความมืด
ในตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองต้องจบชีวิตลงที่นี่ เพราะผมยังจำวินาทีที่เลือดของผมพุ่งออกมาจากลำคอของผมได้ดี มันพุ่งออกมาเหมือนกับน้ำพุ เลือดของผมมันกระเซ็นไปทั่ว กลิ่นคาวเลือดของวันนั้นยังคงฟุ้งอยู่ในจมูกของผมจนถึงวันนี้อยู่เลย แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ผมรอดมาได้ หลงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นที่ลำคอของผม ที่เมื่อผมมองเห็นหรือสัมผัสมัน ผมจะรู้สึกเจ็บแสบที่หัวใจของผมขึ้นมาทุกครั้ง
“ที่จริงกูก็อยากจะขอโทษมึง”
ผมพูดในขณะที่ผมยังคงถูกมันกระชากคอเสื้ออยู่
“มึงทำชีวิตกูพัง”
ผมเห็นน้ำตาของไอ้ธีร์ที่กำลังคลอในดวงตาที่พร้อมจะหล่นลงได้ทุกเมื่อ ผมรู้ว่าหลังจากที่ไอ้ธีร์มันหนีไปพร้อมกับเมียของมัน เมียของมันก็ขอให้ไอ้ธีร์ออกไปจากชีวิตเธอ เธอไม่อยากให้ลูกต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายเหมือนที่เธอโดน และหลังจากนั้นชีวิตของไอ้ธีร์มันก็ค่อย ๆ พังยับเยินไม่เป็นท่า มันกลายเป็นคนเมาหัวราน้ำทุกวัน กินเหล้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนกระทั่งผมได้เจอมันในวันนี้ สภาพมันแย่ยิ่งกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้เสียอีก
เมื่อไอ้ธีร์มันรู้ตัวว่าน้ำตามันกำลังไหล มันก็รีบปล่อยมือออกจากคอเสื้อผม ก่อนที่มันจะเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ และเดินออกจากสถานีตำรวจแห่งนี้ไป
มันน่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ช่วงหลังมานี้มันต้องเป็นช่วงที่ผมมีความสุขที่สุด เพราะยาล็อตที่ผมรอมานานมันได้เป็นของผมแล้ว อำนาจ เงินทองที่ผมจะได้ มันกำลังไหลทะลักเข้ามาหาผมอย่างที่ผมไม่เคยเจอ แต่ผมกลับไม่ยินดีเหมือนทุกครั้ง หรืออาจะเป็นเพราะผมกำลังแก่ขึ้นอีกปีแล้วก็ได้ ช่วงนี้ผมกลับมาคิดถึงสิ่งที่ผมเคยทำไปในอดีต กลับมาทบทวนและรู้สึกผิดไปกับมัน ทั้งเรื่องของไอ้ธีร์ และเรื่องของจอห์น ผมเดาว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคงจะเริ่มจากคืนคืนนั้น คืนนี้ที่ผมเดินโดดเดี่ยวอยู่กลางถนนในย่านเสื่อมโทรม คืนที่ผมออกจากห้องของเจมส์ เจ้ากระต่ายน้อยของผม และผมไม่คิดที่จะกลับไปหาเขาอีก คำพูดของเจมส์ในคืนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวผมกำลังเปลี่ยนแปลง
‘ถ้าเรารักใครมากพอ เราก็อยากเห็นเขามีความสุข แม้ว่าความสุขของเขาคือการที่เราต้องออกจากชีวิตเขาก็ตาม’
คำพูดที่ฟังดูโรแมนติก แต่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง คำที่ดูเป็นการบูชาความรักที่มีแต่ในนิยาย แต่ทำไมมันถึงทำงานกับหัวใจของผมมากขนาดนั้นนะ หลังจากคืนนั้นผมคิดว่าผมจะปล่อยจอห์นไป ผมจึงไม่ให้ยาที่เป็นเหมือนกรงขังกับเขาอีก ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องทรมานสำหรับจอห์น และจอห์นคงจะเกลียดผมมากกว่าที่เคย แต่ผมก็รู้ว่าถ้าเขาทำได้ ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาเหล่านั้น เขาจะสามารถไปจากผมได้ และชีวิตใหม่คงกำลังรอเขาอยู่
ผมไม่ได้เป็นคนบาปที่กลับใจหรือสิ่งใด ผมเพียงเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังแก้ไขให้ทุกสิ่งมันถูกต้องมากที่สุดก็เท่านั้น
ผมเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมายไม่ต่างไปจากสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ทุกย่างก้าวของผมมันอื้ออึงไปด้วยเสียงประหลาด มันเหมือนเวลาที่เราถูกจับเข้าไปในห้องโถงอันดำมืด หากเราทำสิ่งใดให้เกิดเสียง เสียงนั้นจะสะท้อนกลับมาหาเราอย่างไม่มีวันจบสิ้น เช่นเดียวกับตอนนี้ในหัวของผมมันมีเสียงนับล้านที่ดังก้องสะท้อนไปมาไม่ต่างจากห้องโถงนั้นสักเท่าไร ทุกเสียงจากประโยคบอกเล่าของใครบางคนในอดีต จนไปถึงเสียงกรีดร้อง มันดังก้องสลับกับเสียงที่ผมเคยได้ยินในชีวิตทั้งหมด เสียงเพลงในบาร์แห่งนั้น เสียงเพลงในซุปเปอร์มาเก็ตที่ผมเคยไปกับเมษา เสียงสัญญาณรบกวนจากโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ยามที่ผมนอนหลับ เสียงวิทยุจากรถยนต์ที่กำลังพูดถึงหน้าแล้งที่มาเยือนเมืองของเรา เสียงนกร้องจากระเบียงของผมในตอนเช้า เสียงโรสที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว และเสียงปืนนับร้อยที่ผมเคยเหนี่ยวไก
ผมเดินโซเซชนผู้คนที่พลุกพล่านบนทางเท้าในตอนเย็น ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรีบไปไหนกันในชีวิตที่ไร้แก่นสารนี้ ชีวิตนี้มันช่างว่างเปล่า ผมเคยเป็นเหมือนผู้คนที่ผมเดินชน ผมเพียงก้มหน้าเดินทางตามหาความฝันที่คิดว่ามันคือทั้งหมดของชีวิต แต่สุดท้ายเมื่อเรารู้สึกตัวเราก็กำลังพบว่าเรากำลังหลงทางในโลกที่กว้างใหญ่และไร้แก่นสารแห่งนี้ ทำไมมันถึงเหงาเช่นนี้นะ ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตตัวคนเดียว ผมไม่ได้ออกไปไหนเลย ผมไม่อยากไปบาร์ที่ไหนอีกแล้ว สถานที่ที่พร้อมจะขูดรีดเงินจากพวกคนเหงา ผมเพียงซื้อเหล้าเท่าที่จะซื้อได้ แล้วใช้ชีวิตทั้งวันไปกับพวกมัน หิวก็กินข้าว ง่วงก็นอนหลับ เหงาก็กินเหล้า แต่มันแย่หน่อยที่ผมมันดันเหงาทั้งวันทั้งคืน
ผมเกลียด “ไอ้ธีร์” มันเคยเป็นชื่อที่ผมภาคภูมิใจ แต่ดูสภาพผมตอนนี้สิ ไอ้ธีร์คนเดิมมันได้หายไปแล้ว เหลือเพียงไอ้ธีร์ที่ล้มอยู่บนพื้น ในขณะที่ฝูงคนกำลังเดินข้ามผมไปเหมือนพวกเขาไม่เห็นผม…ผมเหงา…คงจะจริงที่เรายิ่งโตขึ้นเราจะยิ่งเหลือคนข้างกายน้อยลง ผมไม่เคยรักษาพวกเขาไว้ได้เลย พวกเขาต่างหลุดหายไปในห้วงเวลา รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังนอนอยู่บนพื้นให้คนข้าม…ผมเหงา…ผมยังจำซัมเมอร์ที่มองมาทางผมในวันนี้ได้ดี แววตาที่หวาดกลัวเหมือนผมกลายเป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยาย ซึ่งมันไม่ต่างจากแววตาของโรสในเย็นวันที่ผมเขวี้ยงกล้องวิดีโอของเธอทิ้ง และ ผมยังจำแววตาของเมษาได้ดี แววตาที่เวทนาผสมกับสมเพชกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่…ผมเหงา
เสียงออแกนดังก้องในความคิดในขณะที่ผมเงยหน้ามองพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขนที่อยู่เบื้องหน้า ผมจ้องมองท่านอยู่อย่างนั้นหลายนาทีหลังจากที่ผมหลงเดินเข้ามาในโบสถ์แห่งนี้ สถานที่ที่ผมไม่เคยคิดจะมาหยียบ ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่ผมรู้ว่าสุดท้ายเราคือพระเจ้าที่ต้องลิขิตชีวิตให้ตัวเอง เราเลือกได้ว่าอยากให้ชีวิตเราเป็นเช่นไร และผมก็เป็นคนลิขิตให้ผมต้องกลายเป็นไอ้คนขี้แพ้เช่นนี้ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงยังคงนั่งจ้องพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนี้ ใจหนึ่งผมอาจกำลังตั้งคำถามว่า ถ้าท่านเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของชีวิตมนุษย์จริง ทำไมท่านถึงทำให้ผมอยู่จุดจุดนี้ หรืออีกใจหนึ่งผมเพียงกำลังจ้องหน้าของคนที่โดนความรักเล่นงานไม่ต่างจากผม ผมเคยได้ยินว่าพระเยซูถูกส่งมาเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ด้วยความรัก แต่ด้วยความรักนั้นสุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่ฆ่าท่าน ท่านตายเพราะความรักที่มีต่อมนุษย์
ช่างน่าขำเหลือเกินที่คนบาปอย่างผมกำลังพิจารณาถึงเรื่องของพระเจ้า ผมลุกขึ้นออกจากห้วงความคิดอันศักดิ์สิทธิ์ ผมตั้งใจที่จะเดินออกไปข้างนอกโบสถ์แห่งนี้ แต่เหมือนว่าขาของผมมันดันถูกสั่งการจากสมองให้หยุดลงกะทันหัน เพราะตู้ไม้สารภาพบาปสีเข้มที่มีผ้าม่านกำมะหยี่ปิดอยู่มันกำลังดึงดูดผมให้เข้าไปหา ในขณะที่ผมก้าวอย่างช้า ๆ ตรงไปยังตู้สารภาพบาปเสียงความคิดผมมันก็โต้แย่งกันเอง อาจจะเป็นเพราะผมในอดีตเคยคิดว่าการสารภาพความผิดบาปเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตอนนี้ผมก็ได้ยืนอยู่หน้าตู้สารภาพบาปนั้นเรียบร้อยแล้ว ตู้สารภาพบาปที่อยู่มุมในสุดของโบสถ์ เหมือนจุดดำมืดในจิตใจที่ตกการสำรวจ
ในตู้สารภาพบาปแห่งนี้มันค่อนข้างมืด มันมืดกว่าในความทรงจำที่ผมเคยเข้ามาในสมัยเด็ก ตอนนั้นผมเผลอไปทำขวดน้ำหอมของแม่ตกแตก แต่ผมกลัวความผิดผมจึงโยนความผิดให้น้องสาวของผม ยังไม่ทันสิ้นความคิดผมก็เห็นการเคลื่อนไหวหลังม่านลูกกรงนั่น ผมรู้ว่าตอนนี้บาทหลวงท่านได้มาถึง และกำลังรอฟังการสารภาพบาปของผม แต่เป็นผมเองที่ยังไม่พร้อม ผมเอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น แม้ว่าในหัวของผมจะมีคำพูดมากมาย แต่ผมไม่สามารถที่จะเค้นเอาคำพูดใดคำพูดหนึ่งให้ออกมาได้เลย
“ลูกมีสิ่งใดที่ต้องการบอกต่อพระเจ้าหรือไม่?”
บาทหลวงเอ่ยถามผมก่อนอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เพราะความเงียบของผมกำลังทำให้ท่านเสียเวลา
“ผมไม่รู้จะพูดอะไร”
“แล้วลูกมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ?”
สำหรับผมเองไม่รู้ว่านั่นคือคำถามหรือเป็นประโยคที่บาทหลวงกวนผมกลับกันแน่
“ข้างนอกมันร้อน ผมเลยมาหลบข้างใน”
“แค่นั้นหรือ? พ่อเห็นลูกนั่งมองพระเยซูอยู่นาน ลูกกำลังคิดสิ่งใด?”
ผมไม่คิดเลยว่าในตอนนั้นกำลังมีคนเฝ้ามองการกระทำของผมอยู่ด้วย
“ถ้าผมเล่าบาปของผมให้ท่านฟัง บาปนั้นมันจะหายไปจริงหรือ?”
“หายหรือไม่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือถ้าลูกยอมรับว่าบาปทั้งหมดเป็นความผิดของลูก และลูกพร้อมที่จะแก้ไข พระเจ้าก็พร้อมให้อภัยลูกเช่นกัน”
“แม้ว่าผมจะเคยฆ่าคนมาแล้วหรือ?”
“ทุกอย่างสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ มันอยู่ที่ว่าลูกจะยอมรับผิดอย่างสุดหัวใจหรือไม่”
ผมตัดสินใจเล่าเรื่องของตัวเองให้บาทหลวงฟัง แม้ว่าภายในส่วนลึกผมจะยังไม่แน่ใจในการกระทำครั้งนี้ของตัวเองก็ตาม ผมเริ่มจากเล่าเรื่องอาชีพมือปืนที่ฆ่าคนตายเป็นว่าเล่นของผม ชีวิตครอบครัวที่พังทลาย รวมถึงสิ่งที่ผมกระทำกับโรสเหมือนกับว่าเธอเป็นสิ่งของที่ผมมีไว้เพื่อระบายอารมณ์
“ผมคงต้องตกนรกใช่ไหมครับ”
ผมขำออกมาหลังจากที่ผมเล่าเรื่องของผมจบ
“พ่อไม่ใช่คนที่จะตัดสินชีวิตลูกหรอก…แต่พ่อเพียงอยากบอกลูกว่า ยิ่งลูกใช้อำนาจมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งแสดงถึงความอ่อนแอที่ลูกพยายามปกปิดไว้มากขึ้นเท่านั้น”
ผมรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยที่มีคนพูดถึงความอ่อนแอของผม และมันยิ่งน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นความจริงเสียด้วย
“แล้วผมจะได้รับการอภัยไหม ?”
ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“แล้วลูกยอมรับหรือไม่ว่าทั้งหมดมันเป็นความผิดของลูก…ลูกเป็นคนอ่อนแอ”
เมื่อผมได้ยินบาทหลวงพูดคำว่า ‘อ่อนแอ’ เป็นครั้งที่สองมันก็เกินที่ผมจะทนรับไหว ผมลุกขึ้นเตรียมพร้อมที่จะเดินหันหลังออกจากที่นี่
“ถ้าลูกยอมรับว่าลูกเป็นคนอ่อนแอ พระเจ้าก็พร้อมจะให้อภัยลูก และมอบทางเดินใหม่ให้กับลูก”
“ผมนี่ล่ะคือพระเจ้า!”
แล้วผมก็เดินเตรียมก้าวเท้าออกจากที่แห่งนี้ แต่ผมก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวของผมด้วยความประหลาดใจ อยู่ ๆ บาทหลวงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าพิศวง ผมเพ่งมองเข้าไปในความมืดหลังลูกกรงนั้นก็เห็นว่าบาทหลวงไม่อยู่แล้ว มันหลงเหลือเป็นเพียงความมืดเท่านั้น
“ตบฉันอีกสิ!”
เสียงหัวเราะค่อย ๆ ถูกเปลี่ยนกลายเป็นเสียงสูงแบบผู้หญิง และในที่สุดมันก็กลายเป็นเสียงของโรส เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเสียงของโรสก็กลายเป็นเสียงหัวเราะเคล้ากับเสียงกรีดร้องของเมษาในค่ำคืนนั้นที่ผมไม่มีวันลืม ต่อมาก็กลายเป็นเสียงหัวเราะปนกับเสียงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวของซัมเมอร์ และสุดท้ายก็เป็นเสียงหัวเราะที่มีเสียงปืนของเดวิดที่ดังไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของผมที่เต้นรัว
ผมแผดเสียงอย่างสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่ผมจะวิ่งออกมาจากตู้สารภาพบาปบ้า ๆ นั่น ผมวิ่งออกจากโบสถ์ไปยังทางเท้าภายนอกที่ตอนนี้มันกลายเป็นตอนกลางคืนแล้วอย่างคนเสียสติ ท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่มองผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด ก่อนที่พวกคนเหล่านั้นจะหัวเราะด้วยโทนเสียงที่น่ากลัวออกมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ