เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues

-

เขียนโดย Bluedoor

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.

  11 บท
  0 วิจารณ์
  4,743 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) 8

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               “นายครับ วันนี้ของมาถึงโกดังแล้วนะครับ”

               เสียงมือขวาของเดวิดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบ แต่เดวิดก็ไม่ได้ตอบสิ่งใด เขาเพียงนั่งจิบกาแฟยามเช้า และสูบบุหรี่ของเขาต่อไป

               “จอห์น ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปไหนนะ”

               เดวิดหันมาพูดกับผมที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารตรงข้ามกับเขา ผมรู้ว่าเดวิดคงเป็นห่วงผม เพราะตอนนี้เขาได้ยาล็อตใหญ่มาแล้ว และมันก็เหมือนกับเขากำลังถือดอกไม้ที่สวยงามและหอมที่สุดอยู่ในมือ ที่พร้อมจะล่อผึ้งและแมลงทั่วสารทิศให้มารุมดอมดม และผมก็อาจจะเป็นอันตรายได้ ถ้าหากผมถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกล่อเพื่อให้แมลงพวกนั้นได้ครอบครองดอกไม้ดอกนั้น

               ผมเพียงพยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้และยื่นมือขอในส่วนที่เป็นของผม เดวิดจ้องมองมือที่ว่างเปล่าและอาการสั่นเทาของผม โดยปกติเขาจะมอบยาที่เป็นส่วนของผม แต่หลายวันมานี้เขากลับปฏิเสธ และวันนี้ก็เช่นกัน

               เขาเดินจากไป ปล่อยให้ผมเดียวดายกับความหิวกระหายที่อยู่ข้างใน ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนทำให้ผมรู้จักความหิวกระหายนั้น และเขาเป็นคนเดียวที่จะดับความหิวกระหายนั้นได้ แต่วันนี้เขากลับนั่งดูผมทุกข์ทรมานจนเหมือนตายทั้งเป็น โดยที่เขาไม่คิดที่จะทำสิ่งใดเลย เขาคงอยากเห็นผมตายช้า ๆ ต่อหน้าต่อตาเขากระมัง

               ตลอดช่วงเวลาบ่ายผมหมดไปกับการนอนดิ้นทุลนทุลายอยู่ภายในห้อง ทุกการเคลื่อนไหวของผมยามที่อยู่บนเตียงที่เดวิดเอาไว้ทำในสิ่งที่ผมต้องฝืนใจทำ ผมกลายเป็นทาสในกามอารมณ์ของเขา และตอนนี้ผมก็กลายเป็นทาสของชีวิตเขาเรียบร้อยแล้ว เดวิดกำลังสั่งสอนให้ผมรู้ว่าผมไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเขา ผมทั้งโกรธและแค้นที่เขาทำให้ชีวิตผมมาถึงจุดนี้ จนผมอยากจะแก้แค้นให้เดวิดอยู่ในจุดจุดเดียวกับผม จุดที่ไม่เหลือสิ่งใดเลย แม้แต่ความหวังที่จะอยากมีชีวิตต่อ

ผมจ้องมองเงาที่น่าสมเพชของตัวเองบนกำแพงสีขาวค่อย ๆ มลายหายไปกับแสงแดดยามบ่ายที่กำลังเผาไหม้ความเป็นมนุษย์ในตัวผมไปจนหมด

 

               ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร หากใครคนหนึ่งกำลังรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของคุณ โดยเฉพาะพื้นที่นั้นเป็นสิ่งเดียวที่คุณเหลืออยู่ในชีวิต สายตาของฉันจับจ้องไปที่พี่ธีร์ที่กำลังนำกล้องวิดีโอของฉันเสียบเข้ากับสายที่เชื่อมต่อกับโทรทัศน์ และเขากำลังนั่งดูวิดีโอที่ฉันได้บันทึกเอาไว้ ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังถูกแอบถ่ายปรากฏอยู่บนหน้าจอ สีหน้าของเขาช่างมีความสุข ยามที่เขาได้หันหลังให้กับโลกใบนี้ด้วยบุหรี่มวนเล็กที่อยู่ในมือ

               พี่ธีร์หันมามองฉันยามที่ฉันเพิ่งเปิดประตูเข้าบ้านมาหลังจากที่ฉันเพิ่งกลับมาจากร้านเสริมสวย

               “มานั่งดูด้วยกันสิ”

               พี่ธีร์พูดด้วยรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจเหมือนยามที่หมาป่าพูดคุยกับเหยื่อของมัน ฉันรีบเดินเข้าไปแย่งกล้องวิดีโอที่อยู่ในมือของพี่ธีร์ แต่ฉันก็ต้องสะดุดขวดเหล้าที่วางล้มระเนระนาดที่อยู่บนพื้น

               “จะแย่งทำไม มานั่งดูชู้รักของคนรักกูด้วยกันสิ”

               น้ำเสียงประชดประชนของพี่ธีร์ทำให้ฉันหยุดนิ่งยอมนั่งอยู่บนโซฟาใกล้ ๆ เขา

               “มึงนี่เลือกดีจริง ๆ มันก็เป็นเด็กที่เกาะผู้ชายแก่เหมือนกับมึงเลย”

               “ฉันขอคืนนะ”

               ฉันพยายามที่จะพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด เพราะฉันกลัวเหลือเกินว่าพี่ธีร์จะทำอะไรกับกล้องวิดีโอนั่น

               “มันไม่รักมึงจริงหรอก มันเป็นเด็กของไอ้เดวิด มันชอบผู้ชาย!”

               ฉันพยายามคว้ากล้องวิดีโอนั่นยามที่พีธีร์กำลังพูด แต่เหมือนว่าพี่ธีร์จะรู้ทันเขาเบี่ยงตัวหลบจนฉันเสียหลักล้มลง ชายแก่หัวเราะเหมือนเด็ก ๆ เขายังคงเลื่อนวิดีโอต่อไป มันมีทั้งวิดีโอที่บันทึกสิ่งปกติทั่วไป ทั้งอาคารบ้านเรือน ผู้คนแปลกหน้าในยามค่ำคืน หมาแมวจรจัดที่หิวโหย ทะเลเที่ยงคืนที่สงบ

               “มึงก็ถ่ายดีเหมือนกันนิ”

               พี่ธีร์พูดในขณะที่มือของเขายังคงกดดูวิดีโอต่อไป จนกระทั่งมาหยุดที่วิดีโอใบหน้าเปื้อนยิ้มของจอห์นอีกครั้ง

               ฉันรีบใช้โอกาสนี้พุ่งตัวเข้าไปแย่งกล้องวิดีโอจากมือของพี่ธีร์ แต่ครั้งนี้พี่ธีร์กลับใช้มือของเขาตบเข้าที่ใบหน้าฉันอย่างแรง

               “มึงกลัวกูจะทำอะไรเหรอ?”

               พี่ธีร์เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนปีศาจ เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยอาการเซจากพิษของสุรา ก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันกลัวมาตลอด พี่ธีร์ทุ่มกล้องตัวนั้นลงบนพื้นอย่างจัง ฉันรีบพุ่งตัวตะครุบหวังจับกล้องตัวนั้นก่อนที่มันจะกระแทกกับพื้น แต่มันก็ไม่ทัน กล้องที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของฉันสภาพยับเยินกองอยู่บนพื้น แต่ฉันเดาว่ามันยังไม่พังเสียทีเดียว เพราะภาพของชายหนุ่มในโลกแห่งความลับของฉันยังคงปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ที่อยู่ด้านหลัง แม้ว่าภาพมันจะบิดเบี้ยวไม่สมประกอบไปบ้างก็ตาม แต่ความโหดร้ายของคนที่อยู่ตรงหน้ามันไม่หยุดเท่านั้น พี่ธีร์หยิบกล้องตัวนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขาก็ทุ่มมันอัดลงมาที่ใบหน้าของฉัน คราวนี้ภาพในจอไม่เหลืออีกแล้ว มันสั่นไหวและกลายเป็นภาพที่ไร้สัญญาณ โดยที่ฉันทำได้เพียงนั่งดูโลกของฉันกับกล้องตัวนั้นพังทลายไปต่อหน้าต่อตา

               ถึงตอนนี้ฉันไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว ฉันกรีดร้องออกมาเหมือนคนเสียสติ ก่อนที่จะพุ่งไปทุบตีปีศาจเฒ่าที่อยู่ข้างหน้า แม้ว่าร่างกายที่บอบบางของฉันจะสู้แรงผู้ชายร่างกำยำไม่ได้ แต่ฉันก็ทำมันอย่างเต็มที่ ฉันกัดเข้าอย่างแรงที่แขนของพี่ธีร์จนฉันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปาก เขาร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะจับฉันโยนออกไปนอกบ้านเหมือนฉันเป็นสิ่งของที่ไม่ต้องการแล้ว

ในชั่วขณะที่ฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เพราะแรงกระแทกที่ร่างกายของฉันสัมผัสกับพื้นซีเมนต์เข้าอย่างจัง ฉันก็เหมือนถูกเรียกสติให้ตื่นจากความดำมืดที่ฉันหลับไหลมานาน ฉันตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก ต่อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม ฉันพยุงร่างสะบักสะบอมก้าวเดินอย่างไร้จุดหมายไปข้างหน้า โดยไม่แม้จะหันหลังกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกเลย

               “เราหนีไปด้วยกันเถอะ”

               ฉันพูดออกมายามที่ฉันอยู่ในอ้อมแขนของจอห์นหลังจากที่เขาเพิ่งทำแผลให้กับฉัน เราต่างจ้องมองดวงดาวในที่แห่งความลับของเรา มันสวยงามและเดียวดายเหมือนทุกคืนที่เราอยู่บนหน้าผาแห่งนี้

               “ผมจะไปฆ่าพวกมัน!”

               จอห์นพูดเรื่องความตายออกมาอย่างเรียบง่าย แต่น้ำเสียงของเขากลับสั่นเครือไปด้วยอารมณ์นับร้อย

               “ไม่ต้อง ! ฉันต้องการอย่างเดียวคือให้คุณไปกับฉัน”

               หลังพูดประโยคหลังจบฉันพยายามเงยหน้าขึ้นไปสบตากับใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาของจอห์น เพื่อรอคำตอบจากเขา แต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีคำตอบใด ๆ ที่เป็นการยืนยันว่าเขาจะหนีไปกับฉันหลุดออกมาเลยสักคำ

               “ผมวางแผนไว้แล้ว ผมจะขโมยยาล็อตใหม่ของเดวิดไปขายให้กับคู่แข่งมันที่อยู่เมืองข้าง ๆ แล้วคราวนี้มันก็จะโดนจับ เพราะอำนาจเงินของมันใช้ได้แค่ตำรวจในเมืองนี้เท่านั้น แล้วผมจะเอาเงินทั้งหมดให้กับคุณ เพื่อให้คุณได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และไอ้เหี้ยที่ทำกับคุณผมก็จะไปจัดการมัน”

               ฉันผละตัวออกจากอ้อมแขนของจอห์นหลังจากที่เขาพูดจบ ฉันพยายามสบตากับเขาเท่าที่ฉันสามารถมองเห็นได้ผ่านความมืดและผ่านม่านน้ำตาของตัวเอง

               “ฉันไม่อยากรู้ว่าแผนของคุณคืออะไร และมันจะได้เงินมากแค่ไหน สิ่งที่ฉันต้องการอย่างเดียวคือ ให้คุณไปกับฉัน”

               จอห์นยังคงเงียบ ฉันได้แต่พยายามเค้นคำตอบที่จอห์นจะตกลงหนีไปกับฉันแต่มันก็ไร้ผล น้ำตาและเสียงครวญครางของฉันค่อย ๆ ดังขึ้นโดยที่ฉันไม่อายสิ่งใดอีกแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเด็กสาวที่ริบหรี่ท่ามกลางสายลม ฉันหวังเพียงแสงสว่างจากคนที่ฉันรัก ที่เขาจะคอยอยู่เคียงข้างฉัน ไม่ยอมให้ฉันดับสูญไปท่ามกลางมรสุมแห่งความเปลี่ยวเหงานั้น

               “คุณตอบฉันสิ!...ตอบฉันสิ!”

               จอห์นรีบโผเข้าโอบกอดฉัน เขารัดตัวฉันแน่นอยู่ในอ้อมแขนของเขา ฉันอดไม่ได้ที่จะไม่ร้องไห้โฮออกมา ทำไมอ้อมกอดนี้มันเหมือนอ้อมกอดสั่งลาของพวกเราทั้งสองคนเลย

               “ให้ผมไปตามทางของผมเถอะนะ!”

               จอห์นพูดด้วยเสียงครวญครางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ฉันรู้ว่าอีกไม่นานเขาคงจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ และตอนนี้ฉันก็ทำได้เพียงโอบกอดเขาให้แน่นที่สุด เผื่อว่ามันจะยืดเวลาที่เขาจะแตกสลายให้นานขึ้น ฉันพยายามกอบโกยทุกเศษเสี้ยวของจอห์นแล้วโอบรัดรอยแตกร้าวของเขาไว้อย่างนั้น ไม่ให้แม้เพียงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ตกหล่นหายไปในความมืด

 

               ถ้าพวกคุณคิดว่าผมคงเป็นบ้า ไม่ก็โง่ที่อยากตาย หรือผมใจร้ายที่เมินต่อคำร้องขอของโรส ผู้หญิงที่ผมรักจนหมดหัวใจ แต่ขอให้คุณเชื่อผมเถอะว่าสิ่งที่ผมเลือกมันดีที่สุดแล้วจริง ๆ ผมรู้ว่าถึงผมอยู่ต่อไปมันคงไม่มีอะไรดีขึ้น ผมมันแตกสลายมากเกินไปที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โลกสีเทาที่ตอนนี้สำหรับผมมันกำลังถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีดำ ทุกเช้าที่ผมตื่นมา ผมได้แต่ภาวนาขอให้มันจบลงอย่างเร็วที่สุด ผมไม่อยากแม้จะเห็นตัวเองในกระจก เพราะผมเกลียดไอ้เดนคนในกระจกที่มันน่าสมเพชสิ้นดีนั่น

ดังนั้นการที่ผมเลือกที่จะทำครั้งนี้ ขอให้เชื่อว่าผมได้เลือกทางที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ ดีที่สุดแล้วกับคนที่กำลังแตกสลายอย่างผม

               “คุณสัญญากับผมนะว่าคุณจะใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีผม”

               ผมเอ่ยถามโรสในขณะที่เธอเพิ่งหยุดร้องไห้เมื่อไม่นานมานี้ เธอยังคงเอาแต่จ้องดวงดาว และตกอยู่ในห้วงความคิดของเธอ

               “ทำไมฉันต้องสัญญา ในเมื่อคุณยังไม่สัญญากับฉันเลย”

               “คุณจำความฝันที่คุณเล่าให้ผมฟังได้ไหม”

               โรสคงไม่เข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงสิ่งใด

               “ผมยังรอให้คุณทำมันอยู่นะ”

               ผมหันมาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ

               “เมืองนี้มันแคบเกินไปสำหรับคนที่ยิ่งใหญ่อย่างคุณ…ผมจะไม่ยอมให้กล้องตัวนั้นที่มีผมอยู่ข้างในมันไร้ค่าเด็ดขาด”

               “คุณคิดว่าฉันจะทำได้จริงเหรอ?”

               แววตาที่เหมือนน้ำค้างที่เกาะกุมอยู่บนยอดหญ้ากำลังจ้องตรงมายังดวงตาของผม ผมรู้สึกว่าคืนนี้มันช่างร้อนอบอ้าว ไม่มีลมพัดให้ใบไม้หรือยอดหญ้าไหวติงสักนิด

               “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าคุณจะต้องอยู่ด้วยตัวเองได้”

               โรสโอบกอดและนำใบหน้ามาซุกอยู่ที่อกของผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความชื้นที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ที่อกของผมมันมาจากสิ่งใดกัน เหงื่อไคลจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว หรือมาจากน้ำตาของหญิงสาวที่กำลังแตกสลายกันแน่

               “ไปกับฉันเถอะ! ไปกับฉันเถอะ! ไปกับฉันเถอะ!”

               ผมไม่ได้ตอบสิ่งใด เพียงแต่นั่งฟังลมหายใจของหญิงสาวกับคำคร่ำครวญที่ไม่มีวันเป็นจริงของเธอ รู้ไหมทำไมผมถึงชอบมาที่หน้าผาแห่งนี้ เพราะผมหลงใหลการที่ได้มองไปยังทะเลอันดำมืดที่มีดวงดาวเป็นฉากหลัง มันเหมือนผมกำลังอยู่ในจุดสิ้นสุด มันทั้งเงียบ เดียวดาย และ สวยงาม ความรู้สึกเหล่านี้มันเป็นความรู้สึกที่ผมรอคอยมันมาตลอด ความรู้สึกของจุดสิ้นสุดของชีวิต และในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมก็จะถึงจุดจุดนั้นแล้วจริง ๆ …ผมหวังให้มันเป็นเช่นนั้น    ตลอดค่ำคืนนั้นเรายังคงขับรถเล่นไปทั่วเมือง จากหน้าผาไปสู่ชายหาด จากชายหาดไปสู่สุสาน จะบอกว่าผมมีรสนิยมความโรแมนติกที่แปลกประหลาดก็ได้ เพราะมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้านี่มันคือการเดตมันก็คงเป็นเดตที่แย่มาก เดตแรกของเราไปที่ชายหาด ดังนั้นเดตสุดท้ายของเรามันก็ควรจบลงที่สุสาน

               ม้านั่งสีขาววางตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางที่รายล้อมไปด้วยหลุมศพ    แต่พวกเราเลือกที่จะนอนกันบนพื้นหญ้าที่ชื้นไปด้วยน้ำค้าง นิ้วมือของผมค่อย ๆ ไล่ไปตามผิวกายของโรส ผิวกายของเธอมันนุ่มนวลเหมือนกลีบกุหลาบ ในสมัยเด็กมีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ผมสามารถเล่นมันได้ทั้งวัน ทุกครั้งที่ผมบรรจงนิ้วมือลงบนเครื่องดนตรีนั้นมันทำให้ผมกลายเป็นใครอีกคน ใครคนที่ได้หลุดหายไปจากโลกใบนี้ หลุดหายไปยังบรรยากาศของความเวิ้งว้างที่สวยงามไปด้วยเสียงดนตรี และในตอนนี้โรสเองก็สามารถทำให้ผมเป็นแบบนั้นได้ ผมบรรจงบรรเลงนิ้วมือของผมไปตามร่างกายของโรส แล้วมันก็เกิดเสียงดนตรีในความคิดของผม ดนตรีที่สวยงาม ไพเราะ จนเหมือนว่ามันไม่ใช่เสียงที่มาจากโลกใบนี้

               “ฉันอยากมีอะไรกับคุณ”

               คราวนี้ถึงทีของโรสที่เป็นคนควบคุมการบรรเลงเพลงรักในคืนนี้ เธอขยับตัวลุกขึ้น แล้วค่อย ๆ บรรจงถอดเสื้อสายเดี่ยวของเธอออก มันเป็นการเคลื่อนไหวที่สง่างามมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ผิวกายละเอียดสะท้อนกับแสงของดวงจันทร์ เธอคือความสวยงามที่มีชีวิต สวยงามไม่ต่างไปจากดอกกุหลาบ ความงามที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยหนามคม เช่นเดียวกับร่างกายของเธอที่ถูกเติมแต่งไปด้วยรอยฟกช้ำสลับกับร่องรอยของแผลสดที่กลายเป็นรอยแผลเป็น

               ผมค่อย ๆ ไล่นิ้วมือไปตามแผลเหล่านั้น ผมได้ยินเสียงเธอร้องแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เธอไม่แม้แต่มองใบหน้าของผม เธอเพียงหลับตาและเงยหน้าขึ้น ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเธอกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ ผมค่อย ๆ บรรจงจูบลงไปอย่างนุ่มนวลบนรอยแผลเหล่านั้น ตอนนี้เสียงครางได้หายไป หลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาจนแทบสลายตัวหายไปในสายลม จากแผลฟกช้ำจนไปถึงรอยแผลเป็นล้วนผ่านริมฝีปากของผมจนหมด ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมทำสิ่งนั้น ผมรู้เพียงว่าผมอยากจะปลอบโยนร่องรอยแห่งอดีตที่เธอโดนกระทำมาก็เท่านั้น

               ในขณะนั้นโรสได้กำมือผมแน่น เธอนำมือของผมมาวางไว้ที่คอของเธอ และมันพอดีกับรอยฟกช้ำรูปนิ้วมือที่กำลังโอบลัดอยู่ที่คอของเธอ แต่ผมไม่คิดที่จะนำมือของผมบีบซ้ำไปที่ร่องรอยเหล่านั้น ผมเพียงแต่ก้มตัวลงไปจูบอย่างแผ่วเบาบนร่องรอยแห่งความเย็นชานั้น ผมรู้ว่าโรสเธอคงประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับการกระทำของผม แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมเพียงจูบต่อไป จูบจนร่องรอยเหล่านั้นจะหายไปจากร่างกายอันบริสุทธิ์ของเธอ

               ค่ำคืนนั้นพวกเรากลายเป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ ผมมอบสัมผัสอันแผ่วเบาให้กับเธอ เธอรับสัมผัสอันแผ่วเบาของผม มันอ่อนโยนจนผมรู้สึกได้ว่ามันคงไปสะเทือนความคิดอะไรบางอย่างของโรส พวกเราสองคนนอนกอดกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า อ้อมกอดของพวกเรามันอบอุ่นจนพวกเราไม่ต้องการเสื้อผ้าใด ๆ น้ำตาของโรสยังคงไหลตกอยู่บนบ่าของผม ส่วนผมก็ยังคงลูบศีรษะของเธอ พวกเราต่างกำลังบอกลากันในแบบของตัวเอง

               นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่ามนุษย์เกิดขึ้นจากทะเล จากสัตว์น้ำค่อย ๆ มีวิวัฒนาการจนกลายเป็นสัตว์บก และตอนนี้พวกเราก็มาอยู่ในจุดสิ้นสุดของชีวิตมนุษย์ มันเป็นเหมือนประตูด่านสุดท้ายที่จะส่งพวกเราไปในที่ที่เราไม่รู้จัก ดังนั้นผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุสานแห่งนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดของผม และเป็นจุดสิ้นสุดชีวิตอันเส็งเคร็งของโรส หลังจากนี้ผมหวังเพียงให้โรสกลับไปยังทะเล ค่อย ๆ เริ่มวิวัฒนาการของตัวเองใหม่ แล้ววันหนึ่ง วันที่เธอจะรู้เองว่าคือวันใด เธอจะขึ้นจากผิวน้ำด้วยตัวตนของเธอในฐานะเธอคนใหม่ ขึ้นมาบนแผ่นดินใหม่ ความหวังใหม่ ความหวังที่สวยงามเหมือนแสงแรกของดวงอาทิตย์ยามส่องกระทบกับผิวของมหาสมุทร

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา