เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues

-

เขียนโดย Bluedoor

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.

  11 บท
  0 วิจารณ์
  3,202 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               “ถ้ากูโดนจับมึงก็หนีไปได้เลยนะ”

               เดวิดพูดขึ้นหลังจากที่เขาเอาแต่จ้องมองยาล็อตใหม่ที่ซ่อนสลับกับลังเหล้าในโกดังร้างของเขา มันเป็นเย็นที่ร้อนอบอ้าวเหมือนทุกเย็นในช่วงหลายเดือนมานี้ เดวิดปาดเหงื่อพลางละสายตาไปมองลำแสงสีทองที่สะท้อนกับกองลังเหล่านั้นเผยให้เห็นไรฝุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

               “อย่าคิดมากเลยครับ พรุ่งนี้เราก็จะกระจายของแล้ว”

               ไอ้กรมือขวาของเดวิดตอบเจ้านายด้วยท่าทีสงบ สายตาของเขาคอยชำเลืองมองบริเวณรอบข้างอยู่ตลอดตามสัญชาตญาณที่ต้องคอยระวังเรื่องความปลอดภัยให้เจ้านาย

               “เดี๋ยวผมจะกำชับไอ้ 2 ตัวนั่นให้คืนนี้คอยระวังให้เป็นพิเศษ”

               ไอ้กรหันไปมองลูกน้องของเขาอีก 2 คนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู

               “กูรู้ว่าถ้าครั้งนี้กูพลาดกูคงไม่รอด กูเห็นสายตาของไอ้พวกตำรวจ มันพร้อมจะเหยียบกูถ้ากูล้ม”

               เดวิดยังคงกอดอกมองกองยาของเขาต่อไป

               “ไอ้พวกไม่สำนึกบุญคุณ”

               ไอ้กรนึกถึงจำนวนเงินมหาศาลที่เจ้านายของเขาติดสินบนกับตำรวจของเมืองนี้

               เดวิดรู้ว่าเขากำลังทำให้แผนการครั้งนี้มีช่องโหว่ เพราะจอห์นเองก็รู้เรื่องนี้ แม้ว่าอันที่จริงเขาไม่ควรให้ใครรู้เรื่องยาล็อตใหม่มากนัก เพราะถ้ามันหลุดออกไปยังมือของคนที่ไม่อยู่ในแผนการนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ตำรวจเมืองนั้นจะสืบสาวมายังตัวเขาได้ และเขาอาจโดนจับเพราะเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะปิดปากตำรวจเมืองอื่น แม้แต่ตำรวจในเมืองเขาเอง เดวิดก็รู้ว่าพวกมันคงหมั่นไส้หน้าเขาเต็มแก่ พวกมันพร้อมจะจับตัวเขา หากถูกประสานงานขอความช่วยเหลือจากตำรวจเมืองอื่นให้จับกุมเขาเข้าตาราง

 

               ในคืนนั้นผมนอนกอดกับร่างที่ไร้หัวใจของจอห์นเหมือนเคย ผมกอดร่างนั้นไว้แน่นเหมือนผมอยากรั้งร่างนั้นให้อยู่กับผมให้นานที่สุด แม้ว่าร่างนั้นกำลังจะกางปีกเพื่อจะบินจากผมไปในเร็ววันนี้ก็ตาม ผมค่อย ๆ เอาใบหน้าซุกเข้าไปที่ต้นคอของจอห์น เขายังคงนอนหันหลังให้ผม ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเขากำลังคิดถึงสิ่งใด เขากำลังแค่คิดไปจากผม หรือเขากำลังคิดที่จะทรยศผมกันแน่ ผมเพิ่งสืบรู้มาว่าจอห์นเองนี่ล่ะที่เป็นหนอนในอาณาจักรของผม พวกยาที่หายไปเล็กน้อยก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือของเขา จอห์นเอายาเหล่านั้นแอบไปขายให้กับเมืองอื่น และข่าวที่ผมจะได้ยาล็อตที่ใหญ่ที่สุด จนคืนนั้นผมต้องถูกตามล่าก็เป็นฝีมือการปล่อยข่าวของจอห์น ผมได้แต่คิดในแง่ดีว่าเขาเพียงอยากได้เงินมากขึ้นเพียงเท่านั้น และผมก็หวังว่ามันจะเป็นเพียงเท่านั้นจริง ๆ

               “ฉันไว้ใจนายนะ”

               ผมกระซิบที่ข้างหูของชายไร้หัวใจ แต่จอห์นก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด เขาขยับเข้ามาในวงแขนของผม แผ่นหลังของเขากระชับแน่นกับแผงอกของผม จอห์นค่อย ๆ ยกมือเขาขึ้นมากุมมือผมไว้อยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าผมกำลังฝันไปหรือไม่ หรือเขาเพียงกำลังโกหกผมเหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่ผมก็อยากให้การโกหกของเขาในค่ำคืนนี้ยาวนานให้ได้นานที่สุด นานจนไม่อยากให้แสงของเช้าวันใหม่มาถึง

 

               วันนี้เป็นวันที่ฉันตั้งตารอและในขณะเดียวกันก็เป็นวันที่ฉันไม่อยากให้มาถึง เพราะวันนี้เป็นวันที่จอห์นจะพาฉันหนีไปจากเมืองเมืองนี้ และเป็นวันที่ฉันจะได้เจอจอห์นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเดินตามเส้นทางของเขา เช้านี้ฉันยังคงนั่งมึนงงอยู่บนเตียงในห้องเช่าราคาถูกที่จอห์นเช่าให้ฉันอยู่ระหว่างรอเขา ฉันไม่รู้ทำไมเช้านี้ฉันถึงมึนหัวจนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนฉันร้องไห้ทั้งคืน มันเป็นค่ำคืนที่หลากหลายอารมณ์จนตัวฉันเองก็ตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกเศร้าจากการต้องจากลาจากคนที่ฉันรักมากที่สุด ความรู้สึกกลัวที่ต้องเริ่มชีวิตใหม่คนเดียวในเมืองที่ไม่รู้จัก ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองจะสามารถทำได้อย่างที่จอห์นคาดหวังหรือไม่ และในขณะเดียวกันฉันก็ตื่นเต้นที่ฉันจะหลุดพ้นออกไปจากเมืองเมืองนี้ได้เสียที

               ฉันพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงไปในครัว ในห้องเช่าแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดมากนัก ทำให้อาหารเช้าของฉันเป็นเพียงแยมส้มกับขนมปังแผ่นเดียวอย่างเรียบง่าย แยมส้มถูกบรรจงทาลงบนแผ่นขนมปัง ก่อนที่ฉันจะกัดมันในขณะที่ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้ท้องฟ้าต่างไปจากทุกวัน แสงแดดร้อนแรงกลายเป็นเมฆก้อนหนาที่กำลังปกคลุมเมืองเมืองนี้ ฉันคิดว่าคืนนี้ฝนน่าจะตก และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง นี่จะเป็นฝนแรกของปีสำหรับเมืองที่แห้งแล้งแห่งนี้

               แยมส้มที่สดชื่นไม่สามารถทำให้อาการมึนของฉันทุเลาลงไปได้เลย ฉันเอาแต่จ้องมองไปยังนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น เมฆดำทำให้ฉันอดคิดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคนที่ฉันเฝ้ารอไม่ได้ เขาจะเป็นอย่างไร การแก้แค้นของเขาจะสำเร็จหรือไม่ เขาบอกฉันว่าถ้าเขาทำสำเร็จเขาจะได้เงินมากมาย และเงินเหล่านั้นมันจะเป็นของฉันสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ว่าฉันไม่เคยร้องขอมันเลยก็ตาม สิ่งเดียวที่ฉันร้องขอจากเขาคือการที่เขายอมไปกับฉัน แต่การร้องขอนั้นมันก็เป็นเพียงฝุ่นผงที่ปลิวไปตามสายลมอย่างไร้ค่า

 

               ท้องถนนเงียบเหงา ไฟนีออนส่องสว่าง เมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า ลมเย็นแทนที่ความร้อน ทั้งหมดนี้มันคือองค์ประกอบของค่ำคืนนี้ หน้าอพาร์ทเม้นท์เก่ามันยังคงอึมครึมอยู่เหมือนเคย จนกระทั่งความเงียบทั้งหมดถูกทำลายลงด้วยเสียงของมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ขับมาด้วยความเร็วสูง และชายบนมอเตอร์ไซค์คันนั้นลดความเร็วลงแล้วจอดลงอยู่หน้าอาคารหลังเก่าแห่งนี้

               จอห์นในสภาพที่เร่งรีบ เขารีบเดินขึ้นไปยังอพาร์ทเม้นท์เก่าในขณะที่เขายังคงใส่หมวกกันน็อคอยู่บนศีรษะ จอห์นขึ้นบันไดไปอย่างเร่งรีบ ก่อนที่เขาจะหยุดอยู่ที่ประตูห้องในสุดบนชั้นสี่ จอห์นเคาะประตูเสียงดัง และโรสในชุดเสื้อฮู้ตสีดำตัวใหญ่ก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่พร้อมจะไปกับจอห์นทุกที่ ทั้งสองในขณะที่เดินลงบันได เขาก็สวนกับชายคนหนึ่งที่เพิ่งเปิดประตูห้องข้างบันไดของเขาออกมา ชายในชุดบาร์เทนเดอร์กับโบว์หูกระต่ายที่ดูจะใหญ่เกินตัวเขาไปสักหน่อย เขาได้แต่มองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ แต่ทั้งโรสและจอห์นก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงรีบเดินให้เร็วที่สุดไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เพียงเท่านั้น

               โรสกอดเอวของจอห์นแน่นยามที่เธอซ้อนท้ายอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ของจอห์น เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าจอห์นเองก็สะพายกระเป๋าเป้สีดำอยู่เหมือนกัน และเธอก็พอเดาได้ว่าในนั้นมันคงเป็นเงินที่จอห์นพูดถึง ตลอดทางที่พวกเขาขับไปบนถนน โรสรู้สึกได้ถึงรถยนต์ 2 คันที่กำลังขับตามไล่พวกเขาทั้งสอง และในไม่ช้าหนึ่งในรถยนต์กลุ่มนั้นก็เปิดกระจกส่องปืนมาทางพวกเขา พร้อมกับลูกกระสุนปืนที่ระดมยิงโดยเจาะจงไปล้อรถมอเตอร์ไซค์ โชคดีที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้จอห์นได้เตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว เขาได้เตรียมการหลบหนีครั้งนี้เป็นอย่างดีจากการศึกษาเส้นทางลัดเลาะตามตรอกซอกซอย เขาเพียงเร่งความเร็วของเครื่องยนต์จนสุดกำลังพร้อมกับขับหลบลูกกระสุนเหล่านั้นอย่างสวยงาม ไม่ต่างไปจากการร่ายรำท่ามกลางความตาย

ในขณะที่สายตาของจอห์นจับจ้องหาตรอกซอกซอยเล็ก เขาก็เจอมันในที่สุด ก่อนที่เขาจะหักเลี้ยวกระทันหันเข้าซอยนั้นไป จนรถยนต์ที่ตามเขามาไม่สามารถชะลอความเร็วให้ทันได้ เขาทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เข้าซอยโน้นออกซอยนี้ จนในที่สุดเขาก็หลุดจากการไล่ล่าของรถยนต์กลุ่มนั้น

ตลอดเส้นทางการหลบหนีโรสไม่ได้ทำสิ่งใด เธอเพียงกอดเอวของจอห์นแน่นและเอาใบหน้าซุกหลบอยู่บนแผ่นหลังของจอห์น เธอไม่ส่งเสียงใด ๆ เลย เพราะสำหรับเธอ เธอไม่เคยกลัวสิ่งใดยามที่เธออยู่กับจอห์น เธอเพียงปล่อยให้มันเป็นไป และพยายามจดจำช่วงเวลาที่ได้อยู่กับจอห์นให้ได้มากที่สุดเพียงเท่านั้น เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มันดังเป็นระยะมาก่อนหน้านี้ ไม่นานโรสก็รับรู้ถึงละอองน้ำในสายลมที่พัดมาสัมผัสกับผิวของเธอ และเธอก็รู้ได้ในทันทีว่าฝนแรกในรอบหลายเดือนมานี้คงจะตกในอีกไม่ช้า

 

               ‘ผัวะ !’

               เดวิดใช้ด้ามปืนตบเข้าไปที่มุมปากของกร เขาไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ เพียงก้มหน้าสำนึกผิดอยู่อย่างนั้น

               “มึงดูไว้นะ! ลูกพี่มึงมันไม่ได้เรื่อง กูแค่สั่งให้ไปจัดการกับไอ้จอห์นยังทำไม่ได้ แล้วยังปล่อยให้ลูกน้องมันเดินลอยหน้าลอยตากลับมาบอกว่าไอ้จอห์นมันหนีไปได้”

               เดวิดพูดพลางชี้ปลายกระบอกปืนไปที่ลูกน้องของกร ที่ถูกกรสั่งให้ไปจัดการกับจอห์นแต่พวกมันกลับทำไม่ได้

               “นายครับ พวกผมผิดเอง อย่าไปทำอะไรกับพี่กรเลยครับ”

               “พอ!”

               กรหันไปตวาดหนึ่งในลูกน้องของเขาที่พูดแทรกขึ้นมาให้หยุดพูดในทันที

               “โห ! พวกมึงนี่รักลูกพี่มึงดีจัง พวกมึงไม่ต้องกลัว ถ้าคืนนี้พวกมึงตามหาไอ้จอห์นไม่เจอ มึงได้ตายกันสมใจแน่”

               เดวิดนิ่งไปสักพักหนึ่งกับความคิดที่อยู่ในหัวของเขา ก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกับเดินไปรอบ ๆ กองยาเสพติดที่ตอนนี้เหลือเพียงลังเหล้าเปล่าที่ทิ้งไว้ให้ดูเป็นของต่างหน้า เสียงหัวเราะของเดวิดกับแสงไฟสลัวจากโคมไฟในโกดังล้างแห่งนี้ที่มันกำลังกวัดแกว่งไปมาเพราะลมฝนจากภายนอกที่กำลังจะตกลงมาในอีกไม่ช้า สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เดวิดดูน่ากลัว จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำสิ่งใดต่อไปมากขึ้นไปอีก

               “พวกมึงคงคิดว่ากูโง่มากใช่ไหม ?”

               เดวิดพูดในขณะที่เขายังคงหัวเราะ พลางเอากระบอกปืนชี้มาที่หัวของเขายามที่เขาพูดถึงตัวเอง

               “โง่! กูมันโง่!”

               คราวนี้น้ำตาของเดวิดค่อย ๆ ไหลออกมาในขณะที่ปากของเขายังคงหัวเราะ

               ‘ปัง! ปัง!’

            ในที่สุดปืนในมือของเดวิดก็ได้ทำหน้าที่ของมัน เดวิดเพิ่งเป่าหัวลูกน้องของเขา 2 คนที่เป็นคนเฝ้าประตูโกดัง ศพของพวกมันนอนเกลื่อนกราดอยู่ตรงที่ที่พวกมันเพิ่งถูกซ้อมไปเมื่อเย็นนี้

               “ไอ้เหี้ยสองตัวนี้ก็โง่เหมือนกู แค่คนคนเดียวยังปล่อยให้มาขโมยไปได้”

               เดวิดพูดเพียงกระซิบไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของบุคคลทั้งสอง ก่อนที่เขาจะกลับกลับมาหยุดนิ่ง ดึงตัวเองออกจากอารมณ์นับร้อยที่กำลังโหมกระหน่ำ เดวิดเช็ดน้ำตาและคราบเลือดออกไปจากใบหน้าเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ก่อนที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับแผ่นหลังที่ยืดออกจนตรงและสง่างาม เดวิดคนเดิมได้กลับมาแล้ว ชายผู้ไม่มีหัวใจให้กับใคร ชายผู้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจเหนือกว่าเขา

               “พวกมึงออกไปหาไอ้เหี้ยสองตัวนั่นให้เจอ ถ้าคราวนี้พาพวกมันกลับมาไม่ได้ มึงคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

               หลังพูดจบเดวิดก็ก้าวเท้าข้ามศพของลูกน้องของเขาอย่างไม่ใยดี

 

               ฉันยังคงนั่งจ้องมองแผ่นหลังของจอห์นในขณะที่เขานั่งอยู่บนเตียงพลางทอดสายตาไปที่ประตู ตอนนี้จอห์นแต่งตัวของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างจากฉันที่ยังคงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า รสจูบและรสเซ็กส์ของเขายังคงเป็นสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันหาเหมือนเคย ต่างเพียงครั้งนี้ฉันรู้ว่ามันคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้ลิ้มรสมัน ในความคิดของฉันเมืองใหม่ที่จอห์นพาฉันมามันก็ไม่ได้ต่างจากเมืองที่พวกเราอยู่สักเท่าไร ฉันยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังเหมือนเคย ห้องเช่าแห่งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในย่านเสื่อมโทรมเหมือนห้องที่จอห์นเช่าให้ฉันตอนอยู่ในเมืองแห่งไฟนีออนสีเขียวนั่น แต่มันก็ยังรู้สึกเล็กและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความอาลัยและการจากลาอยู่ดี

               “คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ แล้วถ้าในอนาคตคุณมีหนทางที่ดีกว่านี้ ก็ค่อยว่ากัน”

               จอห์นคุยกับฉันโดยเขาไม่คิดจะหันหน้ากลับมามองฉันสักนิด เขาเพียงหันไปมองกระเป๋าใส่เงินที่วางอยู่ที่มุมห้อง

               “ผมจะไปแล้ว หลังจากนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ”

               เมื่อฉันได้ยินคำพูดที่จอห์นกำลังบอกลา ฉันไม่สนใจเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันรีบโผตัวเข้าไปโอบกอดจอห์นจากทางด้านหลังในทันที

               “อยู่กับฉันนะ”

               ฉันพร่ำคำเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงแต่หวังว่ามันอาจทำให้จอห์นเปลี่ยนการตัดสินใจของเขาได้ก็เท่านั้น

               “เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ ช่างเรื่องที่ผ่านมา”

               น้ำตาของฉันเปียกโชกไปทั้งแผ่นหลังของจอห์น แต่ก็เหมือนว่าน้ำตาของฉันเป็นเหมือนน้ำตาที่หยดลงบนขนมสายไหม มันยิ่งทำให้ขนมสายไหมนั้นละลายสลายหายไปเร็วขึ้นมากกว่าเดิม

               จอห์นกุมมือฉันไว้ก่อนที่เขาจะแกะมือฉันออก

               “ความฝันมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่นะ พวกเราอย่าปล่อยให้ความฝันของเรามันหายไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเลย ผมอยากให้คุณทำตามความฝันของคุณให้สำเร็จ แล้วผมจะคอยดูคุณอยู่เสมอ ส่วนผมเองก็จะไปทำตามความฝันของผมเหมือนกัน”

               น้ำตาของจอห์นหยดลงบนมือฉัน และมันก็ทำให้ฉันจำเป็นต้องปล่อยอ้อมกอดตัวเองออกจากคนที่ฉันรัก จอห์นลุกขึ้นจากเตียง เขาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูอย่างไม่ไหวติง

               “คุณช่วยหันมามองฉันสักนิดได้ไหม ?”

               ฉันสังเกตุเห็นไหล่ของจอห์นสั่นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะตามมาด้วยเสียงสูดน้ำมูก

               “ลาก่อน”

               แล้วเขาก็เดินออกจากประตูนั้นไป โดยไม่หันกลับมามองหน้าฉันแม้สักน้อย

               เสียงฟ้าร้องกับแสงสว่างวาบลอดผ่านมาจากหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฝนที่เทกระหน่ำ นี่คงจะเป็นฝนแรกในรอบหลายเดือนที่แห้งแล้งมานี้ มันตกอย่างรุนแรงจนทำให้ความร้อนอบอ้าวหายไปจนหมด และฉันก็คิดว่าฝนในเมืองแห่งแสงนีออนสีเขียวนั่นก็คงกำลังจะตกอยู่เช่นกัน ทั้งย่านในเมืองที่เราคุ้นเคย บาร์ที่เราเคยไป ชายหาด หน้าผา และสุสานที่เราได้ร่วมรักกันเป็นครั้งแรก ตอนนี้สถานที่เหล่านั้นมันคงกำลังเปียกชุ่มไปด้วยสายฝน ไม่ต่างจากใบหน้าของฉันที่กำลังชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา

 

               ฝนแรกในรอบหลายเดือนมานี้เทลงมาอย่างหนักหน่วงเหมือนทดแทนช่วงที่แห้งแล้ง จอห์นยังคงเร่งความเร็วรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเขาผ่านสายฝนนั้นไป เขารู้สึกได้ถึงเม็ดฝนนับล้านที่กระทบลงบนผิวหนังของเขา มันทั้งเย็นสดชื่นและมันก็เจ็บเหมือนโดนก้อนกรวดนับล้านระดมปาใส่ ตัวเขาเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนไม่ต่างไปจากใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคที่เปียกโชกไปด้วยหยดน้ำตา

               จอห์นรู้ว่าสิ่งสุดท้ายก่อนที่เขาจะไปทำตามความฝันในการจากโลกใบนี้คือการไปแก้แค้นให้กับโรส เขามุ่งตรงดิ่งไปยังบ้านของธีร์ ชายชราที่ทำให้โรสต้องเจ็บไปทั้งร่างกายและบอบช้ำไปทั้งจิตใจ เสียงเครื่องยนต์และแสงไฟหน้ารถส่องสว่างท่ามกลางสายฝนโดยไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น และไม่นานจอห์นก็มาถึงหน้าบ้านของธีร์

               เครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ถูกเร่งให้คำรามแข่งกับเสียงพายุฝน จอห์นจงใจให้ธีร์รู้ว่าวันนี้เขาจะเป็นมัจจุราชที่มาลากชีวิตมันไปลงนรก ไม่รอช้าจอห์นลงจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วตรงปรี่เข้าไปใช้ปืนยิงไปที่ลูกบิดประตู ก่อนที่เขาจะใช้เท้าถีบประตูไม้เก่า ๆ จนล้มลงกับพื้น

               ในบ้านตอนนี้เงียบเชียบมีเพียงเสียงฝนที่ดังอยู่ข้างนอก จอห์นก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวังท่ามกลางความมืด ในห้องโถงแห่งนี้เขาแทบมองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากได้กลิ่นอับเหมือนที่แห่งนี้ถูกปิดตายมาหลายวัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้จอห์นใส่ใจมากนัก เขายังคงเดินต่อไป จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ซึ่งจอห์นเดาว่าน่าจะเป็นเสียงจากโทรทัศน์ เสียงผู้ประกาศข่าวยังคงเล่าถึงลมมรสุมที่กำลังพัดผ่านเมืองนี้เป็นเหตุผลทำให้หลังจากนี้ฝนจะตกหนักเกือบทั้งอาทิตย์ ในขณะที่หูฟังเสียงจากโทรทัศน์ มือของจอห์นก็เตรียมเล็งปืนอยู่ตลอด จนกระทั่งเท้าของเขาเผลอไปเตะกับขวดอะไรสักอย่างที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น จอห์นค่อย ๆ คลำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในความมืด และได้รู้ว่ามันคือขวดเหล้าจำนวนมหาศาล จอห์นเดินตามขวดเหล้าเหล่านั้นไป และในที่สุดเขาก็ได้เจอกับบุคคลที่เขากำลังตามหา

               ‘ไอ้ธีร์!’

               ในห้องห้องนั้นมืดสลัว แต่พอเดาได้ว่าคือห้องรับแขก จากการสังเกตโซฟาที่วางอยู่รอบห้อง และธีร์ บุคคลที่จอห์นตั้งใจจะมาพบก็กำลังยืนอยู่หน้าโทรทัศน์ที่กำลังเปิดอยู่ จอห์นไม่รอช้าเตรียมเหนี่ยวไกไปที่ร่างเป้าหมาย

               “มีอะไรอยากจะสั่งเสียไหม?”

               จอห์นยังคงเล็งปืนค้างไว้รอคำตอบจากร่างร่างนั้น แต่ก็เหมือนว่ามันน่าจะไร้ผล ร่างนั่งยังคงยืนนิ่งสงัดอยู่ในความมืด จอห์นรู้ว่าถ้ารอต่อไปคงจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงเตรียมกดไกปืน

               ‘เปรี้ยง!’

               แสงสว่างจากฟ้าผ่าสว่างวาบจนทำให้เห็นทุกอย่างในห้องห้องนี้ได้อย่างชัดเจน ชายที่อยู่ข้างหน้าของจอห์นเขาไม่ได้ยืนอยู่ แต่เขาถูกแขวนคอกับโคมไฟบนเพดาน ดวงตาที่เบิกโพงกับลิ้นที่จุกอยู่ในปากปรากฏอยู่ตรงหน้า จนทำให้จอห์นสะดุ้งโหยงจนล้มลงกับพื้น พร้อมกับปืนในมือของเขาหลุดหายไปในความมืด

               ‘ปัง!’

            เสียงปืนดังมาจากหน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงวัตถุหนักล้มลงกับพื้น ก่อนที่จะมีเสียงรัวยิงกระหน่ำไปที่วัตถุเดิมซ้ำ ๆ ตามมาติด ๆ  จอห์นรู้ว่าตอนนี้เดวิดคงจะหาเขาจนเจอแล้ว และตอนนี้คงกำลังระบายความโกรธทั้งหมดไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอห์นจอดไว้หน้าบ้าน ไม่นานเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเดวิดก็กำลังเดินเข้ามาในบ้าน ทุกย่างก้าวของเขามันได้สั่นสะเทือนของทุกอย่างในบ้านหลังนี้ รวมถึงหัวใจของจอห์นด้วย จอห์นรู้ว่าชีวิตเขาตอนนี้มันคงกำลังนับถอยหลังสู่ความตาย

               ใบหน้าของคนคุ้นเคยแต่แววตาไม่คุ้นตา จอห์นเห็นสีหน้าของเดวิดผ่านความมืดยามเมื่อพ้นขอบประตู เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเดวิดคนที่เขารู้จักไม่อยู่อีกแล้ว หลงเหลือเพียงเดวิดเจ้าพ่อค้ายาที่ทุกคนต่างยำเกรง แต่เมื่อสายตาของเดวิดพบกับร่างอันไร้วิญญาณของธีร์เพื่อนรักคนสนิทในอดีตที่ถูกแขวนคอ และตอนนี้ร่างนั้นได้กวัดแกว่งไปมาทักทายเพื่อนเก่าของเขา ในวินาทีแรกเดวิดถึงกับผงาดกับภาพที่เห็นพลางเอ่ยชื่อของเพื่อนเก่าเพียงเบาบาง

               “ไอ้ธีร์!”

               แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจกับมันมากนัก เพราะภาพที่เขาเห็นธีร์ครั้งล่าสุดเขาก็พอสามารถเดาจุดจบของมันได้ ร่างกายที่ยังมีเลือดเนื้อแต่เหมือนไร้วิญญาณของธีร์ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขา

               จอห์นเมื่อเห็นเดวิดกำลังเหม่ออยู่กับความคิดในหัวเขาจึงค่อย ๆ ยืนขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณนักล่าของเดวิดที่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบข้างได้อย่างรวดเร็ว ชายเกือบชรารีบยกปืนขึ้น แล้วเล็งไปทางชายหนุ่ม ทั้งสองต่างจ้องตากันและตกอยู่ในความเงียบอยู่อย่างนั้นยาวนานหลายนาที ไม่มีใครพูดจาใด ๆ กันทั้งสิ้น แต่ในที่สุดความเงียบนั้นก็จบสิ้นด้วยเสียงง้างนกปืนของเดวิด

               “ยิงสิ!”

               จอห์นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ

               “ทำไม?”

               เดวิดเอ่ยถามเพียงคำสั้น ๆ แต่มันเป็นทั้งหมดที่เขาอยากจะถามจอห์น เขาเพียงอยากรู้ว่า ทำไม? ทำไมจอห์นทำแบบนั้น? ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่จุดนี้? และ ทำไมจอห์นถึงไม่เคยรักเขา น้ำตาของเดวิดค่อย ๆ ไหลปนกับหยดน้ำที่เกาะอยู่ทั่วใบหน้า

               “เพราะผมเกลียดคุณ”

               “ทำไม?”

               เดวิดยังคงถามคำถามเดิมต่อไป และพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดของเขาให้หายไป ให้มันไม่มากพอจนทำให้เขาต้องล้มลงทั้งยืนอยู่ตรงนี้

               “คุณจะถามผมอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังจะตอบคำเดิม เพราะมันคือเหตุผลทั้งหมดที่ผมทำ”

               ถึงตอนนี้เดวิดไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกของเขาได้อีกต่อไป มือของเขาสั่นเทาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจนหมดคราบสัตว์ร้าย แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นเพียงกวางน้อยยามที่อยู่ในกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่เรียกว่าความรักเท่านั้น เข่าของแทบจะทรุดอยู่ตรงนั้น สายตาที่พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาพยายามจ้องมองภาพสลัวของชายที่เขารักที่อยู่ตรงหน้า

               ไม่นานนัก นอกจากเสียงพายุฝนที่ดังอยู่ข้างนอกก็มีอีกหนึ่งเสียงที่ดังแทรกเข้ามา เสียงไซเรนจากรถตำรวจดังระงมอยู่รอบตัวบ้าน ตามมาด้วยแสงสีแดง สีน้ำเงิน ที่ส่องสว่างสลับกันไปในความมืดที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง

               ตำรวจนายหนึ่งพูดประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงบอกให้คนข้างในมอบตัวเพียงยกมือขึ้นแล้วเดินออกมาทำให้ทุกอย่างง่ายดายที่สุด ซึ่งตัวเดวิดเองก็รู้ว่านั่นคือเสียงของจุดจบของเขาแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะเลือกสิ่งใด ทุกทางมันก็พาเขาไปสู่จุดจบ จุดจบของเรื่องบ้า ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาคิดว่าทุกสิ่งมันควรจบได้แล้ว เขาไม่ต้องการจะทรมานอีกต่อไป แล้วเดวิดเล็งปืนตรงไปข้างหน้าอย่างไร้ความลังเลใด ๆ

               “ลาก่อน!”

               ‘ปัง!’

               คำร่ำลาถูกเอ่ยขึ้นจากปากของเดวิด ก่อนตามมาด้วยเสียงจากการเหนี่ยวไกจากปืนกระบอกนั้น และเรื่องทั้งหมดมันก็จบลงแค่ตรงนั้น ความสัมพันธ์ อำนาจ ศักดิ์ศรี และ ชีวิต ภายใต้ฝนแรกของปีหลังจากที่เมืองนี้ตกอยู่ในความแห้งแล้งมาเนิ่นนาน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา