เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) 7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมรู้สึกเหมือนถูกสะเก็ดไฟกระเด็นใส่ จากนั้นสะเก็ดไฟเล็ก ๆ มันก็เริ่มลุกลาม จากดวงไฟกลายเป็นเปลวไฟขนาดยักษ์ และมันกำลังโถมเข้าใส่ร่างกายของผม ผมค่อย ๆ ถูกเผาไหม้ เนื้อตัวเจ็บแสบไปหมด จนต้องดิ้นทุลนทุลายอยู่บนพื้น แต่ทันใดนั้นความร้อนก็กลายเป็นความรู้สึกเยือกแข็ง ผมเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในตู้แช่เนื้อสด เกล็ดน้ำแข็งค่อย ๆ เกาะกุมไปทั่วร่างกายของผม แล้วทุกอย่างมันก็สลับกันอยู่อย่างนั้น จากเผาไหม้กลายเป็นเยือกแข็ง จากเยือกแข็งกลับมาสู่การเผาไหม้
ผมดิ้นทุลนทุลายไปทั่วห้อง จากเตียงนอนไปยังระเบียง ผมรู้ว่าตอนนี้ผมคงกำลังอยากยาวิเศษนั่น ยาที่ทำให้ผมหายไปจากชีวิตที่เส็งเคร็งนี้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อมันหมดฤทธิ์มันก็ทำให้ผมเหมือนตกนรกทั้งเป็นอีกครั้ง ผมเดินสลับคลานไปทั่วห้องเพื่อหายานั่น ยาที่เดวิดมักจะทิ้งไว้ให้ผม ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด จนในที่สุดผมเดินไปคุ้ยหาที่ถังขยะเล็ก ๆ ที่มุมห้อง เพราะผมจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ใช้มัน มันยังเหลือเศษผงที่ติดอยู่บนห่อกระดาษของมันอยู่ และมันก็เป็นเช่นนั้น ผมเจอห่อกระดาษห่อนั้น กับห่อยาอีกสองสามอันที่ยังไม่ถูกเปิดใช้ ผมไม่รีรอรีบหยิบมันขึ้นมาสูดดมอย่างหิวกระหาย ก่อนที่ทุกอย่างจะทุเลาลง ไฟที่มอดไหม้กับน้ำแข็งที่เยือกแข็งมันได้หายไปแล้ว เหลือเพียงร่างกายของผมที่นอนหมดสภาพอยู่ข้างถังขยะ กับภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าที่ผมมองเห็นอยู่ทางหน้าต่าง
‘ทำไมชีวิตกูมันถึงได้น่าสมเพชขนาดนี้วะ?’
ในขณะที่ผมคิดถึงคำถามที่มักจะเกิดขึ้นกับชีวิตผมตลอด สายตาของผมก็พลางจ้องแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าที่ส่องตรงมาทางร่างกายผม ผมพยายามนึกถึงเหตุผลว่าทำไมห่อยานั่นมันถึงได้มาอยู่ในถังขยะ และผมก็ได้คำตอบว่าผมเองนี่แหละที่เป็นคนทิ้งมัน ตั้งแต่ที่ผมเจอกับโรส ผมก็อยากจะมีชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งมัน ผมอยากเป็นผมที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหนีจากกรงทองที่เดวิดมอบให้พ้นเสียที ผมมันอ่อนแอเกินไปที่จะมีชีวิตอยู่ และผมคงไม่สามารถทำให้ชีวิตของตัวเองมันดีขึ้นได้อีก
ผมรู้ว่าเดวิดเขาฉลาดมาก เขาใช้ยานั่นทำให้ผมตกเป็นทาสของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาพยายามทำให้ผมรู้ว่าผมไม่สามารถอยู่โดยปราศจากเขาได้ มันเป็นความคิดที่ผมโคตรรังเกียจ และมันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก ทำให้บางครั้งผมอยากแก้แค้นให้เดวิดได้รับรู้ความเจ็บปวดของผมบ้าง ผมจึงขโมยยาของเดวิดออกไปขายให้กับตลาดมืดเมืองข้าง ๆ เพราะอย่างแรกผมจะได้เงินกลับมามากพอที่จะเอาไปใช้ตามอำเภอใจ และอย่างที่สองผมรู้ว่าตำรวจในเมืองนี้ทุกคนต่างอยู่ใต้อำนาจของเดวิด ดังนั้นผมจึงหวังว่ายาที่ผมส่งไปขายในต่างเมือง วันหนึ่งมันจะถูกจับได้ และตำรวจเมืองนั้นก็จะสาวมาจับกุมตัวเดวิดได้ในที่สุด แต่วันนั้นมันก็ไม่เคยมาถึงสักที
“น้องว่าจะทำให้คนที่ไม่ได้รักเรา รักเราได้ไหม?”
“เจมส์”
“เจมส์!?”
ผมชะงักจากความคิดที่ผมเผลอหลุดปากพูดเรื่องส่วนตัวออกไป เพราะเจ้ากระตายน้อยในลุคบาร์เทนเดอร์ดันพูดชื่อของเขาขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น เขากำลังยิ้มจนตาหยี๋เหมือนเคย ผมเข้าใจเกมที่เจ้ากระต่ายน้อยกำลังเล่นแล้ว
“เจมส์ว่าจะทำให้คนที่ไม่ได้รักเรา รักเราได้ไหม?”
ชายหนุ่มหน้ากระต่ายยิ้มถูกใจก่อนจะตอบ
“ไม่รู้ว่ะพี่”
ผมถอนหายใจยาว เพราะกว่าจะตอบได้ก็เล่นตัวจนเหนื่อย แต่พอตอบมาแล้วคำตอบก็ไร้แก่นสารใด ๆ โดยสิ้นเชิง
“แต่ถ้าได้ลองพยายามก็คงจะดีนะ” เด็กหนุ่มตอบเสริม
แต่ในขณะนั้นก็มีลูกค้าคนใหม่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่ม เจมส์จึงหันไปทำเครื่องดื่มให้ชายคนนั้น ผมได้แต่คิดในสิ่งที่เจมส์พูด พยายามนะเหรอ? ผมได้ทำมันหมดแล้ว แต่มันก็ไม่เคยเห็นผลใด ๆ สักที จนเวลาผ่านไปสักครู่กระต่ายน้อยก็ทำเครื่องดื่มให้ลูกค้ารายใหม่เสร็จ เขาจึงเดินกลับมาพูดคุยกับผมต่อ
“ยังไงพี่ คืนนี้มีเรื่องหนักใจอีกแล้วเหรอ?”
ผมไม่ได้ตอบสิ่งที่เด็กหนุ่มถาม ผมเพียงยิ้มตอบและดื่มเครื่องดื่มที่เด็กหนุ่มชงให้ผมอยู่อย่างนั้น ผมยอมรับว่าฝีมือของเขาพัฒนาก้าวกระโดดจริง ๆ จากตอนแรกที่แทบจะกินไม่ได้ จนตอนนี้เขามีฝีมือมากพอที่จะทำให้เครื่องดื่มมีรสชาติที่กลมกล่อมจนผมอยากจะชิมทุกแก้วที่เขาทำ
“เดี๋ยวนี้ทำอร่อยขึ้นนะ”
เด็กหนุ่มยิ้มตาหยีก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมตกใจจนแทบจะเบี่ยงหน้าหลบไม่ทัน
“ก็ผมพยายามฝึกอย่างที่พี่บอกไง…ถ้าไม่พยายามเดี๋ยวผมก็โดนไล่ออกพอดี”
ผมเผลอยิ้มตามเจ้ากระต่ายน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“ผมเชื่อว่าถ้าพยายาม ทุกอย่างมันก็เป็นไปได้”
เด็กหนุ่มพูดต่อ โดยที่ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องใด เรื่องค็อกเทลหรือเรื่องที่ผมถามก่อนหน้านี้
“อร่อย แต่ก็ยังขาดความซับซ้อน”
พลังแห่งการมองโลกในแง่ดี เชื่อว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้หากเราพยายาม คงเป็นข้อดีสำหรับเด็กช่วงอายุแบบเขา แต่สำหรับผมแล้วชีวิตมันซับซ้อนกว่านั้น บางครั้งแม้ว่าเราจะพยายามมากเท่าใด แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเรายังไงเราก็ไม่มีวันได้มันมาครอบครอง
ร้านวันนี้ค่อนข้างเงียบ คงอาจจะเป็นเพราะตอนนี้ดึกจวนร้านเกือบปิดแล้ว แถมยังเป็นวันธรรมดา ผมกำชับลูกน้องของผมว่าไม่ต้องมากับผมในขณะที่ผมอยู่ในร้านแห่งนี้ เพราะถือว่าที่นี่มันคือที่ของผม และผมมาที่นี่เพื่อต้องการพักผ่อนกับบรรยากาศของบาร์แห่งนี้ ผมไม่อยากให้ลูกน้องของผมมาทำให้บรรยากาศของที่นี่มันเสียไป เพลงบลูส์ของวงดนตรีโปรดยังคงเล่นต่อไป มันยังงดงาม และอาลัยโหยหาเหมือนเดิม จนผมจำไม่ได้แล้วว่าผมเผลอหลับไปตอนไหน
“พี่ครับ”
เสียงเจ้ากระต่ายน้อยแทรกเข้ามาในหูของผมตามมาด้วยแรงเขย่าจากมือของเขาอย่างแผ่วเบา ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางสบตากับดวงตากลมโตคู่นั้น
“ร้านปิดแล้วนะครับ”
ผมแทบจะเผลอหลุดปากพูดไปว่า ‘ก็ช่างหัวมันสิ’ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่เหมือนกับทุกครั้งที่ผมเมา แต่โชคดีที่ผมยังพอจำได้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
“คุณคะ คืนนี้คุณจะนอนที่นี่-”
เสียงผู้จัดการร้านกำลังจะถามว่าคืนนี้ผมจะนอนค้างที่นี่ไหม เธอจะได้จัดเตรียมที่นอนไว้ให้ แต่ผมก็รีบดันตัวขึ้นจากโต๊ะ แล้วส่งสัญญาณให้เธอหยุดพูดก่อนที่เด็กหนุ่มคนนี้จะแปลกใจ
“เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว”
ผมรีบลุกขึ้นยืนด้วยอาการโซเซ แล้วพยายามเดินออกจากร้านให้ปกติที่สุด
“งั้นดิฉันโทรตามกรให้นะคะ”
“ไม่ต้อง!”
ผมเผลอหลุดปากตะหวาดผู้จัดการร้านไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่เจมส์ได้แต่งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รอช้าผมเดินไปที่รถและกำลังจะเปิดประตูรถออก
“ผมว่าพี่ขับไม่ได้หรอก”
“ผมขับได้ ไม่ได้เมาสักหน่อย”
รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางกลิ่นสนิมที่ข้างกายของผมมีเจ้ากระต่ายน้อยนั่งอยู่ สายตาของผมละไปมองสิ่งรอบตัวอย่างไม่ตั้งใจ ถนนในยามค่ำคืนในมุมที่แปลกใหม่ ผมแทบไม่ได้นั่งรถประจำทางเลยในชีวิต หรือถ้าเคยมันคงนานจนผมจำไม่ได้แล้ว ดวงไฟสลัวข้างทางเมื่อผสมกับความเร็วของรถประจำทางทำให้ผมเห็นแสงของพวกมันเป็นเส้น ๆ ลมจากหน้าต่างที่เปิดค้างไว้พัดมาสัมผัสกับผิวกายของผม ผสมกับกลิ่นผิวกายของคนข้าง ๆ เจ้ากระต่ายน้อย ผิวกายของเขามันหอมเหมือนผิวเด็ก ผมนั่งมองผู้คนค่อย ๆ ลงจากรถประจำทางนี้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือผมกับเจ้ากระต่ายน้อยแค่เพียงสองคน ผมจึงเอนศีรษะซบลงบนบ่าของเขา
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
เสียงเจ้ากระต่ายน้อยพูดขึ้นหลังจากที่เขาจัดการกับร่างของผมให้นอนอยู่บนเตียงในห้องเช่ารูหนูของเขาได้สำเร็จ ผมไม่ได้ตอบสิ่งใดเพียงหลับตาลงเพราะเตียงที่มีกลิ่นเหมือนกลิ่นของเจ้าของเตียงทำให้ผมผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรผมก็รู้สึกถึงความชื้นที่กำลังสัมผัสอยู่บนหน้าท้อง ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเห็นเจมส์กำลังตั้งใจเช็ดตัวให้ผม
“โทษที ผมกลัวพี่นอนไม่สบาย”
ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่นอนนิ่งปล่อยให้เจ้ากระต่ายน้อยลากผิวสัมผัสชื้นจากผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามร่างกายของผม ตอนนี้เสื้อเชิ้ตสีดำของผมถูกปลดออกมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เจมส์ว่าเราจะทำให้คนที่ไม่รักเรา รักเราได้ไหม?”
ผมเผลอถามคำถามที่ผมเพิ่งถามเจ้ากระต่ายน้อยไปเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา เจมส์ละสายตาขึ้นมามองผมก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ
“ผมก็ไม่รู้ว่ะพี่”
แล้วเขาก็กลับไปตั้งใจเช็ดตัวให้ผมต่อ มันน่าแปลกที่ครั้งนี้น้ำหนักมือที่เขาเช็ดตัวมันต่างออกไป มันเป็นน้ำหนักที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งพิเศษ พิเศษจนเหมือนกับว่าเจมส์กำลังตอบคำถามนั้นให้กับผม พวกเราทั้งสองยังคงตกอยู่ในความเงียบแม้เวลาจะผ่านไปได้สักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผมยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ส่วนเขาก็ยังเช็ดตัวผมต่อไป จนกระทั่งความเงียบนั้นจบลงด้วยการที่เจมส์บิดน้ำออกจากผ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเพื่อยกเอาถังน้ำไปเก็บไว้ในครัว
ผมค่อย ๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นเพราะตอนนี้ผมสร่างจากอาการเมามากแล้วพอสมควรแล้ว จะว่าไปตั้งแต่ตอนมาที่นี่ภาพทุกอย่างมันก็ไม่ปะติดปะต่อกันไปหมด ผมรู้เพียงว่าตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องของเจมส์ที่ผมเคยมาส่ง และห้องนี้มันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายจากการคาดคะเนจากภายนอกของตัวอาคารแห่งนี้สักเท่าไร ห้องเช่าเล็ก ๆ เฟอร์นิเจอร์มีอย่างจำกัด ไม่เน้นความสวยงามแต่เน้นการใช้งาน เช่นเดียวกับเตียงที่ผมกำลังนั่งอยู่ จะเรียกว่าเตียงก็คงไม่ถูกมากนัก มันเป็นเพียงฟูกขนาดเล็กที่นอนได้แค่คนเดียวซึ่งวางอยู่บนพื้น ถึงแม้ทุกอย่างในห้องนี้จะดูไม่เน้นความสวยงาม แต่ทุกรายละเอียดของห้องนี้ถูกคิดและใส่รสนิยมของเจ้าของมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่พื้นห้องที่สะอาดสะอ้านเหมาะกับการอยู่อาศัย ชั้นวางของที่เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นหนังสือ ต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ถูกจัดแทรกอยู่ทุกองค์ประกอบของห้อง และ เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยข้าง ๆ เป็นกองแผ่นเสียงที่ถูกจัดไว้เป็นตั้ง
ในขณะที่ผมกำลังนั่งสำรวจห้องนี้ด้วยสายตาอย่างคร่าว ๆ อยู่ เจ้ากระต่ายน้อยก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง ขณะที่ในมือของเขามีกองผ้าห่มและหมอนสีเทา
“จะนอนแล้วเหรอ?”
ผมพูดขึ้นเมื่อสบสายตากับเจ้ากระต่ายน้อย
ชายหนุ่มชะงักเมื่อเขาเห็นผมยังไม่นอน แต่กลับนั่งมองตาใสอยู่บนฟูกของเขา
“ครับ! พรุ่งนี้มีงานเช้า ผมปิดไฟได้ไหม?”
ผมพยักหน้าตอบ ก่อนที่แสงไฟในห้องจะดับลง เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง
ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา เขากางผ้าที่อยู่ในมือออก แล้วปูมันอยู่ข้าง ๆ ฟูกที่ผมนอน ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนอย่างง่ายดายบนผ้าผืนนั้น แต่เขาก็คงเห็นว่าผมยังคงนั่งมองสำรวจห้องของเขาอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“ยังไม่นอนเหรอ?”
“นอนไม่หลับ”
“ผมลืมบอกพี่ ผมฝากรถของพี่ไว้ที่ร้านนะครับ พรุ่งนี้พี่ค่อยไปเอาก็ได้”
เจ้ากระต่ายคงคาดว่าผมกำลังกังวลเรื่องรถจึงนอนไม่หลับ ผมไม่ได้ตอบสิ่งใดเพียงขยับมานั่งใกล้ขอบฟูกมากกว่าเดิม เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเจ้ากระต่ายน้อย
“นี่เราอยู่คนเดียวเหรอ?”
“ครับ”
เจ้ากระต่ายน้อยตอบด้วยความสับสน เขาคงอาจสงสัยว่าบทสนทนานี้มีจุดประสงค์สิ่งใด
“แล้วเราไม่มีแฟนเหรอ?”
คราวนี้เจ้ากระต่ายน้อยถึงกับลุกขึ้นมา เขาเบิกตาโพลงจ้องลึกเข้ามาประสานกับสายตาของผม ไฟสีส้มที่กำลังลิ้มเลียใบหน้าด้านข้างของเขามันกำลังทำให้ผมหัวใจเต้นแรง จนผมคิดว่าตัวเจ้ากระต่ายน้อยเองก็คงรู้สึกได้เช่นกัน
“ผมว่า…พี่น่าจะยังเมาอยู่นะ”
ผมหัวเราะพรืดออกมา พลางเอามือขยี้ผมของเจ้ากระต่ายน้อย มันเป็นผมเส้นเล็กนุ่ม แล้วมันก็ค่อย ๆ สอดประสานเข้ามาในร่องนิ้วมือของผม มันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันทั้งนุ่ม อ่อนโยน และตรงเข้าสู่หัวใจ มันเป็นความรู้สึกที่ชายแก่อย่างผมไม่เคยมีประสบการณ์ หรือแม้แต่เฉียดกับความรู้สึกนี้เลยสักครั้ง แม้กับคนที่ผมรักและยอมถวายหัวให้ก็ตาม
“ผมถามจริง ๆ”
“แค่เวลาพักผมยังไม่มีเลย จะเอาเวลาไหนไปสนใจ”
เจ้ากระต่ายน้อยตอบอย่างง่ายดาย ก่อนที่เขาจะเงยขึ้นมาสบตากับผม ซึ่งมันยากกับความรู้สึกของผมในตอนนี้มากเหลือเกิน
“แล้วพี่ละ?”
“คิดว่าคนประเภทไหนที่จะมาเมาหัวลาน้ำอยู่ที่บาร์ได้ทุกคืน”
ผมหัวเราะหลังผมตอบ แต่มันดันเป็นเสียงหัวเราะที่มีน้ำตาอยู่เบื้องหลัง
“แล้วมันมีความสุขไหมครับ?...การมีความรัก”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงเอามือของผมลูบศีรษะของเจ้ากระต่ายน้อย
“รู้ไหม บางครั้งการที่เราทำในสิ่งที่เรารักมันก็ไม่ได้มีความสุขทุกครั้งหรอกนะ”
“แล้วทำไมยังทำมันอยู่ล่ะครับ?”
“ก็เพราะเรารักที่จะทำมันไง”
คำตอบของผมทำให้ความเงียบในห้องสงัดลงไปมากกว่าเดิม ผมแทบได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ลมหายใจที่พยายามสูดเอาออกซิเจนกับความรู้สึกอบอุ่นในห้องนี้เข้าปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ผมจะต้องจากที่แห่งนี้ไปเพื่อกลับไปยังโลกของความเป็นจริง
“ความรักมันฟังดูเจ็บปวดดีนะครับ”
“แล้วเราล่ะ เคยมีความรักกับเขาบ้างไหม?”
“อืม…” เจ้ากระต่ายน้อยหยุดคิดไปชั่วขณะ “น่าจะเคยนะครับ”
“มีน่าจะด้วย?”
ผมหัวเราะ
“ก็ผมไม่แน่ใจนิครับ รู้แต่ว่าเวลาอยู่กับเขา เราอยากทำให้เขามีความสุข”
ผมยังคงเงียบนั่งฟังเจ้ากระต่ายพูด
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายิ่งเราโตขึ้นเราจะยิ่งเศร้าจริงหรือไม่ รู้เพียงว่าถ้าตอนนี้ผมยังมีความสุข ผมก็อยากแบ่งปันความสุขของผมให้กับคนที่ผมรัก”
“แล้วถ้าคนคนนั้นเขาไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตาเลยล่ะ”
ผมเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ผมคิดโดยไม่มีการกลั่นกรองใด ๆ ทั้งสิ้น และด้วยคำถามนั้นมันทำให้เจ้ากระต่ายชะงักพร้อมกับหลุดขำออกมา เขาลดสายตาต่ำลงมองไปบนพื้น
“ผมก็คงยังทำให้เขามีความสุขต่อไป เพราะความสุขของผมคือการเห็นเขาคนนั้นยิ้ม แม้ว่าความสุขของเขาคือการที่ผมออกไปจากชีวิตก็ตาม”
แม้ในใจผมจะเกิดข้อโต้เถียงในมุมมองที่มองความรักต่างจากมุมมองของวัยรุ่นอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตอบนั้นมันฟังดูจริงเมื่อหลุดออกมาจากปากของเจ้ากระต่ายน้อยที่เชื่ออย่างที่เขาพูดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
“ฟังเพลงกันไหมครับ?”
คำถามเชิงบังคับที่มาในรูปแบบของการเชิญชวนส่งตรงออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม ผมรู้ว่าเรื่องที่เรากำลังพูดคุยมันค่อนข้างหนักหน่วง และเจ้ากระต่ายน้อยคงรู้สึกได้เช่นกัน
“พ่อผมบอกผมว่าถ้าเครียดให้ฟังเพลง”
แล้วเจ้ากระต่ายน้อยก็เดินตรงไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะมุมห้อง ผมอดไม่ได้ที่จะเดินตามไปด้วย สายตาของผมเห็นกองแผ่นเสียงที่เจ้ากระต่ายน้อยกำลังเลือกล้วนเป็นเพลงแจ็สและเพลงบลูส์เก่า ๆ อย่างที่ผมชอบทั้งสิ้น ทั้งเพลงของนักร้องหญิงแห่งวันอาทิตย์แสนเศร้า หรือแม้แต่เจ้าพ่อเพลงแจ็สตลอดกาลอย่าง Nat King Cole
“นี่เราฟังเพลงเก่าด้วยเหรอ?”
“ครับ ผมชอบฟังเพลงเก่า”
เจ้ากระต่ายน้อยตอบในขณะที่เขากำลังหยิบแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งในกองนั้น ก่อนที่เขาจะนำมันวางบนเครื่องเล่น ไม่นานเสียงแซกโซโฟนที่เล่นในจังหวะช้าก็ดังตามมาในทันที
“ผมชอบอะไรเก่า ๆ ครับ” สายตาขี้เล่นจ้องตรงมาทางผม
ผมหัวเราะกับอาการของเด็กหนุ่มคนนี้
“แล้วแผ่นเสียงพวกนี้เจมส์ซื้อเองหมดเลยเหรอ?”
“ไม่ครับ บางส่วนเป็นของพ่อ พ่อผมชอบฟัง มันก็เลยทำให้ผมชอบฟังไปด้วย แล้วเวลาผมคิดถึงบ้านผมก็จะเปิดฟังมันตลอด”
ไม่รู้ว่าเพราะแสงไฟสลัวในห้อง หรือเพราะเพลงที่มันแสนจะหวานซึ้ง หรืออาจจะเป็นความไร้เดียงสาที่อยู่ ๆ มันก็เข้ามาทักทายผม ผมค่อย ๆ ยื่นมือออกไปกุมมือของเจ้ากระต่ายน้อย ก่อนที่จะขยับตัวของพวกเราให้ชิดกัน พวกเราโอบรัดกันในความสลัว เท้าของผมค่อย ๆ ก้าวตามตามเสียงดนตรีอย่างแผ่วเบา พวกเราต่างรู้สึกถึงกันและกันอย่างที่ผมไม่ได้รู้สึกในหลายปีที่ผ่านมานี้ ร่างกายที่หอมกรุ่นของเจมส์ยามที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ ๆ มันบริสุทธิ์จนกลบกลิ่นเหล้าของผมไปจนหมด ร่างกายอันบอบบางของความเยาว์วัยตอนนี้มันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผม จังหวะเพลงที่เชื่องช้ากับสัมผัสอันอ่อนโยน มันทำให้พวกเราเหมือนล่องลอยหลุดออกไปยังดินแดนที่ส่องสว่างไปด้วยแสงเทียนนับร้อย พวกเราขยับตามเสียงดนตรีอยู่อย่างนั้นอยู่สักพักหนึ่ง จนนานมากพอที่ผมจะเห็นสายตานั้นอย่างชัดเจน เจมส์กำลังมองผมด้วยสายตาแบบที่ผมมองจอห์น
แล้วเจมส์ก็ค่อย ๆ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าผมยามเพลงนั้นจบลง ริมฝีปากของเขากำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของผม ทันใดนั้นผมรู้ว่าผมควรหยุด ผมผละตัวออกจากเจ้ากระต่ายน้อย และสิ่งนั้นมันก็ทำให้เจมส์หยุดชะงักด้วยความประหลาดใจอยู่เช่นกัน ผมรีบเรียกสติเท่าที่ผมเหลืออยู่พาตัวเองออกจากห้องนั้น โดยที่ผมไม่แม้จะหันกลับไปมองใบหน้าของเจ้ากระต่ายน้อยอีกเลย
ผมเดินโดดเดี่ยวอยู่กลางถนนในย่านเสื่อมโทรมนี้คนเดียวตอนเกือบจะเช้า ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมยังเดินอยู่ แล้วผมกำลังจะไปที่ไหน ผมรู้เพียงว่าผมเพียงต้องสาวเท้าก้าวเดินต่อไป เดินไปให้ไกลจากแววตาคู่นั้น แววตาที่ผมมีให้จอห์น ที่ตอนนี้เจ้ากระต่ายก็มองผมแบบนั้นเช่นกัน เพราะผมรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด เวลาที่เรามอบแววตาแบบนั้นให้ใคร แล้วใครคนนั้นไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเรา ดังเช่นที่จอห์นไม่เคยมีให้กับผม และผมก็ไม่สามารถมีให้คนอื่นนอกจากเขาคนเดียว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ