เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
-
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
11 บท
0 วิจารณ์
5,009 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “พี่เมามากแล้วนะ…กลับบ้านกันเถอะ”
“ทำไมอยากให้กูรีบกลับ มึงนัดใครไว้เหรอ?”
“จะบ้าเหรอ?”
พี่ธีร์ยกแก้วเหล้าในขณะที่ดวงตาปรือยังมองมาที่ฉัน
หัวใจฉันเต้นรัวเมื่อพี่ธีร์พูดประโยคนั้นออกมา ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่ธีร์รู้เรื่องโลกในความลับของฉันหรือไม่ เพราะจากเมื่อหลายคืนก่อนหลังจากที่จอห์นมาส่งฉันที่บ้าน ขณะที่ฉันกำลังแอบเข้าบ้านจากปกติที่พี่ธีร์จะเมาแล้วนอนอยู่บนโซฟา แต่วันนั้นเขากลับเดินขึ้นไปนอนบนเตียง ฉันจึงไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องของฉันหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้จริง ๆ เขาคงทำร้ายฉันไปแล้ว
บาร์แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ผู้คนจอแจตัดกับแสงสีเขียวสลับกับสีแดงวิ่งวนอยู่ทั้งคืน และเช่นเคยฉันยังคงไม่สามารถละสายตาจากที่นั่งโซนเคาน์เตอร์บาร์ที่ฉันเจอจอห์นครั้งแรกได้ แม้ฉันจะรู้ว่ายังไงคืนนี้เราก็จะได้เจอกันอีก
“มึงว่าความรักคืออะไร?”
ฉันไม่เข้าใจคำถามที่พี่ธีร์เพิ่งถามฉันออกมา วันนี้เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ ทำไมอยู่ ๆ เขาก็พูดเยอะมากกว่าปกติ
“ฉันไม่รู้หรอก” ฉันตอบออกไปง่าย ๆ อย่างนั้น
“แล้วมึงเคยรักใครหรือเปล่า?”
สายตาและรอยยิ้มของพี่ธีร์ทำเอาฉันไปต่อไม่ถูก ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ พี่ธีร์หยิบเอาบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะยื่นมาให้ ฉันหลุดจากความคิดตัวเองแล้วควานหาไฟแช็ก
“มึงรักกูไหม?”
ฉันจุดไฟแช็กให้ที่ปลายบุหรี่ของเขา ก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะค่อย ๆ ลุกลามเกิดเป็นดวงไฟสว่างวาบ แล้วพี่ธีร์ก็ค่อย ๆ เอนตัวอยู่ในท่าที่สบาย ก่อนที่เขาจะบรรจงสูบบุหรี่มวนนั้นอย่างแผ่วเบา และปล่อยกลุ่มควันก้อนใหญ่ออกมาปะปนกับหมอกควันในบาร์แห่งนี้
“เฮ้ย! ตอบมาเถอะไม่ต้องกลัว”
เขาย้ำเพื่อต้องการคำตอบด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง
มือฉันสั่นจนอยากจะเอื้อมไปหยิบบุหรี่แทบใจจะขาด แต่มันก็มีหนึ่งความคิดที่สั่งให้ฉันหยิบเอาหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่มาเคี้ยวแทน
“ฉันไม่รู้หรอก มันอธิบายยาก”
“พูดมาเถอะ กูมีเวลาทั้งคืน”
“ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ ฉันรู้ว่ามันไม่ดีกับฉัน” ฉันลอบมองสายตาของพี่ธีร์เพื่อดูการตอบโต้ของเขา แต่ก็เหมือนพี่ธีร์ยังคงนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูด “แต่พอนานไปฉันก็เริ่มชิน จนบางครั้งฉันรู้สึกว่ายิ่งพี่เย็นชาหรือยิ่งทำให้ฉันเจ็บมากเท่าไร มันก็ยิ่งเหมือนฉันได้เข้าใกล้คำว่ารักของพี่มากขึ้นเท่านั้น”
พี่ธีร์ขำพรืดออกมาพร้อมกับควันบุหรี่ที่พุ่งออกมาเป็นสาย เหมือนเขากำลังขำกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดเรื่องความรัก
“และฉันก็รู้ว่าถ้าฉันไม่มีพี่ ฉันคงอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้” ตอนนี้ฉันขำออกมาบ้าง “ก็ฉันมันเป็นเด็กใจแตกนี่เนอะ”
“แล้วมึงไม่รู้สึกว่าเสียดายโอกาสที่จะมีความรักกับคนวัยเดียวกันบ้างเหรอ?” พี่ธีร์คีบบุหรี่อยู่ในมือ เขาถามด้วยสายตาหวานเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
“มันก็น่าเสียดาย…แต่ฉันคิดว่าการอยู่ในโลกของความเป็นจริงมันสำคัญกว่า”
ไม่ทันที่ฉันจะตั้งตัว พี่ธีร์ก็บีบเข้าที่แก้มของฉันและดึงฉันเข้ามาจูบอย่างหิวกระหาย
ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในรถของพี่ธีร์ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพี่ธีร์อย่างที่ฉันไม่เคยรู้สึก มันอาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่พี่ธีร์ฟังฉันและเห็นว่าฉันมีตัวตน ตลอดเส้นทางฉันเอาแต่คิดเรื่องที่บาร์อยู่ในหัว จนกระทั่งฉันพาพี่ธีร์เข้านอนและเขาก็หลับไปด้วยอาการเมามายเหมือนเคย ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกันที่จอห์นขับรถมอเตอร์ไซค์มารับฉัน
มันน่าแปลกเหมือนกันเวลาที่ฉันอยู่กับจอห์นมันคนละความรู้สึกกับเวลาอยู่กับพี่ธีร์ สำหรับจอห์นฉันรู้สึกว่าเราทั้งสองต่างโหยหาซึ่งกันและกัน ความอบอุ่นที่มีมันเหมือนเรากำลังอยู่ในความฝัน ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ ต่างจากความรู้สึกที่อยู่กับพี่ธีร์ที่เป็นเหมือนโลกของความเป็นจริง โลกที่ไม่สวยงามเหมือนในฝัน ทุกอย่างมันคือความโหดร้าย พี่ธีร์เป็นคนเดียวที่ฉันสามารถยึดไม่ให้ตัวเองหลงไปในโลกกว้าง เขาทำให้ฉันไม่โดดเดี่ยวท่ามกลางโลกที่ว่างเปล่า แต่ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องไล่ตามเขาอยู่เสมอ หรือไม่เขาก็จะเดินนำหน้าฉันอยู่ตลอด
พวกเรามาจอดพักกันอยู่ที่จุดชมวิวแห่งหนึ่ง ที่ข้างหน้าเรามันคือหน้าผาที่สามารถเห็นทะเลที่อยู่เบื้องล่างได้ จอห์นพาฉันเดินต่อไปในทางที่รกชันที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดใกล้ ๆ บริเวณนั้น ระหว่างที่ฉันเดินตามหลังจอห์นฉันโดนหนามและกิ่งไม้พุ่มเตี้ย ๆ เกี่ยวตลอดทาง ในขณะเดียวกันพวกเราสองคนก็อยู่ภายใต้ฝุ่นที่มาจากดินที่ห้างผากจากการที่เมืองนี้ฝนไม่ตกมาเกือบ 4 เดือนแล้ว ทำให้ทุกครั้งเมื่อเราก้าวเท้าจะมีฝุ่นมหาศาลฟุ้งกระจายจนเรารับรู้ได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแสงไฟใด ๆ เลยก็ตาม
พวกเราเดินต่อกันไปจนจอห์นพาฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าผาหนึ่งซึ่งต่างจากที่แห่งแรกโดยสิ้นเชิง ที่นี่มันเป็นเพียงดินที่ไม่มีการปูพื้นซีเมนต์ใด ๆ แต่ความดิบเถื่อนนี้กลับทำให้ภาพที่ฉันเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าสวยงามจนไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ สวยงามจนไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้ ภาพทะเลอันมืดมิดได้ยินเสียงคลื่นซัดกระทบโขดหินเบื้องล่าง และดวงดาวนับร้อยที่เห็นได้ชัดเจนจนไม่น่าเชื่อว่าในเมืองนี้จะมีที่แห่ง นี้อยู่ ที่ที่เหมือนความฝันของโลกความจริงอันโหดร้าย
“โห! คุณเจอที่นี่ได้ไงเนี่ย?”
ฉันพูดออกมาในขณะที่ฉันกำลังอ้าปากค้างตกตะลึงในความสวยของที่นี่
“ตอนกลางคืนทุกที่มันคือที่ของผม”
จอห์นตอบอย่างภาคภูมิใจ เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เก็บทุกอณูของช่วงเวลา ในขณะที่ฉันเดินไปดูบริเวณโดยรอบและหยิบกล้องวิดีโอตัวโปรดของฉันออกมาถ่ายบรรยากาศทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เพราะที่นี่มันค่อนข้างมืด ถึงแม้ว่ามันจะสวยงามแต่ก็มีความอันตรายซ่อนอยู่
เมื่อฉันหันกลับมาก็เห็นจอห์นกำลังนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งราวกับว่านั่นคือที่นั่งพิเศษที่เขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทุกครั้งที่มา ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ
“คุณชอบที่นี่ไหม?” จอห์นถาม
“ชอบสิ! มันสวยมาก…เหมือนฝันเลย”
“แล้วคุณเคยมีความฝันไหม?” จอห์นถามต่อ
“ความฝันแบบไหน?...แบบเวลานอนหลับอะไรประมาณนี้เหรอ?”
จอห์นหัวเราะออกมาด้วยคำตอบเชิงคำถามกวนประสาทของฉัน
“ไม่ใช่!...ความฝันแบบ ครั้งหนึ่งคุณต้องทำมันให้ได้”
ฉันยกกล้องวิดีโอที่อยู่ในมือขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“ฉันอยากเป็นผู้กำกับ” แม้ว่าฉันจะเขินไม่น้อยเมื่อต้องพูดถึงความฝันของตัวเอง “เอาแบบเพ้อเจ้อที่สุดนะ ฉันอยากมีหนังเป็นของตัวเอง และฉันก็อยากไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย”
จอห์นตกตะลึงในความฝันที่มันฟังดูบ้าสุด ๆ ของฉัน
“แล้วทำไมต้องแคลิฟอร์เนียด้วย?”
“ก็แคลิฟอร์เนียมันคือสวรรค์ของคนทำหนังไง…ฮอลลีวูด”
“ฝันของคุณแม่งสุดยอด…เอ้อ! ผมจะถามคุณตั้งนานแล้ว คุณถ่ายวิดีโอพวกนี้ไปทำอะไร?”
“เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเวลาที่ฉันเป็นคนถ่ายวิดีโอฉันเหมือนเป็นพระเจ้า ที่จะคอยเลือกว่าอยากให้มีสิ่งใดอยู่ในโลกของฉันบ้าง”
ฉันหันหน้าไปลอบมองใบหน้าของจอห์น และเห็นว่าเขากำลังสนใจในสิ่งที่ฉันพูดจากแววตาที่เป็นประกายของเขา แม้ความมืดกำลังปกคลุมเราทั้งสอง
“แต่ทั้งหมดมันก็เป็นแค่ฝัน มันไกลจนมันเป็นได้แค่นั้น” ฉันมองตรงไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ปรากฏแสงดาวที่ฉายแสงตรงมาทางเรา
“ผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณต้องทำได้”
“ขอบคุณนะ” สายตาของเราสองคนประสานกันโดยบังเอิญจนฉันเผลอหลุดเข้าไปในสายตาหม่นของเขาอีกครั้ง “แล้วคุณล่ะ มีความฝันอะไร?”
จอห์นละสายตาเขาเพียงก้มหน้าและตอบอย่างเรียบง่ายระคนกับความเศร้า
“ผมไม่มีหรอก”
“ทำไม?”
“แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันยังยากเลย” เขาเงยหน้าขึ้นสบตา “จะมีเวลาไหนไปฝัน”
ฉันเอื้อมมือไปกุมมือของจอห์นเพียงอยากให้เขารู้ว่าฉันยังอยู่ตรงนี้
“แต่พอคิดไปคิดมามันก็มีอยู่อย่างหนึ่งนะ…ผมอยากตายให้เร็วที่สุด” เขาแค่นหัวเราะออกมาจากหยาดน้ำตาภายในจิตใจ
“บางครั้งฉันก็เคยรู้สึกนะ”
ฉันหยิบหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เพราะว่าอันที่ฉันกำลังเคี้ยวอยู่ตอนนี้มันจืดไปแล้ว ฉันยื่นหมากฝรั่งไปทางจอห์นแต่เขาก็ยิ้มปฏิเสธ ฉันค่อย ๆ แกะซองโลหะแวววาวของมันออก ก่อนที่จะนำหมากฝรั่งอันใหม่เข้าปาก
“บางครั้งชีวิตมันก็โคตรเหนื่อย เหมือนเราพยายามทำให้มันดีขึ้นเท่าไร แต่สุดท้ายมันก็กลับไปแย่เหมือนเดิม…คุณรู้ไหมทำไมฉันชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง”
“ทำไม?”
ฉันหัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบ
“เพราะฉันเคยอ่านเจอเขาบอกว่าหมากฝรั่งจะทำให้ลดความอยากบุหรี่ได้ แต่สุดท้ายชีวิตมันก็ห่วยจนในที่สุดฉันก็กลับไปสูบบุหรี่เหมือนเดิม…บางครั้งฉันเลยสูบบุหรี่ไปด้วยเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยเลย”
จอห์นหัวเราะร่าออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของจอห์น เวลาเขายิ้มมันเหมือนฉันกำลังส่องหน้าต่างบานหนึ่งที่มีแสงสว่างส่องผ่านความมืดที่อยู่ห่างไกลลิบ ๆ
“เรื่องจริงนะคุณ หัวเราะทำไมเนี่ย?”
“ขอโทษ ๆ ” จอห์นยังคงหัวเราะและพยายามยกมือขึ้นมาปัดป้องรอยยิ้มของเขา
“แต่พอวันหนึ่ง ฉันก็มาคิดได้ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกันนะที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคอยดูว่าโลกมันจะทำอะไรห่วย ๆ กับเรามากแค่ไหน…อารมณ์เหมือนอยู่ให้โลกช้ำใจเล่น ว่าสุดท้ายกูยังไม่ตายนะเว้ย!”
“คุณรู้ตัวปะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เท่ห์มากกว่าผู้ชายอย่างผมอีกนะ”
ฉันค่อย ๆ เอนตัวลงซุกอยู่ที่แผงอกของจอห์น ความอบอุ่นของเราทั้งสองคนมันทำให้คืนนี้สวยงามเป็นพิเศษ จอห์นค่อย ๆ ลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาจนเหมือนนั่นเป็นบทเพลงที่ขับกล่อมให้คืนนี้พวกเราสองคนได้อยู่ในโลกแห่งความฝันโดยสมบูรณ์
“แต่ถึงอย่างไงฉันก็อยากให้คุณมีชีวิตต่อนะ”
ฉันเผลอพูดออกมากึ่งละเมอยามที่ฉันอยู่ในวงแขนของเขา
ไม่กี่นาทีต่อมาพวกเราสองคนก็อยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่เป็นเหมือนพรมวิเศษของเราอีกครั้ง พรมวิเศษที่พาพวกเราให้ไปเจอโลกใบใหม่ในโลกใบเก่า บางครั้งสายตาของเราเมื่ออยู่กับสิ่งใดนานเกินไป เราก็จะเกิดความชินชาจนลืมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในที่สุด จนกระทั่งพวกเราเจอใครบางคนที่จะทำให้ความชินชาเหล่านั้นถูกหยิบยกขึ้นมามองในมุมมองใหม่ มุมมองที่มีเขาอยู่เคียงข้าง
ฉันกับจอห์นกลับมาเดินพลุกพล่านในเมืองแห่งไฟนีออนสีเขียวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จอห์นรับบทเป็นนักแสดงหลักในภาพยนตร์ของฉัน ทุกครั้งที่ฉันยกกล้องขึ้นมา ฉันจะเห็นแววตาเขินอายเหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่ประสากับโลกอยู่เสมอ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ฉันอยากจะถ่ายเขาเก็บไว้ ฉันอยากเห็นสายตานั้น รอยยิ้มนั้นอยู่ในโลกของฉันตลอดไป
พวกเราทำเรื่องที่บ้าบอกันจนเหมือนว่าทั้งเมืองคือสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่ที่มีหัวใจเด็กอย่างพวกเรา เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ เมาบาร์นู้น เกือบมีเรื่องบาร์นี้ จนสุดท้ายพวกเราก็มาหยุดนั่งอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่ทุกครั้งที่เรากินชีวิตเราจะสั้นลง 24 ชั่วโมงเช่นกัน
“คุณแม่งโคตรบ้า!”
จอห์นพูดกับฉันในขณะที่แฮมเบอเกอร์ยังอยู่เต็มปาก
“อะไร!?”
ฉันแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งได้ทำลงไป ฉันเดาว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กำลังวิ่งอยู่ในกระแสเลือดของฉันมากเกินไป ไม่รอช้าฉันรีบหยิบผลงานชิ้นโบว์แดงของฉันขึ้นมาโชว์ ซึ่งมันคือ วิทยุสื่อสารของตำรวจนายหนึ่งที่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปขโมยมาทำไม เพียงแค่คำท้าของจอห์น
แต่ในขณะที่ฉันกำลังชูสิ่งนั้นก็มีเสียงจากอีกฝั่งดังมาจากวิทยุสื่อสารพอดี ฉันตกใจจนแทบจะทำมันตก
“เชี่ย!”
“คุณแม่ง! แล้วทำอย่างไงต่อ?” จอห์นพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
ฉันนึกอยู่สักพัก ก่อนที่จะมีไอเดียหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ไม่รอช้าฉันหันไปหยิบปากกาบนโต๊ะกับกระดาษทิชชู่ที่อยู่ในมือของจอห์น ฉันก้มหน้าเขียนข้อความบางอย่าง
จอห์นถึงกับหลุดขำจนแทบจะสำลักแฮมเบอเกอร์ที่อยู่ในปากจากข้อความที่ฉันเขียนขอโทษตำรวจคนนั้น แต่เป็นคำขอโทษที่ใครอ่านก็รู้สึกได้ว่าคนเขียนต้องไม่ปกติ และคนเขียนคงประกอบสร้างมาจากความกวนประสาททุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ฉันเดินออกไปนอกร้านในขณะที่สายตาของจอห์นก็ยังคงจ้องมองฉันผ่านทางกระจกบานใหญ่จากภายในร้าน วิทยุสื่อสารกับข้อความกวนประสาทอยู่ในมือฉัน ก่อนที่ฉันจะหาจุดเหมาะที่จะวางวิทยุสื่อสารนั่นเพื่อรอเจ้าของมาพบ และนั่นก็คงเป็นอีกไม่นาน ฉันวางวิทยุสื่อสารไว้ข้างถังขยะหน้าร้าน ก่อนจะนำเอาหมากฝรั่งที่กำลังเคี้ยวมาแปะกับกระดาษพร้อมประกบมันกับวิทยุสื่อสารก่อนจะวางทิ้งไว้
จอห์นนั่งขำตัวงอเมื่อเห็นฉันทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้น จนฉันเดินกลับเข้าไปในร้านและหย่อนตัวนั่งลง
“คุณชอบให้ฉันทำอะไรบ้า ๆ คนเดียวเลย”
“อ่าวก็นึกว่าคุณชอบ”
ฉันเกร็งหน้าแกล้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ก็เหมือนว่าจอห์นจะไม่ได้ตึงเครียดไปกับฉัน เขากลับขำหนักมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ได้! คุณต้องทำบ้าง”
“ฮะ! ทำอะไร?”
“ก็ทำแบบที่ฉันทำ”
จอห์นนิ่วหน้าแล้วเบือนหน้าหนีทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด
“อะไรคุณ!”
จอห์นยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฉันต่อไป
“อะ ๆ คุณว่าฉันสวยไหม?”
“ถามอะไรเนี่ย!”
“ตอบมาเถอะ”
“สวย” จอห์นพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความเขิน
“อะไรนะ?”
คราวนี้ถึงตาฉันทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดบ้าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้จอห์นรู้ได้ในทันทีว่าฉันกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ จอห์นส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางฉันก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันจะนึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้า จอห์นลุกขึ้นก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แล้วตะโกนออกมาพร้อมกับเต้นร่าราวกับเด็กน้อย
“คุณสวยที่สุดเลย! โรสคุณสวยที่สุดเลย! สวย! สวย!...สวย!”
ทุกสายที่อยู่ในร้านหันกลับมาจ้องจอห์นเป็นตาเดียว ทั้งลูกค้าที่นั่งอยู่เพียง 2 โต๊ะในร้าน รวมถึงพนักงานแคชเชียร์จนกระทั่งพ่อครัวที่อยู่หลังร้านก็ยื่นหน้าออกมาดู ฉันไม่รอช้าที่จะหยิบเอากล้องวิดีโอขึ้นมาถ่ายการกระทำที่บ้าระห่ำของจอห์นอย่างไม่เขินอายสายตาของใครทั้งสิ้น…คงจะจริงที่เขาว่าตอนกลางคืนคนมักจะกลายเป็นบ้า
แต่ทุกเสียงก็ต้องหยุดลงโดยเฉพาะกับจอห์น เมื่อชายวัยกลางคนที่ค่อนไปทางเกือบชรา ผลักประตูด้วยสีหน้าตื่น เหงื่อของเขาแตกพลั่กจนเสื้อเชิ้ตขาวเปียกจนเห็นมัดกล้าม
“เดวิด!”
เสียงจอห์นพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่เขาจะลงมากจากโต๊ะยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างล่าง ซึ่งเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ทำให้ฉันแทบจะสร่างในทันที ฉันเก็บกล้องวิดีโอลงและลุกขึ้นยืนอยู่ข้าง ๆ จอห์น แล้วชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาจอห์น
“นายหายไปไหนมา?”
จอห์นไม่ได้พูดอะไรแต่ฉันก็พอรู้ว่าตอนนี้เขาคงกำลังหวาดกลัว เพราะตัวเขาเริ่มสั่นพร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นจนมันแทบจะมีเลือดซิบ ชายเกือบชราคนนั้นกำลังจะเอื้อมมือมาคว้ามือของจอห์น แต่จอห์นก็รีบสะบัดมือชายคนนั้นทิ้งไป ก่อนที่เขาจะหันมากุมมือฉัน ชายเกือบชราอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า และในอีกไม่กี่อึดใจ จอห์นก็รีบดึงมือฉันแล้ววิ่งออกจากร้านนั้นไปโดยที่เขาเกือบชนชายชราคนนั้นล้มลง
พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว จอห์นดึงมือฉันเข้ามากอดอยู่ที่เอวของเขา เหมือนกับว่าเขาต้องการให้ฉันกอบกุมเขาไว้ในยามที่เขาแทบจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ที่มันพร้อมปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านเราทั้งสองคนในคืนนี้
“ทำไมอยากให้กูรีบกลับ มึงนัดใครไว้เหรอ?”
“จะบ้าเหรอ?”
พี่ธีร์ยกแก้วเหล้าในขณะที่ดวงตาปรือยังมองมาที่ฉัน
หัวใจฉันเต้นรัวเมื่อพี่ธีร์พูดประโยคนั้นออกมา ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่ธีร์รู้เรื่องโลกในความลับของฉันหรือไม่ เพราะจากเมื่อหลายคืนก่อนหลังจากที่จอห์นมาส่งฉันที่บ้าน ขณะที่ฉันกำลังแอบเข้าบ้านจากปกติที่พี่ธีร์จะเมาแล้วนอนอยู่บนโซฟา แต่วันนั้นเขากลับเดินขึ้นไปนอนบนเตียง ฉันจึงไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องของฉันหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้จริง ๆ เขาคงทำร้ายฉันไปแล้ว
บาร์แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ผู้คนจอแจตัดกับแสงสีเขียวสลับกับสีแดงวิ่งวนอยู่ทั้งคืน และเช่นเคยฉันยังคงไม่สามารถละสายตาจากที่นั่งโซนเคาน์เตอร์บาร์ที่ฉันเจอจอห์นครั้งแรกได้ แม้ฉันจะรู้ว่ายังไงคืนนี้เราก็จะได้เจอกันอีก
“มึงว่าความรักคืออะไร?”
ฉันไม่เข้าใจคำถามที่พี่ธีร์เพิ่งถามฉันออกมา วันนี้เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ ทำไมอยู่ ๆ เขาก็พูดเยอะมากกว่าปกติ
“ฉันไม่รู้หรอก” ฉันตอบออกไปง่าย ๆ อย่างนั้น
“แล้วมึงเคยรักใครหรือเปล่า?”
สายตาและรอยยิ้มของพี่ธีร์ทำเอาฉันไปต่อไม่ถูก ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ พี่ธีร์หยิบเอาบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะยื่นมาให้ ฉันหลุดจากความคิดตัวเองแล้วควานหาไฟแช็ก
“มึงรักกูไหม?”
ฉันจุดไฟแช็กให้ที่ปลายบุหรี่ของเขา ก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะค่อย ๆ ลุกลามเกิดเป็นดวงไฟสว่างวาบ แล้วพี่ธีร์ก็ค่อย ๆ เอนตัวอยู่ในท่าที่สบาย ก่อนที่เขาจะบรรจงสูบบุหรี่มวนนั้นอย่างแผ่วเบา และปล่อยกลุ่มควันก้อนใหญ่ออกมาปะปนกับหมอกควันในบาร์แห่งนี้
“เฮ้ย! ตอบมาเถอะไม่ต้องกลัว”
เขาย้ำเพื่อต้องการคำตอบด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง
มือฉันสั่นจนอยากจะเอื้อมไปหยิบบุหรี่แทบใจจะขาด แต่มันก็มีหนึ่งความคิดที่สั่งให้ฉันหยิบเอาหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่มาเคี้ยวแทน
“ฉันไม่รู้หรอก มันอธิบายยาก”
“พูดมาเถอะ กูมีเวลาทั้งคืน”
“ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ ฉันรู้ว่ามันไม่ดีกับฉัน” ฉันลอบมองสายตาของพี่ธีร์เพื่อดูการตอบโต้ของเขา แต่ก็เหมือนพี่ธีร์ยังคงนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูด “แต่พอนานไปฉันก็เริ่มชิน จนบางครั้งฉันรู้สึกว่ายิ่งพี่เย็นชาหรือยิ่งทำให้ฉันเจ็บมากเท่าไร มันก็ยิ่งเหมือนฉันได้เข้าใกล้คำว่ารักของพี่มากขึ้นเท่านั้น”
พี่ธีร์ขำพรืดออกมาพร้อมกับควันบุหรี่ที่พุ่งออกมาเป็นสาย เหมือนเขากำลังขำกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดเรื่องความรัก
“และฉันก็รู้ว่าถ้าฉันไม่มีพี่ ฉันคงอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้” ตอนนี้ฉันขำออกมาบ้าง “ก็ฉันมันเป็นเด็กใจแตกนี่เนอะ”
“แล้วมึงไม่รู้สึกว่าเสียดายโอกาสที่จะมีความรักกับคนวัยเดียวกันบ้างเหรอ?” พี่ธีร์คีบบุหรี่อยู่ในมือ เขาถามด้วยสายตาหวานเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
“มันก็น่าเสียดาย…แต่ฉันคิดว่าการอยู่ในโลกของความเป็นจริงมันสำคัญกว่า”
ไม่ทันที่ฉันจะตั้งตัว พี่ธีร์ก็บีบเข้าที่แก้มของฉันและดึงฉันเข้ามาจูบอย่างหิวกระหาย
ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในรถของพี่ธีร์ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพี่ธีร์อย่างที่ฉันไม่เคยรู้สึก มันอาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่พี่ธีร์ฟังฉันและเห็นว่าฉันมีตัวตน ตลอดเส้นทางฉันเอาแต่คิดเรื่องที่บาร์อยู่ในหัว จนกระทั่งฉันพาพี่ธีร์เข้านอนและเขาก็หลับไปด้วยอาการเมามายเหมือนเคย ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกันที่จอห์นขับรถมอเตอร์ไซค์มารับฉัน
มันน่าแปลกเหมือนกันเวลาที่ฉันอยู่กับจอห์นมันคนละความรู้สึกกับเวลาอยู่กับพี่ธีร์ สำหรับจอห์นฉันรู้สึกว่าเราทั้งสองต่างโหยหาซึ่งกันและกัน ความอบอุ่นที่มีมันเหมือนเรากำลังอยู่ในความฝัน ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ ต่างจากความรู้สึกที่อยู่กับพี่ธีร์ที่เป็นเหมือนโลกของความเป็นจริง โลกที่ไม่สวยงามเหมือนในฝัน ทุกอย่างมันคือความโหดร้าย พี่ธีร์เป็นคนเดียวที่ฉันสามารถยึดไม่ให้ตัวเองหลงไปในโลกกว้าง เขาทำให้ฉันไม่โดดเดี่ยวท่ามกลางโลกที่ว่างเปล่า แต่ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องไล่ตามเขาอยู่เสมอ หรือไม่เขาก็จะเดินนำหน้าฉันอยู่ตลอด
พวกเรามาจอดพักกันอยู่ที่จุดชมวิวแห่งหนึ่ง ที่ข้างหน้าเรามันคือหน้าผาที่สามารถเห็นทะเลที่อยู่เบื้องล่างได้ จอห์นพาฉันเดินต่อไปในทางที่รกชันที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดใกล้ ๆ บริเวณนั้น ระหว่างที่ฉันเดินตามหลังจอห์นฉันโดนหนามและกิ่งไม้พุ่มเตี้ย ๆ เกี่ยวตลอดทาง ในขณะเดียวกันพวกเราสองคนก็อยู่ภายใต้ฝุ่นที่มาจากดินที่ห้างผากจากการที่เมืองนี้ฝนไม่ตกมาเกือบ 4 เดือนแล้ว ทำให้ทุกครั้งเมื่อเราก้าวเท้าจะมีฝุ่นมหาศาลฟุ้งกระจายจนเรารับรู้ได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแสงไฟใด ๆ เลยก็ตาม
พวกเราเดินต่อกันไปจนจอห์นพาฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าผาหนึ่งซึ่งต่างจากที่แห่งแรกโดยสิ้นเชิง ที่นี่มันเป็นเพียงดินที่ไม่มีการปูพื้นซีเมนต์ใด ๆ แต่ความดิบเถื่อนนี้กลับทำให้ภาพที่ฉันเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าสวยงามจนไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ สวยงามจนไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้ ภาพทะเลอันมืดมิดได้ยินเสียงคลื่นซัดกระทบโขดหินเบื้องล่าง และดวงดาวนับร้อยที่เห็นได้ชัดเจนจนไม่น่าเชื่อว่าในเมืองนี้จะมีที่แห่ง นี้อยู่ ที่ที่เหมือนความฝันของโลกความจริงอันโหดร้าย
“โห! คุณเจอที่นี่ได้ไงเนี่ย?”
ฉันพูดออกมาในขณะที่ฉันกำลังอ้าปากค้างตกตะลึงในความสวยของที่นี่
“ตอนกลางคืนทุกที่มันคือที่ของผม”
จอห์นตอบอย่างภาคภูมิใจ เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เก็บทุกอณูของช่วงเวลา ในขณะที่ฉันเดินไปดูบริเวณโดยรอบและหยิบกล้องวิดีโอตัวโปรดของฉันออกมาถ่ายบรรยากาศทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เพราะที่นี่มันค่อนข้างมืด ถึงแม้ว่ามันจะสวยงามแต่ก็มีความอันตรายซ่อนอยู่
เมื่อฉันหันกลับมาก็เห็นจอห์นกำลังนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งราวกับว่านั่นคือที่นั่งพิเศษที่เขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทุกครั้งที่มา ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ
“คุณชอบที่นี่ไหม?” จอห์นถาม
“ชอบสิ! มันสวยมาก…เหมือนฝันเลย”
“แล้วคุณเคยมีความฝันไหม?” จอห์นถามต่อ
“ความฝันแบบไหน?...แบบเวลานอนหลับอะไรประมาณนี้เหรอ?”
จอห์นหัวเราะออกมาด้วยคำตอบเชิงคำถามกวนประสาทของฉัน
“ไม่ใช่!...ความฝันแบบ ครั้งหนึ่งคุณต้องทำมันให้ได้”
ฉันยกกล้องวิดีโอที่อยู่ในมือขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“ฉันอยากเป็นผู้กำกับ” แม้ว่าฉันจะเขินไม่น้อยเมื่อต้องพูดถึงความฝันของตัวเอง “เอาแบบเพ้อเจ้อที่สุดนะ ฉันอยากมีหนังเป็นของตัวเอง และฉันก็อยากไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย”
จอห์นตกตะลึงในความฝันที่มันฟังดูบ้าสุด ๆ ของฉัน
“แล้วทำไมต้องแคลิฟอร์เนียด้วย?”
“ก็แคลิฟอร์เนียมันคือสวรรค์ของคนทำหนังไง…ฮอลลีวูด”
“ฝันของคุณแม่งสุดยอด…เอ้อ! ผมจะถามคุณตั้งนานแล้ว คุณถ่ายวิดีโอพวกนี้ไปทำอะไร?”
“เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเวลาที่ฉันเป็นคนถ่ายวิดีโอฉันเหมือนเป็นพระเจ้า ที่จะคอยเลือกว่าอยากให้มีสิ่งใดอยู่ในโลกของฉันบ้าง”
ฉันหันหน้าไปลอบมองใบหน้าของจอห์น และเห็นว่าเขากำลังสนใจในสิ่งที่ฉันพูดจากแววตาที่เป็นประกายของเขา แม้ความมืดกำลังปกคลุมเราทั้งสอง
“แต่ทั้งหมดมันก็เป็นแค่ฝัน มันไกลจนมันเป็นได้แค่นั้น” ฉันมองตรงไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ปรากฏแสงดาวที่ฉายแสงตรงมาทางเรา
“ผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณต้องทำได้”
“ขอบคุณนะ” สายตาของเราสองคนประสานกันโดยบังเอิญจนฉันเผลอหลุดเข้าไปในสายตาหม่นของเขาอีกครั้ง “แล้วคุณล่ะ มีความฝันอะไร?”
จอห์นละสายตาเขาเพียงก้มหน้าและตอบอย่างเรียบง่ายระคนกับความเศร้า
“ผมไม่มีหรอก”
“ทำไม?”
“แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันยังยากเลย” เขาเงยหน้าขึ้นสบตา “จะมีเวลาไหนไปฝัน”
ฉันเอื้อมมือไปกุมมือของจอห์นเพียงอยากให้เขารู้ว่าฉันยังอยู่ตรงนี้
“แต่พอคิดไปคิดมามันก็มีอยู่อย่างหนึ่งนะ…ผมอยากตายให้เร็วที่สุด” เขาแค่นหัวเราะออกมาจากหยาดน้ำตาภายในจิตใจ
“บางครั้งฉันก็เคยรู้สึกนะ”
ฉันหยิบหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เพราะว่าอันที่ฉันกำลังเคี้ยวอยู่ตอนนี้มันจืดไปแล้ว ฉันยื่นหมากฝรั่งไปทางจอห์นแต่เขาก็ยิ้มปฏิเสธ ฉันค่อย ๆ แกะซองโลหะแวววาวของมันออก ก่อนที่จะนำหมากฝรั่งอันใหม่เข้าปาก
“บางครั้งชีวิตมันก็โคตรเหนื่อย เหมือนเราพยายามทำให้มันดีขึ้นเท่าไร แต่สุดท้ายมันก็กลับไปแย่เหมือนเดิม…คุณรู้ไหมทำไมฉันชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง”
“ทำไม?”
ฉันหัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบ
“เพราะฉันเคยอ่านเจอเขาบอกว่าหมากฝรั่งจะทำให้ลดความอยากบุหรี่ได้ แต่สุดท้ายชีวิตมันก็ห่วยจนในที่สุดฉันก็กลับไปสูบบุหรี่เหมือนเดิม…บางครั้งฉันเลยสูบบุหรี่ไปด้วยเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยเลย”
จอห์นหัวเราะร่าออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของจอห์น เวลาเขายิ้มมันเหมือนฉันกำลังส่องหน้าต่างบานหนึ่งที่มีแสงสว่างส่องผ่านความมืดที่อยู่ห่างไกลลิบ ๆ
“เรื่องจริงนะคุณ หัวเราะทำไมเนี่ย?”
“ขอโทษ ๆ ” จอห์นยังคงหัวเราะและพยายามยกมือขึ้นมาปัดป้องรอยยิ้มของเขา
“แต่พอวันหนึ่ง ฉันก็มาคิดได้ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกันนะที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคอยดูว่าโลกมันจะทำอะไรห่วย ๆ กับเรามากแค่ไหน…อารมณ์เหมือนอยู่ให้โลกช้ำใจเล่น ว่าสุดท้ายกูยังไม่ตายนะเว้ย!”
“คุณรู้ตัวปะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เท่ห์มากกว่าผู้ชายอย่างผมอีกนะ”
ฉันค่อย ๆ เอนตัวลงซุกอยู่ที่แผงอกของจอห์น ความอบอุ่นของเราทั้งสองคนมันทำให้คืนนี้สวยงามเป็นพิเศษ จอห์นค่อย ๆ ลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาจนเหมือนนั่นเป็นบทเพลงที่ขับกล่อมให้คืนนี้พวกเราสองคนได้อยู่ในโลกแห่งความฝันโดยสมบูรณ์
“แต่ถึงอย่างไงฉันก็อยากให้คุณมีชีวิตต่อนะ”
ฉันเผลอพูดออกมากึ่งละเมอยามที่ฉันอยู่ในวงแขนของเขา
ไม่กี่นาทีต่อมาพวกเราสองคนก็อยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่เป็นเหมือนพรมวิเศษของเราอีกครั้ง พรมวิเศษที่พาพวกเราให้ไปเจอโลกใบใหม่ในโลกใบเก่า บางครั้งสายตาของเราเมื่ออยู่กับสิ่งใดนานเกินไป เราก็จะเกิดความชินชาจนลืมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในที่สุด จนกระทั่งพวกเราเจอใครบางคนที่จะทำให้ความชินชาเหล่านั้นถูกหยิบยกขึ้นมามองในมุมมองใหม่ มุมมองที่มีเขาอยู่เคียงข้าง
ฉันกับจอห์นกลับมาเดินพลุกพล่านในเมืองแห่งไฟนีออนสีเขียวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จอห์นรับบทเป็นนักแสดงหลักในภาพยนตร์ของฉัน ทุกครั้งที่ฉันยกกล้องขึ้นมา ฉันจะเห็นแววตาเขินอายเหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่ประสากับโลกอยู่เสมอ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ฉันอยากจะถ่ายเขาเก็บไว้ ฉันอยากเห็นสายตานั้น รอยยิ้มนั้นอยู่ในโลกของฉันตลอดไป
พวกเราทำเรื่องที่บ้าบอกันจนเหมือนว่าทั้งเมืองคือสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่ที่มีหัวใจเด็กอย่างพวกเรา เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ เมาบาร์นู้น เกือบมีเรื่องบาร์นี้ จนสุดท้ายพวกเราก็มาหยุดนั่งอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่ทุกครั้งที่เรากินชีวิตเราจะสั้นลง 24 ชั่วโมงเช่นกัน
“คุณแม่งโคตรบ้า!”
จอห์นพูดกับฉันในขณะที่แฮมเบอเกอร์ยังอยู่เต็มปาก
“อะไร!?”
ฉันแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งได้ทำลงไป ฉันเดาว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กำลังวิ่งอยู่ในกระแสเลือดของฉันมากเกินไป ไม่รอช้าฉันรีบหยิบผลงานชิ้นโบว์แดงของฉันขึ้นมาโชว์ ซึ่งมันคือ วิทยุสื่อสารของตำรวจนายหนึ่งที่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปขโมยมาทำไม เพียงแค่คำท้าของจอห์น
แต่ในขณะที่ฉันกำลังชูสิ่งนั้นก็มีเสียงจากอีกฝั่งดังมาจากวิทยุสื่อสารพอดี ฉันตกใจจนแทบจะทำมันตก
“เชี่ย!”
“คุณแม่ง! แล้วทำอย่างไงต่อ?” จอห์นพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
ฉันนึกอยู่สักพัก ก่อนที่จะมีไอเดียหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ไม่รอช้าฉันหันไปหยิบปากกาบนโต๊ะกับกระดาษทิชชู่ที่อยู่ในมือของจอห์น ฉันก้มหน้าเขียนข้อความบางอย่าง
จอห์นถึงกับหลุดขำจนแทบจะสำลักแฮมเบอเกอร์ที่อยู่ในปากจากข้อความที่ฉันเขียนขอโทษตำรวจคนนั้น แต่เป็นคำขอโทษที่ใครอ่านก็รู้สึกได้ว่าคนเขียนต้องไม่ปกติ และคนเขียนคงประกอบสร้างมาจากความกวนประสาททุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ฉันเดินออกไปนอกร้านในขณะที่สายตาของจอห์นก็ยังคงจ้องมองฉันผ่านทางกระจกบานใหญ่จากภายในร้าน วิทยุสื่อสารกับข้อความกวนประสาทอยู่ในมือฉัน ก่อนที่ฉันจะหาจุดเหมาะที่จะวางวิทยุสื่อสารนั่นเพื่อรอเจ้าของมาพบ และนั่นก็คงเป็นอีกไม่นาน ฉันวางวิทยุสื่อสารไว้ข้างถังขยะหน้าร้าน ก่อนจะนำเอาหมากฝรั่งที่กำลังเคี้ยวมาแปะกับกระดาษพร้อมประกบมันกับวิทยุสื่อสารก่อนจะวางทิ้งไว้
จอห์นนั่งขำตัวงอเมื่อเห็นฉันทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้น จนฉันเดินกลับเข้าไปในร้านและหย่อนตัวนั่งลง
“คุณชอบให้ฉันทำอะไรบ้า ๆ คนเดียวเลย”
“อ่าวก็นึกว่าคุณชอบ”
ฉันเกร็งหน้าแกล้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ก็เหมือนว่าจอห์นจะไม่ได้ตึงเครียดไปกับฉัน เขากลับขำหนักมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ได้! คุณต้องทำบ้าง”
“ฮะ! ทำอะไร?”
“ก็ทำแบบที่ฉันทำ”
จอห์นนิ่วหน้าแล้วเบือนหน้าหนีทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด
“อะไรคุณ!”
จอห์นยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฉันต่อไป
“อะ ๆ คุณว่าฉันสวยไหม?”
“ถามอะไรเนี่ย!”
“ตอบมาเถอะ”
“สวย” จอห์นพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความเขิน
“อะไรนะ?”
คราวนี้ถึงตาฉันทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดบ้าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้จอห์นรู้ได้ในทันทีว่าฉันกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ จอห์นส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางฉันก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันจะนึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้า จอห์นลุกขึ้นก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แล้วตะโกนออกมาพร้อมกับเต้นร่าราวกับเด็กน้อย
“คุณสวยที่สุดเลย! โรสคุณสวยที่สุดเลย! สวย! สวย!...สวย!”
ทุกสายที่อยู่ในร้านหันกลับมาจ้องจอห์นเป็นตาเดียว ทั้งลูกค้าที่นั่งอยู่เพียง 2 โต๊ะในร้าน รวมถึงพนักงานแคชเชียร์จนกระทั่งพ่อครัวที่อยู่หลังร้านก็ยื่นหน้าออกมาดู ฉันไม่รอช้าที่จะหยิบเอากล้องวิดีโอขึ้นมาถ่ายการกระทำที่บ้าระห่ำของจอห์นอย่างไม่เขินอายสายตาของใครทั้งสิ้น…คงจะจริงที่เขาว่าตอนกลางคืนคนมักจะกลายเป็นบ้า
แต่ทุกเสียงก็ต้องหยุดลงโดยเฉพาะกับจอห์น เมื่อชายวัยกลางคนที่ค่อนไปทางเกือบชรา ผลักประตูด้วยสีหน้าตื่น เหงื่อของเขาแตกพลั่กจนเสื้อเชิ้ตขาวเปียกจนเห็นมัดกล้าม
“เดวิด!”
เสียงจอห์นพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่เขาจะลงมากจากโต๊ะยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างล่าง ซึ่งเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ทำให้ฉันแทบจะสร่างในทันที ฉันเก็บกล้องวิดีโอลงและลุกขึ้นยืนอยู่ข้าง ๆ จอห์น แล้วชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาจอห์น
“นายหายไปไหนมา?”
จอห์นไม่ได้พูดอะไรแต่ฉันก็พอรู้ว่าตอนนี้เขาคงกำลังหวาดกลัว เพราะตัวเขาเริ่มสั่นพร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นจนมันแทบจะมีเลือดซิบ ชายเกือบชราคนนั้นกำลังจะเอื้อมมือมาคว้ามือของจอห์น แต่จอห์นก็รีบสะบัดมือชายคนนั้นทิ้งไป ก่อนที่เขาจะหันมากุมมือฉัน ชายเกือบชราอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า และในอีกไม่กี่อึดใจ จอห์นก็รีบดึงมือฉันแล้ววิ่งออกจากร้านนั้นไปโดยที่เขาเกือบชนชายชราคนนั้นล้มลง
พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว จอห์นดึงมือฉันเข้ามากอดอยู่ที่เอวของเขา เหมือนกับว่าเขาต้องการให้ฉันกอบกุมเขาไว้ในยามที่เขาแทบจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ที่มันพร้อมปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านเราทั้งสองคนในคืนนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ