เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues

-

เขียนโดย Bluedoor

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.

  11 บท
  0 วิจารณ์
  4,749 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) 11 (จบ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องเป็นเสียงเดียวที่ฉันกำลังรอคอยท่ามกลางความสับสนวุ่นวายภายในสนามบิน ผู้คนแปลกหน้า ภาษาที่แตกต่าง วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันมาอยู่ที่เมืองเมืองนี้เกือบจะ 5 ปีแล้ว เมืองที่ครั้งหนึ่งเป็นความฝันของฉัน ‘เมืองแห่งดวงดารา’ หลายคนมาที่นี่เพราะต้องการเป็นหนึ่งในดวงดาราเหล่านั้น ฉันเองก็เช่นกัน

               แสงสะท้อนจากพื้นรันเวย์ทำให้ตาฉันพร่ามัว ฉันจึงนำแว่นดำขึ้นมาสวมใส่ พรางเคี้ยวหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่เหมือนเคย ต่างกันแค่ตอนนี้ฉันได้เลิกสูบบุหรี่มานานแล้ว อาจจะเพราะฉันแก่มากพอที่รู้ว่าบุหรี่มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ เลย เช่นความรู้สึกที่ฉันกำลังประสบอยู่ตอนนี้ ฉันรู้สึกกลัว ฉันกลัวเหลือเกินที่จะต้องกลับไปยังถิ่นที่ฉันจากมา ฉันชั่งใจอยู่นานมากว่าฉันควรกลับไปดีไหม แต่สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธความฝันของตัวเองได้ มีนายทุนในเมืองที่ฉันเติบโต เมืองในไฟนีออนสีเขียวนั่น เขาสนใจอยากจะสร้างภาพยนตร์จากภาพยนตร์สั้นที่ฉันส่งประกวดในเทศกาลภาพยนตร์สั้นที่ผ่านมา ฉันจึงจำยอมกลับไปแม้ว่าหัวใจของฉันจะสั่นรัวจนอยากจะร้องไห้ออกมาก็ตาม

               ไม่นานร่างกายของฉันก็นั่งอยู่ในโซนที่นั่งชั้นประหยัดบนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ฉันมักใจลอยบ่อย ๆ จนบางทีฉันก็ไม่รู้ตัวว่าฉันกำลังทำสิ่งใด สัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยแรงพุ่งทยานเล็กน้อยยามที่เครื่องบินออกตัว ฉันเอี้ยวตัวมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ฉันเห็นเมืองในฝันของฉันในมุมที่ฉันไม่เคยเห็น มันต่างจากครั้งแรกตอนที่ฉันมา ในตอนนั้นฉันเห็นเมืองนี้ในมุมมองของภาพมุมสูง จากภาพเล็ก ๆ ค่อย ๆ กลายเป็นภาพใหญ่ ทุกแสงสีที่ฉันเห็น ทุกความกลัว ทุกการต่อสู้ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองเมืองนี้ มันค่อย ๆ เปลี่ยนภาพเมืองในฝันแห่งนี้สำหรับฉัน จากที่ยิ่งใหญ่จนสุดจะเอื้อมถึง กลายเป็นความยิ่งใหญ่แต่สามารถไขว่คว้าได้ จนในตอนนี้มันกลายเป็นภาพเมืองเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่มันกำลังจะหายวับไปกับสายตา เมื่อฉันมองมันจนพอใจแล้วฉันก็หันกลับมามองตรงไปข้างหน้าพร้อมหลับตาลง พลางคิดถึงสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่ฉันได้พบเจอ

               เมื่อฉันถึงยังประเทศที่ฉันจากมา ฉันตั้งใจที่ยังไม่กลับไปยังเมืองแห่งแสงนีออนสีเขียวนั่น แต่ฉันตรงไปยังเมืองที่ฉันได้เริ่มต้นใหม่ ภาพของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดปรากฏอยู่ตรงหน้า ฉันเดินเข้าไปก่อนที่จะสั่งเมนูชุดสุดคุ้มมาหนึ่งชุด และเดินตรงไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างภายในร้านแห่งนี้ ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้า มันเป็นเวลาที่ทุกคนต่างไปทำงาน มันจึงทำให้ที่นี่เงียบเหงาไร้ผู้คนในแบบที่ฉันชอบ ฉันกัดแฮมเบอเกอร์ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง คำแล้วคำเล่าที่ฉันนำอาหารขยะเข้าสู่ร่างกาย มันทำให้ฉันคิดถึงใครบางคน ใครที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกแล้ว ไม่กี่วินาทีถัดมาฉันก็เผลอหลุดลอยไปในความทรงจำที่นานมาแล้ว

               หลังจากที่จอห์นจากฉันไปในคืนฝนตกคืนนั้น ฉันก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหลายวัน มันทั้งเศร้า โกรธ และคิดถึงจนฉันอยากจะเป็นบ้า ฉันพยายามนึกถึงสีหน้าสุดท้ายของเขา แต่ฉันก็นึกไม่ออกเลย คงเพราะเขาจากฉันโดยไม่คิดจะหันกลับมองหน้ากันแม้แต่น้อย ฉันเพียงเห็นหลังที่สั่นเทาของเขาพร้อมกับคำร่ำลาที่เขาเอ่ย และนั่นมันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอจอห์น มีข่าวลือหนาหูว่าเดวิดได้ยิงเขาก่อนที่เดวิดจะถูกจับ และตัวชายแก่ที่ฉันเคยคิดว่าเขารักฉัน ใช่! เขารักฉัน แต่มันเป็นความรักที่มีให้กับทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่งของเขาเพียงเท่านั้น ตามในข่าวบอกว่าในสถานที่เกิดเหตุได้พบศพชายคนนั้นผูกคอตายอย่างไร้ศักดิ์ศรีอยู่ในคืนคืนนั้นด้วย ฉันคิดว่ามันเป็นคืนที่ตลกสิ้นดี คืนที่ทุกความเจ็บปวดสลายไปพร้อมกับสายฝน

               ฝนวันสุดท้ายที่ตกต่อเนื่องกันจบครบอาทิตย์ทำให้ฉันตื่นจากการหลับใหล ฉันรู้ว่าจอห์นที่ยอมแลกชีวิตเพื่อฉันคงไม่อยากให้ฉันจมอยู่กับหยาดน้ำตาอยู่เช่นนี้ และเงินในกระเป๋าใบนั้นก็คงมากพอที่จะเป็นค่าเครื่องบินเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แคลิฟอร์เนียอย่างที่ฉันฝันไว้ แต่เอาเข้าจริงฉันกลับกลัว ฉันกลัวว่าฉันจะไม่สามารถทำมันได้ ดังนั้นฉันจึงเริ่มต้นหางานทำในเมืองเมืองนี้ก่อน และสถานที่ที่ฉันกำลังนั่งอยู่ในตอนนี้มันก็เป็นงานแรกของฉัน ฉันทำงานอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดมาหลายเดือน จนเริ่มมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในข้อมูลที่ฉันหามามากพอสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน ฉันจึงได้บินไปที่แคลิฟอร์เนีย และยังคงจำก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินที่ฉันฝันไว้ตลอดได้ มันเป็นความรู้สึกตื้นตันใจและตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก ในตอนนั้นฉันได้แต่คิดว่าถ้าตอนนี้จอห์นกำลังเดินจูงมือฉันอยู่ข้าง ๆ มันจะดีแค่ไหน

               เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็เข้ามาใน L.A. พยายามทุกวิถีทางที่จะมีภาพยนตร์เป็นของตัวเอง เริ่มจากการทำภาพยนตร์สั้น แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เหมือนอย่างที่คิดไว้ ฉันสูญเงินไปมหาศาลจนแทบจะหมดตัว แต่มันก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา ฉันจึงต้องทำงานในร้านอาหารพร้อมกับเก็บเงินทั้งหมดมาทำภาพยนตร์สั้นไปด้วย เรียกได้ว่ามันแทบไม่พอสำหรับกินอยู่ จนบางครั้งฉันได้แต่นั่งมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าพลางตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันกำลังทำสิ่งใดอยู่ ทำไมมันอ้างว้างและโดดเดี่ยวเช่นนี้

               จนกระทั่งในวันนี้วันที่ฉันได้รับการติดต่อจากนายทุนที่เขาสนใจต่อยอดงานภาพยนตร์สั้นของฉัน มันน่าแปลกที่ฉันไม่ได้ดีใจอย่างที่ตัวเองคาด มันแค่ตกใจแล้วก็ค่อย ๆ กลายเป็นความกังวลแทน เรียกได้ว่าภาพในหัวเกี่ยวกับความฝันของฉันมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ได้สวยงาม มันเป็นเพียงความรู้สึกปกติกับความกังวลถึงอนาคตมากมาย แต่ฉันยังคงเลือกที่จะทำมันต่อไป เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงทำให้ฉันยังเป็นตัวฉันเองอยู่ในทุกวันนี้

               ตลอดช่วงบ่ายฉันเช่ารถขับจากเมืองที่ฉันเคยทำงานมุ่งหน้าไปสู่สิ่งที่ฉันกังวลแต่โหยหามาโดยตลอด ฉันขับตรงไปยังเมืองในแสงนีออนสีเขียวนั่น ตลอดเส้นทางฉันพยายามมองบรรยากาศรอบข้างที่ฉันไม่ได้เห็นมาในรอบหลายปีมานี้ ทุกอย่างมันยังคงบรรยากาศเดิม ๆ ความรู้สึกเดิม ๆ เพียงแต่มันดูทรุดโทรมมากขึ้น อาจเป็นเพราะมันขาดเส้นเลือดใหญ่ของเมืองนี้อย่างเดวิดไป ฉันขับรถวนอยู่ในเมืองนั้นอยู่หลายรอบ สายตาพลางชำเรืองมองหาอดีตที่ฉันเคยมีประสบการณ์ร่วมกับชายในความทรงจำฉันอย่างจอห์น ทั้งสะพานที่ฉันได้คุยกันครั้งแรก ชายหาดที่เราได้จูบกันครั้งแรก หน้าผาที่ตอนนี้มันรกจนไม่สามารถเดินเข้าไปได้อีกแล้ว จนไปถึงสุสานแห่งการจากลาที่โอบล้อมไปด้วยความรักเจือความอาลัย ทุกที่ที่ฉันไปฉันคิดถึงจอห์น ฉันเผลอนั่งม้านั่งในสุสาน โดยเว้นที่นั่งข้าง ๆ ไว้ ในขณะที่สายตามองตรงไปยังสถานที่ที่จอห์นมอบสัมผัสอันแผ่วเบาให้กับฉันเป็นครั้งแรก

 

               หลังจากบาร์นั้นถูกปิด และผมก็ได้รู้ว่าคุณกรที่จริงแล้วเขาคือคุณเดวิด เจ้าพ่อค้ายาและเป็นเจ้าของบาร์ที่ผมทำงานอยู่ ผมก็ได้ออกจากการเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นั่น คนในเมืองต่างพูดถึงชายที่ผมรู้จักจนเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คน คนพวกนั้นกล่าวหาว่าคุณกร ไม่ใช่สิ! คุณเดวิดเป็นปีศาจร้ายที่คอยกัดกินเมืองเมืองนี้ แต่ถึงอย่างไรสำหรับผมเขาก็ยังคงเป็นเพียงชายอ่อนแอที่มาที่บาร์แห่งนั้นเพื่อต้องการรักษาแผลใจเท่านั้น ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำกับผมในวันสุดท้ายที่เราเจอกัน ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงเดินออกจากห้องของผมไป หรือผมอาจจะเป็นอย่างที่เขาพูด ผมมองโลกนี้ดีเกินไป

               แม้ว่าผมต้องออกจากการเป็นบาร์เทนเดอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เคยหนีจากเครื่องแบบหูกระต่ายพ้นเสียที ผมกลายมาเป็นพนักงานโรงภาพยนตร์ ที่ต้องสวมเสื้อกั๊กสีดำกับหูกระต่ายสีแดงที่มันยังคงดูใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็นอยู่ดี ชีวิตผมไม่มีสิ่งใดมาก ตื่นเช้าเตรียมตัวทำงานในโรงภาพยนตร์ ตกค่ำก็อยู่กะดึกในโรงภาพยนตร์ต่อ ในรอบหลายปีมานี้ผมได้ดูภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจเป็นเพราะผมต้องคอยอยู่ดูแลความเรียบร้อยในโรงภาพยนตร์ขณะที่มันกำลังทำการฉาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ดันชอบมันเสียอย่างนั้น มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่เมื่อมันฉายผมแทบละสายตาจากมันไม่ได้เลย เช่น ภาพยนตร์ของคุณ หว่องกาไว ผู้กำกับที่เป็นเสมือนบิดาของคนขี้เหงา ภาพของสาวผมบลอนด์ นักฆ่าที่โดดเดี่ยว จนไปถึงชายผู้อาภัพรักในดินแดนไม่คุ้นเคยอย่างประเทศอาร์เจนติน่า เรื่องราวเหล่านี้มันวนเวียนอยู่ในหัวไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบเกี่ยวกับภาพยนตร์เหล่านี้คือ ผมชอบตอนจบแบบมีความสุขที่ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนจบที่เศร้า หรือบางทีก็จบแบบคลุมเครือมันก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน

               นอกจากชีวิตผมช่วงนี้จะมีแต่ทำงานและหมกมุ่นกับการดูภาพยนตร์แล้ว ทุกวันอาทิตย์ผมมักจะไปที่เรือนจำพยายามขอเยี่ยมพบชายในคืนที่โดดเดี่ยวของผม ชายที่ไม่ว่าเขาจะชื่อกรหรือเดวิด สำหรับผมแล้วเขาคือเพื่อนและเป็นมากกว่าเพื่อนอยู่เสมอ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยได้พบเขาเลย ไม่รู้ว่าเพราะผมไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน หรือผมแค่ไม่ใช่คนที่เขาอยากพบ แต่ผมก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ ผมยังคงมาเยี่ยมเขาทุกวันอาทิตย์ โดยหวังลึก ๆ ว่าวันหนึ่งเขาจะยอมออกมาพบผมบ้าง

               เช้าวันอาทิตย์นี้ผมแต่งตัวเตรียมออกจากบ้านเพื่อไปยังเรือนจำพร้อมกับความหวังเหมือนเช่นเคย ผมนั่งรอตรงล็อคที่จัดไว้โดยมีกระจกใสกั้นอยู่ตรงหน้า และภาพข้างหน้าผมยังคงว่างเปล่า คุณเดวิดก็ยังไม่ออกมาพบผมเช่นเคย แต่การได้เห็นปฏิกิริยาของผู้เข้ามาเยี่ยมผู้ต้องขังคนอื่น ๆ สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากพอดู บางคนเป็น พ่อ แม่ เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก เช่นเธอคนที่กำลังนั่งถัดจากผมไป ผมเห็นเธอถือโทรศัพท์เพื่อพูดคุยกับคนที่เธอมาเยี่ยม แต่เธอกลับถือโทรศัพท์ไว้อย่างนั้น โดยที่เธอไม่พูดสิ่งใด มีเพียงน้ำตากับรอยยิ้มที่กำลังสื่อสารกับคนที่อยู่ตรงหน้า หรืออย่างป้าที่ดูใจดีที่นั่งอยู่ล็อคริมสุด ผมมักจะเห็นเธอทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ และทุกครั้งเธอมักจะมากับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมเดาว่าสิ่งที่เธอทำนั่นคงจะเป็นของฝากที่ดีที่สุดแล้วกับคนที่อยู่หลังกระจกใส ๆ นั่น

               ในขณะที่ผมจะเตรียมลุกออกไป เพราะมันกำลังจะหมดเวลาเยี่ยม สายตาของผมก็เห็นชายในชุดนักโทษที่เดินตรงเข้ามาหาผม เขาเดินก้มหน้าช้า ๆ ในตอนแรกผมไม่แน่ใจนักว่าเขาคือใคร จนกระทั่งผมเห็นสายตาของชายคนนั้นยามเมื่อเขาสบตากับผม ผมก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือคุณเดวิด

               คุณเดวิดนั่งลงอยู่ตรงหน้าผมโดยมีกระจกใสกั้นอยู่ ตอนนี้ผมเขายาวและถูกปล่อยให้เป็นสีขาวต่างจากครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ร่องรอยของอายุที่เพิ่มขึ้นก็เห็นได้อย่างจัดเจนโดยเฉพาะร่องรอยบริเวณดวงตา คุณเดวิดค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์ฝั่งของเขาขึ้นแนบหู และผมก็รีบยกโทรศัพท์ฝั่งของผมแนบหูด้วยในทันที ผมรู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมคงน่าจะตลกมากแน่ ๆ ดวงตาของผมเบิกโพงด้วยความประหลาดใจ จนเสียงหัวเราะจากฝ่ายตรงข้ามดังขึ้นในสาย

               “สวัสดีกระต่ายน้อย”

               เสียงที่คุ้นเคยที่ผมอยากได้ยินมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาดังขึ้นในสาย ใจผมเต้นรัว ภาพของเราทั้งสองคนที่กำลังเต้นรำกันในคืนสลัวแล่นเข้ามาในหัวผมอย่างจัง

               “ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ออกมาเจอเลย”

               เขาพูดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมพยายามรวบรวมสติที่กระเจิงของผม เพราะเวลาที่เหลือคงมีอีกไม่มาก

               “ไม่เป็นไรเลยครับ พี่กร เอ้ย! คุณเดวิด เป็นไงบ้างครับ”

               เสียงคุณเดวิดดังขึ้นในสาย

               “ก็อย่างที่เห็นแหละ”

               “ผมดีใจมากเลยที่ได้เจอพี่”

               แต่จู่ ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงของเหลวที่กำลังไหลออกมาจากดวงตาของผม ผมรีบเช็ดมันออกพร้อมกับสูดน้ำมูกที่กำลังไหลอยู่เช่นกัน

               “ขอโทษด้วยนะกับเรื่องทั้งหมด ผมทำให้เจมส์ลำบากหรือเปล่า?”

               “ไม่เลยครับ ผมได้งานใหม่แล้ว ผมทำงานอยู่ที่โรงหนังครับ”

               รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้น มันถูกยิ้มเล็กน้อยอยู่ที่มุมปากของเขา ก่อนที่เราทั้งสองคนจะถูกความเงียบเข้าปกคลุม ไม่นานคุณเดวิดก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

               “ผมว่าเจมส์อย่ามาเจอผมอีกเลยนะ”

               “ไม่ครับ”

               ผมพูดออกมาทันที

               “ผมยังรอวันที่จะได้เจอพี่ข้างนอกอยู่นะ ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอ”

               คราวนี้ถึงทีที่คุณเดวิดน้ำตาไหลออกมาบ้าง เสียงสูดน้ำมูกของเขาดังขึ้นในสาย ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

               “ทำไม?”

               “พี่ว่าเราจะทำให้คนที่ไม่ได้รักเรา รักเราได้ไหม?”

               หลังจากที่ผมพูดจบ เสียงออดหมดเวลาก็ดังไล่หลังในทันที ไม่นานก็มีเจ้าหน้าทีสองคนเดินมาคุมตัวคุณเดวิดกลับไป แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะไปนั้น คุณเดวิดมองตรงมาที่ผมก่อนที่เขาจะยิ้มพร้อมกับพยักหน้า และภาพภาพนั้นมันก็ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป ผมมองเจ้าหน้าที่สองคนพาตัวคุณเดวิดลับหายไปจากสายตา พร้อมกับความรู้สึกอิ่มเอมใจที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวผม

 

               ในขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว ฉันกลับมายังที่สุดท้ายที่ฉันพยายามเลี่ยงมาตลอด เพราะค่ำคืนนั้นที่เราอยู่ด้วยกันมันดีมากจริง ๆ ดีจนฉันไม่อยากเอาความรู้สึกของปัจจุบันไปรบกวนความทรงจำในอดีตแม้แต่น้อย ฉันยืนอยู่หน้าร้านฟาสต์ฟู้ดที่ฉันเคยมากับจอห์น อาหารมื้อที่ฉันเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือมื้อดึกหรือมื้อเช้ากันแน่ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงดวงอาทิตย์ก็กำลังพ้นขอบฟ้า ฉันยืนยิ้มอยู่หน้าร้านคนเดียวเมื่อคิดถึงความทรงจำในอดีต ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจผลักประตูร้านและเดินเข้าไป ในวินาทีแรกที่นี่แทบดูเหมือนเดิม ต่างกันแค่วันนี้ร้านไม่ได้ดูเงียบเหงาเหมือนวันนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้มันเพิ่งจะ 1 ทุ่มคนก็เลยค่อนข้างพลุกพล่าน ฉันเดินเข้าไปต่อแถวเตรียมสั่งอาหาร ในขณะนั้นเองฉันก็เห็นหลังของใครบางคนที่กำลังก้มตักไอศกรีม รูปร่างผอมบาง กับทรงผมทรงนั้น มันทำให้ฉันอดคิดถึงจอห์นไม่ได้ จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมาฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าฉันคงคิดถึงจอห์นมากไปจนมองคนลักษณะคล้าย ๆ เป็นเขาไปจนหมด

               “รับอะไรดีครับ?”

               ชายหนุ่มคนนั้นหันมายิ้มให้ฉัน เพราะตอนนี้มันถึงคิวที่ฉันต้องสั่งอาหารแล้ว ฉันอึ้งไปสักพักเพราะไม่แน่ใจกับภาพที่เห็น ฉันว่าเขาลักษณะคล้ายจอห์นมาก ๆ แต่มันก็มีบางสิ่งที่ชายคนนี้ไม่มีเหมือนจอห์น นั่นคือดวงตาที่เศร้าหมอง

               “เอาชุดสุดคุ้มที่หนึ่งค่ะ”

               ฉันพยายามยิ้มตอบชายหนุ่มคนนั้นให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

               ไม่นานฉันก็ได้อาหารมานั่งกินที่โต๊ะตัวที่ฉันเคยนั่งกับจอห์น โต๊ะในสุดริมหน้าต่าง ฉันก้มมองชุดอาหารที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างมันคล้ายเดิม ทั้งแฮมเบอเกอร์ นักเก็ตไก่ น้ำอัดลม แต่ในปัจจุบันกลับไม่มีไอศกรีมอีกแล้ว ฉันจำได้ว่าวันนั้นเราแบ่งกันกิน จอห์นกินแฮมเบอเกอร์ ฉันกินไอศกรีม

               ในระหว่างที่ฉันกำลังนึกถึงอดีตอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนอีเมลก็ดังขึ้นดึงให้ฉันออกจากห้วงความทรงจำ ฉันเปิดอ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยเนื้อความพูดถึงการยืนยันสถานที่และวันเวลานัดหมาย ที่นายทุนนัดฉันไปพูดคุยด้วยในบริษัทของเขาพรุ่งนี้ตอนบ่ายโมง แต่ในขณะที่ฉันอ่านข้อความเหล่านั้นฉันก็เริ่มเกิดความกลัว ฉันเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าฉันจะทำมันได้จริง ๆ หรือไม่ บางทีความฝันมันก็เป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ ไม่แน่ว่าถ้าหากวันหนึ่งในขณะที่เราเดินทางตามความฝัน แล้วเราเผลอตื่นขึ้นมาในโลกของความเป็นจริงล่ะ มันจะเป็นเช่นไร มันจะมีสิ่งใดรอเราอยู่ในโลกของความจริงกันนะ? ยิ่งคิดฉันยิ่งกลัว ฉันจึงวางโทรศัพท์คว่ำหน้าลงไป พลางละสายตามองสิ่งที่อยู่รอบข้าง วันนี้ร้านดูวุ่นวายเป็นพิเศษ เสียงเด็กเล่นกันเสียงดัง หรือบางทีก็เป็นเสียงเด็กกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน เช่นโต๊ะข้าง ๆ ฉันรู้ว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่แอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่ฉันยอมรับเลยว่าเด็กน้อยคนนั้นน่ารักจนฉันหยุดไม่ได้ที่จะนั่งฟังเขาพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ

               “แม่ครับ พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมคุณลุงกันนะครับ”

               “คุณพ่อจ้ะลูก”

               เสียงผู้เป็นแม่แก้คำผิดให้เด็กน้อย เด็กน้อยไม่ได้ตอบสิ่งใดเขาเพียงยิ้มตาหยี

               “ทำไมเราไม่สามารถเอาคุณพ่อไว้ที่บ้านได้ล่ะครับ ผมกลัวคุณพ่อเหงาจัง”

               น้ำเสียงฉงนของเด็กน้อยกับแววตาท้ายประโยคทำให้เขาน่ารักจนฉันแทบอยากเข้าไปหยิกแก้มเขาเสียตอนนี้

               “ไม่ได้หรอกซัมเมอร์! เวลาคนเราจากไปแล้วเขาต้องไปอยู่ในที่ของเขา แต่แม่มั่นใจนะว่าพ่อเขาคงไม่เหงาหรอก ถ้ารู้ว่าลูกรักเขามากขนาดนี้”

               ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบ และเธอก็เผลอปล่อยใจให้หลุดลอยออกไปพ้นขอบหน้าต่างของร้านฟาสต์ฟู้ตแห่งนี้

               เวลาผ่านไปจนตอนนี้คนในร้านเริ่มเบาบางลง สองแม่ลูกคู่นั้นก็ไม่อยู่แล้ว ฉันรู้ว่ามันอาจจะฟังดูบ้า แต่ยิ่งฉันมองพนักงานคนนั้นที่อยู่ตรงเครื่องคิดเงินมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสนว่าเขาอาจจะเป็นจอห์นมากขึ้นเท่านั้น หรือไม่เขาต้องมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับจอห์นแน่ ๆ แต่ความสงสัยเหล่านั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของพนักงานกลุ่มหนึ่งที่หัวเราะร่าเดินเข้ามาในร้าน ฉันเดาว่านี่คงเป็นเวลาเปลี่ยนกะสำหรับร้านที่เปิด 24 ชั่วโมงเช่นร้านนี้ พนักงานหนุ่มผู้ต้องสงสัยทักเรียกหนึ่งในพนักงานกลุ่มนั้นที่กำลังเดินมากับพนักงานอีกคนที่ไม่ยอมถอดหมวกกันน็อคออก

               “นาย! เดี๋ยวรีบมาเปลี่ยนกะกับผมหน่อยนะ พอดีวันนี้วันเกิดลูก”

               ชายพนักงานคนนั้นพยักหน้ารับรู้พร้อมกับฝากคำอวยพรให้กับลูกของพนักงานต้องสงสัย ส่วนตัวฉันเองก็รู้สึกสะอึกเมื่อได้ยินเขาพูดคำว่าลูก ก่อนที่พนักงานต้องสงสัยจะหันมาพูดกับพนักงานที่ใส่หมวกกันน็อคต่อ

               “ส่วนนาย จิมมี่! เดี๋ยวเอาไม้ถูมาถูพื้นตรงนี้หน่อยนะ พอดีมีลูกค้าทำน้ำหก”

               ชายในหมวกกันน็อคค้อมศีรษะรับทราบ ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะเดินเข้าหลังร้านไป

               ฉันรู้ดีว่าหากฉันไม่ทำสิ่งใดคลายข้อสงสัยที่อยู่ในหัวของฉัน มันคงกำลังจะสายเกินไป เพราะชายหนุ่มคนนั้นกำลังจะเลิกงานของเขาแล้ว ฉันจึงรวบรวมความกล้าบ้าบิ่นเดินตรงเข้าไปยังพนักงานหนุ่ม แต่ยิ่งฉันเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดฉันมันบ้ามากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าคลับคล้ายคลับคลาแต่ดวงตาไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มมองตรงมาทางฉันดั่งกับต้องการถามว่าฉันต้องการสิ่งใด ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเอ่ยปากถามพนักงานหนุ่มคนนั้น

               “เออ!? คุณใช่-”

               แต่จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงไม้ถูพื้นเปียก ๆ ที่กำลังเช็ดอยู่ข้างเท้าฉัน ฉันตกใจมากจึงหยุดพูดลงกะทันหัน พร้อมกับหันไปสบตากับบุคคลเจ้าของไม้ถูพื้น เมื่อสายตาของเราทั้งสองคนประสานกันโดยความบังเอิญ สายตาคู่นั้นเพียงแค่ฉันมองมันเพียงเสี้ยววินาที ฉันก็หมดคำถามใด ๆ มันเป็นสายตาที่ฉันตั้งตารอคอยที่จะสบตาคู่นั้นมาตลอด รอคอยแม้ว่าฉันรู้ว่ามันคงไม่มีโอกาส สายตาตอนที่เราล่ำลากันครั้งสุดท้ายฉันไม่ถูกอนุญาตให้มอง

               “จอห์น!”

               ฉันรีบโผเข้าโอบกอดชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ฉันไม่สนใจเลยแม้กระทั่งว่าตอนนี้เขาจะมีลักษณะเช่นไร เปลี่ยนแปลงไปมากสักเพียงไหน รู้แค่ว่าคนที่ฉันถวิลหาตอนนี้เขากำลังอยู่เบื้องหน้าของฉันแล้ว ฉันโอบกอดจอห์นไว้แน่นโดยที่ไม่พูดสิ่งใด และในทันทีนั้นจอห์นก็โอบกอดฉันแน่นเช่นกัน ฉันสัมผัสได้ว่าตัวเขาเองก็โหยหาที่จะเจอฉันไม่ต่างกัน ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนี้ รู้เพียงว่าฉันโหยหาเขามากเหลือเกิน และฉันจะกอดเขาอยู่อย่างนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

               คุณอาจจะมองว่าผมใจร้ายที่ในคืนนั้นผมไม่แม้กระทั่งจะหันมาสบตากับคนที่ผมรักเพื่อเป็นการบอกลา ผมรู้ว่าถ้าผมทำเช่นนั้น หันกลับมามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของโรส ผมคงไม่มีทางที่จะไปไหนได้ ผมคงเลือกที่จะอยู่กับโรสต่อไปโดยละทิ้งแผนการที่ผมวางไว้ทั้งหมด และผมไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น

               หญิงสาวในอ้อมกอดของผม ที่ตอนนี้เธอดูแข็งแรงมากกว่าเมื่อก่อน ผมไม่คิดเลยว่าผมจะได้เจอเธออีก และผมเองก็รู้ว่าเธอก็คงคิดแบบนั้นเช่นกัน ทุกคนคิดว่าผมตายไปแล้วในคืนคืนนั้น แต่ความจริงคือเดวิดเขาไม่ได้ยิงผม แต่เขากลับยิงหน้าต่างเพื่อเปิดทางให้ผมหนีตำรวจที่อีกไม่นานคงจะเข้ามาจับตัวเขาไป ในตอนแรกผมสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมเขาไม่ฆ่าผมทั้งที่ผมทำกับเขาอย่างเลวที่สุด? แล้วทำไมเขาไม่หลบหนี? เขาเพียงยืนนิ่งร้องไห้อยู่ในความมืด ผมไม่เข้าใจสักอย่างกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

               ‘ไป!’

               เสียงตะโกนครั้งสุดท้ายของเขายังคงดังอยู่ในโสตประสาทของผมมาถึงทุกวันนี้ ค่ำคืนนั้นแผนการทุกอย่างของผมพังไม่เป็นท่า ทั้งการที่ตั้งใจจะไปฆ่าไอ้ธีร์ แต่มันก็ดันชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน รวมถึงคืนนั้นผมตั้งใจจะให้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตผม แต่เดวิดก็เลือกที่จะไม่ฆ่าผม และผมก็สับสนมากเกินไปจนไม่สามารถกระโดดหน้าผานั่นลงไปได้ ผมตรงดิ่งกลับไปที่ห้องเช่าที่ผมเช่าไว้ คืนนั้นผมนอนทั้งที่ตัวเปียกจากน้ำฝนบนที่นอนอยู่อย่างนั้น ผมได้แต่อยู่กับตัวเองพลางใช้สติที่ยังหลงเหลือเพียงน้อยนิดคิดทบทวนถึงสิ่งที่เดวิดทำ แล้วอยู่ ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมารวมกับเม็ดฝนที่เปียกอยู่บนที่นอนนั้นอย่างไม่รู้ตัว

               เช้าวันต่อมาผมยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียงเตียงนั้น ตอนนี้ความสับสนบดบังความอยากตายของผมไปจนหมด เดวิดได้ทิ้งคำถามจากสิ่งที่เขาทำไว้ให้กับผม ทำไมคนคนหนึ่งถึงสามารถทำให้กับเราได้มากมายขนาดนี้ ผมคิดถึงมันตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งผมเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหวังจะดื่มน้ำสักแก้วเพื่อดับความกระหายจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำตลอดทั้งคืน แต่ผมดันเจอขนมปังทาแยมส้มวางอยู่บนจานในตู้เย็น และในตอนนั้นผมก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง ผมรู้ว่าสิ่งที่เดวิดทำมันคงไม่ต่างไปจากสิ่งที่ผมทำให้กับโรส การที่เรารักใครสักคนความรักมันมักบงการให้เราทำในสิ่งที่บ้าบอเหมือนกับคนโง่ ในวินาทีนั้นผมแทบจะทรุดตัวนั่งลงกอดเข่าอยู่บนพื้นในทันที ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ใช่ความเศร้าที่ผมอยากตาย แต่มันเป็นเพียงความเศร้าจากความเสียดายที่ผมไม่เคยเห็นค่าความรักที่ใครคนหนึ่งมอบให้ และผมเพียงเสียดายที่ผมไม่เคยมอบความรักให้ตัวเองเลยสักครั้ง

               ภายในวันนั้นผมถูกติดต่อจากไอ้กร มันบอกว่าเดวิดได้มอบหน้าที่สุดท้ายไว้ให้กับมัน คือการที่พาผมหนีออกไปจากเมืองนี้แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในตอนแรกที่ผมไม่อยากไปเพราะผมเพียงอยากเผชิญหน้ากับความจริงในสิ่งที่ผมก่อ แต่ไอ้กรมันไม่มีทางยอม มันบอกว่าถึงยังไงมันก็ต้องทำตามคำสั่งสุดท้ายของเจ้านายมันให้สำเร็จ และคนที่ไม่สำนึกบุญคุณอย่างผมคงไม่มีวันเข้าใจ ผมจึงไม่มีทางเลือกต้องหนีไปกับมัน

               ในเมืองเมืองใหม่ผมตั้งใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้ ให้สมกับความรักที่ผมได้มา ผมจึงเปลี่ยนชื่อจาก ‘จอห์น’ เป็น ‘จิมมี่’ พร้อมหาทุกวิถีทางที่ผมจะสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ผมทำงานทุกประเภทตั้งแต่ พนักงานเสิร์ฟ เด็กในครัว ตลอดจนไปถึงพนักงานทำความสะอาดในซุปเปอร์มาเก็ต และเมื่อผมทำงานหนักไปเรื่อย ๆ อาการติดยาของผมมันก็ทุเลาลง แม้ในช่วงแรกมันอาจจะไม่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางวันอาการอยากยามันก็ทำให้ผมเสียงานถึงขั้นถูกไล่ออก มันจึงทำให้ผมต้องหางานใหม่อยู่บ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่เคยยอมแพ้ ส่วนเรื่องบุหรี่และของมึนเมา ผมไม่ได้ตั้งใจจะเลิก แต่ในเมื่องานผมมันยุ่งทั้งวันจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น มันจึงทำให้ผมค่อย ๆ ห่างมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายผมก็สามารถมีชีวิตโดยปราศจากมันได้

               ในขณะที่ความมั่นคงในการงานของผมดีขึ้น แต่ความมั่นคงทางจิตใจของผมกลับสั่นคลอน ‘ความเหงา’ มันคอยกวนใจผมอยู่เสมอ ผมคิดถึงโรสเหลือเกิน อยากเจอ อยากสบตา และ อยากสัมผัส ผมจึงตัดสินใจย้ายกลับไปเมืองในแสงนีออนสีเขียวแห่งนั้น โดยที่ผมมั่นใจว่าเรื่องราวมันก็ผ่านมาหลายปี และทุกคนคงจะลืมเรื่องของพวกเราไปแล้ว ในช่วงแรกผมไปทุกที่ที่ผมเคยไปกับโรส พร้อมกับจินตนาการว่าถ้าตอนนี้ข้างกายของผมมีโรสอยู่ด้วยมันจะดีแค่ไหน ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่โง่ที่ยังคิดถึงใครสักคนที่ไม่มีทางกลับมาได้ แต่มันก็พอเยียวยาความเหงา ความคิดถึงของผมให้ทุเลาลงไปได้บ้าง

               ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ตแห่งนี้ก็เช่นกัน ในตอนแรกผมมักจะมาที่นี่ประจำเพราะมันทำให้ผมรู้สึกถึงวันคืนเก่า ๆ ผมมักจะมานั่งที่ที่เราเคยนั่ง พร้อมซึมซับความรู้สึกเก่า ๆ ให้เต็มหัวใจ จนกระทั่งวันหนึ่งผมเห็นป้ายประกาศรับสมัครพนักงานในร้านแห่งนี้ ผมไม่รอช้าที่จะส่งใบสมัคร และเมื่อต้นปีผมก็ได้เข้าทำงานในร้านแห่งนี้เป็นพนักงานทำความสะอาด รวมถึงเป็นผู้ช่วยในครัว ทุกครั้งที่ผมมาทำงานผมยอมรับว่าแอบหวังว่าสักวันจะเกิดปาฏิหาริย์ จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมได้เจอเธออีกครั้ง ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง มันเหมือนว่าผมกำลังฝันไป  และมันเป็นฝันที่ผมมีความสุขมากที่สุด

               ผมกอดเธอไว้แน่นกว่าเดิม เสมือนไม่อยากปล่อยให้เธอไปไหนอีก ไม่แน่การที่เราต้องจากกัน เพื่อให้มันเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพวกเรามีค่ามากพอที่สามารถทำตามความฝันและอยู่ด้วยตัวเองได้ และไม่แน่ว่าเมื่อเรารักตัวเองมากพอ ความรักที่เรามีให้กันมันอาจจะมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น เพื่อรอเวลาที่ใช่พัดให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้ง

 

จบ.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา