แด่เธอ...สุดที่รัก
10.0
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
21 ตอน
1 วิจารณ์
10.73K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) สุดยื้อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ช่วงเวลาที่ฉันอยู่โรงพยาบาลแผนที่จะช่วยกายติวหนังสือเป็นอันว่าต้องหยุดพักไปอย่างถาวรเพราะหลังจากวันที่เจ้าตัวอาละวาดในครั้งนั้นอาการก็ไม่สู้ดีนัก ฉันที่คอยเฝ้าดูแลก็ไม่เป็นอันทำอะไรไปด้วย ส่วนแม่ของฉันและเจมส์มาเยี่ยมกายเกือบทุกวัน
ตอนนี้กายมีอาการแพ้คีโมอย่างหนักจนต้องรีบดำเนินการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์[1]ให้เร็วที่สุด แต่ในช่วงเวลานี้ไม่มีผู้บริจาคคนไหนเลยที่มีสเต็มเซลล์ที่เข้ากับกายได้ เหลือทางเลือกเดียวที่จะยื้อชีวิตของกายได้ก็คือการปลูกถ่ายไขกระดูกจากสเต็มเซลล์ของตัวเอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
"เราคงต้องย้ายโรงพยาบาล อาจจะมีที่อื่นที่รักษาได้ดีกว่านี้ แพรวยังจะอยู่ดูแลกายต่อไหม"
พ่อของกายหันมาพูดคุยกับฉัน จริงๆ พ่อของกายเสนอเงินค่าจ้างดูแลกายแต่ฉันยืนยันว่าจะไม่รับเพราะฉันต้องการดูแลกายด้วยใจจริง ทั้งสัปดาห์ที่อยู่ดูแลกายฉันรับเอาความรู้สึกของทั้งพ่อกายและตัวกาย เข้ามาไว้กับตัวเองเกือบ 100% ฉันเคยคิดมาตลอดว่าพ่อกับแม่ของกายรักกายมาก แต่กายทำตัวมีปัญหาเอง ตอนนี้ความคิดฉันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ครอบครัวของกายมีปัญหาจริงและมีมาโดยตลอด แค่กายไม่เคยกล่าวว่าครอบครัวของตนเองให้คนอื่นฟังเลยสักครั้ง ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้หญิงคนนั้นคนที่กายเคยเรียกว่าแม่เธอไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับทั้งกายและพ่ออีกเลย
"คะ"
"หนูไม่จำเป็นต้องมารับภาระตรงนี้ก็ได้นะ ลุงเกรงใจหนูมาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เหนื่อยเลย" เหนื่อยกายฉันยังพอทนได้ แต่เห็นคนตรงหน้าต้องทรมานฉันก็แทนอยากตายตามไปเหมือนกัน
"แพรว..." เสียงคนที่นอนอยู่บนเตียงแผ่วเบาลงทุกที
"ว่าไง" ฉันรีบไปคว้ามือของกายเอาไว้
"กูอยู่ได้...อย่า...ลำบากเพราะกู" กายพูดจาติดขัดแบบนี้มาได้ 2 วันแล้ว เพราะอาการเหนื่อยและร่างกายไม่ยอมรับเลือดหรือยาคีโมที่ได้รับไปเลย
"ไม่ลำบากจริงๆ จริงๆ นะ" ฉันพูดพลางปาดน้ำตา
กายยิ้มเล็กน้อยและนอนหลับตาพร้อมจับมือของฉันไว้อย่างหลวมๆ
"หนูแพรว ออกมาคุยกับลุงหน่อยสิ" พ่อของแพรวเรียกฉันออกไปคุยนอกห้องหลังจากที่กายนอนหลับไปแล้ว
เมื่อออกมาจากห้อง คนเป็นพ่อก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าเด็กสาววัย 17 ปีแบบไม่อาย
"กายไม่หายหรอกหนู มันสายไปแล้ว"
"ไม่ คุณลุง กายต้องหายเดี๋ยวเราจะปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แล้ว กายต้องหายค่ะ"
"สายเกินไป ร่างกายเขาทรุดเร็วจนหมอเองก็ไม่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้อีกต่อไป"
"..." ฉันยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีการสะอึกสะอื้นหรือโวยวายแต่อย่างใด ทำไม ทำไม ต้องเร็วแบบนี้ "แล้วทำไมคุณลุงถึงจะบอกว่าให้กายไปรักษาที่อื่นละคะ"
"หมอบอกลุงว่า จะให้เขาไป...อึก...เสียที่บ้าน หรือให้เสียที่โรงพยาบาลให้เลือกเอา" พ่อของกายพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นเอาไว้ "ทีแรกกะว่าจะรักษาโรงพยาบาลอื่น แต่คิดว่าเจ้าตัวคงเหนื่อยกับการรักษามามากพอแล้วพ่อเลยว่าจะให้เขากลับมาอยู่บ้าน"
"หมอบอกว่าเหลือเวลานานแค่ไหนคะ"
"ไม่เกินสัปดาห์หน้า... เพราะร่างกายไม่รับอะไรเลย" ฉันเอามือปิดปากด้วยความตกใจแต่พยายามกดอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ไปมากกว่านี้เพราะตอนนี้คนที่อยู่รอบข้างของฉันอ่อนแอแบบไร้ที่พึ่งกันมามากพอแล้วฉันจะทำตัวเป็นภาระอีกไม่ได้
ช่วงนี้ฉันดูแลตัวเองดีเป็นพิเศษจะให้เจ็บป่วยอีกไม่ได้ ฉันจะเสียเวลาไปนอนป่วยไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เพราะฉันไม่แน่ใจเลยว่าแค่ฉันเผลอหลับไปตรงนี้เดี๋ยวนี้ตื่นมาอีกทีคนตรงหน้าจะยังอยู่กับฉันอีกไหม
หลังจากที่คุณลุงคุยกับฉันเสร็จก็ขอตัวไปจัดที่ทางที่บ้านให้กายเข้าพัก
"แพรว" ฉันหันไปหาต้นเสียงสิ่งที่ฉันเห็นก็คือ ฟ้า เจมส์ และเพื่อนผู้ชายที่อยู่แก๊งเดียวกับกายต่างก็เดินทางมาเยี่ยมกาย ฉันฉีกยิ้มแบบฝืนไปหาทุกคน
"ถ้ามันฝืนยิ้มไม่ไหวก็ไม่ต้องหรอกมึง" ฟ้าเดินเข้ามากอดฉันที่กำลังจะหมดแรง
"เข้าไปแล้ว อย่าเศร้ากันนะ ทำตัวตามปกติกายคงอยากให้ทุกคนเป็นแบบนั้น" ฉันรีบอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนล่วงหน้า
ทุกคนพยักหน้ารับคำ
"เดี๋ยวเราไปดูให้ว่ากายเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้พึ่งจะหลับไป"
ภายนอกห้อง
"ฟ้า มันยังไงวะ"
"อะไรยังไง"
"ก็...แพรวมันดูแลกายอย่างกับเป็นสามีภรรยากัน" ฟ้ารีบหันกลับไปมองเจมส์แต่เจมส์เป็นคนเก็บสีหน้าและอาการได้ดีเยี่ยมอยู่แล้วทุกคนเลยไม่รู้ว่าเจมส์คิดอย่างไรกับแพรวก่อนหน้าที่แพรวจะรู้ว่ากายป่วย
"พวกมึงนิสนใจแต่คนป่วยก็พอ เข้าไปคุยให้สนุกแบบที่มึงเคยคุยกัน"
"หรือว่านี่พวกมันยังไงก็ไม่คิดจะบอกรักกันแล้วปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอวะ"
เจมส์รำคาญเพื่อนของกายกลุ่มนี้เป็นทุนเดิมจึงอดพูดไม่ได้
"เขาจะพูดหรือไม่พูดคำว่ารักแล้วมันจะยังไง ก็ที่เห็นอยู่มันไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันหรือไงว่าเขารักกัน"
ทุกคนเลยได้แต่ยืนกันเงียบๆ
ในห้องผู้ป่วย
"กาย" ฉันค่อยๆ เรียกกายพร้อมจับที่แขนและใบหน้าเบาๆ เพราะกลัวคนหลับจะตกใจเสียงเรียกของฉัน
กายเอามือมาจับมือของฉันแต่ตายังไม่ลืม "มีอะไรเหรอแพรว"
"ข้างนอกมีเพื่อนมาหา อยากเจอพวกเขาไหม"
กายลืมตาขึ้นมา พร้อมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นฉันที่ทำหน้านี้ตรงนี้มาหลายวันรู้ทันทีว่าต้องพยุงกายแบบไหน หรือต้องปรับเตียงนอนระดับไหนเพื่อให้กายอยู่ในท่าที่สบาย "อยากเจอ"
"โอเคงั้นรอเดี๋ยวนะ จะออกไปเรียกให้"
"แพรว...กูยังหล่ออยู่ไหม" ฉันหันกลับไปยิ้มให้แล้วบอกว่า "ยังหล่ออยู่เสมอ" คนฟังยิ้มด้วยความพอใจในคำตอบ ในใจกายตอนนี้รู้ดีว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างไร จนไม่กล้าแม้แต่จะส่องกระจกเพียงแค่มีผู้หญิงคนนี้คอยบอกว่าเขายังดูดีอยู่แค่นี้การส่องกระจกหรือคำพูดของใครก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
"อยู่กับกูตอนที่เพื่อนๆ เข้ามาด้วยได้ไหม"
"ทำไมล่ะ ไม่อยากคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเหรอ"
"เปล่า...กูกลัว" คำว่ากลัวของกายเป็นความกลัวในความหมายเดียวกับฉัน คือกลัวว่าถ้าเราคลาดกันแม้เสี้ยววินาทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก
"เดี๋ยวกูจะนั่งอยู่ตรงนี้เลย ตลอดที่มึงคุยกับเพื่อนๆ ดีไหม" ฉันพูดพลางตบเบาะปลายเตียงผู้ป่วยยืนยันว่าจะนั่งใกล้ๆ ตรงนี้ กายได้ยินดังนั้นก็เผยยิ้มสดใสออกมา
"เฮ้ย...มึง" ทุกคนที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพแรกของกายที่ผิดไปจากเมื่อไม่นานมานี้ก็ชะงัก ในตอนนี้กายทั้งซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูก และใส่หมวกไหมพรมเพราะอาการแพ้คีโมอย่างหนักทำให้ผมที่เคยดกดำตอนนี้ไม่มีอีกต่อไป กว่าทุกคนจะตั้งสติได้คนป่วยก็คงรู้หมดแล้วว่าคิดอะไรกัน "กูมาแล้ว"
"ตกใจกูละสิ" กายถามแบบสีหน้ากวนประสาทตามนิสัยเดิมของกาย
"ตกใจอะไร ไม่มี๊~"
ฉันนั่งอยู่ปลายเตียงตามที่สัญญาโดยมีกายจับมือฉันเอาไว้สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่การกระทำของฉันกับกายแต่เลือกที่จะไม่ถามเรื่องนี้ ทุกวันนี้กายมักจะนั่งหรือนอนจับมือฉันเอาไว้เสมอเหมือนว่ากลัวอีกคนจะหายไป
เชิงอรรถ
^ เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์ชนิดพิเศษพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัดและสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย
ช่วงเวลาที่ฉันอยู่โรงพยาบาลแผนที่จะช่วยกายติวหนังสือเป็นอันว่าต้องหยุดพักไปอย่างถาวรเพราะหลังจากวันที่เจ้าตัวอาละวาดในครั้งนั้นอาการก็ไม่สู้ดีนัก ฉันที่คอยเฝ้าดูแลก็ไม่เป็นอันทำอะไรไปด้วย ส่วนแม่ของฉันและเจมส์มาเยี่ยมกายเกือบทุกวัน
ตอนนี้กายมีอาการแพ้คีโมอย่างหนักจนต้องรีบดำเนินการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์[1]ให้เร็วที่สุด แต่ในช่วงเวลานี้ไม่มีผู้บริจาคคนไหนเลยที่มีสเต็มเซลล์ที่เข้ากับกายได้ เหลือทางเลือกเดียวที่จะยื้อชีวิตของกายได้ก็คือการปลูกถ่ายไขกระดูกจากสเต็มเซลล์ของตัวเอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
"เราคงต้องย้ายโรงพยาบาล อาจจะมีที่อื่นที่รักษาได้ดีกว่านี้ แพรวยังจะอยู่ดูแลกายต่อไหม"
พ่อของกายหันมาพูดคุยกับฉัน จริงๆ พ่อของกายเสนอเงินค่าจ้างดูแลกายแต่ฉันยืนยันว่าจะไม่รับเพราะฉันต้องการดูแลกายด้วยใจจริง ทั้งสัปดาห์ที่อยู่ดูแลกายฉันรับเอาความรู้สึกของทั้งพ่อกายและตัวกาย เข้ามาไว้กับตัวเองเกือบ 100% ฉันเคยคิดมาตลอดว่าพ่อกับแม่ของกายรักกายมาก แต่กายทำตัวมีปัญหาเอง ตอนนี้ความคิดฉันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ครอบครัวของกายมีปัญหาจริงและมีมาโดยตลอด แค่กายไม่เคยกล่าวว่าครอบครัวของตนเองให้คนอื่นฟังเลยสักครั้ง ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้หญิงคนนั้นคนที่กายเคยเรียกว่าแม่เธอไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับทั้งกายและพ่ออีกเลย
"คะ"
"หนูไม่จำเป็นต้องมารับภาระตรงนี้ก็ได้นะ ลุงเกรงใจหนูมาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เหนื่อยเลย" เหนื่อยกายฉันยังพอทนได้ แต่เห็นคนตรงหน้าต้องทรมานฉันก็แทนอยากตายตามไปเหมือนกัน
"แพรว..." เสียงคนที่นอนอยู่บนเตียงแผ่วเบาลงทุกที
"ว่าไง" ฉันรีบไปคว้ามือของกายเอาไว้
"กูอยู่ได้...อย่า...ลำบากเพราะกู" กายพูดจาติดขัดแบบนี้มาได้ 2 วันแล้ว เพราะอาการเหนื่อยและร่างกายไม่ยอมรับเลือดหรือยาคีโมที่ได้รับไปเลย
"ไม่ลำบากจริงๆ จริงๆ นะ" ฉันพูดพลางปาดน้ำตา
กายยิ้มเล็กน้อยและนอนหลับตาพร้อมจับมือของฉันไว้อย่างหลวมๆ
"หนูแพรว ออกมาคุยกับลุงหน่อยสิ" พ่อของแพรวเรียกฉันออกไปคุยนอกห้องหลังจากที่กายนอนหลับไปแล้ว
เมื่อออกมาจากห้อง คนเป็นพ่อก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าเด็กสาววัย 17 ปีแบบไม่อาย
"กายไม่หายหรอกหนู มันสายไปแล้ว"
"ไม่ คุณลุง กายต้องหายเดี๋ยวเราจะปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แล้ว กายต้องหายค่ะ"
"สายเกินไป ร่างกายเขาทรุดเร็วจนหมอเองก็ไม่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้อีกต่อไป"
"..." ฉันยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีการสะอึกสะอื้นหรือโวยวายแต่อย่างใด ทำไม ทำไม ต้องเร็วแบบนี้ "แล้วทำไมคุณลุงถึงจะบอกว่าให้กายไปรักษาที่อื่นละคะ"
"หมอบอกลุงว่า จะให้เขาไป...อึก...เสียที่บ้าน หรือให้เสียที่โรงพยาบาลให้เลือกเอา" พ่อของกายพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นเอาไว้ "ทีแรกกะว่าจะรักษาโรงพยาบาลอื่น แต่คิดว่าเจ้าตัวคงเหนื่อยกับการรักษามามากพอแล้วพ่อเลยว่าจะให้เขากลับมาอยู่บ้าน"
"หมอบอกว่าเหลือเวลานานแค่ไหนคะ"
"ไม่เกินสัปดาห์หน้า... เพราะร่างกายไม่รับอะไรเลย" ฉันเอามือปิดปากด้วยความตกใจแต่พยายามกดอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ไปมากกว่านี้เพราะตอนนี้คนที่อยู่รอบข้างของฉันอ่อนแอแบบไร้ที่พึ่งกันมามากพอแล้วฉันจะทำตัวเป็นภาระอีกไม่ได้
ช่วงนี้ฉันดูแลตัวเองดีเป็นพิเศษจะให้เจ็บป่วยอีกไม่ได้ ฉันจะเสียเวลาไปนอนป่วยไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เพราะฉันไม่แน่ใจเลยว่าแค่ฉันเผลอหลับไปตรงนี้เดี๋ยวนี้ตื่นมาอีกทีคนตรงหน้าจะยังอยู่กับฉันอีกไหม
หลังจากที่คุณลุงคุยกับฉันเสร็จก็ขอตัวไปจัดที่ทางที่บ้านให้กายเข้าพัก
"แพรว" ฉันหันไปหาต้นเสียงสิ่งที่ฉันเห็นก็คือ ฟ้า เจมส์ และเพื่อนผู้ชายที่อยู่แก๊งเดียวกับกายต่างก็เดินทางมาเยี่ยมกาย ฉันฉีกยิ้มแบบฝืนไปหาทุกคน
"ถ้ามันฝืนยิ้มไม่ไหวก็ไม่ต้องหรอกมึง" ฟ้าเดินเข้ามากอดฉันที่กำลังจะหมดแรง
"เข้าไปแล้ว อย่าเศร้ากันนะ ทำตัวตามปกติกายคงอยากให้ทุกคนเป็นแบบนั้น" ฉันรีบอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนล่วงหน้า
ทุกคนพยักหน้ารับคำ
"เดี๋ยวเราไปดูให้ว่ากายเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้พึ่งจะหลับไป"
ภายนอกห้อง
"ฟ้า มันยังไงวะ"
"อะไรยังไง"
"ก็...แพรวมันดูแลกายอย่างกับเป็นสามีภรรยากัน" ฟ้ารีบหันกลับไปมองเจมส์แต่เจมส์เป็นคนเก็บสีหน้าและอาการได้ดีเยี่ยมอยู่แล้วทุกคนเลยไม่รู้ว่าเจมส์คิดอย่างไรกับแพรวก่อนหน้าที่แพรวจะรู้ว่ากายป่วย
"พวกมึงนิสนใจแต่คนป่วยก็พอ เข้าไปคุยให้สนุกแบบที่มึงเคยคุยกัน"
"หรือว่านี่พวกมันยังไงก็ไม่คิดจะบอกรักกันแล้วปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอวะ"
เจมส์รำคาญเพื่อนของกายกลุ่มนี้เป็นทุนเดิมจึงอดพูดไม่ได้
"เขาจะพูดหรือไม่พูดคำว่ารักแล้วมันจะยังไง ก็ที่เห็นอยู่มันไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันหรือไงว่าเขารักกัน"
ทุกคนเลยได้แต่ยืนกันเงียบๆ
ในห้องผู้ป่วย
"กาย" ฉันค่อยๆ เรียกกายพร้อมจับที่แขนและใบหน้าเบาๆ เพราะกลัวคนหลับจะตกใจเสียงเรียกของฉัน
กายเอามือมาจับมือของฉันแต่ตายังไม่ลืม "มีอะไรเหรอแพรว"
"ข้างนอกมีเพื่อนมาหา อยากเจอพวกเขาไหม"
กายลืมตาขึ้นมา พร้อมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นฉันที่ทำหน้านี้ตรงนี้มาหลายวันรู้ทันทีว่าต้องพยุงกายแบบไหน หรือต้องปรับเตียงนอนระดับไหนเพื่อให้กายอยู่ในท่าที่สบาย "อยากเจอ"
"โอเคงั้นรอเดี๋ยวนะ จะออกไปเรียกให้"
"แพรว...กูยังหล่ออยู่ไหม" ฉันหันกลับไปยิ้มให้แล้วบอกว่า "ยังหล่ออยู่เสมอ" คนฟังยิ้มด้วยความพอใจในคำตอบ ในใจกายตอนนี้รู้ดีว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างไร จนไม่กล้าแม้แต่จะส่องกระจกเพียงแค่มีผู้หญิงคนนี้คอยบอกว่าเขายังดูดีอยู่แค่นี้การส่องกระจกหรือคำพูดของใครก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
"อยู่กับกูตอนที่เพื่อนๆ เข้ามาด้วยได้ไหม"
"ทำไมล่ะ ไม่อยากคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเหรอ"
"เปล่า...กูกลัว" คำว่ากลัวของกายเป็นความกลัวในความหมายเดียวกับฉัน คือกลัวว่าถ้าเราคลาดกันแม้เสี้ยววินาทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก
"เดี๋ยวกูจะนั่งอยู่ตรงนี้เลย ตลอดที่มึงคุยกับเพื่อนๆ ดีไหม" ฉันพูดพลางตบเบาะปลายเตียงผู้ป่วยยืนยันว่าจะนั่งใกล้ๆ ตรงนี้ กายได้ยินดังนั้นก็เผยยิ้มสดใสออกมา
"เฮ้ย...มึง" ทุกคนที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพแรกของกายที่ผิดไปจากเมื่อไม่นานมานี้ก็ชะงัก ในตอนนี้กายทั้งซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูก และใส่หมวกไหมพรมเพราะอาการแพ้คีโมอย่างหนักทำให้ผมที่เคยดกดำตอนนี้ไม่มีอีกต่อไป กว่าทุกคนจะตั้งสติได้คนป่วยก็คงรู้หมดแล้วว่าคิดอะไรกัน "กูมาแล้ว"
"ตกใจกูละสิ" กายถามแบบสีหน้ากวนประสาทตามนิสัยเดิมของกาย
"ตกใจอะไร ไม่มี๊~"
ฉันนั่งอยู่ปลายเตียงตามที่สัญญาโดยมีกายจับมือฉันเอาไว้สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่การกระทำของฉันกับกายแต่เลือกที่จะไม่ถามเรื่องนี้ ทุกวันนี้กายมักจะนั่งหรือนอนจับมือฉันเอาไว้เสมอเหมือนว่ากลัวอีกคนจะหายไป
เชิงอรรถ
^ เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์ชนิดพิเศษพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัดและสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ