สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)
-
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.
45 chapter
53 วิจารณ์
21.41K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
43) คำสัญญา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อย่าคิดมากไปหน่อยเลยน่า ริณก็บ่นเป็นยายแก่กลัวโลกแตกไปได้” เขาว่าเสียงกวนๆ
“โหยเอกพูดแบบนี้ ลุกขึ้นมาเตะก้านคอฉันเลยดีกว่ามั๊ย” ฉันเลยยวนกลับก่อนจะค้อนขวับให้วงหนึ่ง
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ถ้ายังไม่มั่นใจละก็…นี่”
เขาเอ่ยก่อนจะยกมือที่กุมมือฉันอยู่ขึ้นมาแล้วชูนิ้วก้อย พอฉันเห็นเท่านั้นก็หัวเราะคิกออกมาทันใด
“เอกนี่เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะที่จะมาสันยิงสัญญาอะไรแบบนี้”
“ก็เราอยากให้ริณรู้ว่า เรารักริณนี่นา แล้วเราก็อยากจะอยู่เคียงข้างริณตลอดไป” เขาพูดสีหน้าจริงจัง จนฉันเชื่อว่าเขาได้พูดออกมาจากก้นบึ้งของความรู้สึกโดยแท้จริง
“ไม่ว่าจะเกิดอะไร หรือปัญหาอะไรขึ้นต่อแต่นี้เราจะไม่ทิ้งริณ แล้วริณล่ะสัญญาได้มั๊ยว่าจะอยู่เคียงข้างเรา” ชานนท์ถามพลางกระดิกนิ้วหงึก หงึก เป็นเชิงเร่งเร้าขอคำตอบ
“เอ่อคือ…ฉัน” ฉันจุกในใจจนพูดไม่ออก รู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะเพราะพริ้งเสียจนอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน
“ฉัน…” ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้เสียงสั่นขนาดนี้ ขณะที่มองไปที่ปลายนิ้วก้อยที่กำลังรอคอยการตัดสินใจจากฉันอยู่
“ไม่ว่าต่อไปจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นฉันจะเป็นกำลังใจให้นายเสมอ” ฉันกล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก มันคล้ายๆ กับการที่เราบอกรักใครสักคน เป็นถ้อยคำที่ทำให้เรารู้สึกขวยเขิน แต่ก็ทำให้หัวใจพองโตไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน
“สัญญานะ”
ฉันมองหน้าเขาอีกครั้ง แล้วจึงยกนิ้วไปเกี่ยวก้อยกันด้วยความเต็มใจ
“อืม…ฉันสัญญา”
“ริณรู้ป่ะตอนที่เราเอาภาพริณขึ้นคอลัมน์นิตยสารของชมรมนะพวกเพื่อนๆ เราแม่งถามกันให้แซ่ดเลย ตั้งแต่เห็นริณครั้งแรกเราก็รู้แล้วว่า…” เขาละคำสุดท้ายไว้ ทำให้ฉันสงสัยเลยเอ่ยถาม
“รู้อะไรเหรอ…?”
“รู้ว่าริณเป็นคนพิเศษสำหรับเราไง” คำเฉลยของเอก ทำเอาฉันถึงกับยิ้มแก้มปริ
“ตาบ้า” ฉันว่า
“เพี๊ยะ!” พลางตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแก้เขิน แต่คงแรงไปหน่อยหน้าขาวๆ ของเอกเลยปรากฏรอยแดงขึ้นมาจนฉันเองก็ตกใจ
“อุ๊ย!”
“โหยริณตบซะเราปากเบี้ยวเลยนะเนี่ย” เขาฟ้องเสียงอู้อี้ ทำปากบูดเบี้ยวหน้าเหยเกเหมือนคนเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาพาให้ฉันนึกขันจนหลุดหัวเราะคิกคักออกมา
เรานั่งเล่นกันอยู่ที่นั่นอีกประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เห็นว่าพระอาทิตย์รอนแสงลงมากแล้วจึงชวนทุกคนกลับแม้ว่าลึกๆ แล้วจะไม่อยากเจอหน้าแม่เลี้ยงสักเท่าไหร่ก็ตาม
“ไปกันเถอะเย็นแล้ว” พูดแล้วก็ลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากกางเกงยีนส์ตัวเก่ง
“ริณเดี๋ยว” เสียงของแฟนหนุ่มร้องทักขึ้น “ลืมอะไรไปรึเปล่า”
“ป่าวนี่ ฉันไม่ได้ลืมอะไรนะ” ฉันรีบบอกพร้อมกับก้มหน้าลงพื้นพยายามสอดส่ายสายตาหาดูว่ามีอะไรหล่นร่วงไปจากตัวบ้างรึเปล่า แต่ก็ไม่เห็นว่าบนพื้นจะมีเศษสตางค์ หรือโทรศัพท์มือถือตกอยู่สักหน่อย
“นี่ๆ พวกเธอดูอะไรนี่” เสียงสดใสของแก้วเรียกให้พวกเราต้องเงยหน้าหันไปมองเธอ
“นั่นไงของที่ริณลืมอยู่นั่นแล้ว” เอกพูดเป็นปริศนา ชี้ชวนให้ฉันมองไปยังแสงพลอยที่รวบต้นสายฝนซึ่งมีก้านสีเขียวเข้มเล็กเรียวมาเสียเต็มไม้เต็มมือ
“โหยเอกพูดแบบนี้ ลุกขึ้นมาเตะก้านคอฉันเลยดีกว่ามั๊ย” ฉันเลยยวนกลับก่อนจะค้อนขวับให้วงหนึ่ง
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ถ้ายังไม่มั่นใจละก็…นี่”
เขาเอ่ยก่อนจะยกมือที่กุมมือฉันอยู่ขึ้นมาแล้วชูนิ้วก้อย พอฉันเห็นเท่านั้นก็หัวเราะคิกออกมาทันใด
“เอกนี่เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะที่จะมาสันยิงสัญญาอะไรแบบนี้”
“ก็เราอยากให้ริณรู้ว่า เรารักริณนี่นา แล้วเราก็อยากจะอยู่เคียงข้างริณตลอดไป” เขาพูดสีหน้าจริงจัง จนฉันเชื่อว่าเขาได้พูดออกมาจากก้นบึ้งของความรู้สึกโดยแท้จริง
“ไม่ว่าจะเกิดอะไร หรือปัญหาอะไรขึ้นต่อแต่นี้เราจะไม่ทิ้งริณ แล้วริณล่ะสัญญาได้มั๊ยว่าจะอยู่เคียงข้างเรา” ชานนท์ถามพลางกระดิกนิ้วหงึก หงึก เป็นเชิงเร่งเร้าขอคำตอบ
“เอ่อคือ…ฉัน” ฉันจุกในใจจนพูดไม่ออก รู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะเพราะพริ้งเสียจนอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน
“ฉัน…” ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้เสียงสั่นขนาดนี้ ขณะที่มองไปที่ปลายนิ้วก้อยที่กำลังรอคอยการตัดสินใจจากฉันอยู่
“ไม่ว่าต่อไปจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นฉันจะเป็นกำลังใจให้นายเสมอ” ฉันกล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก มันคล้ายๆ กับการที่เราบอกรักใครสักคน เป็นถ้อยคำที่ทำให้เรารู้สึกขวยเขิน แต่ก็ทำให้หัวใจพองโตไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน
“สัญญานะ”
ฉันมองหน้าเขาอีกครั้ง แล้วจึงยกนิ้วไปเกี่ยวก้อยกันด้วยความเต็มใจ
“อืม…ฉันสัญญา”
“ริณรู้ป่ะตอนที่เราเอาภาพริณขึ้นคอลัมน์นิตยสารของชมรมนะพวกเพื่อนๆ เราแม่งถามกันให้แซ่ดเลย ตั้งแต่เห็นริณครั้งแรกเราก็รู้แล้วว่า…” เขาละคำสุดท้ายไว้ ทำให้ฉันสงสัยเลยเอ่ยถาม
“รู้อะไรเหรอ…?”
“รู้ว่าริณเป็นคนพิเศษสำหรับเราไง” คำเฉลยของเอก ทำเอาฉันถึงกับยิ้มแก้มปริ
“ตาบ้า” ฉันว่า
“เพี๊ยะ!” พลางตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแก้เขิน แต่คงแรงไปหน่อยหน้าขาวๆ ของเอกเลยปรากฏรอยแดงขึ้นมาจนฉันเองก็ตกใจ
“อุ๊ย!”
“โหยริณตบซะเราปากเบี้ยวเลยนะเนี่ย” เขาฟ้องเสียงอู้อี้ ทำปากบูดเบี้ยวหน้าเหยเกเหมือนคนเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาพาให้ฉันนึกขันจนหลุดหัวเราะคิกคักออกมา
เรานั่งเล่นกันอยู่ที่นั่นอีกประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เห็นว่าพระอาทิตย์รอนแสงลงมากแล้วจึงชวนทุกคนกลับแม้ว่าลึกๆ แล้วจะไม่อยากเจอหน้าแม่เลี้ยงสักเท่าไหร่ก็ตาม
“ไปกันเถอะเย็นแล้ว” พูดแล้วก็ลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากกางเกงยีนส์ตัวเก่ง
“ริณเดี๋ยว” เสียงของแฟนหนุ่มร้องทักขึ้น “ลืมอะไรไปรึเปล่า”
“ป่าวนี่ ฉันไม่ได้ลืมอะไรนะ” ฉันรีบบอกพร้อมกับก้มหน้าลงพื้นพยายามสอดส่ายสายตาหาดูว่ามีอะไรหล่นร่วงไปจากตัวบ้างรึเปล่า แต่ก็ไม่เห็นว่าบนพื้นจะมีเศษสตางค์ หรือโทรศัพท์มือถือตกอยู่สักหน่อย
“นี่ๆ พวกเธอดูอะไรนี่” เสียงสดใสของแก้วเรียกให้พวกเราต้องเงยหน้าหันไปมองเธอ
“นั่นไงของที่ริณลืมอยู่นั่นแล้ว” เอกพูดเป็นปริศนา ชี้ชวนให้ฉันมองไปยังแสงพลอยที่รวบต้นสายฝนซึ่งมีก้านสีเขียวเข้มเล็กเรียวมาเสียเต็มไม้เต็มมือ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ