สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)
-
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.
45 chapter
53 วิจารณ์
21.41K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) “คำสาป”
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความว่าแล้วก็หยุดนิดหนึ่ง แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าอาสุบรรณมีสีหน้านิ่งตั้งใจฟังอยู่จึงได้กล่าวต่อไป
“ถ้าเป็นไปได้…คือ…ริณอยากจะพาพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ะคุณอาพอจะพาไปได้มั๊ยคะ?”
คุณอามีสีหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอร้องจากฉัน แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มแทน
“ได้ซี่ไม่มีปัญหา โถ่เรื่องแค่นี้เองอาก็นึกว่าจะมีอะไรใหญ่โตกว่านี้เสียอีก” เขาพูดพร้อมกับเดินอาดๆ เข้ามาที่ตอไม้ก่อนจะใช้นิ้วมือป้อมๆ กระชากด้ามขวานขนาดเหมาะมือขึ้นมาดังปึ้ก ทำเอาเอกถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความเสียวไส้เมื่อเหลือบไปเห็นใบมีดขวานอันคมกริบนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับน่ากลัว
ฉันเองก็ยังนึกหวั่นหวาดว่าหากมันเหวี่ยงวาดไปโดนคอใครเขาเข้า ฉับเดียวคงขาดกระเด็นโดยไม่ทันได้หวีดร้องเลยด้วยซ้ำ…
“แต่อาก็เห็นสายทิพย์เค้าดูแลพ่อหนูดีนี่นา”คุณอาตั้งข้อสังเกต “มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า?” เขาถามแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งตรงตอไม้แล้ววางขวานอันเขื่องไว้บนตัก
“มีอะไรก็เล่าให้อาฟังได้นะ อายินดีรับฟัง” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยพลางหยิบเศษผ้าขี้ริ้วขึ้นมาเช็ดถูใบมีดขวานเพลินๆ ระหว่างรอ
ในตอนแรกฉันกะจะเล่าระบายถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แต่ทว่าก็ยั้งใจเก็บปากเก็บคำเอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวที่ไม่จำเป็นจะต้องแพร่งพรายให้ใครรับรู้ และด้วยความที่ฉันเป็นเด็กกว่าและเพิ่งเดินทางกลับมาบ้านเกิด จึงไม่อยากเป็นตัวสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้ใครต้องมาทุกข์ใจ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะเพียงแต่ว่า ริณเป็นห่วงพ่อ” ฉันแสร้งเลี่ยงไป
“อ่อ…เหรอ” เขาพยักหน้าหงึก
“แต่อาเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าแม่เลี้ยงของหนูหรือแม้แต่ตัวของธินกรเองจะเห็นด้วยกับความคิดนี้” คุณอาสุบรรณกล่าวก่อนจะทิ้งผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอมไว้กับขอนไม้ แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นพร้อมกับกระชับขวานด้วยสองมือ
“ทำไมเหรอครับ?” เอกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอ่ยถาม
“มันเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย เด็กยุคนี้คงไม่มีวันเชื่อเรื่องพวกนี้กันหรอก…พวกหนูอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไปแล้วก็ได้ละมั้ง” เขาพูดแล้วจึงก้าวขาไปที่ชั้นไม้ติดผนังบ้าน ระหว่างเดินสวบๆ ไปนั้น เท้าแกข้างหนึ่งก็จมลึกลงไปในดินเหลวๆ จนต้องออกแรงชักขึ้นมาทำให้เกิดเป็นรูปเป็นรอยพื้นรองเท้าบูท
“เฮ้อน่าเบื่อจริงๆ เลยน้าเวลาที่ฝนตกเนี่ย” เขาบ่นอย่างรำคาญใจ “จะตกอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้ จะเดินทีก็ลำบาก ออกไปไหนก็ไม่ได้…เวรแท้ๆ”
คุณอาบ่นพึมพำพลางวางด้ามขวานเก็บไว้บนชั้นไม้
ฉันได้แต่มองแผ่นหลังอันใหญ่โตนั้นด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดถึงเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนชานนท์ก็คงสงสัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกับฉันเช่นกัน เขาจึงโพล่งถามออกมา
“ที่ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนี่คือเรื่องอะไรเหรอครับ?”
ผู้ใหญ่บ้านร่างท้วมยืนหันหลังนิ่งให้พวกเราทั้งสองคน แกเงยศีรษะมองพินิจพิจารณาชั้นไม้ติดผนังซึ่งวางเครื่องมือช่าง เช่น ค้อน ตะปู สิ่ว สว่าน เลื่อยมือ ฯลฯ ไว้อย่างระเกะระกะ เหมือนกับกำลังคิดคำนึงอะไรอยู่
บรรยากาศรอบตัวฉันมีเพียงเสียงขยับไหวของกิ่งไม้ใบไม้ยามต้องสายลมโอนเอนดังค่อยๆ นอกนั้นคือความเงียบไร้ซึ่งสรรพเสียงอื่นใด เราสองคนรอฟังคำตอบของแกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง
ในที่สุดคุณอาก็กล่าวขึ้นมาเพียงสั้นๆ แต่เป็นถ้อยคำที่ทำให้ฉันอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“คำสาป”
“อะไรนะครับ/คะ!” ฉันกับเอกอุทานออกมาพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเราได้ยินไม่ถนัดหู แต่คงเป็นเพราะความประหลาดใจเหลือเชื่อมากกว่าที่ได้ยินคำตอบอะไรเช่นนี้
“ธินกรต้องคำสาป” คุณอาสุบรรณกล่าวก่อนจะละสายตาจากชั้นวางอุปกรณ์แล้วหันมามองเราทั้งสอง “ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็เชื่อกันว่า อาการป่วยด้วยโรคประหลาดนี่ก็เป็นเพราะผลพวงมาจากคำสาป”
น้ำเสียงอันขึงขังและจริงจังของเขา ทำให้ฉันถึงกับขนแขนลุกชันขึ้นมาโดยอัตโนมัติรู้สึกเย็นวาบราวกับมีสายลมหนาวยะเยือกพัดพรูมาอย่างไรไม่รู้
“ฝนทมิฬ และโรคร้าย คือการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งแม้แต่พ่อของหนูเองก็ไม่มีการละเว้น”
เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน ฉันถึงกับนิ่งอึ้งไป
“ผมไม่เคยจะได้เห็นหรือได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้เลยนะครับ พวกคนในหมู่บ้านนี่เขางมงายเรื่องพวกนี้กันด้วยเหรอครับ”
“เอก…ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” ฉันส่งสายตาดุใส่พร้อมเอ็ดเขาเบาๆ
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะร่วน แล้วจึงพูดว่า
“ไม่เป็นไรหรอกหนู อย่าไปว่าเพื่อนของเธอเลย อาบอกแล้วคนอื่นๆ เขาก็คงคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นแหละ ฮ่า ฮ่า”
“เอาเป็นว่าเรื่องที่หนูจะพาพ่อไปหาหมอในเมืองน่ะ ก็ลองปรึกษาสายทิพย์เขาดูละกันนะ ได้ผลยังไงก็มาบอกอาโอเคมั๊ย” คุณอาพูดตัดบทก่อนจะแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย ทำให้เรียวหนวดเข้มเหนือริมฝีปากบางๆ นั้นคลี่ขยับตามไปด้วย
“ค่ะ” ฉันรับคำ ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะการหว่านล้อมหรือเกลี้ยกล่อมให้แม่เลี้ยงเข้าใจและเห็นด้วยกับฉันหลังจากที่เราเพิ่งจะปะทะคารมกันไปคงจะยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก
“ว่าแต่นี่คุณอาอยู่คนเดียวเหรอคะนี่?” ฉันถามเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวบ้านดูเงียบเชียบจนน่าสงสัย
“ใช่แล้วอาอยู่คนเดียว…ว่างๆ พวกหนูก็แวะเวียนมาเยี่ยมได้นะ ความจริงอาน่าจะพาพวกเธอเข้าไปนั่งเล่นกันในบ้านนะ แต่ตอนนี้บ้านอามันรกมากเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันจะฉกเอา อาคงอุ้มพวกเธอสองคนไปหาหมอไม่ไหวหรอกนา ” เขาตอบติดตลก ดวงตาที่ดูใจดีหยียิ้มจนเห็นตีนกาเป็นริ้วๆ
“แล้วรถของคุณอาล่ะครับ?” เอกถามต่อพร้อมกับหันซ้ายแลขวากวาดสายตามองหา แต่ก็ไม่พบ
“เอ้าก็อยู่ตรงที่ๆ อามาส่งพวกเธอกันเมื่อวานนี้ยังไงล่ะ ลืมซะแล้วหนุ่มน้อย” ผู้ใหญ่บ้านว่าพลางเดินไปที่โอ่งแดงสองใบที่ตั้งอยู่พ้นชายคาบ้านออกมานิดหน่อยข้างๆ ประตูไม้
“ถ้าเป็นไปได้…คือ…ริณอยากจะพาพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ะคุณอาพอจะพาไปได้มั๊ยคะ?”
คุณอามีสีหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอร้องจากฉัน แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มแทน
“ได้ซี่ไม่มีปัญหา โถ่เรื่องแค่นี้เองอาก็นึกว่าจะมีอะไรใหญ่โตกว่านี้เสียอีก” เขาพูดพร้อมกับเดินอาดๆ เข้ามาที่ตอไม้ก่อนจะใช้นิ้วมือป้อมๆ กระชากด้ามขวานขนาดเหมาะมือขึ้นมาดังปึ้ก ทำเอาเอกถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความเสียวไส้เมื่อเหลือบไปเห็นใบมีดขวานอันคมกริบนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับน่ากลัว
ฉันเองก็ยังนึกหวั่นหวาดว่าหากมันเหวี่ยงวาดไปโดนคอใครเขาเข้า ฉับเดียวคงขาดกระเด็นโดยไม่ทันได้หวีดร้องเลยด้วยซ้ำ…
“แต่อาก็เห็นสายทิพย์เค้าดูแลพ่อหนูดีนี่นา”คุณอาตั้งข้อสังเกต “มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า?” เขาถามแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งตรงตอไม้แล้ววางขวานอันเขื่องไว้บนตัก
“มีอะไรก็เล่าให้อาฟังได้นะ อายินดีรับฟัง” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยพลางหยิบเศษผ้าขี้ริ้วขึ้นมาเช็ดถูใบมีดขวานเพลินๆ ระหว่างรอ
ในตอนแรกฉันกะจะเล่าระบายถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แต่ทว่าก็ยั้งใจเก็บปากเก็บคำเอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวที่ไม่จำเป็นจะต้องแพร่งพรายให้ใครรับรู้ และด้วยความที่ฉันเป็นเด็กกว่าและเพิ่งเดินทางกลับมาบ้านเกิด จึงไม่อยากเป็นตัวสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้ใครต้องมาทุกข์ใจ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะเพียงแต่ว่า ริณเป็นห่วงพ่อ” ฉันแสร้งเลี่ยงไป
“อ่อ…เหรอ” เขาพยักหน้าหงึก
“แต่อาเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าแม่เลี้ยงของหนูหรือแม้แต่ตัวของธินกรเองจะเห็นด้วยกับความคิดนี้” คุณอาสุบรรณกล่าวก่อนจะทิ้งผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอมไว้กับขอนไม้ แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นพร้อมกับกระชับขวานด้วยสองมือ
“ทำไมเหรอครับ?” เอกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอ่ยถาม
“มันเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย เด็กยุคนี้คงไม่มีวันเชื่อเรื่องพวกนี้กันหรอก…พวกหนูอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไปแล้วก็ได้ละมั้ง” เขาพูดแล้วจึงก้าวขาไปที่ชั้นไม้ติดผนังบ้าน ระหว่างเดินสวบๆ ไปนั้น เท้าแกข้างหนึ่งก็จมลึกลงไปในดินเหลวๆ จนต้องออกแรงชักขึ้นมาทำให้เกิดเป็นรูปเป็นรอยพื้นรองเท้าบูท
“เฮ้อน่าเบื่อจริงๆ เลยน้าเวลาที่ฝนตกเนี่ย” เขาบ่นอย่างรำคาญใจ “จะตกอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้ จะเดินทีก็ลำบาก ออกไปไหนก็ไม่ได้…เวรแท้ๆ”
คุณอาบ่นพึมพำพลางวางด้ามขวานเก็บไว้บนชั้นไม้
ฉันได้แต่มองแผ่นหลังอันใหญ่โตนั้นด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดถึงเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนชานนท์ก็คงสงสัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกับฉันเช่นกัน เขาจึงโพล่งถามออกมา
“ที่ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนี่คือเรื่องอะไรเหรอครับ?”
ผู้ใหญ่บ้านร่างท้วมยืนหันหลังนิ่งให้พวกเราทั้งสองคน แกเงยศีรษะมองพินิจพิจารณาชั้นไม้ติดผนังซึ่งวางเครื่องมือช่าง เช่น ค้อน ตะปู สิ่ว สว่าน เลื่อยมือ ฯลฯ ไว้อย่างระเกะระกะ เหมือนกับกำลังคิดคำนึงอะไรอยู่
บรรยากาศรอบตัวฉันมีเพียงเสียงขยับไหวของกิ่งไม้ใบไม้ยามต้องสายลมโอนเอนดังค่อยๆ นอกนั้นคือความเงียบไร้ซึ่งสรรพเสียงอื่นใด เราสองคนรอฟังคำตอบของแกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง
ในที่สุดคุณอาก็กล่าวขึ้นมาเพียงสั้นๆ แต่เป็นถ้อยคำที่ทำให้ฉันอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“คำสาป”
“อะไรนะครับ/คะ!” ฉันกับเอกอุทานออกมาพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเราได้ยินไม่ถนัดหู แต่คงเป็นเพราะความประหลาดใจเหลือเชื่อมากกว่าที่ได้ยินคำตอบอะไรเช่นนี้
“ธินกรต้องคำสาป” คุณอาสุบรรณกล่าวก่อนจะละสายตาจากชั้นวางอุปกรณ์แล้วหันมามองเราทั้งสอง “ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็เชื่อกันว่า อาการป่วยด้วยโรคประหลาดนี่ก็เป็นเพราะผลพวงมาจากคำสาป”
น้ำเสียงอันขึงขังและจริงจังของเขา ทำให้ฉันถึงกับขนแขนลุกชันขึ้นมาโดยอัตโนมัติรู้สึกเย็นวาบราวกับมีสายลมหนาวยะเยือกพัดพรูมาอย่างไรไม่รู้
“ฝนทมิฬ และโรคร้าย คือการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งแม้แต่พ่อของหนูเองก็ไม่มีการละเว้น”
เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน ฉันถึงกับนิ่งอึ้งไป
“ผมไม่เคยจะได้เห็นหรือได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้เลยนะครับ พวกคนในหมู่บ้านนี่เขางมงายเรื่องพวกนี้กันด้วยเหรอครับ”
“เอก…ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” ฉันส่งสายตาดุใส่พร้อมเอ็ดเขาเบาๆ
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะร่วน แล้วจึงพูดว่า
“ไม่เป็นไรหรอกหนู อย่าไปว่าเพื่อนของเธอเลย อาบอกแล้วคนอื่นๆ เขาก็คงคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นแหละ ฮ่า ฮ่า”
“เอาเป็นว่าเรื่องที่หนูจะพาพ่อไปหาหมอในเมืองน่ะ ก็ลองปรึกษาสายทิพย์เขาดูละกันนะ ได้ผลยังไงก็มาบอกอาโอเคมั๊ย” คุณอาพูดตัดบทก่อนจะแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย ทำให้เรียวหนวดเข้มเหนือริมฝีปากบางๆ นั้นคลี่ขยับตามไปด้วย
“ค่ะ” ฉันรับคำ ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะการหว่านล้อมหรือเกลี้ยกล่อมให้แม่เลี้ยงเข้าใจและเห็นด้วยกับฉันหลังจากที่เราเพิ่งจะปะทะคารมกันไปคงจะยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก
“ว่าแต่นี่คุณอาอยู่คนเดียวเหรอคะนี่?” ฉันถามเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวบ้านดูเงียบเชียบจนน่าสงสัย
“ใช่แล้วอาอยู่คนเดียว…ว่างๆ พวกหนูก็แวะเวียนมาเยี่ยมได้นะ ความจริงอาน่าจะพาพวกเธอเข้าไปนั่งเล่นกันในบ้านนะ แต่ตอนนี้บ้านอามันรกมากเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันจะฉกเอา อาคงอุ้มพวกเธอสองคนไปหาหมอไม่ไหวหรอกนา ” เขาตอบติดตลก ดวงตาที่ดูใจดีหยียิ้มจนเห็นตีนกาเป็นริ้วๆ
“แล้วรถของคุณอาล่ะครับ?” เอกถามต่อพร้อมกับหันซ้ายแลขวากวาดสายตามองหา แต่ก็ไม่พบ
“เอ้าก็อยู่ตรงที่ๆ อามาส่งพวกเธอกันเมื่อวานนี้ยังไงล่ะ ลืมซะแล้วหนุ่มน้อย” ผู้ใหญ่บ้านว่าพลางเดินไปที่โอ่งแดงสองใบที่ตั้งอยู่พ้นชายคาบ้านออกมานิดหน่อยข้างๆ ประตูไม้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ