สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ขอ…kiss…นิดนึง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แล้วคุณอาไม่กลัวคนขโมยรถเหรอครับ ถึงจอดทิ้งไว้แบบนั้น แถมผมเห็นบ้านแต่ละหลังยังเปิดอ้าซ่าไว้ซะอีก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านผู้อารมณ์ดีก็หลุดหัวเราะออกมาทันที “เธอนี่ช่างสงสัยจริงนะหนุ่มน้อย รั้วน่ะเขามีไว้กันอาณาเขต แต่ไม่ได้มีไว้กันโขมยหรอกนะ” เขากล่าวอย่างเอ็นดูก่อนจะเปิดฝาไม้ทรงกลมวางเกยไว้บนโอ่งอีกใบหนึ่งจากนั้นจึงใช้ขันแสตนเลสตักน้ำใสๆ มาล้างรองเท้าบูท เพื่อเตรียมเข้าบ้าน
“ที่นี่น่ะเขาไม่มีใครกล้าที่จะทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นหรอกเพราะการขโมย ถือเป็นบาปมหันต์ ซึ่ง ท่านอลานฯคงจะตัดสินให้คนทำชั่วถูกลงทันฑ์อย่างสาสมแน่ๆ”
“ท่านอลาน คืออะไรเหรอครับ”
“ท่านคือเทพเจ้าแห่งสายฝน พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรายังไงล่ะ”
คำพูดของคุณอาไม่ได้สร้างความกระจ่างให้แก่พวกเราได้เลยแต่กลับยิ่งทำให้ฉันและชานนท์งุนงงเป็นไก่ตาแตกมากขึ้นไปอีก
“ภายใต้ก้อนเมฆสีดำที่อยู่เหนือขึ้นไปนั่น ท่านอลานฯ เฝ้ามองเราจากทุกหนทุกแห่ง แม้แต่พวกเธอเองก็ถูกจับตาดูอยู่เช่นเดียวกัน” เขาพูดเสริมพร้อมกับทำไม้ทำมือเป็นรูปสองนิ้วชี้ที่ดวงตาของเขาก่อนจะหันข้อมือเปลี่ยนทิศมาชี้ทางพวกเราแทน
เอกเหลือบดวงตาภายใต้แว่นกรอบบางมองมาทางฉัน เราสบตาเป็นเชิงรู้กันว่ามุกนี้ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ก่อนจะกลับไปมองผู้พูดเช่นเดิม
และดูเหมือนคุณอาจะสังเกตสีหน้าเหรอหราของเราทั้งสองคนออก เขาจึงพูดแก้เกี้ยวว่า
“เอาเถอะ….อาก็เพ้อเจ้อไปอย่างนั้นเองอย่าไปสนใจมันเลย” ก่อนจะตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะขื่นๆ อีกรอบที่ฟังยังไงก็ไม่ชวนให้ขำตามไปด้วยสักนิด
“นี่ก็จะเย็นแล้วพวกเธอกลับบ้านไปก่อนที่พวกแมลงเม่าจะออกมาเต้นลีลาศกันอีกรอบดีกว่า เดี๋ยวจะเข้าบ้านกันลำบาก” เขาแนะอย่างห่วงใยพลางถอดรองเท้าบูทออกเอื้อมมือขวาสั้นๆ ป้อมๆ ไปจับลูกบิดประตูไม้บานฟักแบบมีช่องติดกระจก
“ขอบคุณนะคะคุณอา” ฉันกล่าว ก่อนจะนึกคำถามขึ้นมาได้
“เอ…คุณอาคะ แล้วที่คุณอาบอกว่าพ่อของริณต้องคำสาปนี่ จริงเหรอคะ แล้วใครกันที่เป็นคนทำแล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?” ฉันถามระรัวด้วยความอยากรู้เป็นพิเศษ แม้ในใจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ตามที
“หึหึ…”อาสุบรรณซึ่งยืนหันหลังให้กับฉันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะเปิดประตูออก ร่างอันอวบอ้วนสูงใหญ่ของเขาแทบจะบังช่องประตูเสียมิด ฉันจึงมองผ่านเข้าไปไม่ได้และไม่เห็นอะไรนอกจากหุ่นหนาๆ เทอะทะของเขา
“อีกไม่นานหนูก็จะรู้เอง” เขาตอบเป็นปริศนาก่อนก้าวเข้าไปในช่องประตูนั้น แล้วส่งยิ้มแปลกๆ ให้เราสองคน
“ตึง!” บานประตูงับปิดลงพร้อมกับคำถามมากมายในหัวฉันที่ผุดบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และรู้สึกว่ารอยเหยียดยิ้มของคุณอาคราวนี้ดูไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
ฉันเดินออกจากบริเวณบ้านไม้หลังใหญ่ด้วยความรู้สึกกังขา และมีคำถามติดค้างคาอยู่ในใจหลายเรื่อง จากจดหมายลึกลับที่เขียนส่งถึงฉัน ความชิงชังของแม่เลี้ยงที่มีต่อตัวฉันโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อาการป่วยด้วยโรคประหลาดของพ่อ รวมถึงคำพูดแปลกๆ ของอาสุบรรณ และรอยยิ้มที่แสนมีเลศนัยนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกมึนงงราวกับถูกจับหมุน หมุน หมุน ติ้วๆ เป็นลูกข่าง
ขณะที่เราสองคนเหยียบย่างไปตามทางดินที่ค่อนข้างลื่นชัน ซึ่งเป็นส่วนของไหล่ถนนที่ลาดเอียงลงมา สภาพหน้าดินที่ชื้นแฉะเหมือนเพิ่งจะรองรับปริมาณน้ำฝนมาไม่นาน ทำให้รองเท้าผ้าใบของฉันกับเอกสกปรกมอมแมม มีเศษดินคราบโคลนติดเต็มไปหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก เพราะมัวแต่พะวักพะวงถึงปัญหาใหญ่ที่รอคอยฉันอยู่
“ริณเชื่อที่คุณอาบอกรึเปล่า?” เอกถามขณะที่เรากำลังก้าวเท้าป่ายปีนขึ้นเนินดินซึ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้าเล็กๆ แทรกแซมตามพื้นและกอไผ่หวานสูงชะลูดขึ้นอยู่หลายกอ เพื่อกลับไปสู่เส้นทางถนนของหมู่บ้าน
“ก็ไม่เชิงนะ” ฉันตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “ถึงมีจริงๆ เราก็ไม่อยากจะเชื่อ พ่อเราไม่เคยมีเรื่องกับใคร ใครจะมาสาปมาแช่ง”
“เป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน แต่พูดจาเหลวไหลชะมัด สงสัยแกคงอำเราแหง” ชานนท์ซึ่งขึ้นไปถึงสันเนินดินได้ก่อนบ่นพลางยื่นมือมาให้ฉันเกาะ
“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ” ฉันเสริมพร้อมกับคว้าหมับไปที่ท่อนแขนขาว เอกออกแรงดึงตัวให้ฉันรีบก้าวเท้ายาวและส่งตัวเองขึ้นไปได้สำเร็จ
“ฮึบ!..ขอบคุณมากนะ” ฉันกล่าว พลันดวงตาของเราก็ประสานสบกันโดยมิได้ตั้งใจ และเมื่อเห็นดวงตารีเล็กที่มองมาอย่างหยาดเยิ้มนั่นก็ทำให้ฉันสะเทิ้นอายหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
“ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ป่ะ” ชานนท์บอกแววตากะลิ้มกะเหลี่ย
“ขออะไรเหรอ?” ฉันถามซื่อๆ แต่หัวใจกลับเต้นตึกตักด้วยอารมณ์ไหวหวั่น ขณะที่ร่างของเราทั้งสองคนใกล้…จนแทบจะแนบชิดสนิทกัน
“ขอหอมไง” เขาเฉลยพร้อมกับยื่นหน้าจู่โจมเข้ามาทันควัน พยายามใช้จมูกสัมผัสแก้มฉันให้ได้ แต่ด้วยความขวยเขินฉันจึงใช้สองมือดันตัวเขาไว้ไม่ให้ทำรุ่มร่าม แม้จะรู้ดีว่าเป็นการหยอกเอินกันเล่นๆ ก็เถอะ
“ไม่เอานะเอก อย่านะ” ฉันปราม แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาก็ยิ่งรุกหนักขึ้น
“นะ ขอหอมที นะ นะ นะ” เขาออดอ้อนใช้มือขวารวบมือฉันไว้แล้วประชิดใบหน้าเข้ามา ก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างโอบเอวคอดรั้งร่างฉันให้เข้าหาจนเนินเนื้อแนบแผ่นอกใต้เสื้อยืดสีทึบทึมโดยมิอาจหลีกเลี่ยง เสียงลมหายใจของเขาดังแผ่วๆ ขณะที่สายตาของเราประสานกันนิ่ง ซึ่งทำให้ฉันพิศมองวงหน้าเรียวอันคมคายและดูน่ารักอยู่ในทีได้โดยถนัดถนี่
ราวกับวันเวลาได้หยุดเดิน และโลกทั้งใบได้หยุดหมุน ในชั่วขณะที่เราสองได้แนบชิดกัน ดวงตาตี่ๆ ใต้คิ้วเข้มหลังกรอบแว่นบางฉายแววโหยหา ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเผยอออกเล็กน้อยราวกับรอคอยเพียงให้ฉันยื่นริมฝีปากเข้าไปสัมผัส
เพราะอารมณ์หวามไหว อ่อนแอ หรืออย่างไรถึงทำให้ฉันปั่นป่วนใจขึ้นมาเช่นนี้
ช่างเป็นวินาทีสั้นๆ ที่เหตุผลและแรงปรารถนาตีรวนกันไปหมด
เมื่อเห็นว่าฉันมิได้มีท่าทีแข็งขืนใดใด ชานนท์จึงค่อยๆ เคลื่อนริมฝีปากเข้ามา พลางเอียงหน้าหน่อยหนึ่งเพื่อหมายจุมพิต
เขาค้อมหน้าลงและหลับตาพริ้ม
ขณะที่ฉันเองก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์รักโดยดุษฎี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ