เรื่องรักสามฤดู
เขียนโดย LaVieRosy
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.33 น.
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 16.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจารวีได้รับอีเมล์ตั้งแต่เช้าตรู่วันจันทร์จากผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อเชิญให้เข้าประชุมร่วมกับหัวหน้าทีมบายเออร์ฝั่งการผลิตคนใหม่ สืบเนื่องจากการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวไปไม่นาน บริษัทแม่ตัดสินใจจะลงทุนอยู่ที่ประเทศไทยเช่นเดิม แม้ค่าแรงจะแพงขึ้นแต่ความสามารถของคนยังเหนือกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อ่านอีเมล์จบเสียงเคาะประตูก็ดังทันที
“อ่านอีเมล์อยู่ล่ะสิ เห็นเขาว่าเป็นหนุ่มหล่อฮอตมากซื้อตัวมาจาก...”
เบญจา รุ่นพี่สาวตัวเล็กสวมแว่นหนากรอบดำเข้ามายืนถือกาแฟพิงประตู ในทีมกฎหมายมีกันทั้งหมดห้าคน ทุกคนขึ้นตรงกับซีอีโอ ไม่มีใครตำแหน่งใหญ่กว่าใคร การทำงานที่ผ่านมาของจารวีจึงถือว่าราบรื่นมากที่เดียวเพระไม่มีปัญหากับคนในทีมเดียวกัน แต่กับทีมอื่น...อย่าพูดดีกว่า...
“งานท่วมหัวขนาดนี้ เจ้เอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลมาเนี่ย”
จารวีแซวสาวรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันมานานที่สุดและสนิทกันที่สุดในทีม เธอและเบญจาถือเป็นทีมกฎหมายรุ่นใหม่สองคนแรกที่เข้ามารับไม้ต่อจากรุ่นพี่ที่ทำงานจนเกษียณอายุ
“แหมม ของอย่างนี้ ไม่ต้องไปหา เดี๋ยวเดียวนกก็คาบข่าวมาแล้ว”
จารวีหัวเราะกับท่าทีทำเป็นนกคาบข่าวมาของเบญจา สายตาหลังกรอบแว่นอ่อนแสงลงเมื่อเห็นหญิงสาวหัวเราะได้ในรอบสองเดือน เอื้อมมือปิดประตูแล้วเข้ามานั่ง
“พี่ดีใจที่เห็นจาหัวเราะนะ”
หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังจอสกรีนใหญ่ ยิ้มบางเบา เบญจาเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องส่วนตัวของเธอในบริษัท คนอื่นนั้นรู้จักและเรียกเธอว่า นางฟ้าลีกัลหรือเจ้าหญิงลีกัลเพราะความสวยและทำงานเก่ง แต่อีกนัยหนึ่งเธอรู้ว่าบางคนก็เรียกเธอเชิงประชดประชันเพราะเธอไม่สุงสิงกับใครนอกจากเบญจา เป็นวัชรธรที่สอนเธอและให้เพื่อนของเขาที่ทำงานอยู่ที่นี่คอยจับตามองเธอเสมอ
‘จา ทำงานก็คือไปทำงาน ไม่จำเป็นต้องผูกมิตรไปทั่ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอก จายิ่งไม่ค่อยทันคน พี่บอกตรงๆว่าเป็นห่วง’
เขาห่วงเธอเสมอไม่ว่าจะทำอะไร จนเธอเสียความมั่นใจในตนเองไปส่วนหนึ่ง ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าจะเดินออกจากพื้นที่ของตนเอง อยู่กับเขา บางทีจารวีก็คิด เธอต้องทำตัวให้ดูด้อยกว่าเขาเสมอ เพื่อรักษาความสัมพันธ์สิบปีที่ผ่านมาเพื่ออะไร
“ดีขึ้นบ้างไหม”
เบญจาถามรุ่นน้องสาวที่ตาไม่ลึกโหลเหมือนช่วงแรกหลังจากที่เลิกรากับแฟนหนุ่มที่คบหากันมาสิบปี
“ดีขึ้นทุกวัน วันละนิดวันละหน่อยค่ะ”
จารวีตอบตามความจริง หลังจากวันนั้น เธอออกมาตอนเขานอนหลับ เก็บข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าที่แอบเตรียมเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้วตัดการสื่อสารกับเขาทุกช่องทาง เซ็กซ์คืนนั้นไม่ได้ช่วย สำหรับจารวีมันคือการตอกย้ำความจริงด้วยซ้ำว่าวัชรธรก็ยังคงเป็นวัชรธร ผู้ควบคุมและบงการทุกอย่างให้ได้ดั่งใจ
ไม่ผิดคาดที่เธอจะเจอเขามาดักรอหน้าที่ทำงาน เธอย้ายคอนโดใหม่มาอยู่ใกล้บริษัทกว่าเดิม เป็นคอนโดโลว์ไรซ์แบบเรียบง่ายและมีความเป็นส่วนตัวสูงที่เธอติดใจตั้งแต่แรกเห็นแต่ก็เป็นวัชรธรที่ค้านเธอเอาไว้
‘จา พี่ว่ามันธรรมดาไปนะ ถ้าจะซื้อในราคานี้เอาโครงการเมื่อกี้ดีกว่าให้สมกับเงินที่จ่ายหน่อย’
เขามีเหตุผลที่ถูกต้อง ถ้าเทียบกันตามราคา คอนโดใหม่นี้ดูธรรมดากว่า เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ต่างกันกับที่ที่เขาเลือกให้ แต่จารวีรู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านมากกว่า บ้านหลังเล็กๆที่เธอฝันจะมี ปลูกผักสวนครัว ปลูกต้นไม้และดอกไม้ที่เธอชอบมาก
‘อีกหน่อยเราแต่งงานกัน จาอยากได้อะไรก็บอกคนสวนให้เขาหามาทำให้ อยากไปเดินดูเมื่อไหร่ก็ได้ ให้เขาดูแลรักษาให้มีดอกตลอดเวลา เราปลูกเอง บานบ้างไม่บานบ้าง เสียเวลา’
เขาช่างเป็นคนที่ไร้ซึ่งสุนทรียะในการใช้ชีวิตเหลือเกิน ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงินแม้กระทั่งดอกไม้ก็จะบังคับให้บาน เขาช่างไม่รู้เลยว่าการได้ลงมือปลูกต้นไม้ใบหญ้า ค่อยๆรดน้ำพรวนดิน คอยดูแลรักษาและเห็นพวกมันค่อยๆเติบโต เป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง
วันนั้นที่เขามารอที่บริษัท เธอยื่นคำขาดว่าเธอจะขับรถไปเจอกับเขาที่ร้านของพศิกาเท่านั้นหรือไม่อย่างนั้น ก็ไม่ต้องคุยกันอีก วัชรธรรู้ดีว่าบทเธอจะเด็ดขาดขึ้นมาเธอก็ทำจริงๆ เขาจึงจำใจไปเจอเธอที่นั่น จารวียื่นคำขาดว่าหากเขายังตามเธอหรือส่งคนมาตาม เธอจะให้เพื่อนผู้เป็นทนายช่วยจัดการ โดยเฉพาะการตามไปเรียนต่อถึงอังกฤษนั้น เธอจะถือว่าเป็นการคุกคามตามกฎหมาย
‘จา ทำไมต้องทำแบบนี้กับพี่’
‘ขอโทษนะคะ พี่ธรและขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา จาผิดเอง แต่จาไม่ได้รักพี่ธรแบบเดิมอีกแล้วค่ะ จาอยากให้เราจบกันด้วยดีนะคะ’
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอเขา...ใครบอกกันว่าคนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกจะไม่เสียใจ...เธอเสียใจที่ต้องทำกับเขาแบบนี้แต่ไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง
พศิกากดนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงตั้งแต่ยังไม่ตีสอง วันงานใหญ่วันสำคัญอีกวันมาถึง เธอต้องเผื่อเวลาออกเดินทางไปที่โรงแรมด้วย หลังจากปรึกษานัทชาและพนักงานในร้าน พศิกาจะเดินทางไปด้วยตนเองกับนัทชาและพนักงานอีกสองคนเพราะสอบถามมาว่าทางโรงแรมมีพนักงานเสิร์ฟคอยช่วย เธอจึงตัดสินใจว่าเมนูของคาวนั้นจะไปทำร้อนๆที่โรงแรมเสิร์ฟคู่กับขนมไทยที่จะช่วยกันกับนัททำเช้านี้
เมนูคาวทั้งสามทั้งช่อม่วง สาคูไส้หมูและเปาะเปี๊ยะคั่วกลิ้งไก่ ทำและฟรีซเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน นำไปตั้งนึ่งและทอดก็ลงเสิร์ฟได้ ส่วนขนมไทยทั้งหลายนัทชาเตรียมส่วนผสมเข้าตู้เย็นเอาไว้บางส่วนและจะมาช่วยกันเช้านี้โดยมีมารดาของเธอปิดร้านมาช่วยกับน้องในทีมอีกคน
ตอนที่แม่ของนัทชาป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ เมื่อพศิการู้ก็รีบจัดการให้ไปทำการรักษาขั้นต้นที่โรงพยาบาลเอกชนก่อนโดยเธอออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดและติดต่อขอให้พี่ชายที่เป็นอาจารย์หมอช่วยติดต่อหมอมะเร็งและหมอรังสีรักษาที่รู้จักเพื่อรับเคสให้
นางทิวาจึงได้เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วด้วยการรับยาเคมีบำบัดหรือคีโมฯและยิงรังสีรักษาฟรีในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง ตลอดสองปีที่นางทิวารักษาตัว พศิกาให้นัทชาลางานไปโรงพยาบาลกับมารดาได้ตลอดเวลาและให้เงินพิเศษทุกเดือนเป็นค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆและยังไม่เยี่ยมหาทุกๆเดือนอย่างสม่ำเสมอ พศิกาถือว่าพนักงานทุกคนในร้านเป็นครอบครัวของเธอ หากไม่มีพวกเขาเธอก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน นัทชาซาบซึ้งในหัวใจของพศิกามาจนวันนี้
เมื่อไปถึงนัทชากับมารดา กระจิบและใบเตย สมาชิกในทีมขนมไทยก็ทำขนมชั้นเรียบร้อยพักเตรียมเอาไว้พิมพ์รูปดอกซากุระและม้วนเป็นกุหลาบ พศิกาซื้อของกินง่ายๆมาฝากทุกคน เข้าไปไหว้ทักทายนางทิวาและสอบถามถึงอาการต่างๆ นางทิวาหายขาดมาเกือบสองปีแล้วหากพ้นปีนี้ไป ก็จะถือว่าเบาใจได้ โอกาสกลับมาเป็นซ้ำมีเพียงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
พศิกาผูกผ้ากันเปื้อน รีบเอาถาดขนมชั้นสีชมพูและสีเขียวที่เทชั้นสลับสีเข้มสีอ่อนต่อมา เพื่อรับหน้าที่พิมพ์ลายและม้วนเป็นดอกกุหลาบ นางทิวากับนัทชากำลังลำเลียงเสน่ห์จันทร์ลำเลียงลงลังถึงที่เสร็จตามมาเพื่ออบควันเทียนทิ้งไว้ขณะที่ตั้งกระทะเตรียมเคี่ยวส่วนผสมของทองเอกและมงกุฎเพชรซึ่งจะทำเป็นสีทอง สีชมพู สีเขียวอ่อน สีขาว กระจิบเตรียมตัดแผ่นทองคำเปลวเล็กๆไว้แปะบนทองเอกและมงกุฎเพชร ส่วนใบเตยเตรียมเม็ดแตงโมที่คั่วกับน้ำเชื่อมเอาไว้ก่อนแล้วมาเรียงเตรียมติดกับมงกุฎเพชร
ทั้งห้าต่างทำงานกันอย่างแข็งขัน ไม่นานทองเอกเสร็จพร้อมให้แปะทองด้านบนพร้อมกับที่พศิกาพิมพ์ขนมชั้นสีชมพูเรียบร้อย ทั้งเหลือจึงไปช่วยกันปั้นมงกุฎเพชรทั้งสี่สีอย่างบรรจง เกือบฟ้าสางทุกอย่างก็เรียบร้อย พร้อมช่วยกันจัดเรียงขนมลงกล่องลงกล่องสี่ช่องที่รองด้วยใบตอง ปิดฝาพลาสติกใสอย่างสวยงาม
หกโมงเช้าทุกคนก็พร้อมเดินทางในชุดเครื่องแบบออกงานของร้านที่พศิกาสั่งตัดเป็นพิเศษให้พนักงานทุกคน เป็นเสื้อเชิ้ตขาวคอจีนเรียบร้อยคู่กับกระโปรงยาวครึ่งแข้งทรงเอสีครีม สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนยาวคลุมกระโปรงที่ปกติจะเปลี่ยนไปตามสีธีมของงาน แต่งานรอบนี้ไม่มี เธอจึงเลือกสีเขียวอ่อนให้ทุกคน มีสายคล้องคอและโบว์ผูกตรงเอวสีขาวครีม
ออกเดินทางกันด้วยรถของพศิกาออกไปจากรุงเทพฯไปตามถนนบรมราชชนนี ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงพอดีก็ไปถึงสถานที่จัดงาน พศิกาขยับรถเอสยูวีคันใหญ่ของเธอเข้าจอดใกล้จุดที่สามารถลำเลียงของลงได้โดยไม่รบกวนแขกในงาน เมื่อลงมาจากรถก็เห็นชานนท์เดินตรงเข้ามาหา
วันนี้เขา...ดูดี...มากๆ...เลยทีเดียว ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งผิวสีแทนไหล่กว้างกำยำอยู่ในชุดสูทสีครีมทับเสื้อเชิ้ตขาวที่ปลดกระดุมลงมาสองเม็ด ดังเช่นกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวคนอื่น ใบหน้าคมเข้มเปิดยิ้มกว้างไปถึงดวงตาเช่นเคย
“สวัสดีครับ คุณหลิว มากันแต่เช้าเลยครับ”
“คุณนนท์มาเช้ากว่าพวกเราอีกค่ะ นี่คุณแม่ทิวาเจ้าของสูตรขนมไทยตัวจริงกับนัทชาทายาทตัวจริงค่ะ ส่วนนี่กระจิบกับใบเตย”
พศิกาแนะนำทุกคน ชานนท์รีบยกมือไหว้นางทิวาและรับไหว้ทุกคน
“คุณน้ามาเองเลย ขอบคุณมากนะครับ”
เขาเข้ามาใกล้หญิงสูงวัยที่สุดในนั้น ค้อมตัวลงยกมือไหว้
“ด้วยความยินดีค่ะ หวังว่าจะทำให้แขกทุกท่านมีความสุขนะคะ”
ชานนท์ยิ้มกว้าง มองดูหญิงสาวห้าคนที่อยู่ในชุดเครื่องแบบน่ารักเรียบร้อยเหมือนกัน ผูกผมด้วยผ้าคาดลายดอกไม้เล็กๆเป็นสามเหลี่ยมคลุมศีรษะ โดยเฉพาะเจ้าของร้านสาวที่มีใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา วันนี้แต่งหน้าเบาบาง ริมฝีปากบางสีชมพูอมส้ม ยิ่งทำให้เธอโดดเด่น
“โต๊ะของพวกเราอยู่ทางไหนคะ เราจะได้เตรียมของกันค่ะ”
พศิกาเอ่ยถามคนที่กำลังพิศมองเธอเพลินตา เขากระพริบตา
“อ่อ ทางนั้นครับเดี๋ยวผมไปตามพนักงานของโรงแรมมาช่วยครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวหันไปเปิดท้ายรถ พนักงงานชายหลายคนเข้ามาช่วยลำเลียงกล่องมีหูยกได้หลายใบซ้อนกันบรรจุกล่องขนมเอาไว้อย่างเรียบร้อยกับรังถึงใหญ่สามใบ กระทะทองเหลือง ถุงเครื่องดื่มที่ชงมาเรียบร้อย ทีมทั้งสี่ของเธอเดินตามพนักงงานชายไปอย่างรู้หน้าที่
พศิกาจึงหยิบถาดสุดท้ายที่มาลัยดอกรักร้อยอย่างสวยงามด้วยอุบะหลาบแดงหกพวงสำหรับวางบนฝาที่กดเครื่องดื่มและถวายเจ้าที่ออกมาและกดล็อครถ เป็นธรรมเนียมของเธอที่เวลาที่ทำงานนอกสถานที่ที่ใดจะร้อยมาลัยไปถวายเจ้าที่ด้วยตนเองเสมอ
“สวยจังครับ”
หญิงสาวหันมาตามเสียงทุ้ม ได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตของผู้ชาย
“เอามาวางที่ฝาที่กดน้ำทั้งหลายแล้วก็ไหว้เจ้าที่ค่ะ”
แม้สายตาเขาจะดูบอกว่ามีอะไรสวยกว่าพวงมาลัยแต่เธอก็เลือกตอบไปแบบนั้น
“ไหว้เจ้าที่เหรอครับ”
“ฟังดูเหมือนคนแก่ใช่ไหมคะ แต่หลิวทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาออกมาทำงานข้างนอกค่ะ”
เธอยิ้มพูดกับเขา ขณะก้าวเดินออกไปข้างกัน
“ไม่ ไม่ครับ ไม่เลย คุณหลิวน่าจะอ่อนกว่าผมด้วยซ้ำ”
“ปีนี้หลิวสามสิบห้าจะสามสิบหกแล้วค่ะ”
ชานนท์อ้าปากค้างไป จนพศิกาหัวเราะ
“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะสามสิบแล้วด้วยซ้ำ”
“แหม พูดแบบนี้ผู้หญิงดีใจกันทุกคนนะคะ คุณล่ะคะ หลิวเดา ประมาณสามสิบใช่ไหมคะ”
เป็นอีกครั้งที่เขายิ้มค้าง
“ครับ คุณหลิวรู้ไงครับเนี่ย”
เธอยิ้มกระจ่างใส่ตาเขา จนชานนท์รู้สึกว่าตาพร่าไปชั่วขณะ
“ประสบการณ์ของสาวไม่น้อยค่ะ”
ชานนท์หัวเราะไปกับเธอ หลังจากนั้นจึงตามเธอไปไหว้เจ้าที่ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง แอบเหล่มองใบหน้านวลที่หลับตาพนมมืออธิษฐานอยู่ข้างๆ ก่อนเธอจะขอตัวไปเริ่มทำงาน โดยเขาห้ามตัวเองไม่ได้ให้หันไปมองเป็นระยะ หลายครั้งที่สายตาทั้งคู่สบกันแล้วเธอก็ยิ้มและก้มหน้าทำงานต่อ
“สวัสดีครับ กลทีป์ครับ เรียกผมทีก็ได้ครับ ปีนี้อายุสามสิบแปดครับ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับทุกคนครับ”
สิ้นเสียงแนะนำตัวเสียงปรบมือในห้องสโสปขนาดเล็กก็ดึกกึกก้องผสมกับเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆของอาจารย์หนุ่มสองสามคนด้านหลังสุด ดารินพยายามกลั้นหัวเราะกับท่าทางเขินอายของเขา
“ยินดีต้อนรับอีกครั้งครับ อาจารย์กลทีป์ อาจารย์กลทีป์จะเข้ามาช่วยแบ่งสอนส่วนรายวิชากฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมดที่ตอนนี้มีอาจารย์ดารินรับอยู่คนเดียว ก็ตกลงกันเองได้เลยครับว่าจะแบ่งกันยังไง ผมไม่มีปัญหาตรงนี้”
“อุ๊ย แบบนี้พี่รินก็ว่างพอจะมาช่วยสอนวิชาเลือกที่เด็กๆคณะอื่นมาลงเรียนซัมเมอร์นี้แล้วสิคะ เพชรดีใจจัง ได้คนเก่งๆแบบพี่รินมาช่วย ต้องมีเด็กๆมาลงเรียนกันเยอะแน่ๆค่ะ”
“นั่นสิคะที่ผ่านมามีเพชรกับแอลแบกกันอยู่สองคน สอนกันจนไม่ได้เขียนงานวิจัยเลยสักที”
เพชรหรือเพตรากับแอล ลภัสสร เป็นอาจารย์น้องใหม่ที่อาวุโสน้อยที่สุดทางผู้ใหญ่ในคณะจึงมอบให้เป็นผู้สอนวิชากฎหมายเบื้องต้นที่นักศึกษาจากคณะอื่นมาเลือกเรียนเป็นวิชาเลือกเสรีได้เพื่อเก็บหน่วยกิตให้ครบตามกำหนดของมหาวิทยาลัย
ดารินนิ่งเสีย รู้หรอกว่าสองสาวรุ่นน้องนั้นแอบกระแนะกระแหนเธออยู่ เพราะเธอเป็นอาจารย์เพียงคนเดียวของคณะก่อนหน้านี้ที่เรียนจบสาขากฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตรงทั้งสามปริญญาและเพิ่งจบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์มาอีกใบ ด้วยหญิงสาวอยากเรียนเพื่อนำมาต่อยอดสอนนักศึกษาให้เข้าใจมากขึ้น เพราะความขยันและมุ่งมั่นนี้ ทำให้ดารินได้รับคะแนนประเมินจากนักศึกษาให้เป็นหนึ่งในห้าอาจารย์ที่สอนดีที่สุดและอยากเรียนด้วยที่สุดในคณะ
และด้วยลำดับของมหาวิทยาลัยที่จบมา ทำให้ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายตามงานประชุมต่างๆที่ต่างประเทศบ่อยกว่าสองสาวรุ่นน้องที่เข้ามาทำงานไล่เลี่ยกันแต่มักไม่ได้รับเชิญไปประชุมที่ไหน เพราะใครๆต่างรู้ว่าเพตรานั้นเป็น ‘คน’ ของอธิการบดีที่ฝากเข้ามา ส่วนลภัสสรนั้นเป็นลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังที่พ่อแม่ส่งไปเรียนและโดนเคี่ยวเข็ญให้จบปริญญาเอกให้ได้ เธอจึงเข้ามาทำงาน ‘ไปงั้นๆ’ เพื่อฆ่าเวลารอขึ้นตำแหน่งผู้บริหารของธุรกิจครอบครัว
คะแนนประเมินการสอนจากนักศึกษาสองปีที่ผ่านมาของทั้งสองจึงไม่ผ่านเกณฑ์และเป็นที่พูดกันในหมู่นักศึกษาว่า ‘ดีแต่แต่งตัวสวย แต่สอนไม่รู้เรื่อง’ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วทั้งสองจึงมองว่าเป็นเพราะไม่เคยได้รับโอกาสได้เขียนงานวิจัยหรือเดินทางไปสัมมนาแบบดาริน ทำให้ไม่มีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจทันสมัยแบบที่ดารินสอน
“ก็ดีนะ เด็กที่มาเรียนเขาจะได้ไม่กลับไปพูดกันให้ขายขี้หน้าคณะเราว่ามีแต่อาจารย์สวยแต่สอนไม่รู้เรื่องอ่ะ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งบางเดินเข้ามาแล้วพูดเสียงดังก่อนจะหันไปยกมือไหว้คณบดีและกลทีป์
“สวัสดีครับพี่ที ไม่เจอกันนาน ยินดีต้อนรับนะครับ ขอโทษที่สายครับ ผมเพิ่งเลิกคลาส”
เขาปรายตามาทางเพตราและลภัสสรแล้วนั่งลงด้านหน้าไขว้ห่างอย่างไม่สนใจ นรวุฒิ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของดารินที่เข้ามาเป็นอาจารย์ใหม่พร้อมกันในปีนั้น ดารินเสนอตัวช่วยแบ่งเบาการสอนให้เขาในช่วงแรกที่อะไรๆยังไม่ลงตัวและการไปปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่ด้วยกันทำให้เขาและเธอพบว่าต่างมีนิสัยคล้ายกันและเข้ากันได้ดีเหมือนพี่สาวและน้องสาว
นรวุฒิสอบได้เป็นผู้พิพากษาตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีในครั้งแรกและทำงานจนได้ทุนเรียนต่อปริญญาเอกที่เดียวกับกลทีป์เพราะมีความตั้งใจอยากถ่ายทอดความรู้แก่นักศึกษาและคนทั่วไป ปัจจุบันนรวุฒิได้รับเชิญจากรายการทีวีหลายช่องเพื่อไปให้ความเห็นในคดีดังต่างๆ ด้วยดีกรีที่ไม่ธรรมดาและการพูดถ่ายทอดอธิบายที่เข้าใจง่าย สร้างความไม่พอใจให้เพตราและลภัสสรที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างยิ่ง
“มีสอนซ่อมเหรอ นัดคลาสอะไรกันแต่เช้ากัน”
เพตราเอ่ยขึ้นมาโต้ตอบบ้าง
“เปล่า เด็กได้ทุน...ก็เลยติวให้ว่าไปสอบสัมภาษณ์ยังไงบ้าง”
“ได้ทุน หมายถึงลลิตาน่ะเหรออาจารย์วุฒิ”
“ครับ ทุน...ถึงโพสต์ด็อกเลยครับ”
ท่านคณบดีและอาจารย์รุ่นพี่หลายคนดีใจไปด้วย เพราะลลิตาเป็นเด็กที่ฐานะยากจนแต่เรียนดี เป็นเด็กดีมีน้ำใจและขยันหมั่นเพียรมาก ได้รางวัลในการแข่งขันระดับประเทศมาหลายรางวัล ทำให้คณะมีชื่อเสียงและได้รับความชื่นชมจากทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยมาก
“ดีมาก ดีมาก ขอบคุณอาจารย์วุฒิมากนะ เอาล่ะ ผมคงต้องแจ้งเรื่องนี้กับทางท่านอธิการบดีหน่อย งั้นวันนี้ก็ขอจบการประชุมเท่านี้นะครับ ยังก็ขอต้อนรับอาจารย์กลทีป์อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ทางเรายินดีมากๆจริงๆที่ได้บุคลากรที่มีความสามารถสูงอย่างนี้มาร่วมงานกับเรา ขอบคุณทุกคนนะครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งก่อนคณบดีจะเดินออกไปพร้อมเลขาฯส่วนตัวและอาจารย์ในคณะคนอื่นๆที่ทยอยแยกย้ายกันออกไป นรวุฒิหันมาสบตาดารินบุ้ยใบ้ทำท่าชวนกินข้าวซึ่งเธอก็พยักหน้าตกลง ดารินเดินลงมาที่กลทีป์ที่มองเธออยู่แล้ว
“เดี๋ยวเรามาคุยกันนะคะ ว่าจะแบ่งวิชากันยังไงบ้าง”
“พี่ทีกินข้าวรึยัง ไปกับพวกเราไหม โรงอาหารอยู่แค่นี้เอง”
“โถ จะเลี้ยงต้อนรับทั้งทีก็พาคุณทีไปที่ที่มันเย็นสบายหน่อยก็ไม่ได้ อย่างว่านะ นักเรียนทุนก็ติดนิสัยเขียมกันจนไส้ขดตั้งแต่เรียนยังไงก็ยังงั้น”
ลภัสสรหันไปพูดกับเพตราที่นั่งเล่นมือถือข้างๆ
“ก็คนเขามาทำงาน ไม่ได้มานั่งฆ่าเวลากินเงินภาษี วันๆกินข้าวกันสองสามชั่วโมงก็ไม่แปลกใจนะที่เด็กจะพูดกันว่าสอนไม่ได้เรื่อง เรื่องที่ควรรู้ให้ดีทำให้ดีดันไม่ทำ”
นรวุฒิลุกยืนกอดอกมองตรงไปแล้วพูดอย่างไม่กลัว เกลียดนัก เป็นเด็กเส้นเข้ามาแล้วยังมีหน้ากล้ามาเหยียดคนอื่น ขยี้ปมเด็กทุนของเขากับดารินมาตลอดทั้งที่ไม่เคยไปทำอะไรให้
“อาจารย์วุฒิ มากไปแล้วนะคะ”
“แล้วพวกเธอน้อยงั้นเหรอ”
“พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่านะ เดี๋ยววันนี้พี่ต้องประชุมกับพี่ทีอีกยาวเลย ส่วนเพชรกับแอล ระวังคำพูดบ้างก็ดีนะ ถึงจะมีผู้ใหญ่ดูแลอยู่แต่ก็ไม่ได้มีสิทธิ์พูดกระทบใคร ถ้าพวกเธอรวยกันแล้วก็อย่ามาทำงานเป็นอาจารย์เลย ความซวยมันไปลงที่เด็กที่ไม่รู้อะไรด้วย เธอสองคนก็ไม่ได้เรียนจบมาขี้เหร่อะไร ต่างคนต่างตั้งใจทำงานกันดีกว่า เรามาเป็นอาจารย์ได้เพราะมีเด็กๆอยากเรียน อย่าลืมล่ะ”
ดารินกล่าวเรียบๆแล้วหมุนตัวออกไป นรวุฒิยกยิ้มมุมปากเลิกคิ้วแล้วพากลทีป์เดินออกไป ทิ้งให้สองสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกัน
“อีป้าหิมะมันเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอ่ะ ทุกทีเห็นเฉยเหมือนหูหนวก”
ลภัสสรตาวาววับเจ็บใจ ขณะที่เพตรานิ่งไปอย่างครุ่นคิดก่อนบอกว่า
“ช่างเหอะ ปล่อยมันไป ไปทำเล็บแก้เซ็งกันป่ะ”
อีกฝ่ายตอบรับอย่างเต็มอกเต็มใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ