ใต้รัตติกาล
-
เขียนโดย LaVieRosy
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.32 น.
11 ตอน
1 วิจารณ์
4,948 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 15.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกลุ่มควันหนาลอยออกจากยอดเมรุ สีของมันตัดกับสีฟ้าสดใสของท้องฟ้ายามบ่ายแก่ที่มีเมฆเบาบางวันนี้ แขกชุดสุดท้ายในชุดสีดำสนิทค่อยๆ เดินลงมาตามบันไดที่ประดับผ้าสีขาวดำไว้อย่างเรียบง่าย หญิงสูงวัยสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เดินแยกมาฝั่งซ้ายที่วางโต๊ะไม้คลุมด้วยผ้าปักสีขาว ตั้งพานบรรจุของที่ระลึกงานฌาปนกิจเอาไว้สำหรับแขก
นลินสั่งทำสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพาได้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่หนาไม่บางที่กำลังเป็นที่นิยม โดยพิมพ์ภาพวาดลายดอกฟอร์เก็ตมีน็อตสีม่วงสวยงาม ดอกไม้ที่นางจงกล ผู้เป็นย่าผู้ล่วงลับชื่นชอบมากที่สุด
‘อะไรก็ได้ ตามที่บัวว่าดี แต่ขอว่าอย่าใส่ชื่อ ใส่วันที่ อย่าเขียนว่าของที่ระลึกงานศพ คนเขาไม่ได้ใช้จริง ย่าแก่ปูนนี้ ไปมาไม่รู้กี่งานๆ ไม่ได้เอามาใช้เลย จะทิ้งก็ทำไม่ลง จะเก็บก็ไม่รู้จะวางตรงไหนแล้ว ที่พอจะใช้ได้ก็มีพิมพ์ชื่อ พิมพ์ว่าเป็นของงานศพ เห็นแล้วมันหดหู่พาลไม่อยากใช้ เราทำอะไรที่สดชื่นน่ารักสีสวยๆ ให้คนเอาไปใช้ได้ดีกว่า คนเรา จำกันได้ด้วยหัวใจ ไม่ใช่สิ่งของหรอก’
นางจงกลสั่งเสียไว้เช่นนั้นหลายปีก่อนจากไปด้วยโรคชราในวัย 90 ปีบริบูรณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โทรศัพท์หัวเตียงดังปลุกหญิงสาวตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ดี นลินขับรถเร็วกว่าปกติขึ้นทางด่วนมาอีกฟากฝั่งของเมืองหลวง เมื่อมาถึงบ้านไม้เรือนไทยใต้ถุนเตี้ยที่ตั้งอยู่เกือบสุดซอยในชุมชนเก่าแก่ ผู้เป็นย่าก็หัวใจหยุดเต้น นอนหลับตานิ่งสนิทมุมปากเหมือนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยบนเตียงไม้เก่าแก่ตัวเดิม ข้างหมอนยังคงมีหนังสือสวดมนต์วางไว้ที่เดิมดังเช่นทุกวันที่ผ่านมาหลายสิบปี
“ต๊าย หนูบัว อ้วนขึ้นรึเปล่า ดูสิ ตัวใหญ่จนเกือบจำไม่ได้”
“นั่นสิ อย่างว่าแหละนะ ทำงานจากบ้านกันช่วงนี้ กินเพลินเลยใช่ไหม ยังสาวอยู่ อย่าปล่อยตัวให้มากนะ ดูหนูบีมสิ ยังสวยพริ้งอยู่เลย นี่ดูจะแก่กว่าพี่สาวแล้วนะ”
หญิงสูงวัยสองคนพูดแล้วหัวเราะให้กันก่อนจะเลือกหยิบของชำร่วยในพาน นลินรู้สึกได้ว่าคนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังที่เป็นผู้ช่วยคอยวางเรียงของที่ระลึกใส่พาน ขยับเข้ามาใกล้แล้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง หญิงสาวจึงจับแขนเอาไว้แล้วบีบเบาๆ หญิงสาวทำเพียงยิ้ม กล่าวขอบคุณ แล้วพนมมือไหว้ลาด้วยกิริยาอ่อนน้อม เมื่อแขกสองคนเดินลับตาไป คนที่อยู่ด้านหลังก็กล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด
“โอ๊ย แก่กะโหลกกะลาจริงๆ ยัยป้าพวกนี้ ตอนเด็กๆ แม่เอากบตบปากมารึไง พูดอะไรไม่รู้จักคิด ตัวเองก็หัวหงอกหน้าย่นไปหมด เป็นแค่เพื่อนบ้านไม่ใช่ญาติพี่น้องที่ไหน ไร้มารยาทที่สุดเลย พี่บัวโอเคไหม”
“พี่ชินแล้ว คนรุ่นเก่าบางคนก็เป็นแบบนี้แหละ เขาทักทายกันมาแบบนี้เป็นปกติ”
“เมื่อกี้ถ้าพี่บัวไม่ห้าม เพลินจะตอกกลับยัยป้าสองคนให้หน้าม้านไปเลย เรื่องเยอะแยะมีให้พูด ไม่พูด แก่แค่ไหนก็ควรจะต้องรู้เท่าทันโลกบ้าง ไม่ใช่แก่เพราะอยู่นานไปวันๆ”
เพลินตา ลูกพี่ลูกน้องฝั่งทางพ่อยังพูดด้วยความโกรธเคืองไม่หาย วาจาเผ็ดร้อนนั้นตรงข้ามกับใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักและกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน ทั้งสองสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ปู่ของนลินเป็นพี่ชายปู่ของเพลินตา ทั้งสองเป็นลูกชายสองคนสุดท้ายหัวปีท้ายปีของคุณทวดของพวกเธอและอายุห่างจากพี่ๆ ทั้งหกคนหลายปี จึงสนิทสนมใกล้ชิดกันกว่าพี่น้องคนไหน ปู่ของนลินจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อยี่สิบปีที่แล้วตามพี่ๆ หกคนก่อนหน้า ตอนนี้จึงเหลือเพียงปู่ของเพลินตาที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในบรรดาญาติฝั่งพ่อ
“แขกกลับกันหมดแล้ว เราเก็บของตรงนี้แล้วไปหาน้ำกินในศาลากันดีกว่า ดูสิ เพลินเหงื่อเต็มไปหมดเลย พี่บอกให้คอยเสิร์ฟน้ำในศาลาเย็นๆ ก็ไม่ยอม ยืนตากแดดนานเลย เห็นไหม”
“สบายมากค่ะ ไม่เป็นไรเลย เพลินเป็น ทอ ทหารอดทนนะ อย่าลืมสิคะ”
เพลินตายิ้มหวานกับญาติผู้พี่ หญิงสาวเพิ่งเรียนจบและเข้าทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลสังกัดกองทัพอากาศ ผ่านการฝึกและได้บรรจุรับยศเป็นเรืออากาศตรีหญิงมาหมาดๆ
ทั้งสองช่วยกันเก็บของที่ระลึกที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่งบรรจุลงกล่อง ตลอดห้าวันที่ผ่านมา มีแขกเหรื่อมาฟังสวดนางจงกลแน่นศาลาทุกคืนและในวันนี้ที่เป็นวันเผา ก็เป็นไปตามที่หญิงสาวคาดการณ์ว่าจะมีแขกมางานกันร่วมสามร้อยคน เนื่องจากผู้เป็นย่านั้นเป็นคนสดใสร่าเริง ชอบพูดคุยพบปะผู้คนและมีน้ำใจไมตรีเผื่อแผ่ผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่สามีเสียชีวิตไป นางจงกลมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากจากการไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมทุกวันพระ
หญิงสาวในชุดเดรสยาวคลุมเข่าแบบเรียบแขนยาวติดกระดุมที่ข้อมือ พับแขนเสื้อขึ้นมารูดอยู่ที่ข้อศอก เผยผิวขาวนวลเนียนตัดกับสีดำสนิท เธอนั่งพักดูดน้ำเย็นจากขวดน้ำขนาดพอดีมือที่แช่ถังน้ำแข็งเอาไว้แน่น บริษัทเครื่องดื่มที่ฉัตรสุดา พี่สาวของเธอทำงานอยู่มาเนิ่นนานจนขึ้นเป็นรองหัวหน้าฝ่ายการผลิต ส่งน้ำขวดมาช่วยงานเต็มคันรถกระบะตั้งแต่วันแรกและยังรับเป็นเจ้าภาพงานสวดอีกคืนหนึ่งด้วย
นลินนั่งเคียงคู่กับเพลินตามองไปที่กลุ่มควันที่ลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับการจากไปของผู้เป็นย่า เธอยังไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่วันแรกจน ณ ตอนนี้
แตกต่างจากตอนที่ปู่ของเธอจากไป นลินจำได้ว่าตัวเองร้องไห้ทุกวันจนกระทั่งถึงตอนที่เผาศพเสร็จ อาจจะเป็นด้วยวัยที่มากขึ้นของเธอหรืออาจเป็นเพราะความสูญเสียที่เผชิญมาติดต่อกันในช่วงปีที่ผ่านมาหรือคงเป็นเพราะหัวใจเธอเจ็บปวดจนชาชินเสียแล้วก็เป็นได้
“บัว มาทางนี้หน่อยเร็ว”
เสียงพี่สาวเรียกพร้อมโบกมือมาจากอีกฟากของเมรุ บิดาและมารดารวมถึงบรรดาอาๆ ยืนกระจัดกระจายพูดคุยกับแขกของตนเอง นลินก้าวเท้าเร็วๆ ผ่านกลุ่มคนตรงไปยังพี่สาวรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่สวยคมคายกับดวงตากลมโตโดดเด่นมาแต่ไกล ฉัตรสุดาเป็นหญิงสาวที่งดงามหมดจดสมชื่อทั้งรูปร่างและหน้าตา แตกต่างจากเธอที่เหมือนพี่สาวตรงที่มีใบหน้ารูปไข่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
“นี่ บัว จำได้ไหม ใคร พี่ณุไง ที่เคยวิ่งเล่นกับเราสมัยเด็กๆ ในสวนตอนอยู่บ้านแม่น้ำ”
นลินเงยหน้ามองใบหน้าคร้ามคมที่ส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างคลับคล้ายคลับคลา พอสบดวงตาคมที่เหมือนยิ้มได้ของเขา เธอก็จำได้ทันที
“อ้อ สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวรีบยกมือไหว้ชายหนุ่มตัวสูงในเชิ้ตกับกางเกงสแล็คสีดำสนิททั้งตัว
“ท่าทางพี่จะแก่ไปมาก น้องบัวจำไม่ได้เลย”
เขาพูดกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นอ่อนโยนเหมือนเคย
“ไม่หรอกค่ะ คนมางานกันเยอะ บัวมัววุ่นวายเตรียมจัดนู่นนี่ ไม่ทันคุยกับใครเลย”
เธอรีบพูด ไม่อยากให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจ
“นั่นสิ พี่เห็นเดินไปนู่นมานี่ไม่หยุดเลย คุณย่าท่านน่ารัก คนรักท่านมากันเต็มเลยนะ พ่อกับแม่พี่ติดงานเผาเพื่อนสนิท เลยส่งพี่มาแทน เรายังคิดถึงคุณย่ากันตลอด”
“ฝากกราบขอบคุณ คุณลุงคุณป้าด้วยนะคะ ท่านสบายดีใช่ไหมคะ”
“ดีครับ ตอนนี้เราก็ย้ายบ้านกันแล้วนะ บ้านริมแม่น้ำปิดเอาไว้ มีคนสวนดูแล พ่อกับแม่เข้าไปดูสวนกันอาทิตย์ละสองสามครั้ง วันหลังว่างๆ บีมกับบัวไปเที่ยวบ้านใหม่พี่กันนะ พ่อกับแม่คงดีใจที่ได้เจอ”
“ถ้ารอยัยบัวว่าง คงไม่ได้ไปกันล่ะค่ะ วันๆ ทำแต่งาน เสาร์อาทิตย์ก็หมกตัวอยู่แต่ในคอนโดไม่ไปไหน”
ฉัตรสุดาว่าค่อนน้องสาวอย่างไม่จริงจังนัก
“ได้ข่าวว่าทำงานหนักมากเหรอ บัว เดินทางบ่อยด้วยใช่ไหม เก่งจริงๆ เลยนะ”
ภาณุรับรู้ข่าวคราวของหลานสาวอดีตเพื่อนบ้านใกล้ชิดอยู่เนืองๆ จากพ่อกับแม่ที่ติดต่อกับนางจงกลเสมอแม้จะไม่ได้อยู่บ้านติดกันแล้วก็ตาม นลิน หลานสาวคนเล็กนั้นเป็นเพื่อนเล่นวิ่งตามเขากับฉัตรสุดาไปตามร่องสวนเป็นประจำ จนโตขึ้นมาเมื่อครอบครัวนางจงกลย้ายบ้านไปก็ได้ข่าวว่า หญิงสาวเติบโตมาอย่างน่าชื่นชม เรียนเก่ง ขยันหมั่นเพียร สอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านภาษาจนจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยลำดับต้นของประเทศอังกฤษและกลับมาทำงานให้กับองค์กรระหว่างประเทศองค์กรหนึ่ง ในช่วงนั้นตัวเขาเองก็มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนแพทย์เฉพาะทางสาขาศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
“ไม่หรอกค่ะ พี่บีมกับพี่ณุเก่งกว่า บัวก็แค่พอเอาตัวรอดไปได้ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มบาง ตอบแบบถ่อมตัว ยังไม่ทันจะคุยกันต่อ ก็มีเสียงเรียกจากชายคนหนึ่ง
“บัว บัว มาคุยเรื่องลอยอังคารพรุ่งนี้กับหลวงตาหน่อย ตกลงยังไงบ้าง”
นลินพยักหน้ารับก่อนหันมาไหว้ลาชายหนุ่มและเดินตามผู้เป็นอาไปทางศาลา โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคมโตคู่หนึ่งทอดมองตามเธอด้วยแววอ่อนโยนไปจนลับสุดสายตา
นลินสั่งทำสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพาได้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่หนาไม่บางที่กำลังเป็นที่นิยม โดยพิมพ์ภาพวาดลายดอกฟอร์เก็ตมีน็อตสีม่วงสวยงาม ดอกไม้ที่นางจงกล ผู้เป็นย่าผู้ล่วงลับชื่นชอบมากที่สุด
‘อะไรก็ได้ ตามที่บัวว่าดี แต่ขอว่าอย่าใส่ชื่อ ใส่วันที่ อย่าเขียนว่าของที่ระลึกงานศพ คนเขาไม่ได้ใช้จริง ย่าแก่ปูนนี้ ไปมาไม่รู้กี่งานๆ ไม่ได้เอามาใช้เลย จะทิ้งก็ทำไม่ลง จะเก็บก็ไม่รู้จะวางตรงไหนแล้ว ที่พอจะใช้ได้ก็มีพิมพ์ชื่อ พิมพ์ว่าเป็นของงานศพ เห็นแล้วมันหดหู่พาลไม่อยากใช้ เราทำอะไรที่สดชื่นน่ารักสีสวยๆ ให้คนเอาไปใช้ได้ดีกว่า คนเรา จำกันได้ด้วยหัวใจ ไม่ใช่สิ่งของหรอก’
นางจงกลสั่งเสียไว้เช่นนั้นหลายปีก่อนจากไปด้วยโรคชราในวัย 90 ปีบริบูรณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โทรศัพท์หัวเตียงดังปลุกหญิงสาวตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ดี นลินขับรถเร็วกว่าปกติขึ้นทางด่วนมาอีกฟากฝั่งของเมืองหลวง เมื่อมาถึงบ้านไม้เรือนไทยใต้ถุนเตี้ยที่ตั้งอยู่เกือบสุดซอยในชุมชนเก่าแก่ ผู้เป็นย่าก็หัวใจหยุดเต้น นอนหลับตานิ่งสนิทมุมปากเหมือนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยบนเตียงไม้เก่าแก่ตัวเดิม ข้างหมอนยังคงมีหนังสือสวดมนต์วางไว้ที่เดิมดังเช่นทุกวันที่ผ่านมาหลายสิบปี
“ต๊าย หนูบัว อ้วนขึ้นรึเปล่า ดูสิ ตัวใหญ่จนเกือบจำไม่ได้”
“นั่นสิ อย่างว่าแหละนะ ทำงานจากบ้านกันช่วงนี้ กินเพลินเลยใช่ไหม ยังสาวอยู่ อย่าปล่อยตัวให้มากนะ ดูหนูบีมสิ ยังสวยพริ้งอยู่เลย นี่ดูจะแก่กว่าพี่สาวแล้วนะ”
หญิงสูงวัยสองคนพูดแล้วหัวเราะให้กันก่อนจะเลือกหยิบของชำร่วยในพาน นลินรู้สึกได้ว่าคนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังที่เป็นผู้ช่วยคอยวางเรียงของที่ระลึกใส่พาน ขยับเข้ามาใกล้แล้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง หญิงสาวจึงจับแขนเอาไว้แล้วบีบเบาๆ หญิงสาวทำเพียงยิ้ม กล่าวขอบคุณ แล้วพนมมือไหว้ลาด้วยกิริยาอ่อนน้อม เมื่อแขกสองคนเดินลับตาไป คนที่อยู่ด้านหลังก็กล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด
“โอ๊ย แก่กะโหลกกะลาจริงๆ ยัยป้าพวกนี้ ตอนเด็กๆ แม่เอากบตบปากมารึไง พูดอะไรไม่รู้จักคิด ตัวเองก็หัวหงอกหน้าย่นไปหมด เป็นแค่เพื่อนบ้านไม่ใช่ญาติพี่น้องที่ไหน ไร้มารยาทที่สุดเลย พี่บัวโอเคไหม”
“พี่ชินแล้ว คนรุ่นเก่าบางคนก็เป็นแบบนี้แหละ เขาทักทายกันมาแบบนี้เป็นปกติ”
“เมื่อกี้ถ้าพี่บัวไม่ห้าม เพลินจะตอกกลับยัยป้าสองคนให้หน้าม้านไปเลย เรื่องเยอะแยะมีให้พูด ไม่พูด แก่แค่ไหนก็ควรจะต้องรู้เท่าทันโลกบ้าง ไม่ใช่แก่เพราะอยู่นานไปวันๆ”
เพลินตา ลูกพี่ลูกน้องฝั่งทางพ่อยังพูดด้วยความโกรธเคืองไม่หาย วาจาเผ็ดร้อนนั้นตรงข้ามกับใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักและกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน ทั้งสองสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ปู่ของนลินเป็นพี่ชายปู่ของเพลินตา ทั้งสองเป็นลูกชายสองคนสุดท้ายหัวปีท้ายปีของคุณทวดของพวกเธอและอายุห่างจากพี่ๆ ทั้งหกคนหลายปี จึงสนิทสนมใกล้ชิดกันกว่าพี่น้องคนไหน ปู่ของนลินจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อยี่สิบปีที่แล้วตามพี่ๆ หกคนก่อนหน้า ตอนนี้จึงเหลือเพียงปู่ของเพลินตาที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในบรรดาญาติฝั่งพ่อ
“แขกกลับกันหมดแล้ว เราเก็บของตรงนี้แล้วไปหาน้ำกินในศาลากันดีกว่า ดูสิ เพลินเหงื่อเต็มไปหมดเลย พี่บอกให้คอยเสิร์ฟน้ำในศาลาเย็นๆ ก็ไม่ยอม ยืนตากแดดนานเลย เห็นไหม”
“สบายมากค่ะ ไม่เป็นไรเลย เพลินเป็น ทอ ทหารอดทนนะ อย่าลืมสิคะ”
เพลินตายิ้มหวานกับญาติผู้พี่ หญิงสาวเพิ่งเรียนจบและเข้าทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลสังกัดกองทัพอากาศ ผ่านการฝึกและได้บรรจุรับยศเป็นเรืออากาศตรีหญิงมาหมาดๆ
ทั้งสองช่วยกันเก็บของที่ระลึกที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่งบรรจุลงกล่อง ตลอดห้าวันที่ผ่านมา มีแขกเหรื่อมาฟังสวดนางจงกลแน่นศาลาทุกคืนและในวันนี้ที่เป็นวันเผา ก็เป็นไปตามที่หญิงสาวคาดการณ์ว่าจะมีแขกมางานกันร่วมสามร้อยคน เนื่องจากผู้เป็นย่านั้นเป็นคนสดใสร่าเริง ชอบพูดคุยพบปะผู้คนและมีน้ำใจไมตรีเผื่อแผ่ผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่สามีเสียชีวิตไป นางจงกลมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากจากการไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมทุกวันพระ
หญิงสาวในชุดเดรสยาวคลุมเข่าแบบเรียบแขนยาวติดกระดุมที่ข้อมือ พับแขนเสื้อขึ้นมารูดอยู่ที่ข้อศอก เผยผิวขาวนวลเนียนตัดกับสีดำสนิท เธอนั่งพักดูดน้ำเย็นจากขวดน้ำขนาดพอดีมือที่แช่ถังน้ำแข็งเอาไว้แน่น บริษัทเครื่องดื่มที่ฉัตรสุดา พี่สาวของเธอทำงานอยู่มาเนิ่นนานจนขึ้นเป็นรองหัวหน้าฝ่ายการผลิต ส่งน้ำขวดมาช่วยงานเต็มคันรถกระบะตั้งแต่วันแรกและยังรับเป็นเจ้าภาพงานสวดอีกคืนหนึ่งด้วย
นลินนั่งเคียงคู่กับเพลินตามองไปที่กลุ่มควันที่ลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับการจากไปของผู้เป็นย่า เธอยังไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่วันแรกจน ณ ตอนนี้
แตกต่างจากตอนที่ปู่ของเธอจากไป นลินจำได้ว่าตัวเองร้องไห้ทุกวันจนกระทั่งถึงตอนที่เผาศพเสร็จ อาจจะเป็นด้วยวัยที่มากขึ้นของเธอหรืออาจเป็นเพราะความสูญเสียที่เผชิญมาติดต่อกันในช่วงปีที่ผ่านมาหรือคงเป็นเพราะหัวใจเธอเจ็บปวดจนชาชินเสียแล้วก็เป็นได้
“บัว มาทางนี้หน่อยเร็ว”
เสียงพี่สาวเรียกพร้อมโบกมือมาจากอีกฟากของเมรุ บิดาและมารดารวมถึงบรรดาอาๆ ยืนกระจัดกระจายพูดคุยกับแขกของตนเอง นลินก้าวเท้าเร็วๆ ผ่านกลุ่มคนตรงไปยังพี่สาวรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่สวยคมคายกับดวงตากลมโตโดดเด่นมาแต่ไกล ฉัตรสุดาเป็นหญิงสาวที่งดงามหมดจดสมชื่อทั้งรูปร่างและหน้าตา แตกต่างจากเธอที่เหมือนพี่สาวตรงที่มีใบหน้ารูปไข่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
“นี่ บัว จำได้ไหม ใคร พี่ณุไง ที่เคยวิ่งเล่นกับเราสมัยเด็กๆ ในสวนตอนอยู่บ้านแม่น้ำ”
นลินเงยหน้ามองใบหน้าคร้ามคมที่ส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างคลับคล้ายคลับคลา พอสบดวงตาคมที่เหมือนยิ้มได้ของเขา เธอก็จำได้ทันที
“อ้อ สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวรีบยกมือไหว้ชายหนุ่มตัวสูงในเชิ้ตกับกางเกงสแล็คสีดำสนิททั้งตัว
“ท่าทางพี่จะแก่ไปมาก น้องบัวจำไม่ได้เลย”
เขาพูดกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นอ่อนโยนเหมือนเคย
“ไม่หรอกค่ะ คนมางานกันเยอะ บัวมัววุ่นวายเตรียมจัดนู่นนี่ ไม่ทันคุยกับใครเลย”
เธอรีบพูด ไม่อยากให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจ
“นั่นสิ พี่เห็นเดินไปนู่นมานี่ไม่หยุดเลย คุณย่าท่านน่ารัก คนรักท่านมากันเต็มเลยนะ พ่อกับแม่พี่ติดงานเผาเพื่อนสนิท เลยส่งพี่มาแทน เรายังคิดถึงคุณย่ากันตลอด”
“ฝากกราบขอบคุณ คุณลุงคุณป้าด้วยนะคะ ท่านสบายดีใช่ไหมคะ”
“ดีครับ ตอนนี้เราก็ย้ายบ้านกันแล้วนะ บ้านริมแม่น้ำปิดเอาไว้ มีคนสวนดูแล พ่อกับแม่เข้าไปดูสวนกันอาทิตย์ละสองสามครั้ง วันหลังว่างๆ บีมกับบัวไปเที่ยวบ้านใหม่พี่กันนะ พ่อกับแม่คงดีใจที่ได้เจอ”
“ถ้ารอยัยบัวว่าง คงไม่ได้ไปกันล่ะค่ะ วันๆ ทำแต่งาน เสาร์อาทิตย์ก็หมกตัวอยู่แต่ในคอนโดไม่ไปไหน”
ฉัตรสุดาว่าค่อนน้องสาวอย่างไม่จริงจังนัก
“ได้ข่าวว่าทำงานหนักมากเหรอ บัว เดินทางบ่อยด้วยใช่ไหม เก่งจริงๆ เลยนะ”
ภาณุรับรู้ข่าวคราวของหลานสาวอดีตเพื่อนบ้านใกล้ชิดอยู่เนืองๆ จากพ่อกับแม่ที่ติดต่อกับนางจงกลเสมอแม้จะไม่ได้อยู่บ้านติดกันแล้วก็ตาม นลิน หลานสาวคนเล็กนั้นเป็นเพื่อนเล่นวิ่งตามเขากับฉัตรสุดาไปตามร่องสวนเป็นประจำ จนโตขึ้นมาเมื่อครอบครัวนางจงกลย้ายบ้านไปก็ได้ข่าวว่า หญิงสาวเติบโตมาอย่างน่าชื่นชม เรียนเก่ง ขยันหมั่นเพียร สอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านภาษาจนจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยลำดับต้นของประเทศอังกฤษและกลับมาทำงานให้กับองค์กรระหว่างประเทศองค์กรหนึ่ง ในช่วงนั้นตัวเขาเองก็มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนแพทย์เฉพาะทางสาขาศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
“ไม่หรอกค่ะ พี่บีมกับพี่ณุเก่งกว่า บัวก็แค่พอเอาตัวรอดไปได้ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มบาง ตอบแบบถ่อมตัว ยังไม่ทันจะคุยกันต่อ ก็มีเสียงเรียกจากชายคนหนึ่ง
“บัว บัว มาคุยเรื่องลอยอังคารพรุ่งนี้กับหลวงตาหน่อย ตกลงยังไงบ้าง”
นลินพยักหน้ารับก่อนหันมาไหว้ลาชายหนุ่มและเดินตามผู้เป็นอาไปทางศาลา โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคมโตคู่หนึ่งทอดมองตามเธอด้วยแววอ่อนโยนไปจนลับสุดสายตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ