ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  16.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ฝันอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แสงสลัวจากไฟนีออนหน้าประตูใหญ่ ส่องสว่างลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน ทำให้มองเห็นเงาตะคุ่มของแมวน้อยที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโต๊ะหัวเตียง มันหรี่ตาขึ้นมองในความมืด ชั่วอึดใจก็ลุกขึ้นยืนกระโดดลงมาจากโต๊ะดังตุบ เท้าทั้งสี่ของมันมุ่งหน้าไปยังทิศทางของแสงกระโดดพรวดไปเกาะขอบหน้าต่างที่เปิดค้างไว้  เจ้าขนปุยสามสีทำท่าทางชะเง้อหน้ามองสวนหลังบ้านที่อยู่ติดกับห้องนอน มันตัดสินใจกระโจนลงจากหน้าต่างชั้นสองสู่พื้นหญ้า เท้าน้อยๆของมันมุ่งตรงไปยังต้นหอมหมื่นลี้ที่ยามนี้โบกสะบัดเบาๆตามแรงลมคล้ายคำเชิญชวน

เจ้าสิ่งมีชีวิตสี่ขายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ จู่ๆ ดวงตาสีเขียวประกายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ขนปุยกุดหายไปจนเหลือแต่ผิวหนังเรียบลื่น ใบหน้ามีเค้าโครง เส้นผมงอกยาวสีดำหนา ร่างกายส่วนล่างทอดยาวกลายเป็นเท้าทั้งสองข้างยืนเหยียบพื้นดิน ขาหน้ากลายเป็นมือครบทั้งห้านิ้วเอื้อมจนถึงกิ่งก้านของต้นหอมหมื่นลี้

ดอกหอมหมื่นลี้เอย ค่ำคืนนี้ช่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลเท่าทวีคูณ......

เอมมาลินหลับสนิทเสียจนไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งที่ตอนนี้ภายในห้องนอนปรากฏร่างสาวน้อยอายุราวแปดขวบสวมชุดจีนโบราณกรุยกราย ในมือถือดอกหอมหมื่นลี้ช่อใหญ่เดินเยื้องย่างเข้ามาหาหญิงสาว

เวลานี้ ไม่หลงเหลือร่องรอยของเจ้าแมวหลงตัวจ้อยนั้นอีกต่อไป

          ใช่...แมวน้อยได้เปลี่ยนร่างเป็นดั่งเช่นกายมนุษย์ไปเสียแล้ว!

“ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวหลับลึกเสียจนไม่อาจได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู

สาวน้อยในชุดจีนโบราณนั่งลงบนเตียงเคียงข้างเจ้าของห้องนอน นางเด็ดดอกหอมหมื่นลี้สีเหลืองที่สวยที่สุดเพียงหนึ่งดอกออกจากช่อ วางดอกที่เลือกนั้นลงที่ข้อพับด้านในแขนขวาของหญิงสาว

สิ่งอัศจรรย์บังเกิดขึ้นเมื่อดอกไม้นั้นเรือนแสงสีเหลือง แล้วจมหายเข้าสู่ร่างของเอมมาลิน

สาวน้อยคว่ำฝ่ามือสัมผัสจุดที่ดอกไม้จมหาย แล้วปื้นสีแดงระเรื่อลักษณะเรียบแบนก็ปรากฏขึ้นบนผิวหนังของเอมมาลิน

แขนของเอมมาลินถูกประทับด้วยดอกหอมหมื่นลี้โดยที่ไม่รู้ตัว.......

ยามนี้ หญิงสาวยังคงติดอยู่ในภวังค์ ความรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวราวกับลอยละล่องอยู่ในอากาศคล้ายกำลังโบยบินแบบไม่รู้ทิศทางไม่รู้จุดหมาย ช่างเหมือนกับความรู้สึกที่ได้สัมผัสเมื่อคืนก่อน

 

 

‘เอาอีกแล้ว.....มีคนมาปลุกฉันอีกแล้ว กำลังหลับสบายเลย’ เอมมาลินบ่นพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“……” 

‘มันคืออะไรกันแน่นะ’ รู้สึกว่าไม่ใช่แค่เสียงเรียกเพียงอย่างเดียว หากแต่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ใกล้มากๆ สิ่งที่รบกวนเธอในยามนี้ทำให้ดวงตาคู่สวยจำต้องลืมขึ้นอย่างช้าๆ

ภาพแรกที่เห็นคือท้องฟ้ายามเช้าสีสดใส ‘ทำไมเห็นเป็นแบบนี้ล่ะ! ทำไมไม่ใช่เพดานห้องหรือผนังห้องนอน’ เอมมาลินกะพริบตาถี่ๆรู้สึกสับสนเล็กน้อย

“พี่สาวตื่นแล้ว!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกหันหน้าไปทางต้นเสียง ก็พบว่าเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อย หน้ากลมตาตี่นั่งมองหน้าเธอในระยะประชิด เอมมาลินเท้าแขนยกตัวขึ้นพรวดเดียวด้วยความตกใจ

“พวกเรา พี่สาวตื่นแล้ว มาดูเร็ว!” คราวนี้เด็กชายหันไปตะเบ็งเสียงเรียกพรรคพวกที่นั่งจับกลุ่มอยู่ไม่ห่างนัก เหล่าเด็กน้อยทั้งชายหญิงอายุไล่เลี่ยกันอีกสามสี่คนวิ่งกรูเข้ามาตามเสียงเรียกเหมือนรออยู่นานแล้ว

“เดี๋ยว....เดี๋ยวนะ พวกหนูเป็นใคร ทำไมพี่ถึงมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ” ละล่ำละลักถามแบบไม่ทันคิดอะไร

พอได้ฟังที่พี่สาวผมยาวผู้นี้พูดแล้วเด็กน้อยต่างก็ทำหน้าอึ้งไปตามๆกัน ไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว ได้แต่หันหน้าพูดคุยกันเอง

“เหตุใดพี่สาวผู้นี้พูดจาไม่รู้ความหมาย”

“หรือว่านางเป็นคนชนเผ่าอื่น”

“เสื้อผ้าของนางก็ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก”

เอมมาลินได้ยินเสียงสนทนาภาษาจีนชัดแจ๋ว หยิกหน้าตัวเองเบาๆตั้งสติ

‘เอาอีกแล้ว....นี่ฉันฝันเป็นภาษาจีนอีกแล้วเหรอ!’ ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าแบบหลวมๆแขนกว้าง มีแถบผ้าคาดที่เอวสีเดียวกันกับแถบเสื้อที่ไขว้ทับกันตรงหน้าอก มันคือชุดจีนโบราณชัดๆ ‘คราวนี้ฝันเห็นเด็กใส่ชุดจีนย้อนยุคเสียด้วย’

“ฉัน...เอ๊ย...พี่ต้องพูดภาษาจีนกับพวกหนูสินะ” เอมมาลินกล่าวออกมาเป็นภาษาจีน ทำให้เด็กน้อยหันมองมาที่หญิงสาวเป็นตาเดียว

“ครานี้ฟังเข้าใจได้ก็จริงแต่วิธีการพูดช่างแปลกนัก พี่สาวทำไมท่านมานอนใต้ต้นกุ้ย หรือว่าท่านไม่มีบ้าน” เด็กหญิงที่ดูน่าจะมีอายุมากกว่าทุกคนสักปีหรือสองปีเอ่ยเสียงแหลมเล็ก

หญิงสาวสะดุดคำพูดที่กล่าวถึงต้นกุ้ย หันหน้ามองซ้ายมองขวาแบบงงๆ

“ใต้ต้นกุ้ย! ที่นี่อีกแล้วรึ! ทำไมฉันถึงได้ฝันเห็นที่แห่งนี้อีกแล้ว! พอสักที ตื่นๆๆ” คราวนี้ทั้งพูดทั้งตบหน้าตัวเองแรงขึ้น จนทำให้เหล่าเด็กน้อยสะดุ้งเมื่อได้ยินภาษาประหลาดอีกครั้ง บางคนได้แต่อ้าปากค้าง

“ข้าว่าพี่สาวผู้นี้คงไม่สบายเป็นแน่ แลดูน่าสงสาร เรารีบพาไปหาท่านหมอหลิวดีกว่า”

“ไม่ไป ฉันจะอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันก็ตื่นแล้ว!” เอมมาลินได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าดิกๆ เริ่มสติแตกอีกครั้ง ในใจยังตั้งความหวังว่าเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้เกิดขึ้นจริง เธอเพียงฝันไปและจะตื่นในอีกไม่นาน

“ไปกับพวกเราเถิดพี่สาว บ้านของพวกเราอยู่ไม่ไกล ข้าจะหาชุดให้ท่านเปลี่ยนเสียใหม่” เด็กหญิงคนเดิมพูดด้วยความเป็นห่วง ด้วยเห็นชุดที่พี่สาวผู้นี้สวมใส่มีเนื้อผ้าบางเกินไป ในขณะที่อากาศในยามเช้าเช่นนี้ค่อนข้างเย็น

ทำไมหนอ...ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหมือนความจริง ถึงขนาดว่าผิวกายสัมผัสอากาศหนาวได้จนขนลุกขนาดนี้ เอมมาลินยังคงทำหน้านิ่ง รู้สึกช็อกกับสถานการณ์ที่เจอ อยู่ๆ คนเราจะนอนหลับจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในความฝันได้จริงหรือ!!

เด็กหญิงจับมือหญิงสาวไว้เป็นการปลอบใจ พร้อมเร่งเร้าให้ทำตามที่บอก เอมมาลินพยักหน้าช้าๆลุกขึ้นเดินตามเด็กแปลกหน้าไปโดยดี อย่างน้อยๆ เด็กทั้งห้าก็ดูไม่มีพิษมีภัย

เอมมาลินเดินตรงไปตามเส้นทางที่ถูกเหยียบไปเหยียบมาจนกลายเป็นถนนเส้นเล็ก ขนาบข้างด้วยผืนหญ้าที่ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ หญิงสาวกอดอกด้วยเริ่มรู้สึกหนาวแต่ยังคงฝืนเดินต่อไป คาดเดาไปเองว่าระยะทางจากบ้านของเด็กทั้งห้าคงไม่ไกลจากบริเวณที่พบเธอมากเกินไปนัก

“พี่สาว เดินตามข้ามาโดยเร็วเถิด ลงจากเนินนี้ไปคือหมู่บ้านของเราแล้ว”

แต่ตอนนี้ชักเริ่มหายใจหอบ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องก้าวเดินสวนทางกับแรงโน้มถ่วงเพื่อตามเด็กๆขึ้นมาบนเนินเตี้ยแห่งนี้ ยังดีที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ได้พักพิงชั่วครู่

เบื้องหน้าของหญิงสาวคือหมู่บ้านที่เด็กๆกล่าวถึง มองเห็นหลังคาบ้านมุงด้วยหญ้าคาแบบบ้านชนบทหลายหลังกระจุกตัวอยู่รวมกัน ส่วนหลังที่ใหญ่หน่อยก็มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา ถัดไปเล็กน้อยเป็นสายธารน้ำไหลแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่แห่งนี้

“พี่สาว มาเร็วๆ” ร่างเล็กที่เดินรั้งท้ายแถวหันกลับมาเรียก

หญิงสาวหูหนวกไปชั่วขณะ ยังยืนขาแข็งอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนจากเด็กคนอื่นๆที่อยู่แถวหน้าสุดดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน พลางกวักมือเรียกไม่หยุด

เอาวะ!...เป็นไงเป็นกัน จะฝันหรือจะจริง ฉันต้องเดินหน้าต่อไป หญิงสาวเริ่มคิดตกแล้วว่าให้นั่งรอนอนรออยู่ที่เดิมก็ไม่ได้การันตีว่าจะตื่นจากฝันเพ้อเจ้อนี้ได้

“น้องๆ รอพี่ด้วยค่ะ” คราวนี้เอมมาลินกลายเป็นผู้ร้องเรียกเสียเอง เด็กทั้งห้าเดินกึ่งวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนหญิงสาวกลัวว่าจะเดินตามไม่ทัน หากเป็นเช่นนั้น เธอจะไม่เหลือใครที่ช่วยเหลือในสถานการณ์แปลกประหลาดนี้อีกเลย

 

“ท่านหมอ....ท่านหมอหลิว” เสียงประสานของเด็กหลายคนกู่ร้องเรียกที่หน้าบ้านหลังคามุงกระเบื้องดินเผา มือน้อยเคาะประตูบานไม้ก๊อกๆๆ เร่งเร้าให้คนภายในบ้านรีบออกมาพบ

“เคาะประตูกันเสียงดังใหญ่โต มีเรื่องอันใด” เสียงเจ้าของบ้านดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก

เด็กชายตัวเล็กสุดรีบก้าวเท้าเข้ามาประชิดร่างของชายแก่ที่เพิ่งเปิดประตู

“ว่าอย่างไรจื่อหลง เกิดอะไรขึ้น” ชายแก่ทำหน้าขมวดคิ้วก้มหน้าลงถามเด็กชายจื่อหลง

เด็กน้อยยังไม่พูดสิ่งใดแต่หันกลับไปมองทางด้านหลังแทนคำตอบ ทำให้ชายแก่เงยหน้ามองตามไปด้วย

“ท่านหมอหลิว พวกข้าเจอพี่สาวผู้นี้อยู่ใต้ต้นกุ้ย” จื่อหลงเริ่มเล่าเรื่องให้ชายแก่ฟัง

“ใช่ๆ พวกเราไม่รู้จะพานางไปที่ใด ขอให้ท่านหมอหลิวช่วยนางด้วยได้หรือไม่?” จิ่นเอ๋อร์ผู้เป็นพี่สาวของจื่อหลงรีบพูดแทรก

เอมมาลินในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขายาวยืนอยู่ท่ามกลางเด็กๆ ไม่กล้าเอ่ยปากพูดสิ่งใดได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านที่มีบันไดทางขึ้นเพียงสี่ห้าขั้นก่อนถึงประตูไม้บานใหญ่

เมื่อได้เห็นชายแก่ผู้เปิดประตูบ้านใส่ชุดคล้ายกันพวกเด็กเหล่านี้ ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย กลิ่นอายยุคจีนโบราณที่ได้สัมผัสด้วยสายตาในยามนี้ทำให้เอมมาลินเริ่มหนาวสะท้าน ยกมือขึ้นกอดอกตัวเองหลวมๆ

ชายแก่ที่ถูกเรียกว่าท่านหมอหลิว ก้าวขาออกจากประตูบ้านเดินตรงเข้ามาใกล้หญิงสาว

“แม่นางผู้นี้คือใคร...ไหนบอกมาสิเจ้าชื่ออะไร”

“ข้า....เอ่อ....ข้าชื่อเอมมาลินเจ้าค่ะ” เอมมาลินส่งภาษาเดียวกับบุคคลตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ชื่อช่างแปลกนัก....ชื่อแปลกเช่นนี้ ไม่ใช่คนละแวกนี้เป็นแน่ เอ...มาลิน” ท่านหมอจับหนวดเคราทำหน้าสงสัย

“จะชื่ออะไรก็ช่างเถิด ท่านหมอเห็นหรือไม่ พี่สาวผู้นี้หนาวจนขนลุกไปหมดแล้ว รีบหาเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนให้แก่นางก่อน แล้วค่อยมาพูดจากัน” จิ่นเอ๋อร์เด็กน้อยที่อายุมากสุดจับแขนของเอมมาลินยื่นให้ท่านหมอดู

ท่านหมอหลิวหลุบตามองตามที่จิ่นเอ๋อร์พูด จึงได้เห็นบางสิ่งที่ทำให้หมอชราผู้นี้ชะงักไปเล็กน้อย

“อุ้ย...พี่สาว....ที่แขนของท่านมีปานแดงรูปร่างแปลกประหลาดนัก”จิ่นเอ๋อร์พูดขึ้นทำให้เอมมาลินทำหน้างง ปานแดงอะไร ไม่มีนะ...... เธอบิดแขนไปมา จนมาสะดุดกับข้อพับด้านในแขนขวา

“เอ๊ะ! ฉันไม่เคยมีปานที่แขนนี่น่า เกิดอะไรขึ้น” เอมมาลินจนเผลอพูดภาษาตัวเองหลังจากที่เห็นปานสีแดงปรากฏขึ้นที่แขนขวา

ทั้งท่านหมอหลิวและเด็กคนอื่นๆต่างก็จ้องเขม็งที่แขนของเธอ ดูเหมือนท่านหมอหลิวเองก็แปลกใจกับปานที่เห็นและภาษาที่หญิงสาวเอ่ยออกมาเช่นกัน “ขอข้าดูปานที่แขนของเจ้าใกล้ๆหน่อย”

“เจ้าค่ะ....”เอมมาลินหยุดทำหน้ากระวนกระวาย ยื่นแขนให้ท่านหมอหลิวดู ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆที่แขนของเธอก็ปรากฏปื้นปานสีแดงรูปร่างคล้าย....คล้ายกลีบดอกไม้ที่มีสี่กลีบ

“แม่นาง บอกข้าอีกครั้งสิ เจ้าชื่ออะไร”

ทั้งที่บอกไปแล้ว แต่จะว่าไปชื่อของเธอคงออกเสียงได้ยากเย็นสำหรับคนยุคนี้

หญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสาวชาวจีนได้ตั้งชื่อจีนไว้เรียกเธอ เอาชื่อนี้แล้วกัน

“เหม่ยหลินเจ้าค่ะ ข้าชื่อเหม่ยหลิน”

“เหม่ยหลิน! เจ้าชื่อเหม่ยหลินเช่นนั้นรึ?” ท่านหมอหลิวทำน้ำเสียงสงสัย

“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ! ข้าชื่อเหม่ยหลิน” เอมมาหลินย้ำให้ฟังชัดๆอีกครั้ง

“แล้วปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”

หมอชรายังตั้งคำถามไม่หยุด จนเด็กน้อยที่ยืนรวมตัวกันอยู่มองหน้าหมอหลิวด้วยความใคร่รู้

“สิบแปดปีเจ้าค่ะ”

“ช่างบังเอิญเหลือเกิน เป็นไปไม่ได้”ท่านหมอหลิวตกใจจนรำพึงออกมาเบาๆ

“มีอะไรหรือ ท่านหมอหลิว” จื่อหลงถามเสียงใส หลังจากเห็นสีหน้าผิดปกติของท่านหมอชรา

“ไม่...ไม่มีอะไรหรอก จื่อหลงเจ้ารีบพานางไปที่ห้องพักด้านหลัง ส่วนจิ่นเอ๋อร์ไปนำเสื้อผ้าของแม่เจ้ามาให้แก่นางผู้นี้ผลัดเปลี่ยนก่อนเถิด” สาวน้อยจิ่นเอ๋อร์พยักหน้าแล้วรีบวิ่งไป

หมอหลิวซูเหยียนหันไปสั่งให้เด็กคนอื่นๆกลับบ้านของตนเองเสีย ให้เหลืออยู่เพียงจิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงสองพี่น้องรับหน้าที่จัดการตามคำสั่ง

         

 

เจ้าน่ะหรือ ที่ชื่อเหม่ยหลิน”ผู้ตั้งคำถามวางพับเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะกลางห้อง

เอมมาลินพยักหน้าแทนคำตอบ ด้วยยังไม่รู้จักหญิงวัยกลางคนผู้นี้

จนกระทั่งจิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงช่วยกันถือถังน้ำล้างหน้าเข้ามาภายในห้องแล้วพูดแทรก

“นี่คือท่านแม่ของข้าเอง พี่เหม่ยหลินไม่ต้องกลัว”

ที่แท้จิ่นเอ๋อร์กลับบ้านไปเล่าเรื่องราวให้แม่ของนางฟัง จนแม่ของจิ่นเอ๋อร์บังเกิดความสนใจจึงเป็นผู้ถือเสื้อผ้ามาให้ด้วยตนเอง

“จิ่นเอ๋อร์บอกว่าพบเจ้านอนหลับอยู่ใต้ต้นกุ้ย หรือว่าเจ้าอยู่หมู่บ้านข้างๆ”

“ข้าไม่มีบ้านอยู่แถวนี้ และข้าก็ไม่ใช่คนที่นี่ด้วย”

“ไม่มีบ้าน? หรือว่าเจ้าเป็นพวกพเนจร”

จิ๋นเอ๋อร์เกรงว่าหากท่านแม่เอาแต่ไต่ถามอยู่อย่างนี้ จะไม่ได้รับรู้สิ่งที่นางอยากรู้ จึงรีบพูดตัดบท

“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านหมอหลิวจึงทำสีหน้าตกใจที่ได้เห็นปานที่แขนของพี่เหม่ยหลิน”

แม่ของจิ๋นเอ๋อร์เอื้อมมือจับแขนของเอมมาลินยืดออกมาดูให้เห็นกับตา

“เจ้ามีปานรูปดอกไม้สี่กลีบที่แขน ชื่อเหม่ยหลินและอายุสิบแปดปีจริงหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ” เอมมาลินตอบรับ ส่วนจิ่นเออร์กับจื่อหลงยืนฟังอย่างใจจดใจจ่ออยากรู้เต็มที

“อันที่จริงเรื่องมันก็นานมาแล้ว การที่ท่านหมอหลิวตกใจเมื่อได้เห็นเจ้า ก็เพราะท่านหมอเคยสูญเสียลูกสาวที่ชื่อเหม่ยหลิน ชื่อเดียวกับเจ้า”

“ช่างบังเอิญเหลือเกิน ลูกสาวของท่านหมอชื่อเดียวกับข้า”

“ไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้น ปานที่แขนของเจ้าก็มีลักษณะคล้ายกันและยังอยู่ตำแหน่งเช่นเดียวกันกับของเหม่ยหลิน”

“ท่านหมอหลิวมีลูกสาวตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่เคยได้เห็น”จื่อหลงถามดูบ้าง

“เจ้าจะเคยเห็นได้อย่างไร เหม่ยหลินตายไปตั้งสิบปีแล้ว!!” จิ่นเอ๋อร์ซึ่งอายุเก้าปี ส่วนจื่อหลงอายุเจ็ดปีย่อมไม่รู้เรื่องราวในอดีต

หญิงสาวเริ่มขนลุกกับเรื่องเล่า แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้เมื่อแม่ของจิ่นเอ๋อร์ยังพูดต่อไปอีกว่า

เหม่ยหลินตายตั้งแต่อายุเพียงแปดปี!!

“ใช่...หากเหม่ยหลินยังมีชีวิตอยู่ ก็จะอายุสิบแปดปีเท่ากับเจ้าในตอนนี้พอดี!”

เอมมาลินหรือเหม่ยหลินในตอนนี้รู้สึกสับสนไปกันใหญ่ เธอคิดว่าการที่เธอมาอยู่ที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา