ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) แขกวีไอพี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ประตูทางเข้าใหญ่เปิดออกต้อนรับขบวนรถที่เลี้ยวจากถนนด้านหน้าเข้ามาอย่างช้าๆ ชายผิวคล้ำในชุด รปภ. ยืนตัวตรงยกมือทำความเคารพบุคคลที่อยู่ภายในรถตู้ยี่ห้อดัง ล้อรถหมุนเลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่เทลาดเข้าไปด้านในจนถึงหน้าอาคารสองชั้นตั้งตระหง่าน

          รถคันแรกหยุดจอดตรงจุดรับ-ส่ง บานประตูเลื่อนเปิดไปทางด้านหลังโดยอัตโนมัติ บุรุษร่างสูงก้าวเท้าลงจากตัวรถ เขาเงยหน้ามองตามขั้นบันไดหินอ่อนที่ทอดขึ้นไปสู่ประตูทางเข้าตัวอาคาร เห็นพนักงานทั้งชายหญิงยืนสงบนิ่งรอต้อนรับอยู่หน้าประตูอย่างเป็นระเบียบ สายตาทุกคู่มองมาที่ชายหนุ่มผู้โดดเด่นอยู่ในชุดสูทหล่อเนี๊ยบ

         ไม่กี่อึดใจ รถคันที่สองที่สามก็ตามมาจอดยังจุดเดียวกัน ผู้โดยสารของรถแต่ละคันทยอยลงมาสมทบ นับดูแล้วร่วมสิบคนเห็นจะได้

          พอเจตน์ยืนอยู่หน้าสุดของแถวรีบเข้าไปแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษในฐานะผู้จัดการทั่วไป ส่วนฝั่งตรงกันข้ามก็ปรากฏชายร่างเล็กผอมเพรียวก้าวมาจากทางด้านหลัง

          “สวัสดีครับคุณพอเจตน์ ผมชื่อประพันธ์ รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยและล่ามภาษาจีนครับ”

          “ยินดีมากครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ” ทั้งคู่จับมือทักทายกัน

          “ท่านนี้คือท่านรองประธานจางเหวินเซียวและท่านนี้คือคุณหลี่เจี๋ยเลขาของท่านรองประธานครับ”

          ประพันธ์แนะนำบุคคลสำคัญของวันนี้

          เมื่อพอเจตน์รับทราบแล้วว่าผู้ใดคือผู้มีอำนาจสูงสุขในคณะผู้มาเยือน เขารีบผายมือไปด้านหลังเพื่อแนะนำอย่างเป็นทางการให้รู้จักประธานบริษัทฝั่งไทยด้วยเช่นกัน

          “ผมขอแนะนำให้รู้จัก ประธานบริษัทของเรา ท่านนี้คือคุณสายสุนีย์ กิตติสรณ์ ครับ”

สายสุนีย์ก้าวเท้ามาเผชิญหน้ากับบุคคลที่ถูกแนะนำว่าคือรองประธานจางเหวินเซียว

          “สวัสดีค่ะ ดิฉันสายสุนีย์ กิตติสรณ์ ยินดีต้อนรับท่านรองประธานจางเหวินเซียวและผู้มีเกียรติทุกท่านค่ะ”

เธอยิ้มให้ด้วยมิตรไมตรี คำกล่าวทักทายด้วยภาษาจีนอย่างคล่องแคล่วทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นหยุดฟังและทึ่งในความสามารถด้านภาษาของเธอ

          “ขอบคุณมากครับท่านประธานสายสุนีย์ที่ให้เกียรติมาต้อนรับด้วยตนเอง สำเนียงภาษาจีนของท่านดีมากครับ”

          จางเหวินเซียวอดชมเชยท่านประธานหญิงวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ ประกอบกับได้ทราบข้อมูลล่วงหน้าด้านความสามารถของประธานหญิงผู้นี้จากรายงานที่หลี่เจี๋ยส่งให้แล้วเมื่อหลายวันก่อน

          “แล้ว...กรุณาอย่าเรียกผมรองประธานเลยครับ เรียกชื่อผมเถิดครับ”

          ร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมสัน ผมหยักศกสีดำเรียงเส้นสวยโค้งศีรษะเล็กน้อย

          “ไม่นึกว่าท่านรองประธานของบริษัทที่มีชื่อเสียงจะเป็นกันเองขนาดนี้นะคะ”

          สายสุนีย์รู้สึกยินดีในความไม่ถือยศถืออย่างของรองประธานหนุ่มผู้นี้ ชวนให้คิดถึงอดีตสามีชาวจีนที่นิสัยตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง รายนั้นถือตัวเป็นที่สุดจนคนรอบข้างอึดอัดใจไปตามๆ กัน

          ก่อนที่รองเท้าสีน้ำตาลเข้มของชายร่างสูงจะก้าวขึ้นขั้นบันไดตามคำเชิญให้เข้าสู่ตัวอาคาร เขากวาดสายตามองสิ่งแวดล้อมรอบนอกอาคารอย่างสนใจ หางตาสะดุดเข้ากับร่างหญิงสาวในชุดเดรสกระโปรงที่ไม่น่าจะใช่ชุดยูนิฟอร์มของบริษัทยืนอยู่ภายในตัวอาคารชั้นสองฝั่งขวา ผนังอาคารกระจกตัดแสงสีชานั้นทำให้ไม่อาจเห็นใบหน้าหญิงสาวได้ชัดเจนนัก

          เป็นธรรมดาที่คนภายนอกย่อมไม่รู้ว่าบริเวณห้องชั้นสองฝั่งขวาที่เห็นนั้นคือห้องท่านประธาน

 

          ภาพการต้อนรับอย่างเป็นทางการที่หน้าประตูใช้เวลาค่อนข้างนานหลายนาที หญิงสาวยืนอยู่ภายในห้องมองผ่านผนังกระจกตั้งแต่รถตู้คันหรูจอดเทียบหน้าอาคารจนกระทั่งทุกคนเดินขึ้นบันไดเข้าสู่ตัวอาคาร

          เอมมาลินกลับมานั่งที่โซฟานุ่มสักครู่หนึ่ง เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังจนแน่ใจว่าขณะนี้น่าจะเข้าสู่เวลาแห่งการประชุมต้อนรับลูกค้าแล้ว

          ประตูห้องท่านประธานเปิดออก คนในห้องโผล่หน้าออกมาเพื่อดูลาดเลา

เมื่อไม่เห็นว่ามีใครเดินมาบริเวณนี้ หญิงสาวก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปตามโถงทางเดินชั้นสองจนมาถึงหน้าลิฟต์ และคิดว่าจะเดินลงบันไดหนีไฟเพื่อหลบสายตาคน

          ยังไม่ทันก้าวถึงจุดหมาย ประตูลิฟต์ที่อยู่ติดกับบันไดหนีไฟเปิดออก คนภายในรีบส่งเสียงเรียกทั้งที่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตู

          “เดี๋ยวค่ะคุณหนูเอม! จะไปไหนคะ”

          ที่แท้คือวิมลที่เพิ่งออกจากห้องประชุมชั้นหนึ่งหลังจากที่เสริฟเครื่องดื่มให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมเรียบร้อยแล้ว

          “คุณวิมลนี่เอง” เอมมาลินหยุดเดิน หันมายิ้มเก้อๆ

          “คือว่า...เอมอยากขอเข้าไปดูในข้างในโรงงานทอผ้าค่ะ เมื่อก่อนเคยมาก็หลายครั้งแต่คุณแม่ไม่อนุญาตให้เข้าไปดูสักครั้งเลย”

          “แหม วิมลก็จำได้ค่ะ สมัยก่อนโรงงานเรามีพื้นที่คับแคบ เครื่องจักรก็เก่าไม่ทันสมัย ฝุ่นละอองก็มีมาก อันตรายสำหรับเด็กๆ อย่างคุณหนูอย่างไงคะ”

          ด้วยทำงานมานานหลายปี จึงจดจำทุกครั้งที่เอมมาลินมาเดินเที่ยวที่บริษัทพร้อมท่านประธานได้ดี

          “วันนี้เอมเข้าไปดูได้แล้วใช่ไหมคะ เอมไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย”

          “เอ....แต่ว่ากำหนดการวันนี้จะต้องพาลูกค้าเดินชมทั่วบริเวณรวมถึงโซนโรงงานด้วยสิคะ ผู้จัดการก็ย้ำว่าให้ทุกคนอยู่ประจำตำแหน่ง ไม่อยากให้เดินไปเดินมา”

          “ลูกค้าจะเดินไปดูโซนไหนก่อนหรือคะ” อย่างไรก็ยังซักถามไม่เลิก

          “เห็นว่าหลังออกจากห้องประชุมแล้วจะเริ่มเดินตั้งแต่โถงทางเดินชั้นสอง ผ่านห้องธุรการบัญชี จากนั้นก็รับฟังรายงานที่ฝ่ายการตลาด เดินผ่านห้องท่านประธาน แล้วลงไปเดินชมขั้นตอนการทอผ้าที่ฝ่ายโรงงานเป็นที่สุดท้ายค่ะ”

          เอมมาลินพยักหงึกๆ “งั้น....เอมขอเดินดูฝ่ายโรงงานก่อนที่ลูกค้าจะไปถึงได้ไหมคะ”

          วิมลทำหน้าครุ่นคิดแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เอาอย่างนี้ดีไหมคะ”

          “คุณหนูเอมเปลี่ยนเป็นชุดยูนิฟอร์มให้ดูกลมกลืนกับพนักงานฝ่ายโรงงานคนอื่นๆเสียก่อน จะได้ไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้ง่าย แล้วพอถึงเวลาที่ลูกค้าเดินเข้าชมโรงงาน ขอให้คุณเอมหลบฉากไปก่อนสักประเดี๋ยว ทีนี้ก็คงไม่เป็นปัญหาแล้ว” หัวหน้าหญิงหาหนทางให้กับคุณหนูจนได้

          “โอเคค่ะ เอมจะเดินดูอย่างระวังไม่ไปรบกวนลูกค้าแน่นอนค่ะ”

          หญิงสาวรีบตอบรับ ยิ้มกว้างพอใจในวิธีการของวิมล

          “ตามมาทางนี้ค่ะ เดี๋ยววิมลจะสั่งเด็กจัดหาชุดยูนิฟอร์มโรงงานที่ขนาดพอดีตัวให้กับคุณหนูเอมนะคะ”

          หญิงสาวก้าวตามวิมลไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ใส่ชุดยูนิฟอร์มโรงงานเป็นครั้งแรก

          หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คนในกระจกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชอบใจกับเสื้อเชิ้ตยูนิฟอร์มแขนสั้นสีฟ้าอ่อน ปักชื่อบริษัทด้วยอักษรสีแดงที่อกด้านซ้าย กางเกงทรงกระบอกสีเดียวกับเสื้อออกจะยาวไปสักนิดแต่หญิงสาวคิดว่าก็ไม่เป็นปัญหา แค่พับขากางเกงขึ้นสองทบก็เรียบร้อยแล้ว

          หญิงสาวรวบผมยกสูงมัดเป็นหางม้าเพื่อความทะมัดทะแมง แซมดอกหอมหมื่นลี้ช่อเล็กๆ ที่ยางรัดผมสีดำทำให้เกิดกลิ่นหอมธรรมชาติใช้แทนน้ำหอมสังเคราะห์ได้เป็นอย่างดี

          เมื่อคิดว่าทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางแล้ว จึงเดินออกจากห้องจนได้พบกับสาวผมหน้าม้าในชุดยูนิฟอร์มโรงงานสีเดียวกันยืนรออยู่

          “สวัสดีค่ะคุณหนูเอม คุณวิมลสั่งให้ยุพาเป็นคนพาคุณหนูเดินชมโรงงานค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ยุพาที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก

          “หรือคะ งั้นรบกวนคุณยุพาด้วยนะคะ” นึกขอบคุณ คุณวิมลจริงๆ อุตส่าห์หาคนนำทางให้

          “เรียกยุพาเฉยๆ เถอะค่ะ เรียกคุณมันไม่ชิน” ยุพาทำหน้าเขินๆ หัวเราะน้อยๆ เพราะไม่คิดว่าลูกสาวท่านประธานจะมีมารยาทงามถึงขนาดเรียกสาวโรงงานอย่างเธอว่าคุณ

          เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่โรงงานที่วางผังไว้เป็นอย่างดีด้วยการทาสีขาวเหลืองบนพื้นปูน แถบสีขาวยาวตรงไปจนสุดผนังกำหนดไว้ให้วางเครื่องทอผ้าแบบอัตโนมัติ ฝั่งตรงกันข้ามถูกทาพื้นด้วยแถบสีเหลืองยาวตรงไปจนสุดผนังขนานกันเป็นที่วางเครื่องทอผ้าแบบทอมือนั่นเอง ทั้งยังมีสัญลักษณ์รูปลูกศรแสดงถึงทางเดินที่ปลอดภัย

          คุณหนูแสนสวยมองดูกรรมวิธีการทอผ้าด้วยเครื่องโครงเหล็กสี่เหลี่ยมมีมอเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติ เธอรู้สึกทึ่งในเทคโนโลยีการทอผ้าแบบใหม่นี้เหลือเกิน นึกชื่นชมคนโบราณที่คิดประดิษฐ์กี่ทอผ้าต้นตำรับจนคนรุ่นใหม่ต่อยอดผลิตเครื่องทอผ้าแบบอัตโนมัตินี้ได้สำเร็จ

          หากแต่หญิงสาวคุ้นเคยกับเครื่องทอผ้าโครงไม้ในโซนแถบสีเหลืองมากกว่า พื้นที่บริเวณนั้นสำหรับวางเครื่องทอผ้าแบบทอมือที่น่าจะเรียกว่ากี่ทอผ้าขนาดใหญ่ได้เลย และพนักงานหญิงในส่วนใหญ่อยู่ในวัยกลางคน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้กี่ทอผ้าแบบดั้งเดิม

          ทำให้คิดถึงบรรยากาศเมื่อครั้งยังเด็ก คุณยายสอนคนงานทอผ้าด้วยกี่ไม้ธรรมดาที่ขนาดเล็กกว่านี้มาก เด็กน้อยเอมมาลินรบเร้าให้คุณยายช่วยสอนเธอจนสามารถทอผ้าลายพื้นฐานได้ตั้งแต่ครั้งนั้น

          ครั้งนี้ เมื่อพนักงานหญิงช่วยสอนทอผ้าลวดลายสวยแปลกตา จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธออีกต่อไป

          หญิงสาวคิดเล่นๆ ขอให้การประชุมยาวนานกว่านี้อีกสักนิดเถิด คนทางนี้กำลังสนุกเลย

 

          โถงทางเดินที่เคยมีพนักงานเดินขวักไขว่ไปมา บัดนี้กลับเงียบสงบตามคำสั่งของผู้จัดการพอเจตน์ที่ห้ามทุกคนเดินไปมาระหว่างแผนกในวันนี้ ความเงียบคงอยู่สักครู่ใหญ่ ไม่นานนักมีเสียงกลุ่มคนเดินมาพร้อมเพรียงกันจากฝั่งซ้ายมือ นำโดยพอเจตน์ที่ชี้ชวนให้ลูกค้าได้ชมสถานที่รอบบริเวณก่อนเข้าสู่ห้องฝ่ายการตลาด ส่วนประพันธ์ล่ามจีนทำหน้าที่แปลภาษาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

          จางเหวินเซียวหันไปมองห้องที่อยู่เยื้องไปเล็กน้อย หน้าประตูห้องนั้นมีป้ายเขียนกำกับทั้งภาษาไทยและอังกฤษว่า 'ห้องประธาน / President Room'

          สายสุนีย์เจ้าของห้องหันไปเห็นท่าทีสนใจเช่นนั้น จึงไม่อาจทำเป็นนิ่งเฉยได้ รีบเรียกวิมลเข้ามาสอบถามเสียงเบา

          “วิมล เข้าไปดูความเรียบร้อยในห้องของฉันหน่อยนะ อ้อ....บอกยายเอมด้วยว่า.....”

          “เอ่อ....คุณหนูไม่อยู่ในห้องค่ะท่าน” วิมลรีบบอกทันทีทั้งที่สายสุนีย์ยังพูดไม่จบประโยค

          ประธานหญิงเห็นว่าเป็นการดีที่ลูกสาวไม่อยู่ห้องสักพักจึงไม่ได้ถามต่อ หันไปเอ่ยกับจางเหวินเซียว

          “ทางนี้คือห้องทำงานของดิฉันเอง ถ้าคุณจางเหวินเซียวไม่รังเกียจ เชิญด้านในค่ะ”

          เห็นอยู่แล้วว่าจางเหวินเซียวไม่กล้าจะเอ่ยเพราะความเกรงใจ สายสุนีย์จึงเป็นฝ่ายเชิญเสียเอง

          “ครับ ผมขอรบกวนไม่นานหรอกครับ”

          สายสุนีย์ออกจะแปลกใจเล็กน้อยที่ชายหนุ่มให้ความสนใจห้องทำงานของเธอเป็นพิเศษ แต่คิดขึ้นได้ว่าตำแหน่งที่ตั้งห้องผู้บริหารระดับสูงส่งผลต่อธุรกิจตามหลักฮวงจุ้ย จางเหวินเซียวอาจจะเคร่งครัดเรื่องฮวงจุ้ยตามตำราจีนก็เป็นได้

         เพื่อไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป จางเหวินเซียวจึงขอตัวเข้าไปภายในห้องท่านประธานเพียงคนเดียว ปล่อยให้หลี่เจี๋ยเข้าไปนั่งฟังรายงานฝ่ายการตลาดพร้อมกับคนอื่นๆ

          ชายหนุ่มเดินเข้าสู่ห้องกว้างโทนสีสว่าง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างลวกๆ เหมือนมองหาใครสักคน แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใคร จึงก้าวเท้าช้าลงและเริ่มมองการจัดวางข้าวของที่เป็นระเบียบตามมุมต่างๆ ของห้อง

          “เป็นอย่างไรบ้างคะ ห้องทำงานของดิฉัน อาจจะคับแคบไปสักหน่อย”

          “หามิได้ครับ” จางเหวินเซียวหันมาพูดด้วยความเกรงใจ หากแต่สายตาทอดยาวไปด้านหลังของประธานหญิง รูปติดผนังนั้นช่างสะดุดตาเขาอย่างมาก

          เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่รูปภาพที่เดาไม่ยากว่าคือรูปครอบครัว ซึ่งประกอบไปด้วยคุณสายสุนีย์และสามีนั่งคู่กันบนเก้าอี้ไม้สักฉลุลาย มีเด็กชายที่นั่งอยู่ที่ตักของผู้เป็นพ่อ ส่วนหญิงสาวหน้าตาสะสวยหมดจดที่นั่งกอดแขนสายสุนีย์อยู่นั่นเล่า.......

          ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด จ้องมองดวงหน้าหญิงสาวในรูปอย่างพินิจพิเคราะห์ไม่วางตา

          “นั่นรูปครอบครัวของดิฉันเองค่ะ สามีรับราชการอยู่กระทรวงการต่างประเทศประจำอยู่สำนักงานส่วนกลางที่กรุงเทพค่ะ”

          “แล้วทั้งสองคนนี้คือลูกๆ ของคุณ...” จางเหวินเซียวไม่กล้าสอบถามตรงๆ

          “อ่อ คุณจางเหวินเซียวคงเห็นว่าหน้าตาของทั้งคู่ดูไม่คล้ายกันสักเท่าไร ลูกสาวคนโตเกิดกับอดีตสามีชาวจีนของดิฉัน ส่วนลูกชายเกิดกับสามีคนปัจจุบันค่ะ” น้ำเสียงที่ดูไม่ซีเรียส ทำให้จางเหวินเซียวคลายความกังวลที่เจ้าของเรื่องยินดีที่จะเล่าให้ฟัง จึงดูไม่เหมือนเขาละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวมากจนเกินไป

          “ไม่น่าเชื่อว่ามีลูกสาวโตขนาดนี้แล้วนะครับ ทั้งที่คุณสายสุนีย์ยังดูอ่อนเยาว์อยู่มาก ดูท่าทางจะเก่งเหมือนคุณแม่แน่นอน ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองดวงหน้างามประดับรอยยิ้มแห่งความสุขในรูปภาพนั้น ประธานหญิงหัวเราะเบาๆ รองประธานหนุ่มผู้นี้ช่างใช้คำพูดถามทางอ้อมอย่างชาญฉลาด

          “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เอมมาลินลูกสาวคนโตของดิฉันอายุเพิ่งย่างสิบแปดปี เขาขอไปเรียนต่อที่ประเทศจีน นี่ก็กลับมาเมืองไทยช่วงปิดเทอม แล้วเดี๋ยวเดือนหน้าต้องกลับไปเข้าร่วมปฐมนิเทศมหาวิทยาลัยชั้นนำที่โน่น”

          เป็นธรรมดาที่คนเป็นแม่ย่อมพูดถึงลูกสาวที่ทั้งสวยทั้งเก่งด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ

          “ชื่อเอมมาลิน.....ฟังดูเรียบง่ายดีนะครับ ผมเคยได้ยินว่าคนไทยมักจะตั้งชื่อยาวจนคนต่างชาติอย่างผมจำไม่ค่อยได้”

          “ถ้าคุณจางเหวินเซียวมาเมืองไทยบ่อยๆ อีกหน่อยจะชินไปเองค่ะ”

          ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย สำหรับเขาแล้ว ความน่าสนใจในสิ่งต่างๆ ยังมีอีกมาก

          ร่างสูงกำยำก้าวตรงไปที่โซนห้องรับแขกขนาดย่อมใกล้กับผนังสีชามองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้

          ตรงจุดนี้สินะ ที่สามารถมองลงไปเห็นบริเวณลานกว้างหน้าอาคาร

          เขาเลื่อนสายตาลงมาที่โต๊ะรับแขก รู้สึกสนใจดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกัน ดอกไม้ที่จางเหวินเซียวเองก็รู้จักเช่นกัน ‘ดอกกุ้ยฮวา’ นั่นเอง

          “ที่เมืองไทยก็ชอบดอกกุ้ยฮวาเหมือนกันหรือครับ ดอกสวยเหมือนที่เมืองจีนเลย”

          “คงเพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ยายเอม...เอ้อ...เอมมาลินซื้อมาจากเมืองจีนนั่นแหละค่ะ ปกติดอกไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยชอบอากาศร้อนอย่างที่เมืองไทยสักเท่าไร ปีนี้ออกดอกสวยเป็นครั้งแรกลูกสาวเลยเด็ดส่วนหนึ่งมาปักแจกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ไปเดินซนอยู่ที่ไหนนะคะ ไม่งั้นจะแนะนำให้รู้จักกับคุณจางเหวินเซียว รายนั้นนะเขาพูดภาษาจีนเก่งค่ะ”

          จากที่สายสุนีย์พูดยกยอลูกสาวจนจางเหวินเซียวเองก็นึกสนใจหญิงสาวที่ชื่อเอมมาลินคนนี้เสียแล้ว.....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา