ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  16.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) เรื่องภายในใจไม่อาจลืม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ที่อยู่ๆเธอก็ถูกแม่ทัพหนุ่มขโมยจูบแรกไป แถมยังสารภาพความในใจว่าชอบเธอ แล้วเวลานี้เธอควรต้องรู้สึกอย่างไรดี ในเมื่อเธอเป็นเพียงหญิงธรรมดา เป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่หมอหลิวซูเหยียนอุปโลกน์ขึ้น เป็นเพียงหญิงที่ไม่มีตัวตนในโลกยุคนี้เลยด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าตกใจ ข้าขอโทษ” หวางชุนเทียนพูดด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่ความจริงแล้วจูบนั้นคือความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ต่อนาง แต่นางกลับเข้าใจว่าเขาฉวยโอกาส
“แต่เรื่องที่ข้าชอบเจ้า มันคือเรื่องจริง...แล้วเจ้าเล่า...” นัยน์ตายาวรีของชายหนุ่มจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย
เมื่อถูกชายหนุ่มคาดคั้นขอคำตอบ เหม่ยหลินหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตา จะให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธทันทีทันควันได้อย่างไร?
“หรือว่ายังโกรธข้าอยู่? จะให้ข้าทำเช่นไร บอกข้ามาสิ”
ร่างบางสะดุ้งไปเล็กน้อยกับน้ำเสียงกระวนกระวายของอีกฝ่าย ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ต้องคิดให้ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ข้ารู้สึก....รู้สึกง่วงนอนแล้ว พาข้ากลับจวนเถอะ”
หญิงสาวพลันยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ ทำเหมือนง่วงงุนเต็มที่
“อะไรนะ เจ้าง่วงนอน? แต่เรายังคุยกันไม่จบ”
“แล้วจะให้ข้านอนที่นี่หรืออย่างไรเจ้าคะ” ดวงหน้าหวานแสร้งทำตาปรือ ความจริงแล้วเหม่ยหลินรู้สึกอายเกินกว่าที่จะตอบคำถามของชายหนุ่มในตอนนี้
“หากท่านแม่ทัพยังไม่อยากกลับ ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ” หญิงสาวพยายามข่มเสียงสั่นๆไว้ พลางหันหลังก้าวออกไป
แม่ทัพหนุ่มเอียงคอมองร่างระหงที่เดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะก้าวเดินตามไป
เอาเถิด...ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่อาจรู้ความในใจของนาง แต่อย่างน้อยนางก็ได้รู้ความในใจของเขาแล้ว
หวางชุนเทียนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ที่หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกของเขาเป็นเพราะต้องการเวลามากกว่านี้ เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้นางยอมรับเขาในฐานะคู่รัก ไม่ใช่เป็นเพียงผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่งเท่านั้น
 
เบื้องล่างกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ กลับมีใครคนหนึ่งที่เอาแต่ยืนนิ่งเงยหน้ามองดูความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนกำแพงข้างหอประตูเมือง สถานที่ที่ควรจะมีทหารชั้นประทวนยืนประจำตำแหน่งอยู่  แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้สักคนเดียว
และสองชายหญิงที่เพิ่งเดินจากไปก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ทัพหวางชุนเทียนและแม่นางเหม่ยหลิน
“ท่านรองแม่ทัพ ตอนนี้คนของเราตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาตามคำแนะนำขององค์ชายรองขอรับ” หลัวอี้ชิงที่เพิ่งกลับมาจากนอกเมืองก้าวเข้ามารายงานจากทางด้านหลัง
“ท่านรองแม่ทัพขอรับ มัวแต่มองสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” ทหารคนสนิทเรียกซ้ำอีกครั้ง
ครั้นหลัวอี้ชิงลองเงยหน้ามองขึ้นไปยังทิศทางนั้นบ้าง เกิดความแปลกใจที่วันนี้ไม่มีทหารประจำการบนกำแพงเมืองเลย จนกระทั่งเห็นชายหญิงโผล่ออกมาจากฝั่งบันไดทางลงหอประตูเมือง ดูเหมือนทั้งสองก้าวขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับที่หมาย
“ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพหวางชุนเทียน และนั่นก็คงจะเป็นแม่นางเหม่ยหลินคู่หมายใช่ไหมขอรับ”
“คู่หมาย…ใช่...ตอนนี้นางเป็นเพียงคู่หมาย” เหอไป่เฉินกล่าวถึงหญิงสาว        
 “แต่ถึงอย่างนั้น แม่นางลู่หลิ่งบอกว่าอีกไม่นานทั้งสองจะแต่งงานกันหลังจากองค์ชายใหญ่เข้าพิธีแต่งตั้งเป็นรัชทายาท” หลัวอี้ชิงพูดตามที่รู้มา
“ฮึ!” เหอไป่เฉินแค่นหัวเราะออกมา ภายในใจกลับคิดสวนทางกับคำพูดของหลัวอี้ชิง
‘หวางชุนเทียน...อย่าเพิ่งดีใจไป สิ่งที่เจ้าคิดอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นก็เป็นได้!’
 
ที่ตำหนักเฟยหลง องค์ชายรองลี่หยางขอเฝ้าองค์ชายใหญ่ลี่หมิงเป็นการส่วนตัว ทั้งสองนั่งดื่มสุรากันตามประสาพี่น้อง
“เสด็จพี่อยู่ชายแดนใต้หลายเดือนแล้ว กลับมาวังหลวงครั้งนี้ต้องพักผ่อนให้มากๆนะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองเอ่ยคำพูดที่พยายามสื่อให้เห็นถึงความห่วงใย
“ฮะๆๆ น้องรองช่างใส่ใจยิ่งนัก หรือว่าข้าดูซูบผอมลงไปงั้นหรือ” เสียงหัวเราะดังขึ้น
พระวรกายขององค์ชายใหญ่แม้ดูผอมลงจากเดิมแต่ก็ดูกำยำแข็งแรงขึ้น ใบหน้าที่เคยดูขาวสะอาดสะอ้านเปลี่ยนแปลงเป็นคร้ามคมและคล้ำลงไปเล็กน้อยหากเทียบกับหลายเดือนก่อน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความตั้งใจในการออกพื้นที่เพื่อดูแลการซ้อมรบของเหล่าทหารที่ชายแดนทางใต้
“จะว่าไปแล้วระหว่างที่ข้าไม่อยู่น้องรองดูแลเสด็จพ่อได้ดีทีเดียว เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องนำทัพอีกครั้งก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
“ไยเสด็จพี่จึงคิดถึงการนำทัพออกรบอีก แคว้นตงเยว่ของเราในยามนี้ก็สงบสุขดีอยู่แล้ว หรือว่า...เสด็จพี่คิดการใหญ่เกี่ยวกับเรื่องบ้านเมือง บอกข้าได้หรือไม่”
องค์ชายใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะมองหน้าองค์ชายรองพลางทำหน้าครุ่นคิด
แม้จะกลับเข้าวังหลวงเพียงไม่กี่วัน ก็ทราบข่าวคราวหลายเรื่องจากขันทีผู้ซื่อสัตย์ที่อยู่รับใช้พระชายาหม่านลี่คอยรายงานข่าวคราวที่เกิดขึ้น ทำให้องค์ชายใหญ่ได้รับรู้ถึงความสนิทสนมระหว่างองค์ชายรองและรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแห่งแคว้นม่งอู๋ ถึงขั้นรับเป็นอาคันตุกะส่วนพระองค์
แล้วจะให้เอ่ยความลับเกี่ยวกับการทหารให้องค์ชายรองรับรู้ได้อย่างไร!
ในเมื่อการนำทัพที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป้าหมายคือแคว้นม่งอู๋ กลศึกจะเป็นเช่นไร มีแต่องค์ชายใหญ่และแม่ทัพหวางชุนเทียนเท่านั้นที่รู้ดี
“อ่อ...ข้าหมายความว่า เราไม่ควรประมาทแคว้นฟู่เฉิงที่ตอนนี้เกิดกบฏภายในแคว้น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ เมืองชายแดนทางใต้ของเราอาจถูกรุกรานได้”
ทรงกล่าวถึงแคว้นฟู่เฉิงที่อยู่ติดกับชายแดนใต้ อย่างน้อยทรงตอบแบบนี้เพื่อทำให้องค์ชายรองหายคลางแคลงใจ
“เป็นเช่นนี้เอง เสด็จพี่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อบ้านเมือง ข้าละอายใจยิ่งนักที่มิได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของเสด็จพี่”
“น้องรองอย่าคิดมากเลย ข้าต่างหากที่มีหน้าที่ต้องดูแลน้องรองตามคำสั่งเสียของเสด็จแม่”
องค์ชายใหญ่ทรงคิดถึงเสด็จแม่ผู้เป็นพระมเหสีของท่านอ๋องที่สิ้นพระชนม์จากการถูกลอบวางยาพิษในอาหาร นางกำนัลซึ่งเป็นคนร้ายถูกจับได้ก็ซัดทอดไปถึงสนมรองผู้หนึ่ง จากหลักฐานที่มัดตัวแน่นหนาทำให้ทุกคนต่างก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของสนมรองผู้นั้นที่บังอาจคิดการใหญ่อยากยกฐานะตัวเอง
พระมเหสีทรมานจากพิษในร่างกายอยู่หลายวัน ถึงกระนั้นก็ยังมีความเป็นห่วงองค์ชายรองมากไม่น้อยไปกว่าองค์ชายใหญ่ ทั้งที่พระมเหสีไม่ใช่แม่แท้ๆขององค์ชายรอง!
มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายรองลี่หยางคือพระสนมเอกผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอ หลังจากให้คลอดองค์ชายรองได้ไม่นายสุขภาพก็ทรุดหนักและสิ้นพระชนม์ลง พระมเหสีจึงยินดีรับองค์ชายรองไว้เป็นเหมือนดังบุตรอีกคนหนึ่งตามคำสั่งของเสด็จย่า และดูเหมือนความรักที่มีให้ต่อบุตรชายทั้งสองเป็นไปอย่างเสมอภาค
แต่สำหรับองค์ชายรองแล้วรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมในการเลี้ยงดูอย่างชัดเจน...
“เรื่องปกป้องชายแดนทางใต้ ข้าคิดว่าเสด็จพี่ไม่จำเป็นต้องกระทำด้วยองค์เอง ให้เป็นหน้าที่ของแม่ทัพหวางจะไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ กบฏแคว้นเล็กๆอย่างแคว้นฟู่เฉิงจะมาทำอะไรแคว้นตงเยว่อย่างเราได้ อีกอย่างแคว้นม่งอู๋คงไม่ปล่อยให้มาผู้ใดมายึดครองแคว้นเราไปง่ายๆ”
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองขององค์ชายรองก็สวนทางกับองค์ชายใหญ่โดยสิ้นเชิง
“ที่พูดเช่นนี้ เป็นเพราะน้องรองยอมรับการเป็นเมืองขึ้นของแคว้นม่งอู๋มากกว่าสิ่งอื่นใด” องค์ชายใหญ่เลิกคิ้วถาม
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้ เพียงแค่เราส่งบรรณาการเล็กๆน้อยๆให้แคว้นม่งอู๋ เราก็อยู่สุขสบายดีมิใช่หรือ”
องค์ชายใหญ่ถอนหายใจเฮือกกับความคิดของน้องชายต่างมารดา ช่างคิดเรื่องบ้านเมืองได้อย่างผิวเผินเสียจริง ราษฎรต้องตรากตรำทำงานเพิ่มหลายเท่าเพื่อเลี้ยงชีพ เสียภาษี และเพื่อบรรณาการที่ส่งให้แก่แคว้นม่งอู๋นั่นอีก หากต่อไปถูกบังคับให้ต้องเพิ่มบรรณาการขึ้นเรื่อยๆ แล้วแคว้นตงเยว่ของเราคงไม่พ้นสิ้นชาติเป็นแน่
“เอาเถิด เราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว วันนี้มานั่งดื่มกันให้เต็มที่ดีกว่า มา...ดื่ม” องค์ชายใหญ่เป็นฝ่ายจบการสนทนาเรื่องบ้านเมืองแล้วชักชวนดื่มสุรา
ในขณะที่องค์ชายใหญ่ทรงคิดกับองค์ชายรองในแบบพี่ใหญ่ที่รักน้อง
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกลับคิดตรงกันข้าม
องค์ชายรองยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางมององค์ชายรองด้วยสายตาเยือกเย็น ยากจะหยั่งรู้ว่าน้องคนนี้คิดสิ่งใดอยู่ภายในใจ
 
หลังกลับจากตำหนักเฟยหลงแล้ว องค์ชายรองยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณที่เขียนชื่อมารดาผู้ล่วงลับ
“เสด็จแม่สมควรได้ใช้ชีวิตและมีความสุขมากกว่านี้ ลูกไม่มีวันลืมว่าเสด็จแม่ต้องจากลูกไปเพราะอะไร!”
เสด็จแม่...พระสนมเอกที่ต้องจากไปเพราะความอคติของเสด็จย่า! และความนิ่งดูดายของพระมเหสี!
แม้บัดนี้เสด็จย่าเองก็ได้สิ้นพระชนม์ไปตามอายุขัยแล้ว แต่สิ่งที่เหลือไว้คือความทุกข์ขององค์ชายรองหลังจากที่ทรงรับรู้เรื่องการตายของมารดาจากคนรับใช้เก่าแก่ที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของพระสนมเอก
ในอดีต พระสนมเอกทรงคลอดองค์ชายรองในช่วงเวลาที่ท่านอ๋องนำทัพไปชายแดน เสด็จย่าไม่ทรงโปรดพระสนมเอกผู้มาจากสามัญชน แต่พระสนมเอกกลับเป็นที่โปรดปรานที่สุดในบรรดาสนมทุกคน เสด็จย่าไม่เคยใส่ใจพระสนมเอกที่เพิ่งคลอดบุตรชายและเสียเลือดมากจนร่างกายไม่อาจต้านทานไหว
ทั้งที่ร่างกายย่ำแย่อยู่หลายวันแต่เสด็จย่ากลับจงใจปล่อยปละละเลยไม่คิดตามหมอหลวงฝีมือดีมารักษาอาการ นอกจากนี้ยังติดสินบนหมอหลวงให้ทูลต่อท่านอ๋องว่าเป็นเพราะสุขภาพที่อ่อนแอนั้นเป็นสาเหตุของการสิ้นพระชนม์
ความเป็นจริงเหล่านี้ คงไม่มีผู้ใดคิดรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อเอาผิดผู้ใดได้อีกแล้ว
คงมีแต่องค์ชายรองที่ไม่อาจลืมอดีตอันน่าเศร้านี้ได้
 
“เสด็จพี่เพคะ” เสียงของพระชายาฟางซินดังขึ้นทันทีที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามายังห้องบรรพชน
เมื่อเห็นพระสวามีที่ยืนต่อหน้าป้ายวิญญาณยังคงนิ่งเงียบ พระชายาฟางซินจึงพูดต่อ
“นางกำนัลเตรียมฉลองพระองค์สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุใดจึงคิดไปล่าสัตว์ที่นอกเมืองกะทันหันเช่นนี้เพคะ จะไม่อันตรายหรอกหรือ”
สำหรับพระชายาฟางซินแล้ว นางค่อนข้างเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าองค์ชายรองไม่ได้ทรงโปรดการเข้าป่าล่าสัตว์ แต่น่าแปลกใจที่พอกลับมาจากตำหนักเฟยหลงก็เอ่ยปากบอกว่าพรุ่งนี้ต้องออกนอกเมืองไปล่าสัตว์กับองค์ชายใหญ่
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับข้าอย่างแน่นอน” องค์ชายรองหันมาเหยียดยิ้มอย่างมั่นใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา