ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
17.02K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) โคมไฟคู่รักกับจูบแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความราตรีนี้ช่างดูสว่างไสวมากกว่าทุกค่ำคืน บ้านเรือนและร้านค้าต่างพร้อมใจกันประดับประดาโคมไฟไว้หน้าประตูจนทำให้เกิดแสงสีสวยงาม คงเป็นเพราะวันนี้คือวันพิเศษทำให้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความสุขสำราญของผู้คนบนท้องถนนและตรอกทางเดิน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเหม่ยหลินที่เพิ่งเคยเดินเที่ยวตลาดยามค่ำคืนเป็นครั้งแรก
ในขณะเดียวกัน เจ้าของร้านขายโคมมองเห็นสองชายหญิงแต่งตัวดีดูมีฐานะเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในร้าน จึงผละจากลูกค้ารายอื่นรีบวิ่งออกมาต้อนรับทันที
“เชิญนายท่านทั้งสองชมด้านใน ร้านเรามีโคมคู่รักหลายแบบให้นายท่านทั้งสองเลือกขอรับ”
พ่อค้าวัยกลางคนคาดเดาไปเองว่าทั้งสองคงจะเป็นคู่รักกัน จึงคะยั้นคะยอให้เข้ามาเดินเลือกดูบรรดาโคมไฟสีสวยที่แขวนอยู่แถวหลังสุดอยู่ภายในร้าน
“เจ้าอยากได้มิใช่หรือ เข้าไปเลือกสิ” เขาหันกลับมาบอกหญิงสาว
เหม่ยหลินยืนนิ่ง จริงอยู่เธอขอให้เขาพามาเลือกซื้อโคมลอย แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากได้ ‘โคมคู่รัก’ เสียหน่อย
“ข้าขอเดินดูโคมไฟทั่วไปที่หน้าร้านดีกว่าเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินเลี่ยงที่จะไม่ดูโคมคู่รัก จึงรีบปลีกตัวออกไปหน้าร้านทันที ปล่อยให้หวางชุนเทียนยืนเลือกโคมอยู่กับพ่อค้านักขายที่ยัดเยียดสินค้าให้ไม่หยุด
หญิงสาวเดินหลบหลีกผู้คนในร้านที่หนาแน่นพอสมควรเพื่อออกมาบริเวณหน้าร้านให้ได้ ทั้งที่พยายามเบี่ยงตัวเพื่อไม่ให้ชนเข้ากับลูกค้าคนอื่น แต่อยู่ๆก็ปะทะเข้ากับร่างใครบางคนเข้าจนได้
“โอ๊ย!” เหม่ยหลินที่ไม่ทันระวังตัวถูกชนเข้าจนหงายหลัง ยังดีที่มือของคู่ปะทะได้คว้ามือของหญิงสาวไว้ก่อนที่ร่างบางจะถึงพื้น
“แม่นางเหม่ยหลิน ข้าเอง”เจ้าของมือหนากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
“อะ...เอ่อ ท่านรองแม่ทัพเหอไป่เฉิน” หญิงสาวเงยหน้าเห็นแล้วตกใจ ทำไมเจอกับคนๆนี้อีกแล้วนะ!
ตรงกันข้ามกับเหอไป่เฉินที่รู้สึกดีใจเมื่อได้พบกันอีกครั้ง และยังคงจับมือนุ่มนิ่มของเธอไว้แน่น
จากที่เมื่อครู่เขายืนอยู่ริมถนนฝั่งตรงกันข้าม เผอิญมองมาที่ร้านขายโคมแห่งนี้จนได้เห็นเหม่ยหลินกำลังเดินเบียดเสียดผู้คน จึงรีบเดินเข้ามาหาหวังว่าจะได้สนทนากัน
แต่ตอนนี้...กลับเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ดวงหน้างามดูเหมือนตระหนกที่ได้เห็นเขา
ส่วนแม่ทัพหนุ่มหวางชุนเทียนที่ชะเง้อมองเห็นเหตุการณ์ พลันสาวเท้าเข้ามาโดยเร็วเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตายืนเคียงข้างหญิงสาว
คนคนนั้นคือคู่ปรับเก่าของเขาเอง...เหอไป่เฉิน!
หวางชุนเทียนรีบเข้ามาคว้ามือของเหม่ยหลินดึงเข้าหาตัว แต่มืออีกข้างของเหม่ยหลินกลับยังถูกเหอไป่เฉินจับยึดไว้อยู่ ทำให้ร่างบางไม่สามารถขยับไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้
“ปล่อยมือเหม่ยหลินเดี๋ยวนี้ รองแม่ทัพเหอ!”
เสียงกร้าวดังขึ้นจนหญิงสาวที่อยู่ระหว่างกลางถึงกับสะดุ้ง
เหอไป่เฉินชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องจำใจปล่อยมือหญิงสาวด้วยความรู้สึกเสียดาย
“อ่อ...ท่านแม่ทัพหวาง ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพก็ชอบเดินเที่ยวชมโคมไฟยามค่ำคืนด้วย”
“ข้าต่างหากที่ควรต้องแปลกใจที่ได้พบท่านที่นี่” เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิดด้วยไม่พอใจที่ชายผู้นี้มาแตะเนื้อต้องตัวเหม่ยหลิน
“ข้าก็แค่เข้ามาทักทายแม่นางเหม่ยหลินเท่านั้น ไม่ได้หรือ?”
“เช่นนั้นก็คงหมดธุระแล้ว ไปกันเถิดเหม่ยหลิน” หวางชุนเทียนพูดตัดบท ครั้นจูงมือเหม่ยหลินเดินออกไปเพียงสองสามก้าว พ่อค้านักขายถือโคมสองดวงวิ่งมาดักหน้า
“เดี๋ยวขอรับนายท่าน! โคมคู่รักที่นายท่านเลือกไว้สองดวงนี้ ตกลงนายท่านจะซื้อดวงไหนขอรับ”
เดิมทีจะให้เหม่ยหลินช่วยเลือกหนึ่งในสองดวงนี้ แต่ก็เห็นว่าควรไปให้พ้นจากหน้าร้านให้เร็วที่สุดจะดีกว่า หวางชุนเทียนจึงเลือกหยิบดวงที่ใกล้มืออย่างรีบๆ
“พ่อค้า ข้าขอซื้อโคมอีกดวงหนึ่งก็แล้วกัน” เหอไป่เฉินแสร้งพูดกับพ่อค้าด้วยเสียงอันดัง จนทำให้แม่ทัพหวางชะงักพลันเหล่ตามอง
“เพราะข้าชื่นชอบของทุกอย่างที่ท่านแม่ทัพเลือก ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพเลือกสรรสิ่งใด สิ่งนั้นล้วนเป็นของดี”
เสียงหัวเราะเบาๆ และคำพูดอย่างมีเลศนัยของรองแม่ทัพหนุ่มทำให้หวางชุนเทียนอารมณ์พลุ่งพล่านหันกลับไปมองหน้าอย่างหัวเสีย เหม่ยหลินเห็นท่าไม่ดีรีบเกาะแขนแม่ทัพหนุ่มไว้แน่น ก่อนที่จะส่ายหน้าพร้อมพูดห้ามปราม
“อย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ไปกันเถิด”
เหม่ยหลินรีบดึงแขนชายหนุ่มเดินจากไปท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัด ปล่อยให้เหอไป่เฉินยืนมองด้วยสายตาชิงชังอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองเดินออกมาไกลจากร้านขายโคมมากแล้ว แต่เหม่ยหลินยังรู้สึกหวั่นๆกับสถานการณ์เมื่อครู่ ทั้งแม่ทัพและรองแม่ทัพต่างก็พกอาวุธเป็นกระบี่ประจำกายอยู่แล้ว หากมีการทะเลาะเบาะแว้งจนต่อสู้กันจนเลือดตกยางออกคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต
“ยิ้มอะไรเจ้าคะ” หญิงสาวนิ่วหน้าแปลกใจ หลังจากเงยขึ้นมองคนข้างกายที่ตอนนี้กลับมีสีหน้าระรื่น ตรงกันข้ามกับอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อครู่
“เปล่านี่” แม่ทัพหนุ่มพูดหน้าตาย
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม เมื่อครู่ท่านยังโกรธรองแม่ทัพเหอมากขนาดนั้น ทำไมตอนนี้...”
“ก็เพราะตอนนี้...ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้วอย่างไรเล่า” เขาพูดพลางหลุบตามองต่ำ
หญิงสาวมองตาม...แล้วเธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินกอดแขนของหวางชุนเทียนมาตลอดทาง
‘ตายจริง! ไม่น่าเผลอตัวขนาดนี้เลยเรา!’ หญิงสาวรีบคลายมือทั้งสองข้างออกจากแขนกำยำผละตัวออกทันที
“อย่าอยู่ห่างข้า เดี๋ยวเจ้าก็เดินชนกับใครเข้าอีกหรอก มาเถิด...ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง” ไม่พูดเปล่าพลางคว้ามือนุ่มกลับมาไว้ที่ตำแหน่งเดิม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพาเดินต่อ
“คนฉวยโอกาส!” หญิงสาวทำหน้าย่นบ่นพึมพำเบาๆ พยายามดึงมือออก แต่ก็ถูกจับไว้แน่นกว่าเดิมเสียอีก...
สถานที่ที่หวางชุนเทียนพาเหม่ยหลินไปก็คือหอประตูเมืองฝั่งตะวันออก ซึ่งมีเหล่าทหารยืนประจำการอยู่หลายสิบนาย เมื่อทหารทุกนายเห็นแม่ทัพหวางชุนเทียนต่างก็หยุดทำความเคารพ และพากันหลบไปยืนประจำการด้านข้างอย่างรู้งาน หลังจากที่เห็นสายตาของแม่ทัพหันมามองราวกับส่งสัญญาณว่าต้องการความเป็นส่วนตัว
“ว้าว...มองจากตรงนี้ เมืองหลวงสวยมากกกก” น้ำเสียงลากยาวด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นทันทีที่สายตาพบกับความงดงามยามค่ำคืนเบื้องล่าง แม้แต่หอประตูเมืองแห่งนี้ก็เช่นกันที่สว่างไสวจากแสงโคมที่แขวนไว้ตามจุดต่างๆทำให้บรรยากาศในยามนี้ดูสวยงามดั่งภาพฝัน
หากเมืองหลวงไม่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟหลากหลายสีสัน สถานที่แห่งนี้คงมองเห็นเพียงแค่แสงไฟสลัวๆเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หวางชุนเทียนจุดโคมไฟและชักชวนให้เหม่ยหลินจับไว้ก่อนจะปล่อยให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ดูเหมือนการซื้อโคมคู่รักมาเพียงดวงเดียวก็เป็นแผนที่แม่ทัพหนุ่มคิดไว้ตั้งแต่แรก ด้วยหวังให้หญิงสาวได้ปล่อยโคมคู่รักนี้พร้อมกันกับเขา แต่เหม่ยหลินนั้นกลับรู้สึกเพียงความสนุกสนานและอยากเห็นโคมดวงสวยลอยขึ้นเฉกเช่นเดียวกับโคมดวงอื่นๆ
“สูงขึ้นอีก อย่างนั้นแหละ สูงอีก” หลังจากเห็นโคมทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวพลันหัวเราะอารมณ์ดีจนหวางชุนเทียนอมยิ้มหันมองเจ้าของเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่เกาะกำแพงพยายามชะเง้อมองโคมไฟของตัวเองจนสุดสายตา
ในขณะที่หญิงสาวไม่ทันรู้ตัว อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เอื้อมจับมือเล็กดึงเข้าหาตัว
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“มือของเจ้าข้างนี้ ต่อไป…ห้ามผู้ใดมาจับโดยพลการอย่างเช่นวันนี้อีก” แน่นอนว่าคนที่เขากล่าวถึงคือเหอไป่เฉิน!
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวัง” ตอบไปแบบนี้แล้วคิดว่าเขาคงจะปล่อยมือเสียที
แต่ที่ไหนได้เขากลับยกมือนุ่มนิ่มขึ้นจุมพิตโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว
“อุ๊ย!...ท่านแม่ทัพ! ทะ...ท่านทำอะไร ปล่อยเจ้าค่ะ” เจ้าของมือนุ่มนิ่มอุทานขึ้น
“หากข้าปล่อย เจ้าก็จะหนีไปทางอื่นอีกน่ะสิ” เขากุมมือหญิงสาวไว้แน่นพลางขยับตัวเข้าใกล้ร่างบางที่ถอยหลังจนร่างติดขอบกำแพงหิน
“ข้าจะหลบไปทางไหนได้ ในเมื่อท่านขวางไว้แบบนี้” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น เพราะว่าชายหนุ่มอยู่ใกล้เกินไปแล้ว...ใกล้จนมองเห็นแสงวิบวับในดวงตาคู่คม
“อันที่จริง เจ้ารู้แล้วใช่ไหม”
“รู้...รู้อะไรเจ้าคะ” หญิงสาวทำหน้างงถามกลับไป
“เจ้ารู้ความในใจของข้า” เขาพูดน้ำเสียงจริงจัง
‘ความในใจ’ ที่หวางชุนเทียนพูดคืออะไร หญิงสาวรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย ทั้งที่จริงแล้วตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนไม่กล้าสบสายตา คิดเพียงว่าควรหาหนทางให้พ้นจากสถานการณ์ชวนหวั่นไหวนี้ให้ได้
“ดึกมากแล้ว เรากลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะ” เธอคิดเปลี่ยนเรื่องพลางขยับตัวหวังจะเลี่ยงให้พ้น แต่ก็ไม่ทันกับวงแขนแข็งแรงที่รวบร่างบางเข้ามากอดไว้ พลันส่งสายตาหวังสะกดให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหนี” แม่ทัพหนุ่มเชยคางมนให้เงยขึ้น ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงจ้องซึ้งลงไปในดวงตาคู่งาม พลางลดสายตามองริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
หญิงสาวตรงหน้าไม่รู้สักนิดเลยว่าความพยายามปรับลมหายใจของตนเองให้เป็นปกติที่สุดมันยากเย็นเพียงใด
“ข้าไม่ได้หนี...ข้าแค่...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ทาบลงมาบนเรียวปากสวยของหญิงสาวอย่างอดใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“…!” หญิงสาวเบิกตาโตอยู่ในอาการตกใจ เสียงหัวใจเต้นตึกตักเร็วระรัวเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา เหม่ยหลินผู้ที่มาจากโลกยุคดิจิตัลแต่กลับไม่เคยมีคนรักอย่างเช่นวัยรุ่นสาวสวยส่วนใหญ่เขามีกัน ร่างบางยืนตัวแข็งทื่อไม่คิดเลยว่าหวางชุนเทียนจะจู่โจมเธอแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
เขาไม่รู้เลยหรือว่าจูบครั้งนี้คือจูบแรกของเธอเชียวนะ!
จู่ๆ ความคิดไม่ประสีประสาก็เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเรียวปากหนาที่ประกบอยู่ทั้งนุ่มทั้งเย็นอย่างบอกไม่ถูก หรือว่า...ปากของผู้ชายทั่วไปก็เป็นเช่นนี้
หญิงสาวไม่รู้ว่าความนุ่มเย็นที่สัมผัสนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะสภาพอากาศในยามค่ำคืนต่างหาก
เพราะตอนนี้ ริมฝีปากที่ยังวนเวียนบดเบียดกลีบปากนุ่มไม่ยอมหยุดพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเริ่มตัวสั่นเทิ้มคิดอยากให้เขาเลิกจูบเธอเสียที แต่มือเล็กที่ยกขึ้นมาทาบที่อกของฝ่ายตรงข้ามกลับไร้กำลังที่จะดันร่างที่แข็งแรงกว่าให้ออกห่าง
เธอทำได้เพียงรอ…รอจนกระทั่งในที่สุดเขาก็ยอมถอนจูบจากปากของเธอ
หน้านวลแดงซ่านเอาแต่ก้มมองพื้นด้วยความอายอย่างที่สุด แต่อีกความรู้สึกหนึ่งกลับคิดเป็นอย่างอื่น
หรือนี่เป็นการฉวยโอกาสเพียงเพราะเห็นว่าเธอเป็นสมบัติของเขากันแน่!
“เจ้าโกรธข้า?” ชายหนุ่มถามหลังจากที่ถอนริมฝีปากออกและจ้องใบหน้างามที่เอาแต่ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัดนั้นทำให้คนถามเป็นกังวล
“ใช่! ข้าโกรธที่ท่านรังแกข้า ท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่งพิง จึงคิดจะทำเช่นไรกับข้าก็ได้” คำพูดนี้ทำให้หวางชุนเทียนหน้าเสียไปทันทีที่ได้ฟัง
“สิ่งที่ข้าทำเพื่อเจ้ามาตั้งแต่ต้น ไม่อาจทำให้เจ้าคิดว่าข้ามีความจริงใจกับเจ้าอีกหรือ?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แต่ยังไม่เพียงพอทำให้หญิงสาวเปลี่ยนความคิด ใบหน้างามเงยขึ้นเถียงทันควัน
“เห็นมั้ย! ตอนนี้ท่านกำลังทวงบุญคุณข้า”
หวางชุนเทียนถึงกับอึ้งไป นี่เขาพูดอะไรผิดอีกแล้ว! หญิงสาวคิดไปเองว่าเขาจูบเธอเพราะต้องการให้เธอตอบแทนบุญคุณงั้นหรือ?
“ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว” เหม่ยหลินสะบัดตัวหลุดจากมือหนา เบี่ยงตัวก้าวเดินหนี
หวางชุนเทียนรีบวิ่งเข้าไปกอดด้านหลังของเหม่ยหลินราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไป ตอนแรกคิดว่าหญิงสาวคงจะรับรู้ความในใจของเขาได้ไม่มากก็น้อย เหตุใดนางกลับคิดมากเช่นนี้
หรือที่จริงแล้ว...เป็นเขาต่างหากที่ไม่เข้าใจจิตใจของนาง
“ปล่อยข้า...นี่ท่านคิดจะรังแกข้าอีกแล้วหรือ!” ร่างบางดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอด
“เหม่ยหลิน…อยู่นิ่งๆก่อน ก็ได้…ข้าจะบอกก็ได้...ข้าชอบเจ้า! ได้ยิมไหม ข้าชอบเจ้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ซึ่งก็ได้ผล...เพราะประโยคที่ออกจากปากของชายหนุ่มนั้นมีค่ามากพอที่จะทำให้ร่างเล็กหยุดเดินหนีและยอมที่จะรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะพูด
“ได้โปรดเถิดเหม่ยหลินอย่าเข้าใจข้าผิดอีกเลย ที่ข้าจูบเจ้าเพราะข้าชอบเจ้า… ข้าเพียงอยากปกป้อง ทั้งห่วงทั้งหวง อยากเห็นหน้าเจ้าทุกวัน ทั้งหมดนี่ก็เพราะข้าชอบเจ้า!” ชายหนุ่มกระชับวงแขนแน่นขึ้น พรั่งพรูคำพูดเพื่อที่จะโน้มน้าวจิตใจหญิงสาวให้จงได้
“แล้วที่ท่านกอดข้าอยู่เช่นนี้ล่ะ” เหม่ยหลินถามเสียงเบา หากแต่หัวใจกลับมาเต้นเร็วรัวจนกลัวว่าหวางชุนเทียนจะจับได้
“ข้ากอดเจ้า ก็เพราะข้าชอบเจ้า”
ในขณะเดียวกัน เจ้าของร้านขายโคมมองเห็นสองชายหญิงแต่งตัวดีดูมีฐานะเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในร้าน จึงผละจากลูกค้ารายอื่นรีบวิ่งออกมาต้อนรับทันที
“เชิญนายท่านทั้งสองชมด้านใน ร้านเรามีโคมคู่รักหลายแบบให้นายท่านทั้งสองเลือกขอรับ”
พ่อค้าวัยกลางคนคาดเดาไปเองว่าทั้งสองคงจะเป็นคู่รักกัน จึงคะยั้นคะยอให้เข้ามาเดินเลือกดูบรรดาโคมไฟสีสวยที่แขวนอยู่แถวหลังสุดอยู่ภายในร้าน
“เจ้าอยากได้มิใช่หรือ เข้าไปเลือกสิ” เขาหันกลับมาบอกหญิงสาว
เหม่ยหลินยืนนิ่ง จริงอยู่เธอขอให้เขาพามาเลือกซื้อโคมลอย แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากได้ ‘โคมคู่รัก’ เสียหน่อย
“ข้าขอเดินดูโคมไฟทั่วไปที่หน้าร้านดีกว่าเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินเลี่ยงที่จะไม่ดูโคมคู่รัก จึงรีบปลีกตัวออกไปหน้าร้านทันที ปล่อยให้หวางชุนเทียนยืนเลือกโคมอยู่กับพ่อค้านักขายที่ยัดเยียดสินค้าให้ไม่หยุด
หญิงสาวเดินหลบหลีกผู้คนในร้านที่หนาแน่นพอสมควรเพื่อออกมาบริเวณหน้าร้านให้ได้ ทั้งที่พยายามเบี่ยงตัวเพื่อไม่ให้ชนเข้ากับลูกค้าคนอื่น แต่อยู่ๆก็ปะทะเข้ากับร่างใครบางคนเข้าจนได้
“โอ๊ย!” เหม่ยหลินที่ไม่ทันระวังตัวถูกชนเข้าจนหงายหลัง ยังดีที่มือของคู่ปะทะได้คว้ามือของหญิงสาวไว้ก่อนที่ร่างบางจะถึงพื้น
“แม่นางเหม่ยหลิน ข้าเอง”เจ้าของมือหนากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
“อะ...เอ่อ ท่านรองแม่ทัพเหอไป่เฉิน” หญิงสาวเงยหน้าเห็นแล้วตกใจ ทำไมเจอกับคนๆนี้อีกแล้วนะ!
ตรงกันข้ามกับเหอไป่เฉินที่รู้สึกดีใจเมื่อได้พบกันอีกครั้ง และยังคงจับมือนุ่มนิ่มของเธอไว้แน่น
จากที่เมื่อครู่เขายืนอยู่ริมถนนฝั่งตรงกันข้าม เผอิญมองมาที่ร้านขายโคมแห่งนี้จนได้เห็นเหม่ยหลินกำลังเดินเบียดเสียดผู้คน จึงรีบเดินเข้ามาหาหวังว่าจะได้สนทนากัน
แต่ตอนนี้...กลับเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ดวงหน้างามดูเหมือนตระหนกที่ได้เห็นเขา
ส่วนแม่ทัพหนุ่มหวางชุนเทียนที่ชะเง้อมองเห็นเหตุการณ์ พลันสาวเท้าเข้ามาโดยเร็วเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตายืนเคียงข้างหญิงสาว
คนคนนั้นคือคู่ปรับเก่าของเขาเอง...เหอไป่เฉิน!
หวางชุนเทียนรีบเข้ามาคว้ามือของเหม่ยหลินดึงเข้าหาตัว แต่มืออีกข้างของเหม่ยหลินกลับยังถูกเหอไป่เฉินจับยึดไว้อยู่ ทำให้ร่างบางไม่สามารถขยับไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้
“ปล่อยมือเหม่ยหลินเดี๋ยวนี้ รองแม่ทัพเหอ!”
เสียงกร้าวดังขึ้นจนหญิงสาวที่อยู่ระหว่างกลางถึงกับสะดุ้ง
เหอไป่เฉินชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องจำใจปล่อยมือหญิงสาวด้วยความรู้สึกเสียดาย
“อ่อ...ท่านแม่ทัพหวาง ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพก็ชอบเดินเที่ยวชมโคมไฟยามค่ำคืนด้วย”
“ข้าต่างหากที่ควรต้องแปลกใจที่ได้พบท่านที่นี่” เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิดด้วยไม่พอใจที่ชายผู้นี้มาแตะเนื้อต้องตัวเหม่ยหลิน
“ข้าก็แค่เข้ามาทักทายแม่นางเหม่ยหลินเท่านั้น ไม่ได้หรือ?”
“เช่นนั้นก็คงหมดธุระแล้ว ไปกันเถิดเหม่ยหลิน” หวางชุนเทียนพูดตัดบท ครั้นจูงมือเหม่ยหลินเดินออกไปเพียงสองสามก้าว พ่อค้านักขายถือโคมสองดวงวิ่งมาดักหน้า
“เดี๋ยวขอรับนายท่าน! โคมคู่รักที่นายท่านเลือกไว้สองดวงนี้ ตกลงนายท่านจะซื้อดวงไหนขอรับ”
เดิมทีจะให้เหม่ยหลินช่วยเลือกหนึ่งในสองดวงนี้ แต่ก็เห็นว่าควรไปให้พ้นจากหน้าร้านให้เร็วที่สุดจะดีกว่า หวางชุนเทียนจึงเลือกหยิบดวงที่ใกล้มืออย่างรีบๆ
“พ่อค้า ข้าขอซื้อโคมอีกดวงหนึ่งก็แล้วกัน” เหอไป่เฉินแสร้งพูดกับพ่อค้าด้วยเสียงอันดัง จนทำให้แม่ทัพหวางชะงักพลันเหล่ตามอง
“เพราะข้าชื่นชอบของทุกอย่างที่ท่านแม่ทัพเลือก ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพเลือกสรรสิ่งใด สิ่งนั้นล้วนเป็นของดี”
เสียงหัวเราะเบาๆ และคำพูดอย่างมีเลศนัยของรองแม่ทัพหนุ่มทำให้หวางชุนเทียนอารมณ์พลุ่งพล่านหันกลับไปมองหน้าอย่างหัวเสีย เหม่ยหลินเห็นท่าไม่ดีรีบเกาะแขนแม่ทัพหนุ่มไว้แน่น ก่อนที่จะส่ายหน้าพร้อมพูดห้ามปราม
“อย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ไปกันเถิด”
เหม่ยหลินรีบดึงแขนชายหนุ่มเดินจากไปท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัด ปล่อยให้เหอไป่เฉินยืนมองด้วยสายตาชิงชังอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองเดินออกมาไกลจากร้านขายโคมมากแล้ว แต่เหม่ยหลินยังรู้สึกหวั่นๆกับสถานการณ์เมื่อครู่ ทั้งแม่ทัพและรองแม่ทัพต่างก็พกอาวุธเป็นกระบี่ประจำกายอยู่แล้ว หากมีการทะเลาะเบาะแว้งจนต่อสู้กันจนเลือดตกยางออกคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต
“ยิ้มอะไรเจ้าคะ” หญิงสาวนิ่วหน้าแปลกใจ หลังจากเงยขึ้นมองคนข้างกายที่ตอนนี้กลับมีสีหน้าระรื่น ตรงกันข้ามกับอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อครู่
“เปล่านี่” แม่ทัพหนุ่มพูดหน้าตาย
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม เมื่อครู่ท่านยังโกรธรองแม่ทัพเหอมากขนาดนั้น ทำไมตอนนี้...”
“ก็เพราะตอนนี้...ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้วอย่างไรเล่า” เขาพูดพลางหลุบตามองต่ำ
หญิงสาวมองตาม...แล้วเธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินกอดแขนของหวางชุนเทียนมาตลอดทาง
‘ตายจริง! ไม่น่าเผลอตัวขนาดนี้เลยเรา!’ หญิงสาวรีบคลายมือทั้งสองข้างออกจากแขนกำยำผละตัวออกทันที
“อย่าอยู่ห่างข้า เดี๋ยวเจ้าก็เดินชนกับใครเข้าอีกหรอก มาเถิด...ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง” ไม่พูดเปล่าพลางคว้ามือนุ่มกลับมาไว้ที่ตำแหน่งเดิม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพาเดินต่อ
“คนฉวยโอกาส!” หญิงสาวทำหน้าย่นบ่นพึมพำเบาๆ พยายามดึงมือออก แต่ก็ถูกจับไว้แน่นกว่าเดิมเสียอีก...
สถานที่ที่หวางชุนเทียนพาเหม่ยหลินไปก็คือหอประตูเมืองฝั่งตะวันออก ซึ่งมีเหล่าทหารยืนประจำการอยู่หลายสิบนาย เมื่อทหารทุกนายเห็นแม่ทัพหวางชุนเทียนต่างก็หยุดทำความเคารพ และพากันหลบไปยืนประจำการด้านข้างอย่างรู้งาน หลังจากที่เห็นสายตาของแม่ทัพหันมามองราวกับส่งสัญญาณว่าต้องการความเป็นส่วนตัว
“ว้าว...มองจากตรงนี้ เมืองหลวงสวยมากกกก” น้ำเสียงลากยาวด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นทันทีที่สายตาพบกับความงดงามยามค่ำคืนเบื้องล่าง แม้แต่หอประตูเมืองแห่งนี้ก็เช่นกันที่สว่างไสวจากแสงโคมที่แขวนไว้ตามจุดต่างๆทำให้บรรยากาศในยามนี้ดูสวยงามดั่งภาพฝัน
หากเมืองหลวงไม่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟหลากหลายสีสัน สถานที่แห่งนี้คงมองเห็นเพียงแค่แสงไฟสลัวๆเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หวางชุนเทียนจุดโคมไฟและชักชวนให้เหม่ยหลินจับไว้ก่อนจะปล่อยให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ดูเหมือนการซื้อโคมคู่รักมาเพียงดวงเดียวก็เป็นแผนที่แม่ทัพหนุ่มคิดไว้ตั้งแต่แรก ด้วยหวังให้หญิงสาวได้ปล่อยโคมคู่รักนี้พร้อมกันกับเขา แต่เหม่ยหลินนั้นกลับรู้สึกเพียงความสนุกสนานและอยากเห็นโคมดวงสวยลอยขึ้นเฉกเช่นเดียวกับโคมดวงอื่นๆ
“สูงขึ้นอีก อย่างนั้นแหละ สูงอีก” หลังจากเห็นโคมทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวพลันหัวเราะอารมณ์ดีจนหวางชุนเทียนอมยิ้มหันมองเจ้าของเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่เกาะกำแพงพยายามชะเง้อมองโคมไฟของตัวเองจนสุดสายตา
ในขณะที่หญิงสาวไม่ทันรู้ตัว อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เอื้อมจับมือเล็กดึงเข้าหาตัว
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“มือของเจ้าข้างนี้ ต่อไป…ห้ามผู้ใดมาจับโดยพลการอย่างเช่นวันนี้อีก” แน่นอนว่าคนที่เขากล่าวถึงคือเหอไป่เฉิน!
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวัง” ตอบไปแบบนี้แล้วคิดว่าเขาคงจะปล่อยมือเสียที
แต่ที่ไหนได้เขากลับยกมือนุ่มนิ่มขึ้นจุมพิตโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว
“อุ๊ย!...ท่านแม่ทัพ! ทะ...ท่านทำอะไร ปล่อยเจ้าค่ะ” เจ้าของมือนุ่มนิ่มอุทานขึ้น
“หากข้าปล่อย เจ้าก็จะหนีไปทางอื่นอีกน่ะสิ” เขากุมมือหญิงสาวไว้แน่นพลางขยับตัวเข้าใกล้ร่างบางที่ถอยหลังจนร่างติดขอบกำแพงหิน
“ข้าจะหลบไปทางไหนได้ ในเมื่อท่านขวางไว้แบบนี้” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น เพราะว่าชายหนุ่มอยู่ใกล้เกินไปแล้ว...ใกล้จนมองเห็นแสงวิบวับในดวงตาคู่คม
“อันที่จริง เจ้ารู้แล้วใช่ไหม”
“รู้...รู้อะไรเจ้าคะ” หญิงสาวทำหน้างงถามกลับไป
“เจ้ารู้ความในใจของข้า” เขาพูดน้ำเสียงจริงจัง
‘ความในใจ’ ที่หวางชุนเทียนพูดคืออะไร หญิงสาวรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย ทั้งที่จริงแล้วตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนไม่กล้าสบสายตา คิดเพียงว่าควรหาหนทางให้พ้นจากสถานการณ์ชวนหวั่นไหวนี้ให้ได้
“ดึกมากแล้ว เรากลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะ” เธอคิดเปลี่ยนเรื่องพลางขยับตัวหวังจะเลี่ยงให้พ้น แต่ก็ไม่ทันกับวงแขนแข็งแรงที่รวบร่างบางเข้ามากอดไว้ พลันส่งสายตาหวังสะกดให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหนี” แม่ทัพหนุ่มเชยคางมนให้เงยขึ้น ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงจ้องซึ้งลงไปในดวงตาคู่งาม พลางลดสายตามองริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
หญิงสาวตรงหน้าไม่รู้สักนิดเลยว่าความพยายามปรับลมหายใจของตนเองให้เป็นปกติที่สุดมันยากเย็นเพียงใด
“ข้าไม่ได้หนี...ข้าแค่...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ทาบลงมาบนเรียวปากสวยของหญิงสาวอย่างอดใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“…!” หญิงสาวเบิกตาโตอยู่ในอาการตกใจ เสียงหัวใจเต้นตึกตักเร็วระรัวเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา เหม่ยหลินผู้ที่มาจากโลกยุคดิจิตัลแต่กลับไม่เคยมีคนรักอย่างเช่นวัยรุ่นสาวสวยส่วนใหญ่เขามีกัน ร่างบางยืนตัวแข็งทื่อไม่คิดเลยว่าหวางชุนเทียนจะจู่โจมเธอแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
เขาไม่รู้เลยหรือว่าจูบครั้งนี้คือจูบแรกของเธอเชียวนะ!
จู่ๆ ความคิดไม่ประสีประสาก็เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเรียวปากหนาที่ประกบอยู่ทั้งนุ่มทั้งเย็นอย่างบอกไม่ถูก หรือว่า...ปากของผู้ชายทั่วไปก็เป็นเช่นนี้
หญิงสาวไม่รู้ว่าความนุ่มเย็นที่สัมผัสนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะสภาพอากาศในยามค่ำคืนต่างหาก
เพราะตอนนี้ ริมฝีปากที่ยังวนเวียนบดเบียดกลีบปากนุ่มไม่ยอมหยุดพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเริ่มตัวสั่นเทิ้มคิดอยากให้เขาเลิกจูบเธอเสียที แต่มือเล็กที่ยกขึ้นมาทาบที่อกของฝ่ายตรงข้ามกลับไร้กำลังที่จะดันร่างที่แข็งแรงกว่าให้ออกห่าง
เธอทำได้เพียงรอ…รอจนกระทั่งในที่สุดเขาก็ยอมถอนจูบจากปากของเธอ
หน้านวลแดงซ่านเอาแต่ก้มมองพื้นด้วยความอายอย่างที่สุด แต่อีกความรู้สึกหนึ่งกลับคิดเป็นอย่างอื่น
หรือนี่เป็นการฉวยโอกาสเพียงเพราะเห็นว่าเธอเป็นสมบัติของเขากันแน่!
“เจ้าโกรธข้า?” ชายหนุ่มถามหลังจากที่ถอนริมฝีปากออกและจ้องใบหน้างามที่เอาแต่ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัดนั้นทำให้คนถามเป็นกังวล
“ใช่! ข้าโกรธที่ท่านรังแกข้า ท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่งพิง จึงคิดจะทำเช่นไรกับข้าก็ได้” คำพูดนี้ทำให้หวางชุนเทียนหน้าเสียไปทันทีที่ได้ฟัง
“สิ่งที่ข้าทำเพื่อเจ้ามาตั้งแต่ต้น ไม่อาจทำให้เจ้าคิดว่าข้ามีความจริงใจกับเจ้าอีกหรือ?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แต่ยังไม่เพียงพอทำให้หญิงสาวเปลี่ยนความคิด ใบหน้างามเงยขึ้นเถียงทันควัน
“เห็นมั้ย! ตอนนี้ท่านกำลังทวงบุญคุณข้า”
หวางชุนเทียนถึงกับอึ้งไป นี่เขาพูดอะไรผิดอีกแล้ว! หญิงสาวคิดไปเองว่าเขาจูบเธอเพราะต้องการให้เธอตอบแทนบุญคุณงั้นหรือ?
“ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว” เหม่ยหลินสะบัดตัวหลุดจากมือหนา เบี่ยงตัวก้าวเดินหนี
หวางชุนเทียนรีบวิ่งเข้าไปกอดด้านหลังของเหม่ยหลินราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไป ตอนแรกคิดว่าหญิงสาวคงจะรับรู้ความในใจของเขาได้ไม่มากก็น้อย เหตุใดนางกลับคิดมากเช่นนี้
หรือที่จริงแล้ว...เป็นเขาต่างหากที่ไม่เข้าใจจิตใจของนาง
“ปล่อยข้า...นี่ท่านคิดจะรังแกข้าอีกแล้วหรือ!” ร่างบางดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอด
“เหม่ยหลิน…อยู่นิ่งๆก่อน ก็ได้…ข้าจะบอกก็ได้...ข้าชอบเจ้า! ได้ยิมไหม ข้าชอบเจ้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ซึ่งก็ได้ผล...เพราะประโยคที่ออกจากปากของชายหนุ่มนั้นมีค่ามากพอที่จะทำให้ร่างเล็กหยุดเดินหนีและยอมที่จะรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะพูด
“ได้โปรดเถิดเหม่ยหลินอย่าเข้าใจข้าผิดอีกเลย ที่ข้าจูบเจ้าเพราะข้าชอบเจ้า… ข้าเพียงอยากปกป้อง ทั้งห่วงทั้งหวง อยากเห็นหน้าเจ้าทุกวัน ทั้งหมดนี่ก็เพราะข้าชอบเจ้า!” ชายหนุ่มกระชับวงแขนแน่นขึ้น พรั่งพรูคำพูดเพื่อที่จะโน้มน้าวจิตใจหญิงสาวให้จงได้
“แล้วที่ท่านกอดข้าอยู่เช่นนี้ล่ะ” เหม่ยหลินถามเสียงเบา หากแต่หัวใจกลับมาเต้นเร็วรัวจนกลัวว่าหวางชุนเทียนจะจับได้
“ข้ากอดเจ้า ก็เพราะข้าชอบเจ้า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ