ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) การกลับมาขององค์ชายใหญ่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

องค์ชายใหญ่ลี่หมิงนำทัพทหารจำนวนห้าหมื่นเศษเดินทางมาจากชายแดนทางใต้ได้ครึ่งเดือนแล้ว และอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงเมืองหลวงตามกำหนด ทหารส่วนใหญ่ต่างก็มีภูมิลำเนาอยู่ทั้งในและรอบนอกกำแพงเมือง ทำให้การเดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้ดูเหมือนเป็นการถือโอกาสให้ทหารได้กลับบ้านเกิดหลังจากที่ไปประจำการที่ชายแดนทางใต้เกือบหนึ่งปี

บนเส้นทางเดียวกัน ขบวนรถม้าที่มีสัมภาระจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองอย่างไม่เร่งรีบ หญิงสาวสองนางเจ้าของสัมภาระโดยสารอยู่ในรถม้าต่างก็นั่งเงียบรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

“คุณหนู เราจะต้องไปอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนเจ้าคะ” เย่เหยาสาวใช้คนสนิทตั้งคำถามเสียงอ่อยใส่ลู่หลิ่งนายหญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ด้วยใจจริงแล้วเย่เหยาก็ไม่อยากเดินทางไปอยู่ที่อื่นเลย

“ความจริงก็ไม่มีใครสงสัยเราสักนิด ใครๆก็คิดว่ารองแม่ทัพเหอไป่เฉินผู้นั้นใช้กลลวงหลอกล่อพวกเราให้พาเข้าจวนเท่านั้นนะเจ้าคะ เหตุใดเราต้องหนีหน้าออกจากจวนด้วยเล่า” สาวใช้อดไม่ได้ที่จะออกความเห็น

“จะนานแค่ไหนข้าก็ยังตอบไม่ได้ อย่างไรเสียก็ควรกลับไปขออาศัยอยู่ที่เรือนของท่านป้าซีเหยียนไปพลางๆก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาหนทางอื่นต่อไป”

ลู่หลิ่งกล่าวถึงท่านป้าซีเหยียนซึ่งเป็นเพียงญาติห่างๆ ของนางที่ออกเรือนไปอยู่ต่างเมืองกับลุงเขย

ท่านป้าซีเหยียนเองเป็นผู้เสนอความคิดอยากให้ลู่หลิ่งใช้ความน่าสงสารจากการสูญเสียพี่ชายที่สละชีวิตช่วยท่านแม่ทัพไว้ เว้าวอนจนท่านแม่ทัพเห็นใจรับเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนสกุลหวาง และให้ใช้ความใกล้ชิดหวังยกฐานะตัวเองเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ

แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จอย่างที่หวังไว้ หนำซ้ำยังมีมารหัวใจอย่างเช่นเหม่ยหลินเข้ามาอยู่ร่วมจวนด้วยอีกคน

ในขณะที่นั่งคิดถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกว่ารถม้าเคลื่อนที่ช้าลงจนน่าแปลกใจ นางจึงเปิดม่านหน้าต่างดูสถานการณ์ภายนอก เห็นว่ารถม้าทั้งหลายที่วิ่งอยู่บนถนนต่างก็ชะลอความเร็วเช่นกัน

เพียงไม่นานทหารสามสี่นายควบม้าตรงเข้ามาแล้วตะโกนออกคำสั่ง

“องค์ชายลี่หมิงเสด็จกลับเมืองหลวง ให้รถม้าทุกคันหยุดรถที่ข้างทางก่อน”

รถม้าของลู่หลิ่งเบี่ยงหลบเฉกเช่นเดียวกับรถม้าคันอื่นๆ ตามคำสั่งของทหาร ผู้โดยสารที่อยู่ในรถม้าทุกคันต่างทยอยพากันออกมานั่งคุกเข่าข้างๆ รถม้าของตนเองเพื่อรอถวายความเคารพผู้นำทัพฐานันดรสูงศักดิ์ที่กำลังควบม้าอยู่ด้านหน้าสุดนำทัพใกล้เข้ามา

ขบวนทหารเดินเรียงเป็นแถวยาวเหยียด มีธงสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นกองทัพของแคว้นตงเยว่และยิ่งไปกว่านั้นยังมีธงสัญลักษณ์ของผู้นำทัพอันเป็นบุรุษคนสำคัญในชุดเสื้อเกราะสีทองสง่างามอยู่บนหลังม้าโดดเด่นอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน

จนกระทั่ง องค์ชายใหญ่และองครักษ์ข้างกายหลายสิบนายควบม้าผ่านไป แถวขบวนทหารหลักหมื่นที่ตามหลังมายังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

ลู่หลิ่งและเย่เหยาคิดจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพื่อรอจนกว่าทหารแถวสุดท้ายเคลื่อนผ่านไป แต่ทั้งสองสาวยังไม่ทันจะก้าวขึ้นรถม้าตามที่ตั้งใจ พลันได้เห็นสองบุรุษยืนดักหน้าไว้เสียก่อนทำให้ทั้งคุณหนูและสาวใช้ต่างตกใจ

“แม่นางลู่หลิ่ง สบายดีหรือไม่” น้ำเสียงเรียบขรึมของชายหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตาดังขึ้นหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากัน

“คุณชาย...! ทะ...ท่านรองแม่ทัพเหอไป่เฉิน!”

รองแม่ทัพหนุ่มยิ้มหยัน ในเมื่อรู้แล้วว่าเขาคือใครและมีความขัดแย้งกับแม่ทัพหวางชุนเทียนอย่างไร เพราะฉะนั้นรองแม่ทัพหนุ่มจึงไม่พูดอ้อมค้อมอีก เขาบังคับให้ลู่หลิ่งเดินไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างทางเพื่อหลบให้พ้นสายตาของผู้คน ส่วนเย่เหยาก็ถูกหลัวอี้ชิงสกัดไว้ไม่ให้ส่งเสียงร้องจนกว่าเจ้านายของเขาจะคุยธุระกับลู่หลิ่งเสร็จ

“ท่าน...ต้องการอะไร หากข้าทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจโปรดให้อภัยข้าด้วย” เสียงสั่นของหญิงสาวกล่าวด้วยความกลัวในท่าทีที่ไม่เหมือนเดิมของเหอไป่เฉิน

“ข้าเห็นว่าเจ้าขนสัมภาระมากมายออกจากเมืองหลวง เจ้าจะไม่อยู่ที่จวนสกุลหวางแล้วงั้นหรือ”

รองแม่ทัพหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ เขายังลอบสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของคนในจวนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นรถม้าของลู่หลิ่งเคลื่อนออกจากจวนก็สะกดรอยตามลู่หลิ่งมาตลอดทาง

“เหตุที่ข้าต้องออกจากจวนก็เป็นเพราะท่านมิใช่หรือ ที่ทำให้ข้าถูกมองว่าพาคนร้ายเข้าสู่จวน”

“หึๆ คงไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่เป็นคนร้ายหรอกกระมัง” เหอไป่เฉินหัวเราะเสียงต่ำ

“ทั้งเหตุการณ์ที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางรวมถึงความพยายามทำให้ข้ากับแม่นางเหม่ยหลินได้พบกัน หากท่านแม่ทัพรู้ว่าเจ้าคิดร้ายต่อแม่นางเหม่ยหลินเจ้าอาจไม่มีโอกาสได้กลับจวนสกุลหวางอีกเลยก็ได้”

ชายหนุ่มพูดอย่างรู้ทัน จนทำให้ลู่หลิ่งทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ใช้ความกล้าถามออกไป

“ท่านพูดเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่ คิดจะเปิดโปงข้างั้นหรือ!” 

ลู่หลิ่งนิ่วหน้าไม่ใคร่พอใจ เหอไป่เฉินผู้นี้ดูนางออกตั้งแต่แรกแล้ว

“หรือว่าที่แท้ท่านก็หลอกใช้ข้า...”

“อย่าเรียกว่าหลอกใช้เลย ข้าพอจะรู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด หากทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกัน” เหอไป่เฉินยื่นข้อเสนอแกมบังคับ

ขอเพียงให้ลู่หลิ่งยังพำนักในจวนแม่ทัพและยอมร่วมมือกับเขา ย่อมมีโอกาสที่จะดำเนินการสิ่งอื่นต่อไปได้ เขาจึงบอกให้นางกลับเข้าจวนแม่ทัพไปเสียก่อนเพื่อรอเวลาที่จะดำเนินแผนการขั้นต่อไป

ลู่หลิ่งรับปากว่าจะกลับเข้าจวนแม่ทัพอีกครั้ง แต่เรื่องความร่วมมืออื่นๆนั้นนางขอเวลาไตร่ตรองดูก่อน นางอยากให้แน่ใจก่อนว่าการกระทำของเหอไป่เฉินจะไม่ส่งผลกระทบต่อแม่ทัพหวางชุนเทียนชายอันเป็นที่รักของนาง

 

สุดท้ายแล้วรถม้าของลู่หลิ่งก็หันหลังกลับเข้าสู่จวนดั่งเดิม

แม้พ่อบ้านเฉินออกจะแปลกใจที่เห็นลู่หลิ่งกลับมาทั้งที่แจ้งไว้ว่าจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง แต่เมื่อนางให้เหตุผลว่าระหว่างทางได้เห็นกองทัพขององค์ชายใหญ่จึงคิดขึ้นได้ว่าวันแต่งงานของท่านแม่ทัพต้องมาถึงในเร็ววันนี้จึงเปลี่ยนใจขออยู่ร่วมแสดงความยินดีก่อน

พ่อบ้านเฉินได้ยินเช่นนั้นก็เชื่อสนิทใจก่อนที่จะขอตัวไปทำหน้าที่อื่นต่อ แต่เมื่อเห็นลู่หลิ่งปรายตามองด้วยความใคร่รู้หลังจากได้เห็นชุดเจ้าสาวสีแดงปักลายบุปผางดงามและเครื่องประดับเลอค่าเข้ากันกับชุดที่บรรดาสาวใช้ต่างถือเดินตามหลังพ่อบ้านเฉินมาด้วยความระมัดระวัง พ่อบ้านชราจึงหยุดคุยกับลู่หลิ่งอีกสักพัก

“อ่อ...นี่คือชุดเจ้าสาวที่พระชายาหม่านลี่ทรงประทานให้แม่นางเหม่ยหลิน ข้ากำลังจะนำไปเก็บรักษาไว้จนกว่าจะถึงวันสมรสขอรับ”

“พระชายาหม่านลี่ทรงมีเมตตาจริงๆ เหม่ยหลินช่างมีวาสนายิ่งนัก” ลู่หลิ่งตาวาวด้วยความริษยาแต่แสร้งทำเป็นยิ้มให้ผู้อื่นเห็นว่ายินดีกับการแต่งงานครั้งนี้

ครั้นได้ทราบอีกด้วยว่าเจ้าของชุดแต่งงานแสนสวยและแม่ทัพหวางชุนเทียนไปเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่ลี่หมิงและพระชายาหม่านลี่ที่ตำหนักเฟยหลงพร้อมกับราชบริพารคนสนิทอื่นๆ เพื่อร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันตามคำเชิญชวน ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจที่มีอยู่แล้วของลู่หลิ่งยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางคิดสองจิตสองใจว่าจะร่วมมือกับเหอไป่เฉินดีหรือไม่ แต่บัดนี้ความริษยาที่มีกลับทำให้นางตัดสินใจได้!

“เราจะทำอย่างไรต่อไปกันดีเจ้าคะคุณหนู” สาวใช้ที่กำลังหยิบจับสัมภาระจัดเก็บให้อยู่ตามเดิมอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม หลังจากที่เห็นลู่หลิ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โต๊ะกลางห้องได้สักพักใหญ่

“ข้าจะทำตามวิธีการของรองแม่ทัพเหอ” คำตอบของนายหญิงทำให้เย่เหยาชะงักไปเล็กน้อย

“มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหรือเจ้าคะ”เย่เหยาเอ่ยด้วยความไม่สบายใจ

“ขอเพียงทำให้เหม่ยหลินออกไปจากชีวิตของท่านแม่ทัพ วิธีการอันใดข้าก็ไม่สน!”

 

“ฮัดชิ้ว!” เสียงจามของเหม่ยหลินดังขึ้นในขณะที่โดยสารอยู่ในรถม้าพร้อมแม่ทัพหวางชุนเทียน

ทั้งสองอยู่ระหว่างเดินทางกลับจวนสกุลหวางหลังจากที่สิ้นสุดงานเลี้ยงรับประทานอาหารในตำหนักเฟยหลง กว่าจะออกจากตำหนักเวลาก็ล่วงมาจนมืดค่ำแล้ว

และคงจะเป็นเรื่องธรรมดาที่อากาศในยามค่ำคืนที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จนทำให้หญิงสาวรู้สึกคัดจมูกขึ้นมากะทันหัน

“เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือ” หวางชุนเทียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมอยู่ๆก็จามขึ้นมา” พูดพลางบีบปลายจมูกตัวเองก่อนที่จะเปิดม่านหน้าต่างเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ภายนอก ดวงตากลมใสพลันสะดุดเข้ากับแสงจากโคมไฟหลายดวงที่สุกสว่างล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดบนท้องฟ้า

“นั่น...โคมลอยใช่หรือเปล่า สวยจังเลย” หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

เมื่อกวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบก็มองเห็นบ้านเรือนแต่ละหลังก็ต่างจุดโคมไฟแขวนไว้หน้าบ้าน นอกจากนี้บนท้องถนนผู้คนยังเดินไปมาพลุกพล่านเหมือนช่วงกลางวัน ‘ช่างเป็นค่ำคืนที่ดูมีสีสันเป็นพิเศษจริงๆ’

หวางชุนเทียนเปิดม่านฝั่งของตนเองดูบ้างก็มองเห็นสิ่งเดียวกันจึงเอ่ยปากชวนหญิงสาว

“ฝั่งนี้ก็มีเช่นกัน มาดูสิ” เขาเอ่ยคำเดียว ร่างบางหันหลังกลับลุกพรวดเดียวพุ่งตัวไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้ามอย่างกระตือรือร้น

“โอ้โห ทำไมมีมากมายขนาดนี้”

แม่ทัพหนุ่มยิ้มขันกับความใคร่รู้ของหญิงสาว เขาถือโอกาสขยับตัวไปมองที่หน้าต่างบานเดียวกันพร้อมอธิบายให้เหม่ยหลินฟัง

“วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่องค์ชายใหญ่นำกองทัพทหารกลับบ้านเกิด ผู้คนทั้งในและนอกกำแพงเมืองต่างก็ร่วมเฉลิมฉลอง ทุกครอบครัวจะปล่อยโคมลอยยามค่ำคืนเช่นนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความยินดีที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน”

“องค์ชายใหญ่เสด็จกลับมาครั้งนี้ช่างมีความหมายต่อผู้คนมากจริงๆเจ้าค่ะ ถึงกับทำให้คนทั้งเมืองพร้อมใจกันเฉลิมฉลองด้วยการลอยโคม” หญิงสาวรู้สึกทึ่งที่ผู้คนแสดงออกถึงความภักดีไปพร้อมกันเช่นนี้

“ที่บ้านเกิดของข้าก็มีการลอยโคมเช่นนี้เหมือนกัน แต่โคมบนท้องฟ้าไม่มีมากมายขนาดนี้”

บ้านเกิดที่เหม่ยหลินเอ่ยถึงก็คือเมืองเชียงใหม่ซึ่งมีเทศกาลลอยโคมในวันลอยกระทงหรือที่เรียกว่า ‘เทศกาลยี่เป็ง’ แบบชาวล้านนานั่นเอง

“บ้านเกิดเจ้าก็มีการเฉลิมฉลองด้วยการปล่อยโคมลอยด้วยงั้นหรือ”

“มีเจ้าค่ะ ข้าเคยไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วก็พากันไปปล่อยโคมลอยคล้ายกันแบบนี้ สนุกมากเลยเจ้าค่ะ”

“ไปเที่ยว...กับเพื่อน? เพื่อนที่เจ้าพูดถึงผู้หญิงหรือผู้ชาย” หวางชุนเทียนรู้สึกสะดุดกับคำนี้จึงเอ่ยถามขึ้น

“ก็ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่นแหละเจ้าค่ะ เราจะไปเที่ยวชมโคมไฟที่ประดับรอบเมืองกันก่อน จากนั้นก็จะไปลอยโคมด้วยกันเวลาประมาณสามทุ่ม...เอ่อ ข้าหมายถึงลอยโคมเวลายามห้ายน่ะเจ้าค่ะ”

เหม่อหลินพูดเรื่อยๆ แต่หวางชุนเทียนกลับขมวดคิ้วถอนหายใจหลังจากได้ยิน

“เมืองของเจ้านี่ช่างแปลกจริง เหตุใดหญิงชายพบปะกันในยามค่ำคืนได้เหมือนเป็นเรื่องปกติเช่นนั้น แล้ว...เจ้าคิดว่าโคมลอยบนท้องฟ้าของที่ใดสวยมากกว่ากัน” แม้จะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็อยากรู้ความรู้สึกของหญิงสาว

“ก็ต้องเป็นที่นี่สิเจ้าคะ ท้องฟ้ายามนี้สวยที่สุดเลย” หญิงสาวตอบทันควัน ใบหน้างามหันไปทอดมองท้องฟ้าตาเป็นประกายวิบวับอีกครั้ง

หวางชุนเทียนได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างพอใจ อย่างน้อยสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่ถูกใจของหญิงสาวอยู่บ้าง

 “ใช่ สวยมาก...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเห็นด้วยออกมา แต่ดูเหมือนไม่ได้หมายความถึงความงดงามบนท้องฟ้า เขานั่งนิ่งมองดวงหน้าขาวใสราวกับดอกไม้แรกแย้ม ดั่งถูกมนต์สะกดจนไม่อาจละสายตาออกไปมองอย่างอื่นได้

เหม่ยหลินชะงักไปครู่หนึ่ง เพิ่งรู้สึกตัวว่านั่งอยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากเกินไป ใกล้มากเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย อีกทั้งตอนนี้บุรุษข้างกายของเธอกลับไม่มองไปที่ท้องฟ้าเฉกเช่นเดียวกับเธอเสียแล้ว  ได้เอาแต่จ้องหน้าในระยะประชิดเช่นนี้...แล้วเธอควรทำตัวอย่างไรดีเล่า

ครั้นใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้านวลจนปลายจมูกโด่งเกือบจะถึงพวงแก้ม ถึงกับทำให้เหม่ยหลินจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดียว

มือเรียวบางที่เกาะขอบหน้าต่างไว้แน่นพลันยกขึ้นชี้ไปที่ท้องฟ้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

“ข้า...ข้าอยากได้โคมลอยเช่นนั้นบ้าง” เสียงแหลมใสดังขึ้นทันควันเหมือนขัดจังหวะจนทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก เขากระตุกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะขยับตัวออกห่างอย่างไม่เต็มใจนัก

“ได้หรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวถามซ้ำ

“ฮืม...ได้...ได้สิ เราไปซื้อโคมลอยกัน” ชายหนุ่มพยักหน้าพูดแก้เก้อ ทั้งที่ในใจรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา