ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
35) ปิดฉากความไม่เข้าใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่องค์ชายรองลี่หยางแต่งตั้งเหอไป่เฉินผู้มีฐานะเป็นรองแม่ทัพต่างแคว้นให้เป็นอาคันตุกะส่วนพระองค์ ทำให้มีการขนย้ายบรรดาเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอยต่างๆ จำนวนมากเข้าสู่เรือนเจียวลู่ไม่ขาดสาย แสดงให้เห็นว่าต่อจากนี้ไปอาคันตุกะคนสำคัญสามารถพักอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นตงเยว่อย่างเปิดเผยได้นานตามที่ต้องการ
เหอไป่เฉินเดินดูบรรยากาศอยู่รอบนอกตัวเรือน ขายาวก้าวอยู่บนแผ่นหินที่ถูกปูไว้บนพื้นดินซึ่งเป็นทางเดินไปสู่พื้นที่สวน เขาหยุดยืนนิ่งมองบ่าวไพร่ทั้งชายหญิงที่องค์ชายรองประทานมาให้เดินสวนทางกันไปมา เพราะในขณะนี้ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขันเพื่อให้งานจัดสวนสำเร็จโดยเร็ว
บ่าวชายร่างผอมยกต้นไม้พุ่มสูงพร้อมกระถางดินเผาเดินตรงมาเรื่อยๆจนถึงอาณาเขตสวน พุ่มไม้บดบังสายตาจนมองไม่เห็นว่ารองแม่ทัพหนุ่มยืนอยู่ ทำให้กระถางที่ยกมาแฉลบชนแขนข้างที่บาดเจ็บของเหอไป่เฉินจนสะดุ้ง ชายหนุ่มพลันเหล่ตามองคนต้นเหตุที่ลนลานรีบวางกระถางต้นไม้แล้วคุกเข่าขอโทษด้วยกลัวในความผิด
เขาทำสีหน้านิ่งไม่คิดถือสาหาความ พลางโบกมือไล่ให้บ่าวผู้นั้นไปทำงานต่อก่อนที่จะกุมแขนข้างที่บาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกเจ็บบาดแผลพลันให้นึกถึงดวงหน้าหวานเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่พันอยู่รอบแขนกำยำ
“ปล่อยบาดแผลไว้แบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างน้อยต้องใช้ผ้าพันปิดบาดแผลเอาไว้ก่อน…”
เสียงหวานใสที่เขาไม่อาจลืมได้...แม่นางเหม่ยหลิน...ผู้มีสถานะเป็นคู่หมายของแม่ทัพหวางชุนเทียน นางดูเป็นคนเปิดเผยจริงใจแต่กลับต้องวางตัวห่างเหินกับเขาเพียงเพราะขึ้นชื่อว่ามีเจ้าของแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก...
ในขณะเดียวกัน หลัวอี้ชิงทหารคนสนิทเดินเข้ามาหาพร้อมแจ้งว่ามีคนจากจวนสกุลหวางมาขอพบ เวลานี้คนผู้นั้นรออยู่ที่หน้าประตูเรือน เหอไป่เฉินทำหน้าฉงนไม่คิดว่าคนของจวนสกุลหวางจะมีธุระอันใดกับเขา
“คารวะท่านรองแม่ทัพเหอไป่เฉิน ข้าคือกัวเสี่ยนหรง ข้าได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพหวางให้นำของมาส่งคืนแก่ท่านขอรับ” กัวเสี่ยนหรงคารวะทักทายและยื่นถุงผ้าขนาดเล็กส่งให้ทันทีที่ได้พบหน้าเหอไป่เฉิน
“คืนของให้ข้า?” ชายหนุ่มรับสิ่งนั้นไว้ทั้งๆที่ยังรู้สึกแปลกใจ ถุงผ้าที่รับมาช่างมีน้ำหนักเบา ของภายในคงจะเป็นของชิ้นเล็ก มันคืออะไรกันแน่นะ?
เขาเปิดปากถุงแล้วเทของที่อยู่ภายในออกมาใส่มืออีกข้างจนเห็นว่าสิ่งนั้นคือ ‘ปิ่นหยกที่เคยมอบให้แก่แม่นางเหม่ยหลิน’
“คนที่สั่งให้เอาปิ่นนี้มาคืนข้า คือท่านแม่ทัพหวางงั้นหรือ? แล้วเหตุใดจึงหักเป็นสองส่วน”
“ข้ามีหน้าที่นำของมาส่งท่านเท่านั้น เรื่องอื่นข้าไม่อาจตอบท่านได้ ข้าขอตัว”
กัวเสี่ยนหรงหันหลังกลับทันที ปล่อยให้เหอไป่เฉินยืนงุนงงอยู่อย่างนั้น ได้แต่มองตามร่างผู้ส่งของที่จากไปโดยไม่มีคำอธิบายอันใด
รองแม่ทัพหนุ่มมองปิ่นหยกที่เขาตั้งใจมอบให้แม่นางเหม่ยหลินอย่างพิจารณา เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนทำให้ปิ่นหยกหักเป็นสองส่วน
แม่ทัพผู้นี้คงจะเจ็บใจไม่น้อยราวกับถูกหยามเกียรติ ที่มีชายอื่นลอบเข้าจวนเพื่อไปพบคู่หมายของเขาโดยลำพัง ไม่แปลกใจที่ใช้วิธีส่งคืนของเพื่อเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างกันให้ชัดเจน
‘หวางชุนเทียน...ทำเช่นนี้คิดว่าข้าจะหยุดง่ายๆ งั้นรึ!’ รองแม่ทัพหนุ่มสบถออกมาเบาๆ
ส่วนนายกองหนุ่มผู้รับหน้าที่ส่งคืนของสำคัญขึ้นคร่อมบนหลังม้าควบออกจากที่นั่นไปทันที เขาลอบเหยียดยิ้มด้วยความสะใจแทนแม่ทัพหวางเจ้านายของเขา นึกเห็นด้วยกับวิธีการส่งคืนปิ่นหยกที่แตกหักนี้ เหมือนเป็นการบอกโดยนัยว่าไม่ควรเข้ามายุ่งทั้งเรื่องในจวนและผู้หญิงของท่านแม่ทัพ!
บ่ายวันนี้ จูผิงชวนเหม่ยหลินให้ออกจากห้องมาสูดอากาศที่ศาลากลางสวน หลายวันแล้วที่เหม่ยหลินขลุกอยู่แต่ในห้องเพียงเพราะจะหลบหน้าหลบตาท่านแม่ทัพ และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ทำตัวยุ่งกับงานอยู่ตลอดเวลา แม้จะเสร็จจากภาระหน้าที่ในราชสำนักแล้วก็ยังหอบงานกลับมาทำต่อที่จวนจนมืดค่ำทุกวัน
ทั้งที่ห้องพักของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่กว่าที่แม่ทัพหนุ่มจะกลับเข้าห้องพัก เหม่ยหลินก็ดับไฟนอนหลับไปนานแล้ว จึงไม่มีโอกาสเหมาะที่จะได้พบกัน
“จริงหรือนี่!” เสียงแหลมของจูผิงดังขึ้นหลังจากได้ยินเรื่องที่กัวเสี่ยนหรงเล่า พลางหันไปมองหน้าเหม่ยหลินที่นั่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้ไม้ กัวเสี่ยนหรงจึงหันไปพูดย้ำให้เหม่ยหลินฟังอีกครั้ง
“ที่พูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริงนะขอรับ เหอไป่เฉินผู้นั้นปลอมตัวเป็นพ่อค้าทั้งที่จริงก็คือรองแม่ทัพแคว้นม่งอู๋ลอบเข้าแคว้นตงเยว่เพื่อสืบความลับด้านการทหารขอรับ”
นายกองหนุ่มยังบอกอีกด้วยว่าท่านแม่ทัพสงสัยในตัวเหอไป่เฉินอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ารองแม่ทัพผู้นี้ยังจะกล้าลอบเข้ามาสืบถึงในจวนสกุลหวางจนกระทั่งถูกท่านแม่ทัพยิงธนูใส่
เหม่ยหลินผ่อนลมหายใจเบาๆ ที่แท้เป็นเพราะรู้ว่ารองแม่ทัพเหอปิดบังฐานะที่แท้จริงด้วยแผนการบางอย่าง และยังเข้าจวนมาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก มิน่าล่ะ..ท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีโมโหมาก
‘อันที่จริงก็น่าจะบอกกันตรงๆ ไม่เห็นต้องทำเป็นโกรธกริ้วขนาดนั้นเลย’ หญิงสาวนั่งนิ่งคิดอยู่ในใจ ‘หรือว่า...เป็นเพราะเรา...’
“ท่านแม่ทัพคงจะเคืองแค้นคุณชายเหอ...ไม่ใช่สิ...รองแม่ทัพเหอที่บังอาจมาล้ำเส้นเรื่องคุณหนูแน่ๆเลย คุณหนูก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” อยู่ๆ จูผิงก็พูดดักคอขึ้นมาเหมือนรู้ความคิดของนายหญิง
“คิดอะไร...ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” กะพริบตาถี่ๆ ทำหน้าไม่ยอมรับ
“คุณหนู...เลิกหลบหน้าท่านแม่ทัพแล้วพูดคุยกันเหมือนเดิมดีกว่าเจ้าค่ะ” จูผิงพยายามเกลี้ยกล่อม
“จริงด้วยขอรับ ท่าทางของท่านแม่ทัพเหมือนอดหลับอดนอนมาหลายวัน เกรงว่า...โอ๊ย...อะไรของเจ้านะจูผิง” กัวเสี่ยนหรงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกสาวใช้ที่นั่งข้างๆ เอื้อมมือมาหยิกแขน
จูผิงพยักพเยิดให้นายกองหนุ่มหันไปมองร่างสูงของคนที่ถูกกล่าวถึง เขาผู้นั้นกำลังก้าวเดินมาตามโถงทางเดิน ใบหน้าที่เห็นจากระยะไกลนั้นดูเหมือนชะเง้อมองมาทางนี้เสียด้วย
“เดี๋ยวข้าไปยกน้ำชากับของว่างมาเพิ่มนะเจ้าคะ”
จูผิงรีบลุกขึ้นพร้อมหันไปทำบุ้ยใบ้ให้นายกองหนุ่มทำตาม
“เอ่อ...ข้าก็มีธุระที่ยังสะสางไม่เสร็จ ต้องขอตัวไปก่อนขอรับ”
อยู่ๆ ทั้งสองก็รีบเผ่นออกจากวงสนทนาไปเสียดื้อๆ จนเหม่ยหลินจับพิรุธได้ว่าน่าจะมีบางอย่างที่ผิดปกติ
พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตึกๆ แว่วเข้าหูมา
‘หรือว่าจะเป็น...’
ผู้ที่จะทำให้คนในจวนรู้สึกหวาดหวั่นได้มีเพียงคนเดียว
ครั้นเสียงฝีเท้านั้นเริ่มใกล้เข้ามา ร่างบางรีบลุกขึ้นจากที่นั่งสาวเท้ามุ่งหน้ากลับห้องพักทันที
แต่ทว่า เท้าบอบบางภายในรองเท้าผ้าสีขาวต้องหยุดชะงัก เมื่อร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มยืนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าราวกับหายตัวได้ หญิงสาวช้อนตาขึ้นสบมองหน้าเขาเพียงครั้งเดียวก็หลุบสายตาลง
เธอเดินเบี่ยงไปทางซ้ายแต่ก็ถูกดักหน้าไว้ พอเปลี่ยนไปทางขวา ร่างสูงก็ยังก้าวมาดักไว้อีก
“ถอยไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะกลับห้อง” หญิงสาวทนไม่ไหวเป็นฝ่ายอ้าปากพูดขึ้นก่อน กระนั้นก็ยังไม่ยอมมองหน้าฝ่ายตรงข้าม ด้วยยังรู้สึกสับสนกับเรื่องที่รับฟังมา
“ข้าไม่เห็นเจ้ามาหลายวันแล้ว...ข้า...”
ประโยคที่คิดจะพูดกลับต้องหยุดไว้ เมื่อร่างบางไม่คิดจะรอฟัง กลับรีบก้าวเลี่ยงไปจนพ้นทางเพื่อเดินหน้าต่อ
ครั้งนี้ แม่ทัพหวางไม่กล้าคว้ามือเรียวสวยนั้นไว้เหมือนเช่นที่เคยทำ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงสาวจะยังโกรธเขาอยู่หรือไม่
และหากความโกรธนั้นกลายเป็นรังเกียจสัมผัสจากเขา เขา...คงทนไม่ได้
“เหม่ยหลิน...ข้าขอโทษ!” เสียงราบเรียบดังขึ้น
ในที่สุดก็พูดคำนี้ออกมา หวังให้เธอหยุดเดินหนี ซึ่งก็ได้ผล...
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยอมหยุด ชายหนุ่มจึงขยับเท้าก้าวไปดักหน้าเพื่อพูดคำขอโทษอีกครั้ง
“เจ้ายกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
ในใจลึกๆ แล้ว เหม่ยหลินก็นึกชื่นชมที่อย่างน้อยเขาก็ยอมเอ่ยคำขอโทษก่อน ทั้งที่ฐานะอย่างเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจความรู้สึกของหญิงสาวธรรมดาเช่นเธอก็ได้
ใบหน้าเรียวรูปไข่ส่ายไปมาช้าๆ เงยหน้ามองเขาทำตาปริบๆ จนชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นความกังวล คิดว่าเธอจะไม่ยอมให้อภัย
“ความจริงแล้วข้า...” เหม่ยหลินเอ่ยเสียงเบาจนหวางชุนเทียนต้องเอียงหูรอฟัง
“ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดที่ไปพบกับผู้ไม่ประสงค์ดีต่อท่านแม่ทัพ...หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ข้าคงไม่มีทางไปพบเขาคนนั้น”
คำตอบที่ได้ยินทำให้หวางชุนเทียนถอนหายใจโล่งอก ความอึดอัดใจหลายวันที่ผ่านมาได้สลายตัวไปเมื่อเหม่ยหลินยอมเปิดปากพูดจาดีๆ กับเขาเสียที
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีเรื่องรอยเขียวช้ำที่แขนของหญิงสาวอีกเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ
“แขนเจ้า...หายเจ็บแล้วหรือยัง”
“ไม่เจ็บเจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไรเลย นี่ไง...หนึ่ง สอง สาม”
ร่างเล็กทำท่ายกแขนขยับไปมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอต่อหน้าชายหนุ่ม กิริยาน่ารักของหญิงสาวทำให้หวางชุนเทียนก้มมองต่ำเผยให้เห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าคมคาย จนกระทั่งหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
เหม่ยหลินเห็นอาการของฝั่งตรงข้ามก็ให้รู้สึกเก้อเขิน แขนเล็กค่อยๆ ลดลงมาแนบตัวอย่างอายๆ คราวนี้ทั้งสองต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันจนทำให้บรรยากาศในสวนแห่งนี้ดูจะสว่างไสวขึ้นมาทันที
อีกฟากฝั่งหนึ่งไม่ไกลกัน ทั้งกัวเสี่ยนหรงและจูผิงแอบเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งสองต่างส่งกำลังใจให้นายผู้ชายและนายผู้หญิงของตนเองกลับมาพูดจากันเหมือนเดิม
เมื่อเห็นคนทั้งคู่ส่งรอยยิ้มให้แก่กันก็รู้สึกโล่งใจที่ความไม่เข้าใจระหว่างกันนี้ปิดฉากลงได้เสียที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ