ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) ของแทนใจเจ้าปัญหา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความประตูห้องรับรองถูกเปิดแง้มออก จนกระทั่งปรากฏให้เห็นดวงตาที่ยื่นเข้ามาแนบชิดช่องว่างของประตูส่องมองจากภายนอก ใบหน้างามเหยียดยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นหญิงสาวและชายหนุ่มที่อยู่ภายในห้องได้พูดคุยกันโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ
“คุณหนูเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้ว!” เย่เหยาวิ่งหน้าตื่นมาหาลู่หลิ่งเพื่อแจ้งว่าทหารวิ่งวุ่นกันไปทั่วเพื่อค้นหาคนที่ลักลอบเข้ามาในจวน
“อะไรนะ! หรือว่าจะหมายถึงคุณชายเหอไป่เฉิน...แต่ว่าทหารรู้ได้อย่างไรในเมื่อคุณชายอยู่ในห้องรับรองตลอดเวลา” ลู่หลิ่งทั้งตกใจและแปลกใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นางหันไปจะเปิดประตูเพื่อตามให้คุณชายรีบออกจากจวน แต่ก็สวนทางเข้ากับเหม่ยหลินพอดี
“เหม่ยหลิน แล้วคุณชายเหอล่ะ ข้าต้องรีบพาคุณชายออกจากจวนเดี๋ยวนี้” ลู่หลิ่งเห็นว่าเหอไป่เฉินไม่ได้เดินตามเหม่ยหลินออกมาด้วยจึงถามหา
“ก็อยู่ในห้องนั่นไง เอ๊ะ...หายไปไหนแล้ว” เหม่ยหลินชี้ไปข้างหลัง แต่พอมองหาเหอไป่เฉินที่เพิ่งคุยกันจบไปเมื่อสักครู่กลับไม่ปรากฏแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ลู่หลิ่งรีบเดินเข้ามากวาดตามองหาเช่นกัน นางเห็นหน้าต่างด้านข้างห้องถูกเปิดออกกว้างจึงเข้าใจว่าเหอไป่เฉินอาจจะหนีกลับออกไปแล้ว
จูผิงที่วิ่งตามมาทีหลังรีบเร่งให้เหม่ยหลินกลับห้อง ด้วยสาวใช้เพิ่งรู้จากทหารประจำจวนว่าขณะนี้มีคนร้ายแอบเข้ามาในจวน ในระหว่างทางทั้งสองเห็นทหารหลายนายวิ่งไปมาภายในจวนอย่างแข็งขัน เหม่ยหลินรู้สึกแปลกใจโดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเหอไป่เฉิน!
แต่ที่แน่ๆ คือ ขณะนี้ หน้าประตูห้องของเหม่ยหลินปรากฏร่างของแม่ทัพหวางชุนเทียนยืนทำหน้าขมึงทึง
“เหม่ยหลิน เจ้าหายไปไหนมา!” เสียงกร้าวดังขึ้นทันทีที่เห็นร่างหญิงสาวเจ้าของห้องเดินมาถึง
ทั้งเหม่ยหลินและจูผิงสะดุ้งเฮือกพร้อมกัน ตกใจกับน้ำเสียงดุดันราวกับว่าการหายไปจากห้องในขณะนี้เป็นความผิดใหญ่หลวง
ทั้งสองไม่รู้เรื่องในสิ่งที่หวางชุนเทียนกังวลอยู่ในขณะนี้ เพราะคนร้ายที่ลอบเข้ามาในจวนถือเป็นบุคคลอันตราย อีกทั้งคนร้ายผู้นั้นยังวิ่งผ่านหลังคาห้องของเหม่ยหลิน เขากลัวเหลือเกินว่าหญิงสาวจะบังเอิญพบกับคนร้ายเข้า
ครั้นสายตาคมเหลือบไปเห็นรอยเปื้อนสีแดงที่แขนเสื้อของเหม่ยหลิน ชายหนุ่มจึงรัวคำถามใส่เป็นชุด
“เหตุใดแขนเสื้อของเจ้ามีรอยเลือด เจ้าบาดเจ็บงั้นรึ!”
“ไม่ใช่เลือดของข้าเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินพูดในเชิงบอกให้รู้ว่าเธอนั้นไม่ใช่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่ใช่เลือดของเจ้า แล้วเลือดของใคร? นี่เจ้าไปพบกับใครมา” หวางชุนเทียนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหม่ยหลินเกิดความกลัวขึ้นมา
“เลือดของคุณชาย...เหอไป่เฉินเจ้าค่ะ เขาได้รับบาดเจ็บที่แขน ข้าจึงช่วยทำแผลให้”
“เหอไป่เฉิน!”
ที่แท้คนร้ายชุดผ้าคลุมสีดำและถูกยิงบาดเจ็บที่แขนก็คือเหอไป่เฉินนี่เอง!
“เจ้าออกไปพบเหอไป่เฉินมางั้นรึ เหตุใดต้องไปพบชายผู้นั้นในยามวิกาลเช่นนี้”
จูผิงเห็นท่าไม่ดี พูดโพล่งออกไปแทนคุณหนูของเธอ เพื่อไม่ให้แม่ทัพหวางเข้าใจผิดคิดว่าเหม่ยหลินแอบออกจากจวนในเวลานี้
“คุณชายเหอไป่เฉินขอร้องให้คุณหนูไปพบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“ใช่ เราไม่ได้คุยอะไรกันนานนัก หลังจากที่คุณชายเหอมอบของกำนัลให้ก็จากไป” พูดยังไม่ทันจบ เสียงพูดแทรกของแม่ทัพหนุ่มก็ดังขึ้น
“ของกำนัลอะไร?”
เหม่ยหลินหยิบปิ่นหยกขึ้นมา พลันชายหนุ่มเหลือบเห็นบางสิ่งบนปิ่นหยกทำให้เขาถึงกับอึ้งไป คว้าแขนของเหม่ยหลินข้างที่ถือปิ่นหยกเพื่อดูสิ่งนั้นให้ชัดๆ พลันก็รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดที่หน้าแบบไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าด้ามปิ่นหยกนั้นมีตัวอักษรจีนเขียนคำว่า ‘รัก’
‘หรือว่าปิ่นหยกนี้คือของแทนใจ!’
“เหม่ยหลิน! เจ้ากล้ารับของแทนใจจากชายอื่นได้อย่างไร? ทั้งที่เจ้าเป็น...” คำพูดสุดท้ายหยุดไปก่อนที่เหม่ยหลินจะเอ่ยทักท้วง
“เดี๋ยวนะ ของแทนใจอะไรของท่าน สิ่งนี้ก็แค่ของกำนัลเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นเอง”
ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างคว้าต้นแขนของเหม่ยหลินดึงเข้ามาใกล้พลางจ้องด้วยสายตาขึงตึง
“ก็ปิ่นหยกที่เขียนคำว่ารักนี่ไง! ใครอนุญาตให้เจ้ารับมา ทิ้งมันไปเสีย!”
“เรื่องแค่นี้…ทำไมต้องโมโหด้วย...ข้าก็รับมาตามมารยาท”
ใช่...ขณะนี้ชายหนุ่มโมโห ถึงแม้หญิงสาวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับเขาไม่ใช่...มิหนำซ้ำยังไปช่วยทำบาดแผลให้กับชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนร้ายลักลอบเข้าจวนอีก คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองใจ
จนแม้ในขณะนี้ มือของนางยังกำปิ่นนั้นไว้แน่นไม่ยอมทิ้งตามที่สั่ง ดูนางจะอาลัยอาวรณ์ของสิ่งนี้นัก
เจ้าของมือหนาไม่รอช้าดึงปิ่นออกจากมือเรียวบางเสียเอง แล้วขว้างมันลงพื้นจนแตกหักเป็นสองส่วน
หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างตกใจกับความฉุนเฉียวเกินเบอร์ของแม่ทัพหนุ่ม ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เขาลดทอนอารมณ์โกรธลงได้ และตอนนี้เธอก็เริ่มรู้สึกเจ็บจากแรงบีบของฝั่งตรงข้ามที่ไม่ยอมปล่อยแขนเธอเสียที
“ท่านแม่ทัพหยุดบ้าบอสักทีสิ ปล่อยข้าได้แล้ว!” คราวนี้หญิงสาวสะบัดตัวแรงขึ้นแสดงให้เห็นว่าต่อต้านการกระทำของเขาจนเผลอขึ้นเสียงใส่แม่ทัพหนุ่ม
“ข้าบอกให้ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...ปล่อย!”
“นี่เจ้า!...” ฝ่ายตรงข้ามถึงกับชะงักกึก นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าขึ้นเสียงใส่เขา มือหนายอมผละออกจากแขนทั้งสองข้างเมื่อเห็นดวงตาเอาเรื่องของหญิงสาว
ร่างบางได้ทีจึงขยับตัวออกห่างไม่ยืนรอฟังคำพูดของเขาอีกต่อไป พลันก้มหน้างุดรีบวิ่งก้าวเข้าห้องพร้อมกับล็อกประตูไม่ให้ใครอื่นเข้ามาทั้งนั้น
เหม่ยหลินยังคงยืนหันหลังพิงประตูหายใจแรง คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะหาญกล้าขึ้นเสียงกับแม่ทัพเจ้าของจวนสกุลหวางขนาดนี้ ครั้นพอถลกแขนเสื้อขึ้นดูก็เห็นว่าผิวเนื้อของตัวเองเป็นรอยเขียวจางๆ
“โธ่เอ๊ย...แขนฉัน เขียวช้ำหมดเลย ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำไมต้องใส่อารมณ์กับฉันขนาดนี้ด้วย”
หญิงสาวทำได้แค่บ่นพึมพำกับตัวเอง ถ้าไม่รีบวิ่งหนีเข้าห้องมา ป่านนี้ไม่โดนบีบแขนจนกระดูกหักไปแล้วรึ?
ส่วนจูผิงผู้อยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้าได้แต่กลอกตาไปมาไม่รู้ว่าจะวิ่งตามคุณหนูไปดีหรือเปล่า สาวใช้หลุบตาก้มมองพื้นด้วยความกริ่งเกรง ครั้นเหลือบเห็นปิ่นหยกที่หักเป็นสองส่วนอยู่ที่เดิม ก็คิดจะเอื้อมมือหยิบเพื่อนำไปทิ้ง แต่ปิ่นหยกนั้นกลับถูกหวางชุนเทียนชิงหยิบขึ้นมาเสียก่อน
เช้าวันต่อมา หวางชุนเทียนออกมารอที่ศาลากลางน้ำเหมือนเช่นเคย สำรับอาหารเช้าถูกวางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้หญิงสาวที่เป็นเพื่อนกินข้าวกับเขาทุกเช้ามาถึงเท่านั้น
ชายหนุ่มหลับตาส่ายหน้าช้าๆ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ใบหน้าขาวนวลที่มักจะส่งยิ้มให้อยู่เสมอ กลับมองเขาด้วยสายตาผิดหวัง จนทำให้ไม่อาจข่มตาหลับลงได้จริงๆ
คิดไว้แล้วว่าวันนี้ได้พบหน้ากันเขาก็จะเอ่ยปากขอโทษ...
เสียงฝีเท้าจากฝั่งตรงกันข้ามเดินใกล้เข้ามาทำให้ดวงตาคู่คมส่องประกายขึ้นทันทีเพราะคิดว่าต้องเป็นเหม่ยหลินแน่นอน แต่ที่ไหนได้กลับเป็นจูผิงสาวใช้ของเหม่ยหลินต่างหาก
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ขอรับอาหารเช้า...”
“แล้ว...คุณหนูของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอย่างไร...เอ่อ...แขนเขียวช้ำเล็กน้อยเจ้าค่ะ” คำตอบของสาวใช้ทำให้ชายหนุ่มหน้าเจื่อนลงไป ลอบถอนหายใจยาว เขาคงทำให้นางโกรธมากจนไม่อยากร่วมโต๊ะกินข้าวเช้าด้วยกันอีก
“พ่อบ้านเฉิน ข้าจะไปราชสำนักตอนนี้เลย” เขาหันไปบอกพ่อบ้านเฉินเช่นนี้ก็หมายถึงให้เตรียมรถม้าทันที ในเมื่อคนที่เคยกินข้าวด้วยกันทุกเช้ากลับไม่อยากเห็นหน้าเขาเสียแล้ว ฉะนั้นเขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าวเช้าเหมือนกัน
“เอ่อ ท่านแม่ทัพไม่รับอาหารเช้าก่อนหรือขอรับ”
คนถูกถามได้แต่ทำหน้านิ่วไม่ตอบ พอลุกขึ้นจากที่นั่งได้ก็เดินออกไปทันที พลอยให้พ่อบ้านเฉินผู้ชราต้องเดินจ้ำอ้าวตามไป เพราะเกรงจะเตรียมรถม้าได้ไม่ทันต่อความเร่งรีบของแม่ทัพ
กัวเสี่ยนหรงที่เพิ่งมาถึงจวนเพื่อรอติดตามไปราชสำนักพร้อมแม่ทัพหวาง แต่ยังไม่ทันเดินถึงประตูชั้นในก็เห็นแม่ทัพผู้บังคับบัญชามุ่งหน้าออกมาเสียก่อน เขารีบวิ่งเข้าไปทำความเคารพทันที และถามด้วยความแปลกใจ
“ท่านแม่ทัพ วันนี้ทำไมออกไปแต่เช้าขนาดนี้ มีธุระด่วนหรือขอรับ”
“ไม่มี” หวางชุนเทียนตอบเสียงห้วน
“แต่ปกติเวลานี้ควรเป็นเวลารับอาหารเช้าไม่ใช่หรือขอรับ” นายกองหนุ่มถามซ้ำ
กัวเสี่ยนหรงแค่คิดเสียดายเวลา เพราะในระหว่างที่รอท่านแม่ทัพสิ้นสุดมื้อเช้า เขาก็จะมีเวลาอยู่กับจูผิงสาวใช้หน้ามนเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้ยังไม่ทันได้เห็นหน้าจูผิงก็ต้องออกไปทำงานเสียแล้ว
“วันนี้ข้าไม่กินข้าวเช้า อย่าพูดมากอยู่เลย หรือว่าเจ้าจะไม่อยากไปทำงานแล้วหึ!”
แม่ทัพหนุ่มเปล่งเสียงทุ้มดังอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะสะบัดหน้าและก้าวเท้ายาวๆไปจนถึงหน้าประตูใหญ่
กัวเสี่ยนหรงมองตามพลางเกาหัวอย่างงงๆ พอดีกับหันไปเห็นพ่อบ้านเฉินตามมาก็รีบขวางไว้เพื่อสอบถามเรื่องราว “ท่านแม่ทัพหัวเสียเรื่องอะไร?”
“ก็เพราะวันนี้คุณหนูเหม่ยหลินไม่ยอมออกจากห้องมารับอาหารเช้าด้วยกันเหมือนทุกวันน่ะสิ”
“งั้นรึ...ทำไมล่ะ หรือว่าทะเลาะกัน”
“ท่านนายกองอย่าเพิ่งถามมากความเลย รีบตามท่านแม่ทัพไปก่อนเถิด เดี๋ยวจะพาลโมโหไปกันใหญ่”
พ่อบ้านเฉินดันหลังนายกองหนุ่มให้เร่งเดินตามไปทั้งที่ตัวเองก็หอบเหนื่อยจากที่ต้องรีบเดินกึ่งวิ่งเพื่อตามให้ทันกับเจ้านายผู้ที่อยู่ในภาวะอารมณ์เสีย
เมื่อถึงเวลาประชุมภายในราชสำนัก แม่ทัพหนุ่มเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ที่ถูกจัดไว้เป็นสถานที่ประชุมพร้อมข้าราชบริพารอื่นๆ สิ่งที่ทำให้หวางชุนเทียนต้องประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นชายผู้ที่ยืนอยู่ใกล้กับองค์ชายรองคือ ‘เหอไป่เฉิน’ ในชุดอย่างเป็นทางการ
เหอไป่เฉินผู้นี้ถูกแนะนำตัวว่าเป็น ‘รองแม่ทัพแห่งแคว้นม่งอู๋’ วันนี้มาเพื่อประกาศให้บรรดาขุนนางรับทราบว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติอยู่ในความดูแลขององค์ชายรอง
ท่านอ๋องผู้มีหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมเป็นปกติทุกครั้ง จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่ก็แปลกใจกับการเดินทางมาโดยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่ามีตำแหน่งในราชสำนักแคว้นม่งอู๋
“ทูลเสด็จพ่อ ในเมื่อท่านรองแม่ทัพแจ้งมาว่าต้องการเดินทางมาเป็นการส่วนตัว ลูกเห็นว่าแคว้นของเราทั้งสองต่างก็มีมิตรไมตรีต่อกันจึงเสนอตัวขอต้อนรับท่านรองแม่ทัพเป็นแขกของลูก ขออภัยที่ไม่ได้ทูลให้เสด็จพ่อทราบล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
ในระหว่างที่องค์ชายรองทูลต่อท่านอ๋อง ทหารหนุ่มทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยสายตาแข็งกร้าวด้วยรู้อยู่แก่ใจว่ามีเรื่องค้างคาใจ หวางชุนเทียนไม่วายเหล่ตามองที่แขนของรองแม่ทัพหนุ่มด้วยอยากรู้ว่าภายใต้อาภรณ์นั้นจะมีบาดแผลจากลูกธนูของเขาหรือไม่?
ส่วนรองแม่ทัพเหอไป่เฉินที่เปลี่ยนใจไม่เดินทางออกนอกแคว้นตงเยว่เพราะต้องการอยู่ดูสถานการณ์ภายในแคว้นอีกสักระยะ การเปิดเผยตัวตนในฐานะรองแม่ทัพโดยมีองค์ชายรองเป็นผู้ออกหน้ายอมรับเป็นแขกคนสำคัญย่อมเป็นทางเดียวที่จะไม่ถูกตามจับในฐานะคนร้ายลอบเข้าจวน หรือถึงแม้ถูกจับได้อย่างน้อยก็ไม่ถูกแม่ทัพหวางสอบสวนด้วยกริ่งเกรงในบารมีขององค์ชายรองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ