ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) ลอบเข้าจวนสกุลหวาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเหอไป่เฉินก้าวออกมาจากมุมกำแพง เขาเปิดผ้าคลุมหน้าสีดำออกทันทีที่ได้พบลู่หลิ่ง การปรากฏตัวเป็นไปอย่างระมัดระวังเพราะเห็นว่าบริเวณนี้อยู่ไม่ห่างจากจวนสกุลหวาง ดังนั้นสมควรปิดบังตัวตนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอถือว่าปลอดภัยที่สุด
แต่ลู่หลิ่งกลับไม่ใส่ใจและมองข้ามท่าทีที่ผิดปกตินี้ ในใจของนางมีแต่ความคิดร้ายกาจคอยแต่จะวางแผนการเพื่อทำให้เหม่ยหลินออกไปจากจวนให้ได้เพียงอย่างเดียว
ระยะนี้คนในจวนสกุลหวางเล่าลือถึงความใกล้ชิดระหว่างแม่ทัพหวางและเหม่ยหลินที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้ลู่หลิ่งกระวนกระวายใจเสียจนอยู่ไม่ติด วันนี้ได้เจอเหอไป่เฉินอีกครั้งเป็นเรื่องดีสำหรับนางที่จะได้ดำเนินแผนการสร้างความใกล้ชิดระหว่างพ่อค้าหนุ่มและเหม่ยหลิน
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง คุณชายเหอ” ลู่หลิ่งพูดทักทาย
“ยินดีเช่นกัน ข้าทราบมาว่าแม่นางลู่หลิ่งไปถามหาข้าที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง มีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้งั้นหรือ”
“ข้าไม่มีเรื่องรบกวนคุณชายหรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดจะแวะไปทักทายเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าคุณชายย้ายที่พักแล้ว”
“ใช่ ข้าย้ายไปพักที่อื่นและอีกไม่นานข้าจะต้องเดินทางออกจากเมืองหลวง...ที่ข้ามาพบแม่นางในวันนี้ก็เพื่อมอบของกำนัลก่อนจากลา” พูดพลางล้วงหยิบของออกจากแขนเสื้อตัวยาว ส่งมอบให้แก่หญิงสาวตรงหน้า
“ปิ่นหยก...ช่างงามนัก” ลู่หลิ่งชื่นชมของกำนัลที่ได้รับ และเหลือบไปเห็นว่าในมือของคุณชายยังถือปิ่นหยกอีกหนึ่งชิ้นไว้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการจะมอบปิ่นหยกชิ้นนั้นให้เหม่ยหลินอย่างแน่นอน
“หากปิ่นชิ้นนั้นเป็นของเหม่ยหลิน ท่านมอบให้นางด้วยตัวเองดีกว่า”
“ข้าจะมอบให้นางด้วยตนเองได้อย่างไร ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่พอใจให้ข้าพบหน้าแม่นางเหม่ยหลิน หรือว่า...แม่นางลู่หลิ่งจะช่วยข้าได้” เขาพูดแบบโยนหินถามทาง
“ได้แน่นอน ข้าจะหาทางพาคุณชายเข้าจวนโดยที่ไม่ให้ท่านแม่ทัพรู้เอง” ลู่หลิ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่เดียวที่จะทำให้ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง ดูก็รู้ว่าพ่อค้าต่างแคว้นผู้นี้กระตือรือร้นที่จะพบหน้าเหม่ยหลินอยู่เสมอ
ช่างตรงกับแผนการที่นางวางไว้เสียจริง!
ประตูบานเล็กด้านหลังจวนถูกเปิดออก ร่างของคนทั้งสามก้าวเข้ามาภายในจวนอย่างเงียบๆ เหอไป่เฉินเดินตามหญิงสาวทั้งสองมาตั้งแต่ตรอกทางเข้าทั้งแคบและมืดที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ได้รับรู้ทางเข้าที่นอกเหนือจากประตูใหญ่ด้านหน้าจวน
เรือนที่พำนักของลู่หลิ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูบานนี้ จึงไม่แปลกที่ลู่หลิ่งจะรู้กำหนดเวลาเดินตรวจตราของทหารเวรยามดี ดังนั้นนางจึงเลือกเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นช่วงพักประกอบกับเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนเวร การลอบพาเหอไป่เฉินเข้ามาจึงได้อย่างสะดวก
ที่สำคัญคือผู้ที่มีกุญแจประตูบานนี้มีเพียงพ่อบ้านเฉินและลู่หลิ่งเท่านั้น...
“คุณชายรอที่เรือนของข้าก่อน เดี๋ยวข้าจะไปตามเหม่ยหลินมาพบท่าน”
“รบกวนแม่นางลู่หลิ่งแล้ว” ชายหนุ่มพูดพลางโค้งศีรษะ นึกขอบใจหญิงตรงหน้าที่พาเขาเข้ามา แม้ว่าจุดนี้เป็นเพียงเรือนเล็กด้านหลังจวนก็ตาม
เหอไป่เฉินไม่คิดนั่งรอให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เมื่อเห็นเป็นโอกาสดีจึงแอบเดินตามลู่หลิ่งเพื่อที่จะรู้ตำแหน่งของห้องเป้าหมายให้ได้ เขาเห็นลู่หลิ่งและสาวใช้มุ่งหน้าไปตามโถงทางเดินที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาจึงคิดหาวิธีไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ด้วยวรยุทธอันเก่งกาจของรองแม่ทัพแคว้นม่งอู๋ เขาตัดสินใจใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นบนหลังคาจวนเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน ประกอบกับชุดคลุมและผ้าคลุมหน้าสีดำที่เขาสวมทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นได้โดยง่าย
ส่วนลู่หลิ่งเดินมาถึงหน้าห้องของเหม่ยหลิน นางเคาะประตูก่อนจะเข้าไปในห้องเพื่อดำเนินแผนการชักชวนให้ไปที่เรือนเล็ก ส่วนจูผิงสาวใช้ประจำกายถูกหลอกล่อให้ไปทำหน้าที่อื่นเพื่อไม่ให้ติดตามเหม่ยหลิน
ในขณะเดียวกัน เหอไป่เฉินที่อยู่บนหลังคาห้องถัดไปค่อยๆเปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาออก เขาก้มหน้าลงไปชิดกับช่องว่างนั้นเพื่อสอดส่องสภาพเบื้องล่าง จนกระทั่งเห็นร่างบุรุษเจ้าของห้องเปิดประตูเดินเข้าสู่พื้นที่ภายในพร้อมทหารคนสนิท
“ท่านแม่ทัพ สารลับจากองค์ชายใหญ่ขอรับ”
กัวเสี่ยนหรงยื่นม้วนสารลับจากองค์ชายใหญ่ที่เพิ่งส่งมาถึงวันนี้ให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ของสำคัญเช่นนี้ไม่อาจวางไว้ที่ห้องทำงานหรือห้องตำราเฉกเช่นสิ่งของทั่วไปได้ จำเป็นจะต้องส่งให้ถึงมือท่านแม่ทัพเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วนายกองหนุ่มจึงเอ่ยปากขอตัวกลับ
ส่วนคนที่แอบอยู่บนหลังคาพลันเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำว่า ‘สารลับจากองค์ชายใหญ่’ และยิ่งได้เห็นแม่ทัพหนุ่มก้มอ่านสารลับดังกล่าวก่อนที่จะก้มตัวยกหีบหล็กออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมใต้เตียงนอน ทำให้เขายิ่งตระหนักได้ว่า
‘ยังมีสารลับซ่อนไว้ที่อื่น และดูเหมือนสารเหล่านั้นต่างหากที่เป็นของจริง!’
เหอไป่เฉินกำมือแน่นด้วยรู้สึกว่าสารที่เขาหยิบจากกล่องไม้บนชั้นวางอาจเป็นสารปลอม รู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกหวางชุนเทียนหลอกราวกับเห็นว่าเขาเป็นตัวตลก
มิน่าเล่า ของในจวนหายไปเช่นนี้ แม่ทัพหวางกลับไม่ออกคำสั่งค้นหาผู้กระทำผิดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นผู้ขโมยไป ‘หากจะขโมยสารลับของจริง ต้องหาทางเข้าจวนอีกครั้งให้ได้’ เหอไป่เฉินหยุดคิดก่อนที่มือหนายกกระเบื้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมอย่างเบามือที่สุด แต่การกระทำนั้นไม่อาจรอดพ้นไปจากประสาทสัมผัสของแม่ทัพหวางชุนเทียนไปได้
“นั่นใคร!” ใบหน้าคมสันเงยขึ้นพร้อมตะโกนออกไปด้วยเสียงทุ้มห้าว
เสียงย่ำเหยียบกระเบื้องหลังคาดังครึ่กๆ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่ามีผู้กำลังหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ
แม่ทัพหนุ่มไม่รอช้าก้าวพรวดไปที่แท่นวางอาวุธคว้าคันธนูขึ้นมาเป็นอันดับแรก ถึงแม้ความเคลื่อนไหวของคนบนหลังคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว หวางชุนเทียนก็ไม่ยอมแพ้ ขายาวก้าวกระโดดออกจากประตูห้องสู่พื้นที่ด้านหน้าด้วยความว่องไว และกวาดตามองหาคนร้ายเหนือหลังคาจนเห็นร่างที่คลุมผ้าสีดำวิ่งประคองตัวไปตามแผ่นกระเบื้อง
ชายหนุ่มยกคันธนูขึ้นมองเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลเกินไปว่าระยะการยิง สายตาคมกริบมองผ่านคันธนูตาไม่กะพริบ สายธนูถูกง้างตึงสุดเหยียดและปล่อยลูกศรพุ่งแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ฟึ่บ!!’ ปลายลูกศรถากเข้าที่แขนซ้ายของบุรุษนิรนามแล้วกระเด็นหายลับไป ดูเหมือนร่างนั้นชะงักจากการถูกยิงเพียงครู่เดียวพลันก้าวกระโดดหนีไปข้างหน้าโดยไม่หันมามอง
แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วแน่น จ้องเขม็งถึงความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนหลังคา คนร้ายสามารถเบี่ยงตัวหลบลูกธนูของเขาได้โดยไม่ถูกปักเข้าบนร่างกายโดยตรง แสดงว่าคนผู้นี้มีฝีมือพอสมควร
ในขณะนั้นทหารเวรยามสองนายที่เพิ่งเดินมาถึงจึงไม่ทันเห็นว่ามีคนร้ายอยู่บนหลัง แต่ท่าทางของแม่ทัพหวางที่ถือคันธนูยืนเงยหน้ามองหลังคาทำให้ทหารต้องรีบวิ่งมาถามทันที พลันได้ยินคำสั่งเฉียบขาดออกจากปากของแม่ทัพหนุ่ม...
“คนร้ายลอบเข้ามา รีบตามหาให้ทั่วจวน!”
เหอไป่เฉินเร่งฝีเท้ากระโดดลงจากหลังคามุ่งหน้าไปยังประตูหลังที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเล็ก แต่เขาจำเป็นต้องเข้าไปหลบชั่วคราวในห้องรับรองตามเดิม เมื่อเห็นทหารเวรยามเดินตรวจตราอยู่ใกล้ประตูทางออก
‘รู้ตัวเร็วเช่นนี้ช่างสมกับเป็นแม่ทัพจริงๆ’ ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บใช้มือกุมบาดแผลยืนหันหลังพิงประตูอยู่ภายในห้องรับรอง ดูเหมือนเรือนหลังนี้ไม่เป็นจุดสนใจของคนในจวนเท่าไรนัก เขาคิดว่าจะหลบอยู่สักพักแล้วค่อยแอบออกไป
“แอ๊ด” เสียงบานพับประตูดังขึ้นในความเงียบ จนทำให้เหอไป่เฉินที่ระวังตัวอยู่แล้วสะดุ้งเฮือก
มือเรียวยาวผลักประตูเข้ามาอย่างช้าๆ ซึ่งเขาไม่อาจมัวคิดว่าคนผู้นี้เป็นใคร ชายหนุ่มเอื้อมไปคว้าข้อมือแล้วกระชากเข้ามาในห้อง
“ว้าย! คุณชายเหอ!” เหม่ยหลินร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกเขาดึงมือ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเหอไป่เฉินรอเธออยู่ในห้องรับรองของเรือนเล็กแห่งนี้
“แม่นางเหม่ยหลิน!” เสียงร้องของหญิงสาวทำให้เหอไป่เฉินชะงัก ส่วนเหม่ยหลินเองก็ยืนนิ่งมองท่าทีแปลกของเขาเช่นกัน ครั้นเหลือบสายตามองเห็นรอยเลือดซึมที่แขนขวาของชายหนุ่ม
“คุณชายเหอ เลือดที่แขนท่าน...เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” หญิงสาวทำหน้าตกใจ
“เอ่อ...บาดแผลนี้ เพราะ...ข้าไม่ระวังจึงถูกกิ่งไม้เกี่ยวที่แขน” เขาปล่อยมือจากเหม่ยหลินและจำเป็นต้องพูดปดเพื่อเอาตัวรอด
เหม่ยหลินเดาไปเองว่ากิ่งไม้ที่คุณชายเหอพูดถึงคงจะเป็นกิ่งของต้นไม้รกครึ้มที่ขึ้นอยู่ตลอดเส้นทางเดินตามตรอกเล็กด้านหลังจวน ดูแล้วไม่ใช่ทางเดินที่ปลอดภัยเลย
“ลู่หลิ่งบอกว่าคุณชายต้องเดินเข้ามาทางหลังจวน ไม่น่าต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเองก็ไม่สบายใจที่ต้องมาพบเหอไป่เฉินในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ แต่ที่ยอมมาก็เป็นเพราะลู่หลิ่งบอกว่าเขาจะเดินทางออกไปจากเมืองหลวงในไม่ช้า และขอพบเธอเพื่อมอบของที่ระลึกก่อนจากไป เหม่ยหลินจึงใจอ่อนยอมมาพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“คุณชายรอประเดี๋ยว ข้าจะออกไปหายามาทาบาดแผลให้คุณชาย” หญิงสาวทำท่าจะหันหลังออกไปหยิบยา แต่เหอไป่เฉินกลับร้องห้ามไว้ เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยว่ามีคนนอกจวนแอบเข้ามา
“ปล่อยบาดแผลไว้แบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างน้อยต้องใช้ผ้าพันบาดแผลเอาไว้ก่อน” เหอไป่เฉินอึ้งไปชั่วขณะที่เห็นหญิงสาวดึงดันจะทำแผลให้แก่เขา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวไว้ออกมาฉีกแล้วมัดติดกันจนเป็นเส้นเดียว
“คุณชายช้าอยู่ทำไม พับแขนเสื้อขึ้นสิ” เหม่ยหลินพูดเร่งให้ชายหนุ่มทำตาม
“อ่ะ..เอ่อ ข้าเข้าใจแล้ว” เขารีบถลกแขนเสื้อขึ้นตามที่หญิงสาวบอก เหม่ยหลินตั้งอกตั้งใจใช้ผ้าพันที่รอบบาดแผลของเขาอย่างเบามือ ความใส่ใจของหญิงสาวทำให้เหอไป่เฉินไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้านวลได้ เขาไม่คิดเลยว่าแค่การพันแผลง่ายๆจะทำให้รองแม่ทัพอย่างเขารู้สึกใจบางได้ขนาดนี้...
หลังจากมัดผ้าที่แผลไว้ไม่ให้หลุด มือเรียวเล็กก็ช่วยดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มลงเป็นอันเสร็จ
“แค่นี้ก็เรียบร้อย” หญิงสาวเลื่อนตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองผลงานพันผ้าของตนเอง จากนั้นทำท่าจะลุกขึ้นเพื่ออำลา
“หากคุณชายเหอไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับห้อง”
“เอ่อ...ใช่แล้ว ข้ามีของจะมอบให้” เหอไป่เฉินกะพริบตาถี่เรียกสติ ก่อนจะหยิบปิ่นหยกมอบให้แก่เหม่ยหลินตามที่ตั้งใจ
หญิงสาวรับปิ่นหยกนั้นมาถือไว้ในมือพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเอ่ยปาก
“ชายหญิงไม่สมควรที่ต้องอยู่ด้วยกันในยามวิกาลเป็นเวลานานนัก ข้าคงต้องส่งคุณชายเพียงเท่านี้...แต่ทราบว่าท่านกำลังจะไปจากเมืองหลวง เราคงพบกันเป็นครั้งสุดท้าย...ขอให้คุณชายโชคดีนะเจ้าคะ” พูดพลางโค้งคำนับ
เหอไป่เฉินทำหน้าผิดหวังและรู้สึกใจหายเมื่อหญิงสาวพูดเหมือนกับว่า
‘หลังจากนี้จะไม่ได้พบเจอกันอีกต่อไป…’
แต่ลู่หลิ่งกลับไม่ใส่ใจและมองข้ามท่าทีที่ผิดปกตินี้ ในใจของนางมีแต่ความคิดร้ายกาจคอยแต่จะวางแผนการเพื่อทำให้เหม่ยหลินออกไปจากจวนให้ได้เพียงอย่างเดียว
ระยะนี้คนในจวนสกุลหวางเล่าลือถึงความใกล้ชิดระหว่างแม่ทัพหวางและเหม่ยหลินที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้ลู่หลิ่งกระวนกระวายใจเสียจนอยู่ไม่ติด วันนี้ได้เจอเหอไป่เฉินอีกครั้งเป็นเรื่องดีสำหรับนางที่จะได้ดำเนินแผนการสร้างความใกล้ชิดระหว่างพ่อค้าหนุ่มและเหม่ยหลิน
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง คุณชายเหอ” ลู่หลิ่งพูดทักทาย
“ยินดีเช่นกัน ข้าทราบมาว่าแม่นางลู่หลิ่งไปถามหาข้าที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง มีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้งั้นหรือ”
“ข้าไม่มีเรื่องรบกวนคุณชายหรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดจะแวะไปทักทายเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าคุณชายย้ายที่พักแล้ว”
“ใช่ ข้าย้ายไปพักที่อื่นและอีกไม่นานข้าจะต้องเดินทางออกจากเมืองหลวง...ที่ข้ามาพบแม่นางในวันนี้ก็เพื่อมอบของกำนัลก่อนจากลา” พูดพลางล้วงหยิบของออกจากแขนเสื้อตัวยาว ส่งมอบให้แก่หญิงสาวตรงหน้า
“ปิ่นหยก...ช่างงามนัก” ลู่หลิ่งชื่นชมของกำนัลที่ได้รับ และเหลือบไปเห็นว่าในมือของคุณชายยังถือปิ่นหยกอีกหนึ่งชิ้นไว้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการจะมอบปิ่นหยกชิ้นนั้นให้เหม่ยหลินอย่างแน่นอน
“หากปิ่นชิ้นนั้นเป็นของเหม่ยหลิน ท่านมอบให้นางด้วยตัวเองดีกว่า”
“ข้าจะมอบให้นางด้วยตนเองได้อย่างไร ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่พอใจให้ข้าพบหน้าแม่นางเหม่ยหลิน หรือว่า...แม่นางลู่หลิ่งจะช่วยข้าได้” เขาพูดแบบโยนหินถามทาง
“ได้แน่นอน ข้าจะหาทางพาคุณชายเข้าจวนโดยที่ไม่ให้ท่านแม่ทัพรู้เอง” ลู่หลิ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่เดียวที่จะทำให้ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง ดูก็รู้ว่าพ่อค้าต่างแคว้นผู้นี้กระตือรือร้นที่จะพบหน้าเหม่ยหลินอยู่เสมอ
ช่างตรงกับแผนการที่นางวางไว้เสียจริง!
ประตูบานเล็กด้านหลังจวนถูกเปิดออก ร่างของคนทั้งสามก้าวเข้ามาภายในจวนอย่างเงียบๆ เหอไป่เฉินเดินตามหญิงสาวทั้งสองมาตั้งแต่ตรอกทางเข้าทั้งแคบและมืดที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ได้รับรู้ทางเข้าที่นอกเหนือจากประตูใหญ่ด้านหน้าจวน
เรือนที่พำนักของลู่หลิ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูบานนี้ จึงไม่แปลกที่ลู่หลิ่งจะรู้กำหนดเวลาเดินตรวจตราของทหารเวรยามดี ดังนั้นนางจึงเลือกเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นช่วงพักประกอบกับเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนเวร การลอบพาเหอไป่เฉินเข้ามาจึงได้อย่างสะดวก
ที่สำคัญคือผู้ที่มีกุญแจประตูบานนี้มีเพียงพ่อบ้านเฉินและลู่หลิ่งเท่านั้น...
“คุณชายรอที่เรือนของข้าก่อน เดี๋ยวข้าจะไปตามเหม่ยหลินมาพบท่าน”
“รบกวนแม่นางลู่หลิ่งแล้ว” ชายหนุ่มพูดพลางโค้งศีรษะ นึกขอบใจหญิงตรงหน้าที่พาเขาเข้ามา แม้ว่าจุดนี้เป็นเพียงเรือนเล็กด้านหลังจวนก็ตาม
เหอไป่เฉินไม่คิดนั่งรอให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เมื่อเห็นเป็นโอกาสดีจึงแอบเดินตามลู่หลิ่งเพื่อที่จะรู้ตำแหน่งของห้องเป้าหมายให้ได้ เขาเห็นลู่หลิ่งและสาวใช้มุ่งหน้าไปตามโถงทางเดินที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาจึงคิดหาวิธีไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ด้วยวรยุทธอันเก่งกาจของรองแม่ทัพแคว้นม่งอู๋ เขาตัดสินใจใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นบนหลังคาจวนเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน ประกอบกับชุดคลุมและผ้าคลุมหน้าสีดำที่เขาสวมทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นได้โดยง่าย
ส่วนลู่หลิ่งเดินมาถึงหน้าห้องของเหม่ยหลิน นางเคาะประตูก่อนจะเข้าไปในห้องเพื่อดำเนินแผนการชักชวนให้ไปที่เรือนเล็ก ส่วนจูผิงสาวใช้ประจำกายถูกหลอกล่อให้ไปทำหน้าที่อื่นเพื่อไม่ให้ติดตามเหม่ยหลิน
ในขณะเดียวกัน เหอไป่เฉินที่อยู่บนหลังคาห้องถัดไปค่อยๆเปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาออก เขาก้มหน้าลงไปชิดกับช่องว่างนั้นเพื่อสอดส่องสภาพเบื้องล่าง จนกระทั่งเห็นร่างบุรุษเจ้าของห้องเปิดประตูเดินเข้าสู่พื้นที่ภายในพร้อมทหารคนสนิท
“ท่านแม่ทัพ สารลับจากองค์ชายใหญ่ขอรับ”
กัวเสี่ยนหรงยื่นม้วนสารลับจากองค์ชายใหญ่ที่เพิ่งส่งมาถึงวันนี้ให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ของสำคัญเช่นนี้ไม่อาจวางไว้ที่ห้องทำงานหรือห้องตำราเฉกเช่นสิ่งของทั่วไปได้ จำเป็นจะต้องส่งให้ถึงมือท่านแม่ทัพเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วนายกองหนุ่มจึงเอ่ยปากขอตัวกลับ
ส่วนคนที่แอบอยู่บนหลังคาพลันเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำว่า ‘สารลับจากองค์ชายใหญ่’ และยิ่งได้เห็นแม่ทัพหนุ่มก้มอ่านสารลับดังกล่าวก่อนที่จะก้มตัวยกหีบหล็กออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมใต้เตียงนอน ทำให้เขายิ่งตระหนักได้ว่า
‘ยังมีสารลับซ่อนไว้ที่อื่น และดูเหมือนสารเหล่านั้นต่างหากที่เป็นของจริง!’
เหอไป่เฉินกำมือแน่นด้วยรู้สึกว่าสารที่เขาหยิบจากกล่องไม้บนชั้นวางอาจเป็นสารปลอม รู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกหวางชุนเทียนหลอกราวกับเห็นว่าเขาเป็นตัวตลก
มิน่าเล่า ของในจวนหายไปเช่นนี้ แม่ทัพหวางกลับไม่ออกคำสั่งค้นหาผู้กระทำผิดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นผู้ขโมยไป ‘หากจะขโมยสารลับของจริง ต้องหาทางเข้าจวนอีกครั้งให้ได้’ เหอไป่เฉินหยุดคิดก่อนที่มือหนายกกระเบื้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมอย่างเบามือที่สุด แต่การกระทำนั้นไม่อาจรอดพ้นไปจากประสาทสัมผัสของแม่ทัพหวางชุนเทียนไปได้
“นั่นใคร!” ใบหน้าคมสันเงยขึ้นพร้อมตะโกนออกไปด้วยเสียงทุ้มห้าว
เสียงย่ำเหยียบกระเบื้องหลังคาดังครึ่กๆ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่ามีผู้กำลังหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ
แม่ทัพหนุ่มไม่รอช้าก้าวพรวดไปที่แท่นวางอาวุธคว้าคันธนูขึ้นมาเป็นอันดับแรก ถึงแม้ความเคลื่อนไหวของคนบนหลังคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว หวางชุนเทียนก็ไม่ยอมแพ้ ขายาวก้าวกระโดดออกจากประตูห้องสู่พื้นที่ด้านหน้าด้วยความว่องไว และกวาดตามองหาคนร้ายเหนือหลังคาจนเห็นร่างที่คลุมผ้าสีดำวิ่งประคองตัวไปตามแผ่นกระเบื้อง
ชายหนุ่มยกคันธนูขึ้นมองเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลเกินไปว่าระยะการยิง สายตาคมกริบมองผ่านคันธนูตาไม่กะพริบ สายธนูถูกง้างตึงสุดเหยียดและปล่อยลูกศรพุ่งแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ฟึ่บ!!’ ปลายลูกศรถากเข้าที่แขนซ้ายของบุรุษนิรนามแล้วกระเด็นหายลับไป ดูเหมือนร่างนั้นชะงักจากการถูกยิงเพียงครู่เดียวพลันก้าวกระโดดหนีไปข้างหน้าโดยไม่หันมามอง
แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วแน่น จ้องเขม็งถึงความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนหลังคา คนร้ายสามารถเบี่ยงตัวหลบลูกธนูของเขาได้โดยไม่ถูกปักเข้าบนร่างกายโดยตรง แสดงว่าคนผู้นี้มีฝีมือพอสมควร
ในขณะนั้นทหารเวรยามสองนายที่เพิ่งเดินมาถึงจึงไม่ทันเห็นว่ามีคนร้ายอยู่บนหลัง แต่ท่าทางของแม่ทัพหวางที่ถือคันธนูยืนเงยหน้ามองหลังคาทำให้ทหารต้องรีบวิ่งมาถามทันที พลันได้ยินคำสั่งเฉียบขาดออกจากปากของแม่ทัพหนุ่ม...
“คนร้ายลอบเข้ามา รีบตามหาให้ทั่วจวน!”
เหอไป่เฉินเร่งฝีเท้ากระโดดลงจากหลังคามุ่งหน้าไปยังประตูหลังที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเล็ก แต่เขาจำเป็นต้องเข้าไปหลบชั่วคราวในห้องรับรองตามเดิม เมื่อเห็นทหารเวรยามเดินตรวจตราอยู่ใกล้ประตูทางออก
‘รู้ตัวเร็วเช่นนี้ช่างสมกับเป็นแม่ทัพจริงๆ’ ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บใช้มือกุมบาดแผลยืนหันหลังพิงประตูอยู่ภายในห้องรับรอง ดูเหมือนเรือนหลังนี้ไม่เป็นจุดสนใจของคนในจวนเท่าไรนัก เขาคิดว่าจะหลบอยู่สักพักแล้วค่อยแอบออกไป
“แอ๊ด” เสียงบานพับประตูดังขึ้นในความเงียบ จนทำให้เหอไป่เฉินที่ระวังตัวอยู่แล้วสะดุ้งเฮือก
มือเรียวยาวผลักประตูเข้ามาอย่างช้าๆ ซึ่งเขาไม่อาจมัวคิดว่าคนผู้นี้เป็นใคร ชายหนุ่มเอื้อมไปคว้าข้อมือแล้วกระชากเข้ามาในห้อง
“ว้าย! คุณชายเหอ!” เหม่ยหลินร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกเขาดึงมือ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเหอไป่เฉินรอเธออยู่ในห้องรับรองของเรือนเล็กแห่งนี้
“แม่นางเหม่ยหลิน!” เสียงร้องของหญิงสาวทำให้เหอไป่เฉินชะงัก ส่วนเหม่ยหลินเองก็ยืนนิ่งมองท่าทีแปลกของเขาเช่นกัน ครั้นเหลือบสายตามองเห็นรอยเลือดซึมที่แขนขวาของชายหนุ่ม
“คุณชายเหอ เลือดที่แขนท่าน...เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” หญิงสาวทำหน้าตกใจ
“เอ่อ...บาดแผลนี้ เพราะ...ข้าไม่ระวังจึงถูกกิ่งไม้เกี่ยวที่แขน” เขาปล่อยมือจากเหม่ยหลินและจำเป็นต้องพูดปดเพื่อเอาตัวรอด
เหม่ยหลินเดาไปเองว่ากิ่งไม้ที่คุณชายเหอพูดถึงคงจะเป็นกิ่งของต้นไม้รกครึ้มที่ขึ้นอยู่ตลอดเส้นทางเดินตามตรอกเล็กด้านหลังจวน ดูแล้วไม่ใช่ทางเดินที่ปลอดภัยเลย
“ลู่หลิ่งบอกว่าคุณชายต้องเดินเข้ามาทางหลังจวน ไม่น่าต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเองก็ไม่สบายใจที่ต้องมาพบเหอไป่เฉินในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ แต่ที่ยอมมาก็เป็นเพราะลู่หลิ่งบอกว่าเขาจะเดินทางออกไปจากเมืองหลวงในไม่ช้า และขอพบเธอเพื่อมอบของที่ระลึกก่อนจากไป เหม่ยหลินจึงใจอ่อนยอมมาพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“คุณชายรอประเดี๋ยว ข้าจะออกไปหายามาทาบาดแผลให้คุณชาย” หญิงสาวทำท่าจะหันหลังออกไปหยิบยา แต่เหอไป่เฉินกลับร้องห้ามไว้ เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยว่ามีคนนอกจวนแอบเข้ามา
“ปล่อยบาดแผลไว้แบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างน้อยต้องใช้ผ้าพันบาดแผลเอาไว้ก่อน” เหอไป่เฉินอึ้งไปชั่วขณะที่เห็นหญิงสาวดึงดันจะทำแผลให้แก่เขา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวไว้ออกมาฉีกแล้วมัดติดกันจนเป็นเส้นเดียว
“คุณชายช้าอยู่ทำไม พับแขนเสื้อขึ้นสิ” เหม่ยหลินพูดเร่งให้ชายหนุ่มทำตาม
“อ่ะ..เอ่อ ข้าเข้าใจแล้ว” เขารีบถลกแขนเสื้อขึ้นตามที่หญิงสาวบอก เหม่ยหลินตั้งอกตั้งใจใช้ผ้าพันที่รอบบาดแผลของเขาอย่างเบามือ ความใส่ใจของหญิงสาวทำให้เหอไป่เฉินไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้านวลได้ เขาไม่คิดเลยว่าแค่การพันแผลง่ายๆจะทำให้รองแม่ทัพอย่างเขารู้สึกใจบางได้ขนาดนี้...
หลังจากมัดผ้าที่แผลไว้ไม่ให้หลุด มือเรียวเล็กก็ช่วยดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มลงเป็นอันเสร็จ
“แค่นี้ก็เรียบร้อย” หญิงสาวเลื่อนตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองผลงานพันผ้าของตนเอง จากนั้นทำท่าจะลุกขึ้นเพื่ออำลา
“หากคุณชายเหอไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับห้อง”
“เอ่อ...ใช่แล้ว ข้ามีของจะมอบให้” เหอไป่เฉินกะพริบตาถี่เรียกสติ ก่อนจะหยิบปิ่นหยกมอบให้แก่เหม่ยหลินตามที่ตั้งใจ
หญิงสาวรับปิ่นหยกนั้นมาถือไว้ในมือพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเอ่ยปาก
“ชายหญิงไม่สมควรที่ต้องอยู่ด้วยกันในยามวิกาลเป็นเวลานานนัก ข้าคงต้องส่งคุณชายเพียงเท่านี้...แต่ทราบว่าท่านกำลังจะไปจากเมืองหลวง เราคงพบกันเป็นครั้งสุดท้าย...ขอให้คุณชายโชคดีนะเจ้าคะ” พูดพลางโค้งคำนับ
เหอไป่เฉินทำหน้าผิดหวังและรู้สึกใจหายเมื่อหญิงสาวพูดเหมือนกับว่า
‘หลังจากนี้จะไม่ได้พบเจอกันอีกต่อไป…’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ