ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.94K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) ข่าวกรองที่ผิดพลาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรถม้าที่เหอไป่เฉินและหลัวอี้ชิงนั่งอยู่เคลื่อนตัวออกห่างจากจวนสกุลหวางมุ่งหน้าสู่สถานที่แห่งหนึ่ง ในระหว่างทางชายหนุ่มทั้งสองรีบนำสารลับออกจากกล่องไม้เปิดอ่านด้วยความอยากรู้
‘ชายแดนทางใต้มีอากาศแปรปวนไม่สามารถเพาะปลูกได้ ชาวบ้านอดอยาก’ ‘ทหารเจ็บป่วยมีจำนวนมาก ขอให้ส่งแพทย์และยาสมุนไพรชั้นดีโดยด่วน’ ‘เสบียงใกล้หมดแล้ว...’
เหอไป่เฉินทำหน้าฉงน เหตุใดข้อความในสารแต่ละม้วนไม่มีรายละเอียดเชื่อมโยงเกี่ยวกับการฟื้นฟูกองทัพเพื่อการรบอย่างที่คาดคิด อ่านไปอ่านมาดูเหมือนว่าชายแดนทางใต้จะเกิดความลำบากยากเข็ญด้วยซ้ำไป
“ข่าวกรองที่เราได้มาผิดพลาดหรืออย่างไร แล้วทหารกองสอดแนมที่เราส่งไปชายแดนทางใต้เล่า กลับมาหรือยัง” เหอไป่เฉินหวังว่าอย่างน้อยน่าจะมีข่าวสารโดยตรงจากทหารของตนเองบ้าง แต่เมื่อหลัวอี้ชิงตอบกลับมาว่ายังไม่มีวี่แว่ว แม้ว่าจะส่งคนใหม่ไปก็หายเงียบเหมือนเดิม
คำตอบของหลัวอี้ชิงทำให้เหอไป่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาม้วนสารเหล่านั้นเก็บกล่องเหมือนเดิม
จนกระทั่งเสียงของสารถีตะโกนจากด้านหน้าพร้อมบังคับม้าให้หยุดนิ่งบอกให้รู้ว่าถึงจุดหมายแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองจึงสองคนก้าวลงจากรถม้าพลางกวาดสายตามองโดยรอบเป็นการตรวจตราดูสิ่งผิดปกติ ก่อนที่จะสาวเท้ามุ่งสู่สถานที่แห่งนี้
ป้ายไม้ที่เขียนตัวอักษรลายเส้นสวยงามติดอยู่เหนือประตูทางเข้าหลัก ‘เรือนเจียวลู่’
หากมองจากนอกกำแพงแล้วเรือนนี้เป็นเพียงเรือนขนาดกลางไม่มีความโดดเด่นอันใด พื้นที่ภายในเองก็มีต้นไม้อยู่หนาแน่นไม่โปร่งสายตาเป็นปกติวิสัยอย่างเช่นเรือนละแวกใกล้เคียง ราวกับว่าเรือนนี้ไม่มีผู้อยู่อาศัยมาเนิ่นนานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าภายในเรือนกลับมีชายสูงศักดิ์ซึ่งรอการมาของเหอไป่เฉินอยู่
ประตูทางเข้าด้านในมีการรักษาความปลอดภัยด้วยกำลังคนสี่นาย เพียงแค่เหอไป่เฉินยกตราสัญลักษณ์ประจำตัวขึ้นมาชายทั้งสี่ก็ยินยอมให้เข้าโดยง่าย พอเดินมาเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของตัวเรือน หลัวอี้ชิงปิดประตูและหยุดรออยู่ด้านในปล่อยให้เหอไป่เฉินเข้าไปพบบุคคลสำคัญผู้นั้นเพียงคนเดียว
“มาแล้วหรือ” ชายสูงศักดิ์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามพร้อมยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรอง” ร่างสูงโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม
บุรุษที่รอนัดพบเหอไป่เฉินที่เรือนเจียวลู่แห่งนี้คือองค์ชายลี่หยางหรือองค์ชายรองแห่งแคว้นตงเยว่! ผู้ที่มีความบาดหมางลึกๆ กับแม่ทัพหวางชุนเทียน
“ท่านน่ะหรือคือรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแห่งแคว้นม่งอู๋”
คำเรียกขานระหว่างกันแสดงถึงฐานะและตำแหน่งอันแท้จริงของบุรุษหนุ่มทั้งสอง รองแม่ทัพเหอไป่เฉินหรือผู้ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าต่างแคว้นเดินทางเข้าสู่แคว้นตงเยว่ซึ่งถือเป็นเมืองขึ้นของแคว้นม่งอู๋ เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้จึงเสนอตัวเข้ามาสืบข่าวการทหารที่แคว้นตงเยว่พร้อมหลัวอี้ชิงขุนพลคนสนิท
“กระหม่อมสบายดี เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าองค์ชายรอง เหตุที่ข้าไม่อาจเข้าสู่แคว้นตงเยว่อย่างเป็นทางการได้ นั่นเป็นเพราะข่าวกรองที่ได้รับว่าอาจมีการเตรียมกองกำลังทหารเพื่อการรบ หวังว่าองค์ชายรองคงจะเข้าใจ”
“เราคนกันเองไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวล ข้านั้นมีความภักดีต่อฮ่องเต้อู๋ซั่วโจว ข้าเองก็ไม่ต้องการให้แคว้นตงเยว่คิดการเป็นปรปักษ์ต่อแคว้นม่งอู๋อยู่แล้ว ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยได้ข้าจะไม่รีรอ”
“ฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวทรงรับทราบความจงรักภักดีขององค์ชายรองเป็นอย่างดี หากว่าในภายภาคหน้าองค์ชายรองเป็นผู้ปกครองแคว้นตงเยว่ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองยิ้มอย่างพอใจในคำพูดชื่นชมจากรองแม่ทัพผู้นี้ ตำแหน่งรัชทายาทแห่งแคว้นม่งอู๋กำหนดไว้ให้แก่องค์ชายลี่หมิงที่ตอนนี้คุมทัพอยู่ชายแดงทางใต้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวไม่อาจวางใจได้เพราะกริ่งเกรงว่าหากกองทัพของแคว้นตงเยว่มีความเข้มแข็งมากเท่าไรก็เป็นภัยต่ออำนาจของแคว้นม่งอู๋มากเท่านั้น นอกจากนี้หากองค์รัชทายาทของแคว้นเมืองขึ้นเป็นผู้มากด้วยความสามารถด้านการทหาร ถือเป็นภัยร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้
องค์ชายรองลี่หยางผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เกี่ยวกับกิจการของราชสำนักเลย จนเกิดเป็นความน้อยใจท่านอ๋องผู้เป็นบิดาอยู่ลึกๆ ที่ดูเหมือนไม่เชื่อในความสามารถของเขา อีกทั้งอำนาจการปกครองภายในราชสำนักก็มีท่านอ๋องเป็นศูนย์กลางเพียงผู้เดียวโดยมีบรรดาขุนนางรับไปจัดการโดยไม่เคยให้องค์ชายรองเข้าร่วมเลย หากมีเรื่องด่วนที่ไม่อาจรอจนถึงวันประชุมขุนนางได้ ก็เรียกหาแต่แม่ทัพหวางชุนเทียนเข้าพอ จนตอนนี้องค์ชายรองยังคิดว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับแม่ทัพหวางชุนเทียนมากกว่าตนเองซึ่งเป็นบุตรชายเสียอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์ชายรองจึงเลือกที่จะอยู่ข้างแคว้นมหาอำนาจอย่างแคว้นม่งอู๋ เมื่อทราบว่าฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวเป็นกังวลว่าแคว้นตงเยว่จะลักลอบกระทำการซ่องสุมกำลังทหาร จึงมีคำสั่งให้ส่งรองแม่ทัพเหอไป่เฉินเข้ามาสืบข่าวอย่างไม่เป็นทางการ องค์ชายรองไม่รอช้าส่งสารไปแจ้งความประสงค์ขอเสนอตัวเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเข้ามาสืบข่าวอย่างลับๆในครั้งนี้ทันที
“ว่าแต่ได้ข่าวว่าท่านเข้ามาสู่เมืองหลวงได้สักพักแล้วมีสิ่งใดที่ท่านคิดว่าผิดปกติหรือไม่”
เมื่อองค์ชายรองกล่าวเช่นนี้ทำให้เหอไป่เฉินฉุกคิดได้ เขาจึงนำสารที่อยู่ภายในกล่องออกมา “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้องค์ชายรองตรวจสอบ ข้อความในสารเหล่านี้ล้วนลงชื่อในนามองค์ชายลี่หมิง คงมีแต่องค์ชายรองที่สามารถช่วยยืนยันได้”
องค์ชายลี่หยางหยิบสารที่ถูกวางกองไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน “ลายมือของพี่ชายใหญ่จริงด้วย ท่านได้สารนี้มาจากไหน”
“กระหม่อมขอตอบตามตรง กระหม่อมมีโอกาสได้เข้าไปสืบข่าวที่จวนแม่ทัพหวางชุนเทียน จึงแอบนำสารนี้ออกมา ในเมื่อองค์ชายรองยืนยันว่าเป็นลายมือขององค์ชายลี่หมิงที่แท้จริง ก็ทำให้เชื่อได้ว่าชายแดนทางใต้อยู่ในสภาพที่ไม่อำนวยต่อการฟื้นฟูกำลังทหารอย่างที่คิด”
องค์ชายรองฟังสิ่งที่เหอไป่เฉินพูดจนจบ สิ่งที่สะดุดหูไม่ใช่เรื่องราวชายแดนทางใต้แต่หากเป็นเรื่องการเข้าไปจนถึงจวนของแม่ทัพหวางชุนเทียนคู่ปรับขององค์ชายต่างหาก
“การที่จะลอบเข้าสู่จวนแม่ทัพโดยไม่ให้ใครเห็นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ท่านใช้อุบายอันใด”
“ข้าแสร้งนำของสิ่งหนึ่งไปคืนแก่หญิงคนสำคัญของแม่ทัพหวางชุนเทียน เมื่อสบโอกาสจึงเข้าไปค้นหาจนพบสารเหล่านี้ในห้องของแม่ทัพหวางชุนเทียน” บอกตามตรงว่าได้ลอบเข้าไปหยิบจากห้องส่วนตัวของแม่ทัพหวางที่ขณะนี้ติดภารกิจลาดตระเวนอยู่นอกเมือง องค์ชายรองได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ
“หญิงคนสำคัญที่ท่านรองแม่ทัพกล่าวถึง ข้าพอจะรู้ว่าเป็นผู้ใด”
ในยามนี้จะมีใครเล่าหากไม่ใช่ ‘เหม่ยหลิน’ สาวน้อยน่าตาสวยหมดจดงดงามที่เคยอยู่ตำหนักเฟิ่งหวงจนกระทั่งแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นั้นนำตัวนางไปเสียดื้อๆ
“องค์ชายรองรู้จักแม่นางเหม่ยหลินด้วยหรือ” เหอไป่เฉินออกจะแปลกใจกับสีหน้าท่าทางขององค์ชายรองในขณะที่กล่าวถึงเหม่ยหลิน
“แน่นอน นางเคยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหวงและเป็นคนของพระชายาฟางซินมาก่อน แต่แม่ทัพหวางผู้นั้นขอท่านอ๋องและพานางออกไป” องค์ชายรองพูดแต่ฝั่งของตนเอง กลับเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้าระหว่างแม่ทัพหวางและเหม่ยหลิน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระชายาฟางซินภรรยาของตนเองนั้นเป็นผู้ไปนำตัวเหม่ยหลินมา
“แม่นางเหม่ยหลินเคยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหวงในฐานะอะไรงั้นหรือ?”
“อันที่จริงนางอยู่ในฐานะสตรีบรรณาการที่ต้องถูกส่งตัวไปยังแคว้นม่งอู๋ของท่าน แต่หากแม่ทัพหวางไม่ใช้อุบายพาตัวนางไปเสียก่อน นางก็คงได้เป็นสนมของข้าไปแล้ว” องค์ชายรองพูดด้วยความเสียดายเพราะคิดว่าเป็นความผิดที่แม่ทัพหวางชุนเทียนจงใจหลอกลวงท่านอ๋องว่านางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตนเองแล้วและให้ถือว่าเป็นคนของจวนสกุลหวาง
“เหอะ ไม่ว่าแม่ทัพหวางผู้นี้จะทูลขอสิ่งใดต่อเสด็จพ่อก็ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง ข้าเกลียดคนผู้นี้นัก”
เหอไป่เฉินได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แม้พอจะทราบข่าวเกี่ยวกับองค์ชายรองลี่หยางผู้นี้อยู่บ้างว่ามีนิสัยรักการเที่ยวเตร่และเจ้าชู้ จึงมีสนมนับสิบคนอยู่ในตำหนักเฟิ่งหวง แต่คำกล่าวโทษต่อแม่ทัพหวางเช่นนี้ดูไปแล้วเป็นเพราะเจ็บใจที่ไม่ได้ครอบครองหญิงงามที่หมายตาเสียมากกว่า
“เอาล่ะ เรามาสนทนาเรื่องของเราดีกว่า ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพพำนักอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้ข้าพำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง แต่อีกไม่นานแม่ทัพหวางคงจะรู้ตัวว่าสารเหล่านี้หายไปและคงให้คนออกตามหาข้า ข้าจำเป็นต้องหาที่พำนักใหม่แล้ว”
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมเรือนเจียวลู่แห่งนี้ไว้เพื่อรับรองท่านโดยเฉพาะ ที่เรือนแห่งนี้อยู่ลับสายตาผู้คน บ่าวรับใช้ที่ข้าส่งมาดูแลก็ไว้ใจได้ทุกคน ท่านและผู้ช่วยของท่านอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย”
“ขอบพระทัยองค์ชายรอง” เหอไป่เฉินคารวะคำนับพลางยิ้มด้วยความพอใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรีบออกจากเมืองหลวง ควรจะรอดูสถานการณ์สักระยะหนึ่งก่อนจะดีกว่า
ยามเย็นของวันนั้น แม่ทัพหวางชุนเทียนนำพาทหารลาดตระเวนกลับสู่จวน ทันทีที่มาถึงก็เรียกหาพ่อบ้านเฉินมาหาที่ห้องนอนเพื่อสอบถามเรื่องที่สั่งให้ทำ
“วันนี้แม่นางเหม่ยหลินอยู่ที่ห้องตำราทั้งวัน ข้าต้อนรับคุณชายเหอไป่เฉินให้อยู่แต่ที่เรือนรับรองตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านแม่ทัพสั่งทุกประการขอรับ”
“คุณชายเหออยู่แต่ที่เรือนรับรองจนกระทั่งถึงเวลากลับเลยจริงหรือ”
“อ่อ ข้าลืมบอกไป คุณชายเหอขอใช้เวลานั่งดื่มชาอยู่สักพักก่อนกลับออกไปเอง ข้าจึงไม่ได้อยู่รอส่ง”
“กลับออกไปเอง” แม่ทัพหวางทำหน้าครุ่นคิดพลางยืดตัวตรงกอดอก
เขาเปิดโอกาสให้เหอไป่เฉินผู้นั้นได้อยู่ในจวนเพียงชั่วคราวโดยที่ไม่มีใครจับตามองเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าเป็นอย่างที่คิดแสดงว่าต้องเกิดสิ่งผิดปกติบางอย่างแล้วเป็นแน่ เขาเหลือบสายตามองกล่องไม้ที่ตั้งใจวางไว้ชั้นบนสุดของชั้นไม้ที่อยู่ใกล้เตียงนอน ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องไม้นั้นนำกลับมาวางที่โต๊ะ
“เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย” เสียงพูดพึมพำของแม่ทัพหนุ่มหลังจากเปิดกล่องออกมาแล้วไม่พบสิ่งที่ถูกใส่ไว้ก่อนหน้านี้
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ” พ่อบ้านเฉินถามด้วยความสงสัย
“พ่อบ้านเฉิน ต่อไปนี้ห้ามคุณชายเหอไป่เฉินผู้นี้เข้ามาในจวนโดยเด็ดขาด!”
น้ำเสียงกร้าวของแม่ทัพหวางทำให้พ่อบ้านเฉินตระหนกตกใจไม่น้อย คุณชายผู้นั้นทำสิ่งใดให้แม่ทัพหวางขุ่นเคืองใจอย่างนั้นหรือ พ่อบ้านชราไม่กล้าที่จะถามว่าเพราะเหตุใดทำได้แต่ตอบรับสิ่งที่นายสั่งเท่านั้น “รับทราบขอรับ”
‘ชายแดนทางใต้มีอากาศแปรปวนไม่สามารถเพาะปลูกได้ ชาวบ้านอดอยาก’ ‘ทหารเจ็บป่วยมีจำนวนมาก ขอให้ส่งแพทย์และยาสมุนไพรชั้นดีโดยด่วน’ ‘เสบียงใกล้หมดแล้ว...’
เหอไป่เฉินทำหน้าฉงน เหตุใดข้อความในสารแต่ละม้วนไม่มีรายละเอียดเชื่อมโยงเกี่ยวกับการฟื้นฟูกองทัพเพื่อการรบอย่างที่คาดคิด อ่านไปอ่านมาดูเหมือนว่าชายแดนทางใต้จะเกิดความลำบากยากเข็ญด้วยซ้ำไป
“ข่าวกรองที่เราได้มาผิดพลาดหรืออย่างไร แล้วทหารกองสอดแนมที่เราส่งไปชายแดนทางใต้เล่า กลับมาหรือยัง” เหอไป่เฉินหวังว่าอย่างน้อยน่าจะมีข่าวสารโดยตรงจากทหารของตนเองบ้าง แต่เมื่อหลัวอี้ชิงตอบกลับมาว่ายังไม่มีวี่แว่ว แม้ว่าจะส่งคนใหม่ไปก็หายเงียบเหมือนเดิม
คำตอบของหลัวอี้ชิงทำให้เหอไป่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาม้วนสารเหล่านั้นเก็บกล่องเหมือนเดิม
จนกระทั่งเสียงของสารถีตะโกนจากด้านหน้าพร้อมบังคับม้าให้หยุดนิ่งบอกให้รู้ว่าถึงจุดหมายแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองจึงสองคนก้าวลงจากรถม้าพลางกวาดสายตามองโดยรอบเป็นการตรวจตราดูสิ่งผิดปกติ ก่อนที่จะสาวเท้ามุ่งสู่สถานที่แห่งนี้
ป้ายไม้ที่เขียนตัวอักษรลายเส้นสวยงามติดอยู่เหนือประตูทางเข้าหลัก ‘เรือนเจียวลู่’
หากมองจากนอกกำแพงแล้วเรือนนี้เป็นเพียงเรือนขนาดกลางไม่มีความโดดเด่นอันใด พื้นที่ภายในเองก็มีต้นไม้อยู่หนาแน่นไม่โปร่งสายตาเป็นปกติวิสัยอย่างเช่นเรือนละแวกใกล้เคียง ราวกับว่าเรือนนี้ไม่มีผู้อยู่อาศัยมาเนิ่นนานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าภายในเรือนกลับมีชายสูงศักดิ์ซึ่งรอการมาของเหอไป่เฉินอยู่
ประตูทางเข้าด้านในมีการรักษาความปลอดภัยด้วยกำลังคนสี่นาย เพียงแค่เหอไป่เฉินยกตราสัญลักษณ์ประจำตัวขึ้นมาชายทั้งสี่ก็ยินยอมให้เข้าโดยง่าย พอเดินมาเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของตัวเรือน หลัวอี้ชิงปิดประตูและหยุดรออยู่ด้านในปล่อยให้เหอไป่เฉินเข้าไปพบบุคคลสำคัญผู้นั้นเพียงคนเดียว
“มาแล้วหรือ” ชายสูงศักดิ์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามพร้อมยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรอง” ร่างสูงโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม
บุรุษที่รอนัดพบเหอไป่เฉินที่เรือนเจียวลู่แห่งนี้คือองค์ชายลี่หยางหรือองค์ชายรองแห่งแคว้นตงเยว่! ผู้ที่มีความบาดหมางลึกๆ กับแม่ทัพหวางชุนเทียน
“ท่านน่ะหรือคือรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแห่งแคว้นม่งอู๋”
คำเรียกขานระหว่างกันแสดงถึงฐานะและตำแหน่งอันแท้จริงของบุรุษหนุ่มทั้งสอง รองแม่ทัพเหอไป่เฉินหรือผู้ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าต่างแคว้นเดินทางเข้าสู่แคว้นตงเยว่ซึ่งถือเป็นเมืองขึ้นของแคว้นม่งอู๋ เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้จึงเสนอตัวเข้ามาสืบข่าวการทหารที่แคว้นตงเยว่พร้อมหลัวอี้ชิงขุนพลคนสนิท
“กระหม่อมสบายดี เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าองค์ชายรอง เหตุที่ข้าไม่อาจเข้าสู่แคว้นตงเยว่อย่างเป็นทางการได้ นั่นเป็นเพราะข่าวกรองที่ได้รับว่าอาจมีการเตรียมกองกำลังทหารเพื่อการรบ หวังว่าองค์ชายรองคงจะเข้าใจ”
“เราคนกันเองไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวล ข้านั้นมีความภักดีต่อฮ่องเต้อู๋ซั่วโจว ข้าเองก็ไม่ต้องการให้แคว้นตงเยว่คิดการเป็นปรปักษ์ต่อแคว้นม่งอู๋อยู่แล้ว ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยได้ข้าจะไม่รีรอ”
“ฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวทรงรับทราบความจงรักภักดีขององค์ชายรองเป็นอย่างดี หากว่าในภายภาคหน้าองค์ชายรองเป็นผู้ปกครองแคว้นตงเยว่ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองยิ้มอย่างพอใจในคำพูดชื่นชมจากรองแม่ทัพผู้นี้ ตำแหน่งรัชทายาทแห่งแคว้นม่งอู๋กำหนดไว้ให้แก่องค์ชายลี่หมิงที่ตอนนี้คุมทัพอยู่ชายแดงทางใต้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวไม่อาจวางใจได้เพราะกริ่งเกรงว่าหากกองทัพของแคว้นตงเยว่มีความเข้มแข็งมากเท่าไรก็เป็นภัยต่ออำนาจของแคว้นม่งอู๋มากเท่านั้น นอกจากนี้หากองค์รัชทายาทของแคว้นเมืองขึ้นเป็นผู้มากด้วยความสามารถด้านการทหาร ถือเป็นภัยร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้
องค์ชายรองลี่หยางผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เกี่ยวกับกิจการของราชสำนักเลย จนเกิดเป็นความน้อยใจท่านอ๋องผู้เป็นบิดาอยู่ลึกๆ ที่ดูเหมือนไม่เชื่อในความสามารถของเขา อีกทั้งอำนาจการปกครองภายในราชสำนักก็มีท่านอ๋องเป็นศูนย์กลางเพียงผู้เดียวโดยมีบรรดาขุนนางรับไปจัดการโดยไม่เคยให้องค์ชายรองเข้าร่วมเลย หากมีเรื่องด่วนที่ไม่อาจรอจนถึงวันประชุมขุนนางได้ ก็เรียกหาแต่แม่ทัพหวางชุนเทียนเข้าพอ จนตอนนี้องค์ชายรองยังคิดว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับแม่ทัพหวางชุนเทียนมากกว่าตนเองซึ่งเป็นบุตรชายเสียอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์ชายรองจึงเลือกที่จะอยู่ข้างแคว้นมหาอำนาจอย่างแคว้นม่งอู๋ เมื่อทราบว่าฮ่องเต้อู๋ซั่วโจวเป็นกังวลว่าแคว้นตงเยว่จะลักลอบกระทำการซ่องสุมกำลังทหาร จึงมีคำสั่งให้ส่งรองแม่ทัพเหอไป่เฉินเข้ามาสืบข่าวอย่างไม่เป็นทางการ องค์ชายรองไม่รอช้าส่งสารไปแจ้งความประสงค์ขอเสนอตัวเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเข้ามาสืบข่าวอย่างลับๆในครั้งนี้ทันที
“ว่าแต่ได้ข่าวว่าท่านเข้ามาสู่เมืองหลวงได้สักพักแล้วมีสิ่งใดที่ท่านคิดว่าผิดปกติหรือไม่”
เมื่อองค์ชายรองกล่าวเช่นนี้ทำให้เหอไป่เฉินฉุกคิดได้ เขาจึงนำสารที่อยู่ภายในกล่องออกมา “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้องค์ชายรองตรวจสอบ ข้อความในสารเหล่านี้ล้วนลงชื่อในนามองค์ชายลี่หมิง คงมีแต่องค์ชายรองที่สามารถช่วยยืนยันได้”
องค์ชายลี่หยางหยิบสารที่ถูกวางกองไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน “ลายมือของพี่ชายใหญ่จริงด้วย ท่านได้สารนี้มาจากไหน”
“กระหม่อมขอตอบตามตรง กระหม่อมมีโอกาสได้เข้าไปสืบข่าวที่จวนแม่ทัพหวางชุนเทียน จึงแอบนำสารนี้ออกมา ในเมื่อองค์ชายรองยืนยันว่าเป็นลายมือขององค์ชายลี่หมิงที่แท้จริง ก็ทำให้เชื่อได้ว่าชายแดนทางใต้อยู่ในสภาพที่ไม่อำนวยต่อการฟื้นฟูกำลังทหารอย่างที่คิด”
องค์ชายรองฟังสิ่งที่เหอไป่เฉินพูดจนจบ สิ่งที่สะดุดหูไม่ใช่เรื่องราวชายแดนทางใต้แต่หากเป็นเรื่องการเข้าไปจนถึงจวนของแม่ทัพหวางชุนเทียนคู่ปรับขององค์ชายต่างหาก
“การที่จะลอบเข้าสู่จวนแม่ทัพโดยไม่ให้ใครเห็นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ท่านใช้อุบายอันใด”
“ข้าแสร้งนำของสิ่งหนึ่งไปคืนแก่หญิงคนสำคัญของแม่ทัพหวางชุนเทียน เมื่อสบโอกาสจึงเข้าไปค้นหาจนพบสารเหล่านี้ในห้องของแม่ทัพหวางชุนเทียน” บอกตามตรงว่าได้ลอบเข้าไปหยิบจากห้องส่วนตัวของแม่ทัพหวางที่ขณะนี้ติดภารกิจลาดตระเวนอยู่นอกเมือง องค์ชายรองได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ
“หญิงคนสำคัญที่ท่านรองแม่ทัพกล่าวถึง ข้าพอจะรู้ว่าเป็นผู้ใด”
ในยามนี้จะมีใครเล่าหากไม่ใช่ ‘เหม่ยหลิน’ สาวน้อยน่าตาสวยหมดจดงดงามที่เคยอยู่ตำหนักเฟิ่งหวงจนกระทั่งแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นั้นนำตัวนางไปเสียดื้อๆ
“องค์ชายรองรู้จักแม่นางเหม่ยหลินด้วยหรือ” เหอไป่เฉินออกจะแปลกใจกับสีหน้าท่าทางขององค์ชายรองในขณะที่กล่าวถึงเหม่ยหลิน
“แน่นอน นางเคยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหวงและเป็นคนของพระชายาฟางซินมาก่อน แต่แม่ทัพหวางผู้นั้นขอท่านอ๋องและพานางออกไป” องค์ชายรองพูดแต่ฝั่งของตนเอง กลับเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้าระหว่างแม่ทัพหวางและเหม่ยหลิน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระชายาฟางซินภรรยาของตนเองนั้นเป็นผู้ไปนำตัวเหม่ยหลินมา
“แม่นางเหม่ยหลินเคยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหวงในฐานะอะไรงั้นหรือ?”
“อันที่จริงนางอยู่ในฐานะสตรีบรรณาการที่ต้องถูกส่งตัวไปยังแคว้นม่งอู๋ของท่าน แต่หากแม่ทัพหวางไม่ใช้อุบายพาตัวนางไปเสียก่อน นางก็คงได้เป็นสนมของข้าไปแล้ว” องค์ชายรองพูดด้วยความเสียดายเพราะคิดว่าเป็นความผิดที่แม่ทัพหวางชุนเทียนจงใจหลอกลวงท่านอ๋องว่านางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตนเองแล้วและให้ถือว่าเป็นคนของจวนสกุลหวาง
“เหอะ ไม่ว่าแม่ทัพหวางผู้นี้จะทูลขอสิ่งใดต่อเสด็จพ่อก็ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง ข้าเกลียดคนผู้นี้นัก”
เหอไป่เฉินได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แม้พอจะทราบข่าวเกี่ยวกับองค์ชายรองลี่หยางผู้นี้อยู่บ้างว่ามีนิสัยรักการเที่ยวเตร่และเจ้าชู้ จึงมีสนมนับสิบคนอยู่ในตำหนักเฟิ่งหวง แต่คำกล่าวโทษต่อแม่ทัพหวางเช่นนี้ดูไปแล้วเป็นเพราะเจ็บใจที่ไม่ได้ครอบครองหญิงงามที่หมายตาเสียมากกว่า
“เอาล่ะ เรามาสนทนาเรื่องของเราดีกว่า ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพพำนักอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้ข้าพำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง แต่อีกไม่นานแม่ทัพหวางคงจะรู้ตัวว่าสารเหล่านี้หายไปและคงให้คนออกตามหาข้า ข้าจำเป็นต้องหาที่พำนักใหม่แล้ว”
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมเรือนเจียวลู่แห่งนี้ไว้เพื่อรับรองท่านโดยเฉพาะ ที่เรือนแห่งนี้อยู่ลับสายตาผู้คน บ่าวรับใช้ที่ข้าส่งมาดูแลก็ไว้ใจได้ทุกคน ท่านและผู้ช่วยของท่านอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย”
“ขอบพระทัยองค์ชายรอง” เหอไป่เฉินคารวะคำนับพลางยิ้มด้วยความพอใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรีบออกจากเมืองหลวง ควรจะรอดูสถานการณ์สักระยะหนึ่งก่อนจะดีกว่า
ยามเย็นของวันนั้น แม่ทัพหวางชุนเทียนนำพาทหารลาดตระเวนกลับสู่จวน ทันทีที่มาถึงก็เรียกหาพ่อบ้านเฉินมาหาที่ห้องนอนเพื่อสอบถามเรื่องที่สั่งให้ทำ
“วันนี้แม่นางเหม่ยหลินอยู่ที่ห้องตำราทั้งวัน ข้าต้อนรับคุณชายเหอไป่เฉินให้อยู่แต่ที่เรือนรับรองตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านแม่ทัพสั่งทุกประการขอรับ”
“คุณชายเหออยู่แต่ที่เรือนรับรองจนกระทั่งถึงเวลากลับเลยจริงหรือ”
“อ่อ ข้าลืมบอกไป คุณชายเหอขอใช้เวลานั่งดื่มชาอยู่สักพักก่อนกลับออกไปเอง ข้าจึงไม่ได้อยู่รอส่ง”
“กลับออกไปเอง” แม่ทัพหวางทำหน้าครุ่นคิดพลางยืดตัวตรงกอดอก
เขาเปิดโอกาสให้เหอไป่เฉินผู้นั้นได้อยู่ในจวนเพียงชั่วคราวโดยที่ไม่มีใครจับตามองเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าเป็นอย่างที่คิดแสดงว่าต้องเกิดสิ่งผิดปกติบางอย่างแล้วเป็นแน่ เขาเหลือบสายตามองกล่องไม้ที่ตั้งใจวางไว้ชั้นบนสุดของชั้นไม้ที่อยู่ใกล้เตียงนอน ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องไม้นั้นนำกลับมาวางที่โต๊ะ
“เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย” เสียงพูดพึมพำของแม่ทัพหนุ่มหลังจากเปิดกล่องออกมาแล้วไม่พบสิ่งที่ถูกใส่ไว้ก่อนหน้านี้
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ” พ่อบ้านเฉินถามด้วยความสงสัย
“พ่อบ้านเฉิน ต่อไปนี้ห้ามคุณชายเหอไป่เฉินผู้นี้เข้ามาในจวนโดยเด็ดขาด!”
น้ำเสียงกร้าวของแม่ทัพหวางทำให้พ่อบ้านเฉินตระหนกตกใจไม่น้อย คุณชายผู้นั้นทำสิ่งใดให้แม่ทัพหวางขุ่นเคืองใจอย่างนั้นหรือ พ่อบ้านชราไม่กล้าที่จะถามว่าเพราะเหตุใดทำได้แต่ตอบรับสิ่งที่นายสั่งเท่านั้น “รับทราบขอรับ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ