ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) ต่างก็มีแผนการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่โรงแรมเยี่ยนหยาง ลู่หลิ่งไม่ย่างกรายมาที่เรือนใหญ่อีกเลย นางเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ที่เรือนหลังเล็กเพราะเกรงว่าหากได้พบหน้าแม่ทัพหวางแล้วจะเผลอทำตัวมีพิรุธจนถูกจับสังเกตได้ว่านางจงใจพาเหม่ยหลินไปพบเจอกับอันตราย
ยังดีที่แม่ทัพหวางมัวแต่ยุ่งกับภารกิจของราชสำนักทุกวี่วันจึงไม่ได้เรียกนางไปไต่ถามเรื่องราวในวันนั้น อาจเป็นเพราะพ่อบ้านเฉินแจ้งต่อแม่ทัพหนุ่มไปแล้วว่านางพาเหม่ยหลินไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาธรรมดาเท่านั้น
คงมีแต่เย่หยาที่คอยสอดส่องความเป็นไปของทุกคนที่เรือนใหญ่เพื่อนำมารายงานให้คุณหนูของนางทราบ และในวันนี้ก็เช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าคุณชายนามว่าเหอไป่เฉินผู้นั้นจะเป็นฝ่ายมาหาเหม่ยหลินถึงที่จวน หนำซ้ำยังดูเหมือนคุยกันถูกคอเสียด้วย
ลู่หลิ่งนั่งฟังเรื่องที่เย่เหยาเล่ามาอย่างสนอกสนใจ นางคิดว่าคุณชายเหอไป่เฉินผู้นี้ต้องมีความสนใจเหม่ยหลินพอสมควร ยิ่งพอรู้ว่าวันพรุ่งนี้คุณชายจะมาอีกครั้งทำให้ลู่หลิ่งคิดเองว่าเป็นการดีที่ทั้งสองจะสานสัมพันธ์กัน หากเหม่ยหลินชอบพอกันกับคุณชายผู้นั้นทุกอย่างก็เข้าทาง
“เย่เหยา ข้ามีเรื่องให้เจ้าจัดการ” ดวงตาของลู่หลิ่งฉายแววความมุ่งร้ายอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นยามสาย เหอไป่เฉินมาที่จวนสกุลหวางพร้อมหลัวอี้ชิงผู้ช่วยคนสนิท ครั้งนี้พ่อบ้านเฉินเป็นผู้ออกมาต้อนรับ เขาพาทั้งสองไปนั่งรอที่เรือนรับรองและมอบของล้ำค่าบรรจุในกล่องไม้เป็นการตอบแทนตามคำสั่งของแม่ทัพหวาง เหอไป่เฉินไม่ได้สนใจของภายในกล่องมากนัก
“แม่นางเหม่ยหลินไปไหนเสีย นางไม่อยู่หรือ” เหอไป่เฉินเอ่ยถามหาหญิงสาวที่คาดหวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในวันนี้
“วันนี้แม่นางเหม่ยหลินอยู่ที่ห้องตำราไม่สะดวกออกมาต้อนรับขอรับ หากคุณชายมีสิ่งใดโปรดแจ้งข้ามาเถิด ข้าจะเป็นธุระจัดการให้” พ่อบ้านชราตอบเสียงเรียบในขณะที่รินชาใส่ถ้วยให้แก่บุรุษทั้งสอง เขาไม่ได้บอกรายละเอียดให้ฟังมากนักว่าเหตุใดเหม่ยหลินจึงออกมาต้อนรับไม่ได้ แต่ในใจรู้อยู่แล้วว่าแม่ทัพหวางชุนเทียนไม่อยากให้เหม่ยหลินได้พบกับเหอไป่เฉินอีก
เช้าตรู่ก่อนที่แม่ทัพหวางจะนำทหารออกลาดตระเวนนอกเมือง อยู่ๆ ก็มอบหน้าที่ให้เหม่ยหลินจัดหมวดหมู่ตำราในห้องตำราให้เป็นระเบียบ ยิ่งไปกว่านั้นยังกำชับพ่อบ้านเฉินให้ควบคุมเหม่ยหลินห้ามออกจากห้องตำราจนกว่าจะเสร็จงาน
“ข้าไม่มีธุระอันใดหรอก เพียงคิดว่าควรทักทายตามมารยาทเท่านั้น หากข้าขอนั่งรอแม่นางเหม่ยหลินที่ศาลากลางสวนจะได้หรือไม่” เหอไป่เฉินลองถามหยั่งเชิง
“เรียนคุณชายตามตรง ศาลากลางสวนแห่งนั้นปกติเป็นที่ส่วนตัว ด้วยอยู่ใกล้ห้องของแม่นางเหม่ยหลินและห้องของท่านแม่ทัพ จึงไม่สะดวกต้อนรับคุณชายที่นั่นขอรับ ต้องขออภัยด้วย”
เหอไป่เฉินและหลัวอี้ชิงหันมองหน้ากัน เรื่องที่ได้รู้จากปากของพ่อบ้านแห่งสกุลหวางคือตำแหน่งห้องของแม่ทัพหวางชุนเทียน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ควรเสียมารยาท” ยกชาขึ้นจิบพลางคิดแผนการต่อไปขึ้นมาได้ “น้ำชากานี้ช่างรสชาติดีนัก พวกข้าขอนั่งอยู่ที่เรือนรับรองนี้สักครู่หากชากานี้หมดแล้วจึงจะกลับ เห็นจะไม่รบกวนพ่อบ้านเฉินต้องรอส่ง” เหอไป่เฉินแสร้งทำเป็นเกรงใจ พูดออกอุบายเพื่อไม่ให้พ่อบ้านต้องมานั่งเฝ้าตลอดเวลา
“ได้ขอรับ เชิญคุณชายทั้งสองนั่งดื่มชาได้ตามสบาย ข้าขอตัวก่อน” พูดพลางโค้งตัวเดินออกไป
เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านเฉินลับสายตาไปแล้ว ชายทั้งสองลุกขึ้นออกจากห้องทำตัวปกติเดินตรงไปยังทิศทางเป้าหมาย เมื่อรู้แล้วว่าห้องของแม่ทัพหวางต้องเป็นห้องใดห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ศาลากลางสวนแห่งนี้แน่นอน
“น่าจะเป็นห้องนี้” ทั้งสองเลือกที่จะเปิดห้องด้านในก่อน แล้วก็คิดไม่ผิดเพราะสภาพห้องที่ดูเรียบหรูและเครื่องใช้สอยภายในห้องต่างก็เป็นของบุรุษทั้งสิ้น เหอไป่เฉินเหลือบไปเห็นพวงมาลัยดอกไม้ที่เขาเคยขอจากแม่นางเหม่ยหลินวางอยู่บนโต๊ะกลมที่ตั้งใกล้กับเตียงนอน เป็นที่แน่ชัดว่าห้องนี้ก็คือห้องของแม่ทัพหวางผู้ออกตัวว่าเป็นเจ้าของพวงมาลัยดอกไม้นี้
เหอไป่เฉินละสายตาจากพวงมาลัยดอกไม้ มองไปเห็นตู้ไม้ลายฉลุที่อยู่ใกล้เตียงนอนที่สุดคาดว่าน่าจะมีของสำคัญอยู่อย่างแน่นอนจึงรีบเข้าไปเปิดค้นดูจนพบกล่องไม้ขนาดย่อมวางอยู่ที่ชั้นบนสุด
แล้วก็เป็นจริงดั่งคาด ของสำคัญในกล่องนั้นคือสารลับที่ลงชื่อ ‘ลี่หมิง’ อยู่ท้ายข้อความ
“ลี่หมิง! องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นตงเยว่!” หลัวอี้ชิงยื่นหน้าเข้ามาดูสารที่อยู่ในมือของเจ้านายหนุ่ม
“องค์ชายลี่หมิงบัญชาการกองทหารอยู่ชายแดนทางใต้ สารลับระหว่างแม่ทัพและองค์ชายลี่หมิงย่อมถือเป็นสาระสำคัญต่อแคว้นนี้ไม่ผิดแน่” เหอไป่เฉินเหยียดยิ้มดีใจที่ค้นพบสิ่งที่ต้องการ
ทั้งสองเปิดดูอย่างลวกๆ ยังไม่ทันจะอ่านรายละเอียดในสารลับก็เห็นเงาของทหารเฝ้าเวรยามเดินผ่านหน้าห้อง
“เรารีบออกจากจวนก่อนดีกว่าขอรับ หากใครพบเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่” หลัวอี้ชิงออกความเห็น และนึกขึ้นได้ว่าควรนำสารลับเหล่านั้นใส่ในกล่องที่เพิ่งได้รับจากพ่อบ้านเฉินดูจะไม่เป็นจุดสังเกตมากนัก
บุรุษทั้งสองออกจากห้องของหวางชุนเทียนเร่งฝีเท้าตรงมาจนถึงโถงทางเดินหลักเยื้องกับศาลากลางสวน พลันได้ยินเสียงหญิงสาวเดินคุยกันมาจากที่ไกลๆ จึงทำทีเป็นว่ามานั่งพักที่ศาลากลางสวน
“ท่านคือคุณชายเหอไป่เฉิน”
“แม่นางรู้จักข้า แม่นางคือ...”
“ข้านามว่าติงลู่หลิ่ง ในวันนั้นก็ถือว่าคุณชายได้ช่วยข้าไว้เช่นกัน”
“อ๋อ ข้าจำแม่นางได้แล้ว” เหอไป่เฉินพยักหน้านึกขึ้นได้ หญิงสาวสองนางนี้คือผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะกับแม่นางเหม่ยหลินแต่กลับดูทีท่าไม่ยี่หระที่เห็นคนตรงหน้าถูกรังแก ไม่น่าเชื่อว่านางอยู่ร่วมจวนเดียวกันด้วย
“คุณชายเหอมาที่สวนแห่งนี้ ต้องการพบเหม่ยหลินงั้นหรือ น่าเสียดายที่อยู่ๆวันนี้นางต้องอยู่แต่ในห้องตำราตามคำสั่งแม่ทัพหวาง ท่านคงไม่มีโอกาสได้พบนาง”
“ในเมื่อแม่นางเหม่ยหลินไม่ว่าง ตอนนี้ข้าควรจะกลับได้แล้ว ข้าขอตัว” แม้จะเสียดายที่ไม่ได้พบหน้าเหม่ยหลินแต่เหอไป่เฉินไม่ใคร่สนใจที่จะเสียเวลาพูดคุยกับลู่หลิ่งมากนัก อีกทั้งคิดว่าควรรีบออกจากจวนให้เร็วที่สุด
“รอเดี๋ยวก่อนคุณชาย” ลู่หลิ่งร้องเรียก
“เหม่ยหลินประสงค์จะตอบแทนท่านแต่นางไม่สะดวกมาด้วยตนเองจึงมอบสิ่งนี้ฝากข้ามาให้แก่ท่าน” ลู่หลิ่งหันไปหยิบกล่องขนาดเล็กจากเย่เหยาแล้วยื่นให้แก่ชายหนุ่ม
เหอไป่เฉินเปิดกล่องนั้นดูจึงได้เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ บรรจุอยู่ภายใน ผ้าสีสวยผืนนี้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆแตะจมูก เมื่อหยิบขึ้นมาดูชัดๆจึงได้เห็นลายปักชื่อ ‘เหม่ยหลิน’
“อันที่จริงแล้ว เหม่ยหลินคิดว่าจะปักชื่อของท่านแต่กลัวไม่ทันเวลา จึงขอมอบผ้าผืนที่ปักชื่อของนางให้แก่ท่าน หวังว่าคุณชายจะพอใจ”
เหอไป่เฉินทำหน้าฉงนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของเหม่ยหลินจริง ครั้นแล้วลู่หลิ่งจึงรีบพูดต่อ
“ผ้าผืนนี้มีกลิ่นดอกกุ้ยฮวาซึ่งเป็นกลิ่นประจำกายของเหม่ยหลิน ลายปักนั้นก็ฝีมือของนางเพียงคนเดียว คุณชายอย่าได้สงสัยไปเลย เหม่ยหลินต้องการตอบแทนท่านจริงๆ”
อย่างน้อยสิ่งที่ลู่หลิ่งพูดก็เป็นความจริงอยู่หนึ่งเรื่องนั่นคือกลิ่นหอมประจำกายของเหม่ยหลิน เขานึกถึงช่วงเวลาที่ได้นั่งสนทนากับหญิงสาวเมื่อวานก็ได้กลิ่นหอมกลิ่นเดียวกันนี้ จะว่าไปฝีมือลายปักที่ปรากฏบนผืนผ้าก็คล้ายกับลายปักที่อยู่บนถุงหอมที่เขาเก็บได้เช่นกัน ทำให้เชื่อได้ว่านี่คือผ้าเช็ดหน้าของเหม่ยหลินจริงๆ
“ข้าจะรับไว้ ฝากขอบคุณแม่นางเหม่ยหลินด้วย” เหอไป่เฉินปิดกล่องผ้าเช็ดหน้าไว้ตามเดิมก่อนที่จะหันหลังกลับเดินออกไป เขาจึงไม่ทันเห็นกิริยาอาการของลู่หลิ่งที่หันมาหัวเราะคิกคักกับเย่เหยาประหนึ่งว่ามีความสุขที่ได้กระทำการบางอย่างได้สำเร็จ
ณ ห้องตำราที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งภายในจวนสกุลหวาง หญิงสาวสองนางนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะสายตาจ้องมองไปที่กองตำราสุมท่วมหัวอยู่กลางห้อง อารมณ์ความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่บอกไม่ถูก
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าแม่ทัพหวางจะอ่านตำรากองเท่าภูเขาขนาดนี้” เหม่ยหลินบ่นให้จูผิงได้ยินพลางถอนหายใจ
“นั่นสิเจ้าคะ อยู่ๆก็มีตำราตั้งมากมายวางกองไว้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” จูผิงเกาหัวยิก
พ่อบ้านเฉินบอกเพียงว่าแม่ทัพหวางจะวางตำราที่อ่านแล้วกองไว้อีกทางหนึ่ง จึงมอบหมายให้เหม่ยหลินนำตำราเหล่านั้นเก็บเข้าชั้นวางโดยจัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ แต่ดูตอนนี้สิ บนชั้นวางแทบไม่มีหนังสือวางอยู่เลย ตำราเกือบทั้งหมดกลับถูกวางกองปะปนกันอยู่ที่พื้นกลางห้อง
“นี่ถ้าเป็นยุคของข้าละก็แทบไม่ต้องเสียเวลาเปิดอ่านตำราเหล่านี้ให้ยุ่งยาก แค่มีสมาร์ตโฟนอ่านหนังสือผ่านอินเทอร์เน็ตก็สิ้นเรื่องแล้ว” เหม่ยหลินเจี้อยแจ้วพล่ำบ่นอย่างลืมตัว เหตุเพราะยังนึกถึงความสะดวกสบายในยุคดิจิทัล
“มีอะไรนะเจ้าคะ?” จูผิงทำตาโตหันหน้ามองคุณหนูสาวอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร ข้าพูดเพ้อเจ้อไปเอง” เหม่ยหลินตีหน้าตาย นึกขึ้นได้ว่าที่นี่มันยุคจีนโบราณนี่นา พูดอะไรแปลกๆออกไปคนรอบข้างก็ไม่มีวันเข้าใจ
“แต่คุณหนูเจ้าคะ ตัวข้ามีความรู้น้อย ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณหนูได้มากแค่ไหน หากวันนี้เราจัดวางตำราเหล่านี้ไม่เสร็จสิ้น ท่านแม่ทัพจะเห็นว่าเราเกียจคร้านหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเจ้าสักเท่าไรหรอก กว่าจะอ่านอักษรจีนโบราณพวกนี้ออก ข้าก็ใช้เวลาเรียนอยู่นานหลายปีทีเดียว”
“ตำราพวกนี้ไม่ใช่อักษรโบราณนี่เจ้าคะ ทั้งหมดนี้ก็ใช้อ่านเขียนกันอยู่ทุกวัน” จูผิงพูดตามซื่อ
“เฮ้อ...คงจะโบราณสำหรับข้าคนเดียวสินะ” หญิงสาวถอนหายใจน้อยๆ หันกลับมามองภารกิจตรงหน้าอย่างอ่อนใจ
หญิงสาวทั้งสองไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอันที่จริงแล้วในค่ำคืนที่ผ่านมาแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจวนสกุลหวางเข้ามาที่ห้องตำราแห่งนี้ ทั้งที่ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงามจากการดูแลของพ่อบ้านเฉินผู้คอยกำชับบ่าวชายที่มีความรู้อ่านออกเขียนได้ทำหน้าที่จัดวางตำราให้เข้าที่เข้าทางอยู่เป็นประจำ
แต่ในเวลานี้แม่ทัพหวางชุนเทียนกลับคิดตรงกันข้าม เขาไม่อยากให้ห้องตำราอยู่ในสภาพเรียบร้อยดั่งเช่นทุกวัน ร่างสูงเดินตรงไปที่ชั้นวางแล้วใช้สองมือขนตำราหลายเล่มมาวางกองปะปนกันบนพื้นกลางห้อง ทำเช่นนี้อยู่หลายรอบ จนกระทั่งกองตำราวางท่วมสูงมากพอแล้วจึงลุกยืนขึ้นปัดมือไปมาไล่ไรฝุ่นอยู่สองสามครั้ง
ชายหนุ่มยืนมองผลงานตรงหน้าพลางยกยิ้มที่มุมปากพอใจราวกับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ