ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) ปะทะคารม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ!!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังไปทั่วเรือนหลังเล็กอันเป็นที่พำนักของลู่หลิ่ง หญิงผู้เป็นน้องสาวของติงอี้เทาทหารคนสนิทผู้ล่วงลับของแม่ทัพหวางชุนเทียน ลู่หลิ่งปรารถนาความรักจากแม่ทัพหนุ่มและต้องการอยู่ในจวนสกุลหวางในฐานะฮูหยินมากที่สุด ทั้งที่นางก็เป็นหญิงงามคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวยผิวพรรณผุดผ่องไม่แพ้คุณหนูตระกูลสูงในเมืองหลวง แต่ตอนนี้กลับได้ยินข่าวร้ายจากปากของหญิงรับใช้ใกล้ชิดรายงานว่าจวนสกุลหวางแห่งนี้กำลังจะมีฮูหยินที่ชื่อว่าเหม่ยหลิน!
“นางเป็นใคร เป็นคุณหนูตระกูลไหน เหตุใดท่านแม่ทัพต้องแต่งงานกับนาง!” ลู่หลิ่งตั้งคำถามเป็นชุดๆ โดยที่ระดับเสียงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ประวัติของนางนั้นไม่มีความชัดเจนเจ้าค่ะ ทราบเพียงว่าเป็นบุตรบุญธรรมของหมอเทวดานามว่าหลิวซูเหยียนแห่งหมู่บ้านหนิงอัน หมอผู้นี้เคยรักษาท่านแม่ทัพเมื่อครั้งที่บาดเจ็บสาหัสจากการซุ่มโจมตีของฝ่ายศัตรู แล้วอยู่ๆนางก็ถูกคัดเลือกให้เป็นสตรีบรรณาการ”
เย่เหยาอธิบายยาวเหยียดตามที่ได้ยินจากนางกำนัลที่ออกมาทำธุระนอกวังหลวง แค่เข้าไปเอาอกเอาใจให้ของมีค่าเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถล้วงข้อมูลเกี่ยวกับว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของท่านแม่ทัพที่แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงได้แล้ว
“สตรีบรรณาการ! หรือว่าท่านอ๋องประทานนางให้แก่ท่านแม่ทัพ” ลู่หลิ่งยังตั้งความหวังว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นเพราะถูกบังคับจากท่านอ๋อง ไม่ใช่ความต้องการของหวางชุนเทียนที่แท้จริง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพประสงค์ที่จะรับนางเป็นฮูหยินเอง หลังจากที่องค์ชายรองพยายามทูลขอนางเป็นสนม” เย่เหยาสาวใช้ยังบอกอีกว่าเหตุที่ใครๆก็ต่างสนใจเหม่ยหลินอาจเป็นเพราะนางได้รับโอกาสให้แสดงความสามารถบรรเลงเพลงขลุ่ยต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในลานพิธีจนเป็นที่จดจำ นี่จึงอาจมีส่วนที่ทำให้ทั้งองค์ชายรองและแม่ทัพหวางสนใจในตัวนางก็เป็นได้
มือของลู่หลิ่งกำผ้าปูโต๊ะไว้แน่นพยายามข่มอารมณ์โกรธ ‘หญิงผู้นี้ได้รับความสนใจจากคนในวังหลวงไม่น้อย แต่ที่เกลียดที่สุดคือทำไมต้องมาแย่งชิงชายที่นางรักเช่นแม่ทัพหวางชุนเทียนด้วยเล่า!” ความอดทนนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ จานของว่างและถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องถูกกวาดลงพื้นแตกกระจาย เย่เหยารีบยกเท้าหนีให้ห่างจากเศษถ้วยจานที่กระเด็นไปทั่วบริเวณ
“คุณหนูอย่าเสียงดังไปเจ้าค่ะ เดี๋ยวคนในจวนได้ยินจะเอาไปนินทาได้” เย่เหยาจุ๋ปากบอกให้นายหญิงของนางลดความเกรี้ยวกราดลง
หลังจากได้ระบายอารมณ์ออกไป ลู่หลิ่งพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อทำให้ตัวเองสงบลงและคิดหาทางอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่แล้วนางก็ไม่อาจทนนั่งเฉยอยู่ได้ลุกพรวดจากเก้าอี้ก้าวเท้าออกจากห้องไปตามโถงทางเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนใหญ่
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ รอข้าด้วย” เย่เหยาผละมือจากเศษถ้วยรีบเดินตามคุณหนูของนางไปติดๆ
เท้าที่ก้าวอย่างเร่งรีบกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตามองไปเห็นร่างท้วมของพ่อบ้านเฉินเดินนำหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้ามาจากภายนอกจวน เมื่อเห็นว่าลักษณะท่าทางการแต่งกายค่อนไปทางสาวรับใช้มากกว่า ลู่หลิ่งจึงไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใด จนกระทั่งได้ยินที่พ่อบ้านเฉินหันไปสนทนากับหญิงสาวนางนั้น
“เจ้าพักรักษาบาดแผลที่หลังให้ทุเลาลงก่อนแล้วค่อยเข้าไปรับใช้แม่นางเหม่ยหลินก็ได้ แล้วเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนมาช่วยทายาให้”
“ข้าทายาเองได้ แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากทำหน้าที่รับใช้แม่นางเหม่ยหลินให้เร็วที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณที่รับข้ามาอยู่ด้วย ท่านพ่อบ้านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เอาล่ะห้องเจ้าอยู่ทางนั้น” พ่อบ้านเฉินพยักหน้ายิ้มรับพร้อมชี้นิ้วไปยังทิศทางของห้องพักสำหรับจูผิงสาวใช้คนใหม่ของเหม่ยหลินก่อนที่จะเดินจากไป
ลู่หลิ่งได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ ‘ที่แท้ก็เป็นสาวใช้ของเหม่ยหลิน’ อารมณ์โกรธที่ยังไม่หายไปไหนกลับกลายเป็นความก้าวร้าวขึ้นมาแทนที่ นางเดินตรงดิ่งไปที่จูผิงตั้งใจชนร่างบางนั้นจนล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ขวดยาในมือของหญิงสาวร่วงหล่นดัง “เพล้ง!!”
จูผิงยันตัวขึ้นนั่งหันซ้ายขวามองหาขวดยาเพิ่งได้รับจากพ่อบ้านเฉิน จนเห็นเศษขวดที่แตกกระจายซึ่งแน่นอนว่ายาที่บรรจุภายในขวดก็ไหลนองพื้น ส่วนหนึ่งก็กระเด็นไปทั่วทิศทาง
“เจ้าเป็นใคร มาเดินเกะกะขวางทางเดินข้า”จูผิงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะคอกจากหญิงที่เป็นผู้เดินมาชนนาง เมื่อเงยหน้ามองจึงได้เห็นว่าเป็นหญิงที่ดวงหน้าสวยงามคนหนึ่งหากแต่แววตาที่ดุร้ายนั้นทำให้ความงามบนใบหน้าลดน้อยลงไปมาก เสื้อผ้าเนื้อดีที่สวมใส่อยู่แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นหญิงที่มีฐานะอยู่เหนือกว่าสาวใช้อย่างนาง
“ข้า...ข้าเพิ่งมาใหม่ขออภัยแม่นางด้วยเจ้าค่ะ”
“แล้วที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นนี่คืออะไร ดูสิรองเท้าของข้าเปื้อนหมดแล้ว รีบเก็บกวาดให้สะอาดเดี๋ยวนี้!”
จูผิงได้ยินดังนั้นรีบเอื้อมมือหยิบเศษขวดยาที่แตกอยู่ตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นก็ถูกเหยียบด้วยเท้าของลู่หลิ่งที่แสร้งทำเหมือนไม่ตั้งใจจนมือของลู่หลิ่งถูกเศษขวดบาดมือ นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!!”
“ชักช้าเสียจริง! ไม่ได้เรื่องเลย”
“แต่ท่านเป็นผู้ที่ชนข้าจนขวดยาของข้าตกแตกนะเจ้าคะ” จูผิงรีบกระเถิบตัวไปข้างหลังให้ห่างจากเศษขวดที่แหลมคมนั้นเพราะกลัวจะมีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีก
“งั้นรึ! แล้วรองเท้าสวยๆของข้าที่ต้องเลอะเทอะเพราะยาของเจ้านี่ล่ะ”
“ข้าไม่เห็นว่าท่านอยู่ด้านหลัง...ตอนนี้ข้าไม่เหลือยาสำหรับทาแผลอีกแล้ว”
เย่เหยาที่เดินตามมาทีหลังได้ยินเสียงเอะอะคล้ายเสียงนายหญิงของตนกำลังถกเถียงกับใครบางคน นางรีบเดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่าฝั่งตรงข้ามคือหญิงที่มีลักษณะท่าทางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา
“นี่เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงกล้าพูดต่อล้อต่อเถียงกับคุณหนูลู่หลิ่ง” เย่เหยาพูดในขณะที่เดินเข้ามายืนเคียงข้างนายหญิงของตนเอง
“นางเป็นคนของข้าเอง!” เสียงของใครบางคนดังมาจากฝั่งประตูทางเข้าจวน จนทำให้คนทั้งสามหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นเป็นตาเดียว หญิงที่เดินจ้ำเท้าเข้ามาใกล้คือเหม่ยหลินนายหญิงของสาวใช้คนใหม่
ลู่หลิ่งปรายตามองเหม่ยหลินที่ก้าวข้ามเศษขวดแหลมย่อตัวลงประชิดร่างจูผิง เมื่อมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่าเหม่ยหลินเดินมาเพียงผู้เดียวไม่มีแม่ทัพหวางตามมาด้วยจึงคิดหันไปเล่นงาน
“นางคือสาวใช้ของแม่นางเหม่ยหลินงั้นรึ มิน่าข้าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ทำเป็นแสร้งถามทั้งยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเตะเศษขวดที่แตกกระจายนั้นเข้าใส่ แม้ว่าเศษขวดเหล่านั้นจะไม่โดนตัวก็ตามแต่เหม่ยหลินก็รู้สึกขัดเคืองใจไม่ใช่น้อย ยิ่งเมื่อยกมือจูผิงขึ้นดูบาดแผลที่มีเลือดไหลแล้วยิ่งโกรธจนควันออกหู เธอรีบปัดเศษเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในฝ่ามือของจูผิงออกจนบางส่วนบาดเข้าที่นิ้วเกิดแผลไปด้วยอีกคน แต่เมื่อมองหน้าสาวใช้ที่เพิ่งรับเข้ามาด้วยความสงสารจึงไม่รู้สึกเจ็บกับบาดแผลเล็กน้อยของตนเอง เพราะเห็นว่าแผลที่หลังของนางยังไม่ทันหายดีตอนนี้กลับได้แผลที่มือเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“ไม่ว่านางจะเป็นสาวใช้ของข้าหรือไม่ก็ตาม แต่นางก็บาดเจ็บอยู่เหตุใดไม่เห็นใจนางบ้าง” น้ำเสียงดังกว่าปกติของเหม่ยหลินสื่อให้เห็นว่าไม่พอใจกับการกระทำที่เกินกว่าเหตุเช่นนี้
“พูดให้ดีๆนะ ข้าไปทำอะไรให้บ่าวผู้นี้ นางล้มลงไปเองหนำซ้ำยังซุ่มซ่ามทำให้มือตนเองถูกบาด หรือว่าเจ้าจะหาว่าข้ากลั่นแกล้งนางงั้นรึ”
“นี่เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”
“แม่นางเหม่ยหลิน คุณหนูลู่หลิ่งอยู่ที่จวนนี้มาก่อน เป็นธรรมดาของการดูแลบ่าวไพร่ให้อยู่ในโอวาทส่วนแม่นางเพิ่งเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรกคงไม่รู้กฎเกณฑ์ของจวนสกุลใหญ่ที่ทำเป็นปกติวิสัย” เย่เหยาที่รู้เรื่องราวของเหม่ยหลินมาก่อนทำแสร้งพูดแทรกอย่างเหยียดๆ หันมองหน้ากับลู่หลิ่งแล้วพากันยิ้มเยาะ
“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า!” เหม่ยหลินหันไปเอ็ดใส่เย่เหยาอย่างเหลืออดจนเย่เหยาสะดุ้งเฮือก
“แม่นางเหม่ยหลิน! เจ้าเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ควรฟังคำแนะนำของผู้ที่อยู่ก่อนไว้บ้าง” ลู่หลิ่งเห็นท่าทางที่หยิ่งยโสเช่นนั้นยิ่งทำให้ความเกลียดที่มีอยู่เดิมพุ่งสูงขึ้น
“ไปเถอะจูผิง วันนี้ไปนอนที่ห้องของข้าก่อน ข้าจะไปขอยากับพ่อบ้านเฉินมาทายาให้เจ้าเอง” เหม่ยหลินทำเป็นไม่รับรู้คำพูดใดๆของลู่หลิ่ง แต่จูผิงเห็นการปะทะคารมระหว่างหญิงสาวทั้งสองก็กลัวว่าจะส่งผลกระทบในทางลบกับเหม่ยหลินเพียงเพราะต้องการจะปกป้องสาวใช้ต่ำต้อยเช่นตนเอง
“บาดแผลเหล่านี้เล็กน้อยข้าทนได้เจ้าค่ะ แม่นางเหม่ยหลินอย่าได้ตื่นตกใจจนต้องผิดใจกับคุณหนูผู้นี้เลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องไปสนใจ ข้าไม่กลัวหรอก ยิ่งกับคนที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าจนติดเป็นนิสัยเช่นนี้ยิ่งน่าสมเพช” ทั้งที่พูดลอยๆกับจูผิงแต่กลับปรายตามองไปที่หญิงสาวทั้งสองก่อนที่จะหันมาพยุงร่างสาวใช้และค่อยๆเดินออกจากบริเวณนั้น
“เหม่ยหลิน...นี่เจ้าต่อว่าข้างั้นรึ! จะรีบไปไหนกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” ลู่หลิ่งขยับตัวก้าวไปข้างหน้าตั้งใจจะหาเรื่องให้ได้แต่ถูกเย่เหยายึดแขนไว้ก่อน “คุณหนูคะ หยุดเพียงเท่านี้เถิดเจ้าค่ะ หากทะเลาะกันรุนแรงกว่านี้เดี๋ยวมีใครมาได้ยินเข้า จะเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจได้นะเจ้าคะ”
ใบหน้าโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัดจำต้องข่มอารมณ์ไว้ตามที่สาวใช้คนสนิทแนะนำ ก่อนที่จะตัดใจหันหลังกลับสู่เรือนเล็กของตนเองอย่างขัดใจ
ร่างท้วมของพ่อบ้านวัยห้าสิบกว่าก้าวเข้าสู่ห้องตำราพร้อมชุดน้ำชาและของว่างสำหรับหวางชุนเทียนเจ้านายของเขา ซึ่งปกติแล้วควรเป็นหน้าที่ของสาวใช้แต่วันนี้กลับเป็นพ่อบ้านเฉินที่เป็นผู้ยกเข้ามาให้เสียเอง และค่อยๆวางไว้บนโต๊ะในขณะที่แม่ทัพหวางยังคงก้มหน้าอ่านตำราอยู่ ถึงอย่างนั้นพ่อบ้านชรายังคงยืนนิ่ง
“มีธุระอะไรจะคุยพูดกับข้างั้นหรือ?” เมื่อจับความรู้สึกของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เขาจึงเหลือบตาขึ้นมองด้วยแววตาสงสัย
“เอ่อ...หญิงรับใช้ที่มาใหม่วันนี้...”
“นางเป็นอย่างไรบ้าง ได้มอบยาให้แก่นางรักษาบาดแผลแล้วหรือยัง” นึกขึ้นได้ว่าวันนี้รับสาวใช้เข้ามาใหม่จึงเอ่ยถาม
“ยาที่ข้าให้นางไปตกเสียหายไปแล้วขอรับ เมื่อครู่แม่นางเหม่ยหลินเดินมาขอยาและบอกว่าคืนนี้สาวใช้ผู้นั้นจะนอนพักที่ห้องของแม่นางเหม่ยหลินขอรับ”
หวางชุนเทียนนึกเอะใจว่าต้องมีสิ่งใดพูดมากกว่านี้จึงจ้องหน้าพ่อบ้านเฉินอยู่อย่างนั้นจนเขายอมพูดต่อ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนแม่นางเหม่ยหลินจะมีบาดแผลที่มือด้วยเช่นกันขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น อยู่ๆ ชายหนุ่มก็วางตำราที่ถืออยู่ไว้ที่โต๊ะแล้วลุกขึ้น
“เอายามาให้ข้า เดี๋ยวข้าเอาไปให้นางเอง”
“นางเป็นใคร เป็นคุณหนูตระกูลไหน เหตุใดท่านแม่ทัพต้องแต่งงานกับนาง!” ลู่หลิ่งตั้งคำถามเป็นชุดๆ โดยที่ระดับเสียงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ประวัติของนางนั้นไม่มีความชัดเจนเจ้าค่ะ ทราบเพียงว่าเป็นบุตรบุญธรรมของหมอเทวดานามว่าหลิวซูเหยียนแห่งหมู่บ้านหนิงอัน หมอผู้นี้เคยรักษาท่านแม่ทัพเมื่อครั้งที่บาดเจ็บสาหัสจากการซุ่มโจมตีของฝ่ายศัตรู แล้วอยู่ๆนางก็ถูกคัดเลือกให้เป็นสตรีบรรณาการ”
เย่เหยาอธิบายยาวเหยียดตามที่ได้ยินจากนางกำนัลที่ออกมาทำธุระนอกวังหลวง แค่เข้าไปเอาอกเอาใจให้ของมีค่าเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถล้วงข้อมูลเกี่ยวกับว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของท่านแม่ทัพที่แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงได้แล้ว
“สตรีบรรณาการ! หรือว่าท่านอ๋องประทานนางให้แก่ท่านแม่ทัพ” ลู่หลิ่งยังตั้งความหวังว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นเพราะถูกบังคับจากท่านอ๋อง ไม่ใช่ความต้องการของหวางชุนเทียนที่แท้จริง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพประสงค์ที่จะรับนางเป็นฮูหยินเอง หลังจากที่องค์ชายรองพยายามทูลขอนางเป็นสนม” เย่เหยาสาวใช้ยังบอกอีกว่าเหตุที่ใครๆก็ต่างสนใจเหม่ยหลินอาจเป็นเพราะนางได้รับโอกาสให้แสดงความสามารถบรรเลงเพลงขลุ่ยต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในลานพิธีจนเป็นที่จดจำ นี่จึงอาจมีส่วนที่ทำให้ทั้งองค์ชายรองและแม่ทัพหวางสนใจในตัวนางก็เป็นได้
มือของลู่หลิ่งกำผ้าปูโต๊ะไว้แน่นพยายามข่มอารมณ์โกรธ ‘หญิงผู้นี้ได้รับความสนใจจากคนในวังหลวงไม่น้อย แต่ที่เกลียดที่สุดคือทำไมต้องมาแย่งชิงชายที่นางรักเช่นแม่ทัพหวางชุนเทียนด้วยเล่า!” ความอดทนนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ จานของว่างและถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องถูกกวาดลงพื้นแตกกระจาย เย่เหยารีบยกเท้าหนีให้ห่างจากเศษถ้วยจานที่กระเด็นไปทั่วบริเวณ
“คุณหนูอย่าเสียงดังไปเจ้าค่ะ เดี๋ยวคนในจวนได้ยินจะเอาไปนินทาได้” เย่เหยาจุ๋ปากบอกให้นายหญิงของนางลดความเกรี้ยวกราดลง
หลังจากได้ระบายอารมณ์ออกไป ลู่หลิ่งพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อทำให้ตัวเองสงบลงและคิดหาทางอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่แล้วนางก็ไม่อาจทนนั่งเฉยอยู่ได้ลุกพรวดจากเก้าอี้ก้าวเท้าออกจากห้องไปตามโถงทางเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนใหญ่
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ รอข้าด้วย” เย่เหยาผละมือจากเศษถ้วยรีบเดินตามคุณหนูของนางไปติดๆ
เท้าที่ก้าวอย่างเร่งรีบกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตามองไปเห็นร่างท้วมของพ่อบ้านเฉินเดินนำหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้ามาจากภายนอกจวน เมื่อเห็นว่าลักษณะท่าทางการแต่งกายค่อนไปทางสาวรับใช้มากกว่า ลู่หลิ่งจึงไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใด จนกระทั่งได้ยินที่พ่อบ้านเฉินหันไปสนทนากับหญิงสาวนางนั้น
“เจ้าพักรักษาบาดแผลที่หลังให้ทุเลาลงก่อนแล้วค่อยเข้าไปรับใช้แม่นางเหม่ยหลินก็ได้ แล้วเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนมาช่วยทายาให้”
“ข้าทายาเองได้ แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากทำหน้าที่รับใช้แม่นางเหม่ยหลินให้เร็วที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณที่รับข้ามาอยู่ด้วย ท่านพ่อบ้านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เอาล่ะห้องเจ้าอยู่ทางนั้น” พ่อบ้านเฉินพยักหน้ายิ้มรับพร้อมชี้นิ้วไปยังทิศทางของห้องพักสำหรับจูผิงสาวใช้คนใหม่ของเหม่ยหลินก่อนที่จะเดินจากไป
ลู่หลิ่งได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ ‘ที่แท้ก็เป็นสาวใช้ของเหม่ยหลิน’ อารมณ์โกรธที่ยังไม่หายไปไหนกลับกลายเป็นความก้าวร้าวขึ้นมาแทนที่ นางเดินตรงดิ่งไปที่จูผิงตั้งใจชนร่างบางนั้นจนล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ขวดยาในมือของหญิงสาวร่วงหล่นดัง “เพล้ง!!”
จูผิงยันตัวขึ้นนั่งหันซ้ายขวามองหาขวดยาเพิ่งได้รับจากพ่อบ้านเฉิน จนเห็นเศษขวดที่แตกกระจายซึ่งแน่นอนว่ายาที่บรรจุภายในขวดก็ไหลนองพื้น ส่วนหนึ่งก็กระเด็นไปทั่วทิศทาง
“เจ้าเป็นใคร มาเดินเกะกะขวางทางเดินข้า”จูผิงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะคอกจากหญิงที่เป็นผู้เดินมาชนนาง เมื่อเงยหน้ามองจึงได้เห็นว่าเป็นหญิงที่ดวงหน้าสวยงามคนหนึ่งหากแต่แววตาที่ดุร้ายนั้นทำให้ความงามบนใบหน้าลดน้อยลงไปมาก เสื้อผ้าเนื้อดีที่สวมใส่อยู่แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นหญิงที่มีฐานะอยู่เหนือกว่าสาวใช้อย่างนาง
“ข้า...ข้าเพิ่งมาใหม่ขออภัยแม่นางด้วยเจ้าค่ะ”
“แล้วที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นนี่คืออะไร ดูสิรองเท้าของข้าเปื้อนหมดแล้ว รีบเก็บกวาดให้สะอาดเดี๋ยวนี้!”
จูผิงได้ยินดังนั้นรีบเอื้อมมือหยิบเศษขวดยาที่แตกอยู่ตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นก็ถูกเหยียบด้วยเท้าของลู่หลิ่งที่แสร้งทำเหมือนไม่ตั้งใจจนมือของลู่หลิ่งถูกเศษขวดบาดมือ นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!!”
“ชักช้าเสียจริง! ไม่ได้เรื่องเลย”
“แต่ท่านเป็นผู้ที่ชนข้าจนขวดยาของข้าตกแตกนะเจ้าคะ” จูผิงรีบกระเถิบตัวไปข้างหลังให้ห่างจากเศษขวดที่แหลมคมนั้นเพราะกลัวจะมีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีก
“งั้นรึ! แล้วรองเท้าสวยๆของข้าที่ต้องเลอะเทอะเพราะยาของเจ้านี่ล่ะ”
“ข้าไม่เห็นว่าท่านอยู่ด้านหลัง...ตอนนี้ข้าไม่เหลือยาสำหรับทาแผลอีกแล้ว”
เย่เหยาที่เดินตามมาทีหลังได้ยินเสียงเอะอะคล้ายเสียงนายหญิงของตนกำลังถกเถียงกับใครบางคน นางรีบเดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่าฝั่งตรงข้ามคือหญิงที่มีลักษณะท่าทางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา
“นี่เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงกล้าพูดต่อล้อต่อเถียงกับคุณหนูลู่หลิ่ง” เย่เหยาพูดในขณะที่เดินเข้ามายืนเคียงข้างนายหญิงของตนเอง
“นางเป็นคนของข้าเอง!” เสียงของใครบางคนดังมาจากฝั่งประตูทางเข้าจวน จนทำให้คนทั้งสามหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นเป็นตาเดียว หญิงที่เดินจ้ำเท้าเข้ามาใกล้คือเหม่ยหลินนายหญิงของสาวใช้คนใหม่
ลู่หลิ่งปรายตามองเหม่ยหลินที่ก้าวข้ามเศษขวดแหลมย่อตัวลงประชิดร่างจูผิง เมื่อมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่าเหม่ยหลินเดินมาเพียงผู้เดียวไม่มีแม่ทัพหวางตามมาด้วยจึงคิดหันไปเล่นงาน
“นางคือสาวใช้ของแม่นางเหม่ยหลินงั้นรึ มิน่าข้าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ทำเป็นแสร้งถามทั้งยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเตะเศษขวดที่แตกกระจายนั้นเข้าใส่ แม้ว่าเศษขวดเหล่านั้นจะไม่โดนตัวก็ตามแต่เหม่ยหลินก็รู้สึกขัดเคืองใจไม่ใช่น้อย ยิ่งเมื่อยกมือจูผิงขึ้นดูบาดแผลที่มีเลือดไหลแล้วยิ่งโกรธจนควันออกหู เธอรีบปัดเศษเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในฝ่ามือของจูผิงออกจนบางส่วนบาดเข้าที่นิ้วเกิดแผลไปด้วยอีกคน แต่เมื่อมองหน้าสาวใช้ที่เพิ่งรับเข้ามาด้วยความสงสารจึงไม่รู้สึกเจ็บกับบาดแผลเล็กน้อยของตนเอง เพราะเห็นว่าแผลที่หลังของนางยังไม่ทันหายดีตอนนี้กลับได้แผลที่มือเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“ไม่ว่านางจะเป็นสาวใช้ของข้าหรือไม่ก็ตาม แต่นางก็บาดเจ็บอยู่เหตุใดไม่เห็นใจนางบ้าง” น้ำเสียงดังกว่าปกติของเหม่ยหลินสื่อให้เห็นว่าไม่พอใจกับการกระทำที่เกินกว่าเหตุเช่นนี้
“พูดให้ดีๆนะ ข้าไปทำอะไรให้บ่าวผู้นี้ นางล้มลงไปเองหนำซ้ำยังซุ่มซ่ามทำให้มือตนเองถูกบาด หรือว่าเจ้าจะหาว่าข้ากลั่นแกล้งนางงั้นรึ”
“นี่เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”
“แม่นางเหม่ยหลิน คุณหนูลู่หลิ่งอยู่ที่จวนนี้มาก่อน เป็นธรรมดาของการดูแลบ่าวไพร่ให้อยู่ในโอวาทส่วนแม่นางเพิ่งเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรกคงไม่รู้กฎเกณฑ์ของจวนสกุลใหญ่ที่ทำเป็นปกติวิสัย” เย่เหยาที่รู้เรื่องราวของเหม่ยหลินมาก่อนทำแสร้งพูดแทรกอย่างเหยียดๆ หันมองหน้ากับลู่หลิ่งแล้วพากันยิ้มเยาะ
“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า!” เหม่ยหลินหันไปเอ็ดใส่เย่เหยาอย่างเหลืออดจนเย่เหยาสะดุ้งเฮือก
“แม่นางเหม่ยหลิน! เจ้าเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ควรฟังคำแนะนำของผู้ที่อยู่ก่อนไว้บ้าง” ลู่หลิ่งเห็นท่าทางที่หยิ่งยโสเช่นนั้นยิ่งทำให้ความเกลียดที่มีอยู่เดิมพุ่งสูงขึ้น
“ไปเถอะจูผิง วันนี้ไปนอนที่ห้องของข้าก่อน ข้าจะไปขอยากับพ่อบ้านเฉินมาทายาให้เจ้าเอง” เหม่ยหลินทำเป็นไม่รับรู้คำพูดใดๆของลู่หลิ่ง แต่จูผิงเห็นการปะทะคารมระหว่างหญิงสาวทั้งสองก็กลัวว่าจะส่งผลกระทบในทางลบกับเหม่ยหลินเพียงเพราะต้องการจะปกป้องสาวใช้ต่ำต้อยเช่นตนเอง
“บาดแผลเหล่านี้เล็กน้อยข้าทนได้เจ้าค่ะ แม่นางเหม่ยหลินอย่าได้ตื่นตกใจจนต้องผิดใจกับคุณหนูผู้นี้เลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องไปสนใจ ข้าไม่กลัวหรอก ยิ่งกับคนที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าจนติดเป็นนิสัยเช่นนี้ยิ่งน่าสมเพช” ทั้งที่พูดลอยๆกับจูผิงแต่กลับปรายตามองไปที่หญิงสาวทั้งสองก่อนที่จะหันมาพยุงร่างสาวใช้และค่อยๆเดินออกจากบริเวณนั้น
“เหม่ยหลิน...นี่เจ้าต่อว่าข้างั้นรึ! จะรีบไปไหนกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” ลู่หลิ่งขยับตัวก้าวไปข้างหน้าตั้งใจจะหาเรื่องให้ได้แต่ถูกเย่เหยายึดแขนไว้ก่อน “คุณหนูคะ หยุดเพียงเท่านี้เถิดเจ้าค่ะ หากทะเลาะกันรุนแรงกว่านี้เดี๋ยวมีใครมาได้ยินเข้า จะเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจได้นะเจ้าคะ”
ใบหน้าโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัดจำต้องข่มอารมณ์ไว้ตามที่สาวใช้คนสนิทแนะนำ ก่อนที่จะตัดใจหันหลังกลับสู่เรือนเล็กของตนเองอย่างขัดใจ
ร่างท้วมของพ่อบ้านวัยห้าสิบกว่าก้าวเข้าสู่ห้องตำราพร้อมชุดน้ำชาและของว่างสำหรับหวางชุนเทียนเจ้านายของเขา ซึ่งปกติแล้วควรเป็นหน้าที่ของสาวใช้แต่วันนี้กลับเป็นพ่อบ้านเฉินที่เป็นผู้ยกเข้ามาให้เสียเอง และค่อยๆวางไว้บนโต๊ะในขณะที่แม่ทัพหวางยังคงก้มหน้าอ่านตำราอยู่ ถึงอย่างนั้นพ่อบ้านชรายังคงยืนนิ่ง
“มีธุระอะไรจะคุยพูดกับข้างั้นหรือ?” เมื่อจับความรู้สึกของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เขาจึงเหลือบตาขึ้นมองด้วยแววตาสงสัย
“เอ่อ...หญิงรับใช้ที่มาใหม่วันนี้...”
“นางเป็นอย่างไรบ้าง ได้มอบยาให้แก่นางรักษาบาดแผลแล้วหรือยัง” นึกขึ้นได้ว่าวันนี้รับสาวใช้เข้ามาใหม่จึงเอ่ยถาม
“ยาที่ข้าให้นางไปตกเสียหายไปแล้วขอรับ เมื่อครู่แม่นางเหม่ยหลินเดินมาขอยาและบอกว่าคืนนี้สาวใช้ผู้นั้นจะนอนพักที่ห้องของแม่นางเหม่ยหลินขอรับ”
หวางชุนเทียนนึกเอะใจว่าต้องมีสิ่งใดพูดมากกว่านี้จึงจ้องหน้าพ่อบ้านเฉินอยู่อย่างนั้นจนเขายอมพูดต่อ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนแม่นางเหม่ยหลินจะมีบาดแผลที่มือด้วยเช่นกันขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น อยู่ๆ ชายหนุ่มก็วางตำราที่ถืออยู่ไว้ที่โต๊ะแล้วลุกขึ้น
“เอายามาให้ข้า เดี๋ยวข้าเอาไปให้นางเอง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ