ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
17.04K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) เข้าสู่จวนแม่ทัพ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“กระหม่อมรู้มาก่อนแล้วว่าหญิงคนใดคือแม่นางเหม่ยหลิน เป็นเพราะก่อนหน้านี้กระหม่อมได้กระทำการล่วงเกินนาง... ด้วยนางเป็นหญิงที่มีกลิ่นดอกกุ้ยฮวาเป็นกลิ่นหอมประจำกาย มีตำหนิปานรูปดอกไม้ที่แขนขวา และยังมีตำหนิภายใต้อาภรณ์อื่นอีกที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้... กระหม่อมมิอาจนิ่งเฉยที่ทำให้นางต้องมัวหมอง จึงขอรับนางเป็นฮูหยินของกระหม่อม ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นใจ”
“เสด็จพ่อเชื่อว่าแม่นางเหม่ยหลินมีสัมพันธ์กับแม่ทัพหวางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเอะอะขององค์ชายรองดังขึ้นหลังจากที่ได้อ่านข้อความ รู้สึกเจ็บใจจนขยำกระดาษนั้นขว้างทิ้งลงพื้น เพียงแค่พิสูจน์ได้ว่านางมีตำหนิภายใต้อาภรณ์ ก็ถือเป็นชัยชนะแล้วเช่นนั้นหรือ?
“ในเมื่อนางมีตำหนิดังที่กล่าวจริง แสดงว่าแม่ทัพหวางมีสัมพันธ์กับนางแล้ว เจ้าอย่าได้ไปสนใจนางอีกเลย” คำพูดของท่านอ๋องแสดงให้เห็นว่าทรงเชื่อโดยสนิทใจ
“โธ่..เสด็จพ่อ...ตำหนักเฟิ่งหวงมีกฎระเบียบเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกตามอำเภอใจ ไม่มีทางที่จะลอบพบกับแม่ทัพหวางได้ แล้วจะไปมีความสัมพันธ์กันตอนไหน” องค์ชายรองพยายามพูดให้ท่านอ๋องเชื่อว่าหวางชุนเทียนสร้างเรื่องเท็จ
“เฮ้อ...” ท่านอ๋องได้แต่ถอนหายใจในความเอาแต่ใจของบุตรชายรองผู้นี้
“เจ้าไม่คิดบ้างหรือ ทั้งคู่อาจจะพบกันตั้งแต่ตอนอยู่หมู่บ้านหนิงอันก็ได้”
“เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ลูกไม่เชื่อ!” ที่ไม่เชื่อก็เพราะก่อนหน้านี้องค์ชายรองได้ส่งคนไปสอบถามชาวบ้านที่หมู่บ้านหนิงอันมาแล้ว ได้ความว่าแม่นางเหม่ยหลินเพิ่งมาปรากฏตัวและพำนักอยู่ที่บ้านหมอหลิวหลังจากที่แม่ทัพหวางออกจากหมู่บ้านไปแล้วต่างหาก
“ถึงกระนั้น หากแม่ทัพหวางยืนยันว่าจะรับนางเป็นฮูหยินแล้ว เจ้าก็ไม่สมควรดึงดันที่จะรับนางเป็นสนมให้เป็นที่ครหา”
องค์ชายรองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านอ๋องตรัสเลยสักนิดเดียว ถึงแม้อยากจะขอให้ทรงตัดสินใจเสียใหม่ แต่รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่ว่าเรื่องใดก็ทรงเข้าข้างแม่ทัพผู้นี้อยู่เสมอ
‘แสดงว่าครั้งนี้แม่ทัพหวางให้ความสำคัญกับหญิงผู้นี้มาก ถึงกล้าทูลต่อท่านอ๋องว่าจะรับนางเป็นฮูหยินให้ได้เช่นนี้...เหอะ...คิดหรือว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ’
มาถึงขนาดนี้แล้ว องค์ชายรองยังไม่หยุดคิดหาทางเอาชนะ!
หญิงที่ท่านอ๋องและองค์ชายรองกล่าวถึง ตอนนี้กำลังเดินตามหลังบุรุษผู้องอาจออกจากบริเวณลานพิธีได้สักระยะแล้ว ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่นอกประตูใหญ่ที่มีรถม้าประจำจวนสกุลหวางจอดรออยู่
เมื่อสารถีชายมองเห็นเจ้านายของตนเองเดินมาถึง ก็รีบกุลีกุจอเตรียมบันไดไม้วางที่พื้นเพื่อให้เจ้านายก้าวเดินขึ้นรถม้าได้สะดวก
ในขณะที่แม่ทัพก้าวขึ้นบันไดไม้ เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ท่านเขียนสิ่งใดลงในกระดาษ?” เหม่ยหลินไม่รอช้าเปิดฉากถามขึ้นก่อน เพราะเธอยังงงกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ อยากรู้จริงๆว่าเหตุใดนางกำนัลผู้นั้นต้องเปิดแขนเสื้อของนางเพียงเพราะต้องการจะเห็นปานรูปดอกไม้ด้วยเล่า มันหมายความว่าอย่างไรหนอ
หวางชุนเทียนหันหลังกลับมามองผู้ที่ตั้งคำถาม “เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ไม่ลืมที่จะยื่นมือให้หญิงสาว “ขึ้นมาสิ”
เหม่ยหลินเหลือบตามองร่างสูงที่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ หญิงสาวทำหน้ามุ่ยและถอนหายใจน้อยๆ
“ไม่เป็นไร ข้าเดินขึ้นเองได้” ครั้งนี้พยายามที่จะไม่สัมผัสมือของชายหนุ่ม จึงพยายามพยุงตัวก้าวขึ้นรถม้าให้ได้ด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ก้าวพลาด...“ว้าย!!” เสียงอุทานด้วยความตกใจ หลังจากที่ร่างบางเสียหลักเซไปข้างหน้าจนถลาเข้าหาแม่ทัพหวางที่อ้าแขนรับโดยฉับพลัน
ในขณะที่มือยังประคองร่างหญิงสาวอยู่ น้ำเสียงเรียบทุ้มก็ดังขึ้นเบาๆใกล้ใบหู “เจ้าคงยังไม่ชินกับการขึ้นรถม้าสินะ”
“ชะ...ใช่ ต่อไปข้าจะระวังเจ้าค่ะ” เธอตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ความรู้สึกทั้งเขินทั้งอายที่ทำเป็นเก่งต่อหน้าเขาเช่นนี้ทำให้ไม่กล้าเงยขึ้นมองหน้าเจ้าของวงแขนกำยำ ได้แต่โทษตัวเองที่ช่างซุ่มซ่าม ‘โธ่...ไม่น่าอวดดีเลยเรา’
หวางชุนเทียนค่อยๆคลายวงแขนลงเปลี่ยนเป็นฉวยจับมือของเธอ
“เอ๊ะ!...”
“ถ้าไม่ระวังจะล้มหัวฟาดพื้นได้” คนที่พูดเหมือนหวังดีไม่สนใจหน้าตาเหลอหลาของเหม่ยหลิน เขาจูงมือหญิงสาวพาเดินเข้าไปภายในตัวรถอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวพยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่หลุด ทำได้แค่เดินตามแรงจูงของชายหนุ่ม
‘คนอะไรมือแข็งแรงราวกับคีมเหล็ก! นี่เขาจะรู้บ้างไหมว่าผู้หญิงไทยอย่างฉันถูกสอนให้รักนวลสงวนตัวขนาดไหน!’
นั่นเป็นเพราะสาวน้อยเอมมาลินหรือเหม่ยหลินผู้นี้เติบโตในครอบครัวที่มีแต่แม่และยายตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอไม่คุ้นชินกับการสัมผัสเพศตรงข้าม ถึงแม้ว่าการถูกเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงในยุคสมัยของเธอจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ตาม...
แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ กลับถูกแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นี้ถือวิสาสะกุมมือเธอทุกครั้งที่เจอกันอยู่ร่ำไป หรือว่าสาวจีนยุคนี้เขาไม่ค่อยรักนวลสงวนตัวกันเลยหรือไงนะ หนุ่มๆที่นี่ถึงได้ใจขนาดนี้
“กลับจวน” หวางชุนเทียนส่งเสียงสั่งการบอกสารถีหลังจากเข้าประจำที่นั่งและยอมปล่อยมือหญิงสาวในที่สุด…
“คุณหนูลู่หลิ่งเจ้าคะ ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสของหญิงรับใช้ประจำตัวดังขึ้นหลังจากที่พรวดพราดรีบเปิดประตูเข้ามาเพื่อบอกให้รู้ว่าคนที่คุณหนูรอคอยกลับมาถึงจวนแล้ว
“งั้นรึ! รีบหยิบเสื้อคลุมมาให้ข้าเร็ว” จัดแจงดูความเรียบร้อยบนใบหน้าและเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หญิงสาวเดินกึ่งวิ่งออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ นางจะรอคอยเวลาที่แม่ทัพหวางกลับมาถึงจวนและออกไปต้อนรับทุกครั้ง
ลู่หลิ่งเดินมาถึงบริเวณหน้าประตูจวน เห็นการสนทนาคล้ายเป็นการสั่งงานระหว่างแม่ทัพหวางและพ่อบ้านเฉินที่มารอต้อนรับอยู่ก่อนหน้านี้ นางรีบเข้าไปแสดงตัวและพูดแทรกการสนทนานั้นทันที
“ท่านแม่ทัพ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ลู่หลิ่งก้มหน้าย่อตัวคำนับอย่างนอบน้อม ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอหวังให้แม่ทัพหวางผู้เป็นเจ้าของจวนมองเห็นความงามที่นางบรรจงสรรค์สร้างให้ตัวเองดูดีอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มหยุดการสนทนา หันมาพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับ
ลู่หลิ่งเหลือบไปเห็นร่างอรชรของหญิงสาวหนึ่งนางที่ยืนอยู่ด้านหลังของแม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยปากถามขึ้น“แขกของท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”
“นางชื่อเหม่ยหลิน นางจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำตอบของแม่ทัพหวางทำให้รอยยิ้มหวานเมื่อครู่เจื่อนลง และยิ่งเมื่อได้เห็นหญิงนามว่าเหม่ยหลินก้าวออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่มทำให้ลู่หลิ่งยืนนิ่งชะงักงันไปชั่วครู่ มองจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีสวยงามขนาดนี้เป็นคุณหนูจากตระกูลไหนกันนะ
แต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหญิงรูปร่างหน้าตาลักษณะเยี่ยงนี้ที่ไหนสักแห่ง...
“ข้าชื่อลู่หลิ่ง” นางบอกชื่อตัวเองบ้าง
“แม่นางลู่หลิ่ง ข้าฝากเนื้อฝากตัวด้วย”เหม่ยหลินโค้งให้เล็กน้อย ในใจอดคิดไม่ได้ว่าแม่นางลู่หลิ่งผู้นี้น่าจะมีอายุไม่ห่างจากเธอสักเท่าไร ถ้าไม่ใช่น้องสาวก็คงเป็นภรรยาของแม่ทัพหวางเจ้าของจวนแห่งนี้เป็นแน่ อย่างไงก็ฝากเนื้อฝากตัวไว้ก่อนเป็นดี
ส่วนลู่หลิ่งก็เข้าใจว่าหญิงนางนี้คือแขกผู้มาพักระยะสั้น จึงรับอาสาที่จะพานางไปเรือนรับรองด้านหลัง
“เรือนรับรองอยู่ใกล้กับเรือนของข้า ให้ข้าพาแม่นางเหม่ยหลินไปที่ห้องพักเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร พ่อบ้านเฉินจะเป็นผู้จัดการเรื่องห้องพักของเหม่ยหลินเอง” แม่ทัพเจ้าของจวนกลับพูดตัดบท หันไปพยักหน้ากับพ่อบ้านคนเฉินก่อนที่จะบ่ายหน้าเดินไปยังห้องตำรา ปล่อยให้หน้าที่หลังจากนี้เป็นของพ่อบ้านเฉิน
“แม่นางเหม่ยหลินเชิญทางนี้” พ่อบ้านเฉินผายมือนำทางให้เข้าสู่ด้านใน
ลู่หลิ่งทำหน้าฉงนหันมองตามร่างของหญิงสาวที่เดินผ่านหน้าไป หากแต่สะดุดกึก เมื่อได้เห็นทิศทางที่พ่อบ้านเฉินนำพานางไปนั้น...
‘ทางไปเรือนใหญ่! เหตุใดนางผู้นั้นจึงได้พักที่เรือนใหญ่!’ ลู่หลิ่งเบิกตากว้าง
นางไม่อยากเชื่อว่าท่านแม่ทัพหวางจะยอมให้ผู้ใดได้เข้าพักที่เรือนใหญ่ เพราะในจวนนี้ก็มีเรือนรับรองที่ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนพร้อมสำหรับแขกผู้มาเยือนอยู่แล้ว
ขนาดลู่หลิ่งเองเข้ามาอยู่ที่จวนนี้ได้ไม่กี่เดือน ยังรับรู้ได้ถึงนิสัยการใช้ชีวิตของแม่ทัพหนุ่มที่ออกจะถือตัวอยู่มาก จึงไม่แปลกที่เรือนใหญ่จะเงียบสงบในยามค่ำคืนเพราะแม่ทัพหนุ่มไม่ชอบให้ผู้ใดเดินไปมาให้รำคาญสายตา
แต่หญิงแปลกหน้าผู้นี้สำคัญอย่างไรถึงได้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับท่านแม่ทัพ!
เหม่ยหลินเดินตามพ่อบ้านเฉินไปถึงโถงทางเดิน สายตาหันไปมองเห็นบริเวณที่คาดว่าเป็นสวนใหญ่ประจำจวนสกุลหวางอันน่ารื่นรมย์ คงเป็นฝีมือพ่อบ้านเฉินสินะ
“สวนสวยมากเลย พ่อบ้านเฉินเป็นผู้จัดสวนสวยนี้ใช่หรือไม่”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งขอรับ เกือบทั้งหมดคือฝีมือของท่านแม่ทัพหวางที่มักใช้เวลาปลูกในยามว่าง ส่วนข้ามีหน้าที่ดูแลให้ต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้เบ่งบานอยู่เสมอเท่านั้น”
อ่อ...ไอเดียสวนสวยเป็นของท่านแม่ทัพงั้นหรือ มีโมเม้นต์ของคนรักการปลูกต้นไม้เหมือนกันนี่นะ นึกว่าชอบจับแต่ดาบต่อสู้เพียงอย่างเดียวเสียอีก
“โดยเฉพาะต้นกุ้ยสองสามต้นนั้นขอรับ อยู่ๆก็นึกอยากเอามาปลูกให้ได้ กว่าจะโตจนออกดอกก็คงร่วมปีกระมัง”
“แม่นางชอบต้นกุ้ยหรือ” เห็นว่าหญิงสาวยิ้มนิดๆเมื่อพูดถึงต้นกุ้ย พ่อบ้านชราจึงเอ่ยถาม
“ใช่ ที่บ้านเกิดของข้าก็ปลูกไว้ในสวนเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีที่เดียว ต้นกุ้ยปลูกไว้ติดกับห้องของแม่นางพอดี เชิญทางนี้ขอรับ”
“ห้องของข้าอยู่ติดกับสวนงั้นหรือ” หญิงสาวยิ้มระรื่น อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ…เราสามารถเปิดหน้าต่างออกมาชมสวนสวยสูดอากาศได้เต็มปอดในทุกๆเช้า จวนนี่ช่างน่าอยู่จริงๆ
“เดิมห้องนี้เป็นห้องของท่านแม่ทัพ แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ห้องด้านในแล้ว แม่นางอยู่ห้องนี้ได้ตามสบาย” พ่อบ้านเฉินพูดไปยิ้มไป รู้สึกถึงความสดใสจากอากัปกิริยาของแม่นางเหม่ยหลิน เรือนใหญ่นี้ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาย่างกรายนานแล้ว แม้แต่นางกำนัลก็จะเข้าไปปรนนิบัติดูแลตามกำหนดเวลาเท่านั้น
พ่อบ้านเฉินอดคิดไม่ได้ว่าแม่นางผู้นี้น่าจะมีความสำคัญต่อท่านแม่ทัพไม่มากก็น้อย การที่ท่านแม่ทัพสั่งให้เขาเสาะหาต้นกุ้ยมาปลูกในสวน ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ...
“เสด็จพ่อเชื่อว่าแม่นางเหม่ยหลินมีสัมพันธ์กับแม่ทัพหวางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเอะอะขององค์ชายรองดังขึ้นหลังจากที่ได้อ่านข้อความ รู้สึกเจ็บใจจนขยำกระดาษนั้นขว้างทิ้งลงพื้น เพียงแค่พิสูจน์ได้ว่านางมีตำหนิภายใต้อาภรณ์ ก็ถือเป็นชัยชนะแล้วเช่นนั้นหรือ?
“ในเมื่อนางมีตำหนิดังที่กล่าวจริง แสดงว่าแม่ทัพหวางมีสัมพันธ์กับนางแล้ว เจ้าอย่าได้ไปสนใจนางอีกเลย” คำพูดของท่านอ๋องแสดงให้เห็นว่าทรงเชื่อโดยสนิทใจ
“โธ่..เสด็จพ่อ...ตำหนักเฟิ่งหวงมีกฎระเบียบเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกตามอำเภอใจ ไม่มีทางที่จะลอบพบกับแม่ทัพหวางได้ แล้วจะไปมีความสัมพันธ์กันตอนไหน” องค์ชายรองพยายามพูดให้ท่านอ๋องเชื่อว่าหวางชุนเทียนสร้างเรื่องเท็จ
“เฮ้อ...” ท่านอ๋องได้แต่ถอนหายใจในความเอาแต่ใจของบุตรชายรองผู้นี้
“เจ้าไม่คิดบ้างหรือ ทั้งคู่อาจจะพบกันตั้งแต่ตอนอยู่หมู่บ้านหนิงอันก็ได้”
“เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ลูกไม่เชื่อ!” ที่ไม่เชื่อก็เพราะก่อนหน้านี้องค์ชายรองได้ส่งคนไปสอบถามชาวบ้านที่หมู่บ้านหนิงอันมาแล้ว ได้ความว่าแม่นางเหม่ยหลินเพิ่งมาปรากฏตัวและพำนักอยู่ที่บ้านหมอหลิวหลังจากที่แม่ทัพหวางออกจากหมู่บ้านไปแล้วต่างหาก
“ถึงกระนั้น หากแม่ทัพหวางยืนยันว่าจะรับนางเป็นฮูหยินแล้ว เจ้าก็ไม่สมควรดึงดันที่จะรับนางเป็นสนมให้เป็นที่ครหา”
องค์ชายรองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านอ๋องตรัสเลยสักนิดเดียว ถึงแม้อยากจะขอให้ทรงตัดสินใจเสียใหม่ แต่รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่ว่าเรื่องใดก็ทรงเข้าข้างแม่ทัพผู้นี้อยู่เสมอ
‘แสดงว่าครั้งนี้แม่ทัพหวางให้ความสำคัญกับหญิงผู้นี้มาก ถึงกล้าทูลต่อท่านอ๋องว่าจะรับนางเป็นฮูหยินให้ได้เช่นนี้...เหอะ...คิดหรือว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ’
มาถึงขนาดนี้แล้ว องค์ชายรองยังไม่หยุดคิดหาทางเอาชนะ!
หญิงที่ท่านอ๋องและองค์ชายรองกล่าวถึง ตอนนี้กำลังเดินตามหลังบุรุษผู้องอาจออกจากบริเวณลานพิธีได้สักระยะแล้ว ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่นอกประตูใหญ่ที่มีรถม้าประจำจวนสกุลหวางจอดรออยู่
เมื่อสารถีชายมองเห็นเจ้านายของตนเองเดินมาถึง ก็รีบกุลีกุจอเตรียมบันไดไม้วางที่พื้นเพื่อให้เจ้านายก้าวเดินขึ้นรถม้าได้สะดวก
ในขณะที่แม่ทัพก้าวขึ้นบันไดไม้ เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ท่านเขียนสิ่งใดลงในกระดาษ?” เหม่ยหลินไม่รอช้าเปิดฉากถามขึ้นก่อน เพราะเธอยังงงกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ อยากรู้จริงๆว่าเหตุใดนางกำนัลผู้นั้นต้องเปิดแขนเสื้อของนางเพียงเพราะต้องการจะเห็นปานรูปดอกไม้ด้วยเล่า มันหมายความว่าอย่างไรหนอ
หวางชุนเทียนหันหลังกลับมามองผู้ที่ตั้งคำถาม “เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ไม่ลืมที่จะยื่นมือให้หญิงสาว “ขึ้นมาสิ”
เหม่ยหลินเหลือบตามองร่างสูงที่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ หญิงสาวทำหน้ามุ่ยและถอนหายใจน้อยๆ
“ไม่เป็นไร ข้าเดินขึ้นเองได้” ครั้งนี้พยายามที่จะไม่สัมผัสมือของชายหนุ่ม จึงพยายามพยุงตัวก้าวขึ้นรถม้าให้ได้ด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ก้าวพลาด...“ว้าย!!” เสียงอุทานด้วยความตกใจ หลังจากที่ร่างบางเสียหลักเซไปข้างหน้าจนถลาเข้าหาแม่ทัพหวางที่อ้าแขนรับโดยฉับพลัน
ในขณะที่มือยังประคองร่างหญิงสาวอยู่ น้ำเสียงเรียบทุ้มก็ดังขึ้นเบาๆใกล้ใบหู “เจ้าคงยังไม่ชินกับการขึ้นรถม้าสินะ”
“ชะ...ใช่ ต่อไปข้าจะระวังเจ้าค่ะ” เธอตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ความรู้สึกทั้งเขินทั้งอายที่ทำเป็นเก่งต่อหน้าเขาเช่นนี้ทำให้ไม่กล้าเงยขึ้นมองหน้าเจ้าของวงแขนกำยำ ได้แต่โทษตัวเองที่ช่างซุ่มซ่าม ‘โธ่...ไม่น่าอวดดีเลยเรา’
หวางชุนเทียนค่อยๆคลายวงแขนลงเปลี่ยนเป็นฉวยจับมือของเธอ
“เอ๊ะ!...”
“ถ้าไม่ระวังจะล้มหัวฟาดพื้นได้” คนที่พูดเหมือนหวังดีไม่สนใจหน้าตาเหลอหลาของเหม่ยหลิน เขาจูงมือหญิงสาวพาเดินเข้าไปภายในตัวรถอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวพยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่หลุด ทำได้แค่เดินตามแรงจูงของชายหนุ่ม
‘คนอะไรมือแข็งแรงราวกับคีมเหล็ก! นี่เขาจะรู้บ้างไหมว่าผู้หญิงไทยอย่างฉันถูกสอนให้รักนวลสงวนตัวขนาดไหน!’
นั่นเป็นเพราะสาวน้อยเอมมาลินหรือเหม่ยหลินผู้นี้เติบโตในครอบครัวที่มีแต่แม่และยายตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอไม่คุ้นชินกับการสัมผัสเพศตรงข้าม ถึงแม้ว่าการถูกเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงในยุคสมัยของเธอจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ตาม...
แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ กลับถูกแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นี้ถือวิสาสะกุมมือเธอทุกครั้งที่เจอกันอยู่ร่ำไป หรือว่าสาวจีนยุคนี้เขาไม่ค่อยรักนวลสงวนตัวกันเลยหรือไงนะ หนุ่มๆที่นี่ถึงได้ใจขนาดนี้
“กลับจวน” หวางชุนเทียนส่งเสียงสั่งการบอกสารถีหลังจากเข้าประจำที่นั่งและยอมปล่อยมือหญิงสาวในที่สุด…
“คุณหนูลู่หลิ่งเจ้าคะ ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสของหญิงรับใช้ประจำตัวดังขึ้นหลังจากที่พรวดพราดรีบเปิดประตูเข้ามาเพื่อบอกให้รู้ว่าคนที่คุณหนูรอคอยกลับมาถึงจวนแล้ว
“งั้นรึ! รีบหยิบเสื้อคลุมมาให้ข้าเร็ว” จัดแจงดูความเรียบร้อยบนใบหน้าและเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หญิงสาวเดินกึ่งวิ่งออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ นางจะรอคอยเวลาที่แม่ทัพหวางกลับมาถึงจวนและออกไปต้อนรับทุกครั้ง
ลู่หลิ่งเดินมาถึงบริเวณหน้าประตูจวน เห็นการสนทนาคล้ายเป็นการสั่งงานระหว่างแม่ทัพหวางและพ่อบ้านเฉินที่มารอต้อนรับอยู่ก่อนหน้านี้ นางรีบเข้าไปแสดงตัวและพูดแทรกการสนทนานั้นทันที
“ท่านแม่ทัพ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ลู่หลิ่งก้มหน้าย่อตัวคำนับอย่างนอบน้อม ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอหวังให้แม่ทัพหวางผู้เป็นเจ้าของจวนมองเห็นความงามที่นางบรรจงสรรค์สร้างให้ตัวเองดูดีอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มหยุดการสนทนา หันมาพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับ
ลู่หลิ่งเหลือบไปเห็นร่างอรชรของหญิงสาวหนึ่งนางที่ยืนอยู่ด้านหลังของแม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยปากถามขึ้น“แขกของท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”
“นางชื่อเหม่ยหลิน นางจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำตอบของแม่ทัพหวางทำให้รอยยิ้มหวานเมื่อครู่เจื่อนลง และยิ่งเมื่อได้เห็นหญิงนามว่าเหม่ยหลินก้าวออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่มทำให้ลู่หลิ่งยืนนิ่งชะงักงันไปชั่วครู่ มองจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีสวยงามขนาดนี้เป็นคุณหนูจากตระกูลไหนกันนะ
แต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหญิงรูปร่างหน้าตาลักษณะเยี่ยงนี้ที่ไหนสักแห่ง...
“ข้าชื่อลู่หลิ่ง” นางบอกชื่อตัวเองบ้าง
“แม่นางลู่หลิ่ง ข้าฝากเนื้อฝากตัวด้วย”เหม่ยหลินโค้งให้เล็กน้อย ในใจอดคิดไม่ได้ว่าแม่นางลู่หลิ่งผู้นี้น่าจะมีอายุไม่ห่างจากเธอสักเท่าไร ถ้าไม่ใช่น้องสาวก็คงเป็นภรรยาของแม่ทัพหวางเจ้าของจวนแห่งนี้เป็นแน่ อย่างไงก็ฝากเนื้อฝากตัวไว้ก่อนเป็นดี
ส่วนลู่หลิ่งก็เข้าใจว่าหญิงนางนี้คือแขกผู้มาพักระยะสั้น จึงรับอาสาที่จะพานางไปเรือนรับรองด้านหลัง
“เรือนรับรองอยู่ใกล้กับเรือนของข้า ให้ข้าพาแม่นางเหม่ยหลินไปที่ห้องพักเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร พ่อบ้านเฉินจะเป็นผู้จัดการเรื่องห้องพักของเหม่ยหลินเอง” แม่ทัพเจ้าของจวนกลับพูดตัดบท หันไปพยักหน้ากับพ่อบ้านคนเฉินก่อนที่จะบ่ายหน้าเดินไปยังห้องตำรา ปล่อยให้หน้าที่หลังจากนี้เป็นของพ่อบ้านเฉิน
“แม่นางเหม่ยหลินเชิญทางนี้” พ่อบ้านเฉินผายมือนำทางให้เข้าสู่ด้านใน
ลู่หลิ่งทำหน้าฉงนหันมองตามร่างของหญิงสาวที่เดินผ่านหน้าไป หากแต่สะดุดกึก เมื่อได้เห็นทิศทางที่พ่อบ้านเฉินนำพานางไปนั้น...
‘ทางไปเรือนใหญ่! เหตุใดนางผู้นั้นจึงได้พักที่เรือนใหญ่!’ ลู่หลิ่งเบิกตากว้าง
นางไม่อยากเชื่อว่าท่านแม่ทัพหวางจะยอมให้ผู้ใดได้เข้าพักที่เรือนใหญ่ เพราะในจวนนี้ก็มีเรือนรับรองที่ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนพร้อมสำหรับแขกผู้มาเยือนอยู่แล้ว
ขนาดลู่หลิ่งเองเข้ามาอยู่ที่จวนนี้ได้ไม่กี่เดือน ยังรับรู้ได้ถึงนิสัยการใช้ชีวิตของแม่ทัพหนุ่มที่ออกจะถือตัวอยู่มาก จึงไม่แปลกที่เรือนใหญ่จะเงียบสงบในยามค่ำคืนเพราะแม่ทัพหนุ่มไม่ชอบให้ผู้ใดเดินไปมาให้รำคาญสายตา
แต่หญิงแปลกหน้าผู้นี้สำคัญอย่างไรถึงได้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับท่านแม่ทัพ!
เหม่ยหลินเดินตามพ่อบ้านเฉินไปถึงโถงทางเดิน สายตาหันไปมองเห็นบริเวณที่คาดว่าเป็นสวนใหญ่ประจำจวนสกุลหวางอันน่ารื่นรมย์ คงเป็นฝีมือพ่อบ้านเฉินสินะ
“สวนสวยมากเลย พ่อบ้านเฉินเป็นผู้จัดสวนสวยนี้ใช่หรือไม่”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งขอรับ เกือบทั้งหมดคือฝีมือของท่านแม่ทัพหวางที่มักใช้เวลาปลูกในยามว่าง ส่วนข้ามีหน้าที่ดูแลให้ต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้เบ่งบานอยู่เสมอเท่านั้น”
อ่อ...ไอเดียสวนสวยเป็นของท่านแม่ทัพงั้นหรือ มีโมเม้นต์ของคนรักการปลูกต้นไม้เหมือนกันนี่นะ นึกว่าชอบจับแต่ดาบต่อสู้เพียงอย่างเดียวเสียอีก
“โดยเฉพาะต้นกุ้ยสองสามต้นนั้นขอรับ อยู่ๆก็นึกอยากเอามาปลูกให้ได้ กว่าจะโตจนออกดอกก็คงร่วมปีกระมัง”
“แม่นางชอบต้นกุ้ยหรือ” เห็นว่าหญิงสาวยิ้มนิดๆเมื่อพูดถึงต้นกุ้ย พ่อบ้านชราจึงเอ่ยถาม
“ใช่ ที่บ้านเกิดของข้าก็ปลูกไว้ในสวนเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีที่เดียว ต้นกุ้ยปลูกไว้ติดกับห้องของแม่นางพอดี เชิญทางนี้ขอรับ”
“ห้องของข้าอยู่ติดกับสวนงั้นหรือ” หญิงสาวยิ้มระรื่น อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ…เราสามารถเปิดหน้าต่างออกมาชมสวนสวยสูดอากาศได้เต็มปอดในทุกๆเช้า จวนนี่ช่างน่าอยู่จริงๆ
“เดิมห้องนี้เป็นห้องของท่านแม่ทัพ แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ห้องด้านในแล้ว แม่นางอยู่ห้องนี้ได้ตามสบาย” พ่อบ้านเฉินพูดไปยิ้มไป รู้สึกถึงความสดใสจากอากัปกิริยาของแม่นางเหม่ยหลิน เรือนใหญ่นี้ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาย่างกรายนานแล้ว แม้แต่นางกำนัลก็จะเข้าไปปรนนิบัติดูแลตามกำหนดเวลาเท่านั้น
พ่อบ้านเฉินอดคิดไม่ได้ว่าแม่นางผู้นี้น่าจะมีความสำคัญต่อท่านแม่ทัพไม่มากก็น้อย การที่ท่านแม่ทัพสั่งให้เขาเสาะหาต้นกุ้ยมาปลูกในสวน ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ