ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.96K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) พบกันในความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ณ พื้นที่กว้างกลางหุบเขาสลับซับซ้อน เกิดการต่อสู้บนพื้นที่โล่งที่เต็มไปด้วยหินขนาดน้อยใหญ่ หวางชุนเทียนแม่ทัพหนุ่มถูกเหล่ากองทหารของศัตรูซุ่มโจมตี บัดนี้ เหลือเขาต่อสู้อยู่เพียงผู้เดียวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาวุธนานาชนิด ในขณะที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน ติงอี้เทาทหารคนสนิทควบม้าวิ่งทะยานเข้าสู่วงล้อมพร้อมทหารจำนวนไม่มากนัก ใช้อาวุธทวนด้ามปลายแหลมเข้าแทงศัตรูที่อยู่รอบข้างแบบไม่ยั้งจนทหารทั้งหลายตายสิ้น
ติงอี้เทารีบเข้าประคองแม่ทัพหนุ่มที่กระอักเลือดจากการต่อสู้ นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้นำทหารมาช่วยเจ้านายให้มากกว่านี้ ด้วยมิอาจรู้ถึงเล่ห์กลจากศัตรูที่หลอกล่อให้แม่ทัพหวางและทหารผู้ติดตามไม่กี่สิบนายออกจากจวนจนถูกยิงด้วยธนูอาบยาพิษ
เสียงกองกำลังเสริมของศัตรูเคลื่อนเข้ามาแต่ไกล หมายความว่าอีกไม่นานภัยจะมาถึงตัวอีกครา!!
เมื่อติงอี้เทาหันมองเห็นแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้มีวรยุทธแก่กล้าต้านทานพิษได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ก็รับมือกับศัตรูได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ร่างกายจึงเริ่มอ่อนแอจวนเจียนจะหมดสติ
“ท่านแม่ทัพหวาง ท่านต้องรีบไปจากที่นี่ ก่อนที่กำลังเสริมของศัตรูจะมาถึง” ติงอี้เทาตัดสินใจพยุงร่างแม่ทัพหวางชุนเทียนขึ้นบนหลังม้า
“ไม่!! ข้าจะต่อสู้จนตัวตาย ข้าจะไม่ทิ้งพวกเจ้า!!” น้ำเสียงแหบพล่าแต่แววตาเด็ดเดี่ยวของแม่ทัพหนุ่มยิ่งทำให้ติงอี้เทาซาบซึ้งในจิตใจอันเข็มแข็งของแม่ทัพผู้เป็นนาย แม้ในยามที่ข้าศึกประชิดตัวก็ไม่ยอมที่จะทอดทิ้งทหารที่ร่วมกำศึกมาด้วยกันหลายปี
“ท่านไปเสียตอนนี้ ข้าจักต้านทางพวกมันไว้เอง ขอเพียงให้ท่านรอดชีวิตแล้วกลับมาต่อสู้เพื่อบ้านเมืองอีกครั้ง” ติงอี้เทายกมือคารวะนายเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าขอให้ท่านโชคดี”
“อี้เทา! เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ให้ข้าได้ร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารหาญเยี่ยงพวกเจ้า” แม่ทัพหวางชุนเทียนไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเหล่าทหารที่เหลือ ถือดาบคอยปกป้องอยู่รอบกาย
นายทหารผู้ภักดีไม่ฟังคำทัดทานของแม่ทัพหนุ่มอีกต่อไป เขาปลดปล่อยให้เจ้าม้าแสนรู้แบกร่างที่บาดเจ็บสาหัสของแม่ทัพควบฝีเท้าพุ่งทะยานออกนอกสนามรบ
เมื่อติงอี้เทารู้สึกโล่งใจที่ช่วยชีวิตแม่ทัพผู้เป็นเจ้านายของเขาได้แล้ว ร่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหันกลับมาพร้อมชักดาบคู่ใจ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยทหารของศัตรูวิ่งถือดาบเข้าใกล้พื้นดินที่เขายืนอยู่ สายตามุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงวิ่งเข้าสู้แบบไม่กลัวตาย!!
หวางชุนเทียนไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่ยกใบหน้าขึ้นมองสถานการณ์การสู้รบอีกต่อไป เสียงกระทบกันของอาวุธนานาชนิดและเสียงโห่ร้องกึกก้องไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเหล่านั้นเงียบหายไป
เจ้าม้าสีนิลที่รับหน้าที่แบกร่างเจ้านายของมันวิ่งลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างภูเขาสองลูกขนาบข้าง เสียงวิ่งดังกุบกับๆๆ มุ่งตรงเข้ามายังพื้นที่ป่าสีเขียวขจี ต้นไม้ชนิดเดียวกันเกาะกลุ่มเต็มพื้นที่ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เพียงชั่วอึดใจร่างชายหนุ่มที่พาดอยู่บนหลังม้าค่อยๆ ร่วงหล่นลงมายังพื้นหญ้า
บัดนี้ บุรุษในชุดเกราะนักรบที่ทำจากหนังสัตว์อย่างดีนอนหงายหน้าไม่ได้สติอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านแตกใบเขียวครึ้มแซมด้วยช่อดอกไม้สีเหลืองอร่ามส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล สายลมโชยพัดทิ้งกลีบดอกไม้โปรยปรายปลิวละล่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่ม
ร่างกายเกิดอาการกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ อวัยวะทุกส่วนไร้เรี่ยวแรงแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ แม้ว่าประสาทสัมผัสรับรู้กลิ่นหอมจากดอกไม้ช่องามลอยมาแตะจมูก ถึงกระนั้นความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่างกายก็ไม่เคยหายไป
‘ข้ายังตายไม่ได้’ เขารำพึงรำพันในใจ ในขณะที่เปลือกตาจวนเจียนจะปิดลงเสียให้ได้ ภาพการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อหลายชั่วยามที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบ ได้แต่เจ็บใจที่ต้องเพลี่ยงพล้ำให้แก่ศัตรู นักรบหลายต่อหลายคนต่อสู้จนสุดชีวิต ทุกคนยอมตายเพื่อให้เขารอดชีวิต
เขาสาบานกับตัวเองว่าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อการแก้แค้น!!
ในขณะที่ข่มใจไม่ให้ยอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวด จู่ๆ หมอกหนาทึบสีเทาเคลื่อนเข้าปกคลุมรอบกาย เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ไม่อาจอธิบายได้ ดูราวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบังเกิดขึ้น ใบหน้าคมคายค่อยๆ หันหน้ามองข้างกายที่ก่อนหน้านี้มีแต่พื้นหญ้าที่เคยว่างเปล่า นักรบหนุ่มพยายามเพ่งมองบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันหลังจากหมอกสีเทาเคลื่อนสลายไป
ดวงตาที่เคยอิดโรยเบิกกว้างอย่างตะหนกตกใจเมื่อพบว่า มันคือร่างของสตรีนางหนึ่ง!
ชายหนุ่มพยายามขยับร่างเพื่อหันมองใบหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบอย่างชัดๆ อีกครั้ง หญิงแปลกหน้าที่นอนตะแคงหน้ามาทางเขาหลับสนิทหรือว่าไร้ชีวิตกันแน่ ใยจึงไม่ขยับเขยื้อนกายแม้เพียงสักนิด แล้วอยู่ๆ นางมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
“แม่นาง.........เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาเรียกให้คนข้างๆ ตื่นขึ้นมา
“แม่นาง ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” เขาพยายามอ้าปากพูดอีกครั้ง
แล้วก็ได้ผล ศีรษะของหญิงสาวผมยาวสลวยเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย ความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน เธอได้ยินเสียงเรียกด้วยภาษาที่เธอเข้าใจได้ ‘ใครกันนะเรียกเราด้วยภาษาจีน’
หญิงสาวที่ยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ปรือตามองบุคคลที่คาดว่าเป็นต้นเสียง แล้วอ้าปากพูดภาษาของตนเองคล้ายคนละเมอ “คุณเป็นใครกัน.......” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายตรงข้าม
หญิงสาวยกมือเรียวยาวแตะข้างแก้มของอีกฝ่ายเพื่อต้องการพิสูจน์การมีตัวตน เธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนผิวหน้าสากกระด้าง ปฏิกิริยาที่ดูไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกว่าชายผู้นี้ไม่เป็นอันตราย
เมื่อเอมมาลินผละมือออกจากใบหน้านั้น ของเหลวเหนียวข้นติดมากับมือของเธอ นัยน์ตาหญิงสาวเบิกกว้างก่อนที่จะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เลือด!! นี่คุณบาดเจ็บอยู่รึ ที่นี่ที่ไหน แล้ว....ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเนี่ย!!” ของเหลวสีแดงบนฝ่ามือคือเลือดของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ผิดแน่
ชายที่นอนคล้ายคนหมดแรงได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเร็วระรัวฟังไม่ได้ศัพท์ แค่การมาของหญิงสาวก็สร้างความฉงนมากพออยู่แล้ว อากัปกิริยาและคำพูดที่ออกจากปากของหญิงสาวยิ่งทำให้ประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด” ชายผู้นี้เอ่ยด้วยภาษาจีนอีกเช่นเคย ความตระหนกตกใจของหญิงสาวทำให้มึนงงเสียจนมิได้ใส่ใจในคำพูดนั้น
ร่างบางชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับลมพัดวูบจนดอกไม้สีเหลืองขนาดเล็กจิ๋วมากมายปลิวหลุดจากช่อลอยละล่องตกสู่เบื้องล่าง แพขนตายาวกระพริบสองคราเพ่งมองดอกไม้ที่ติดตามร่างกาย หญิงสาวเงยหน้ามองตั้งแต่โคนต้นเรื่อยขึ้นไปจนเห็นกิ่งก้านสาขาใหญ่ตระการตา รำพึงกับตัวเองเบาๆ ‘ต้นหอมหมื่นลี้’ สิ่งเดียวที่เธอรู้จักในสถานที่แห่งนี้คือต้นไม้ชื่อไพเราะนี้เท่านั้น
“ดอกหอมหมื่นลี้! ใช่จริงๆ ด้วย” นิ้วมือเรียวบางหยิบดอกไม้ขึ้นมาดูให้แน่ใจ มิวายเหลียวมองรอบกายอีกหลายสิบรอบ ‘ต้นหอมหมื่นลี้ทั้งนั้นเลย นี่มันป่าหอมหมื่นลี้ ป่าต้นกุ้ย!!’ ความสวยงามของต้นกุ้ยหลายสิบหลายร้อยต้นเบ่งบานสีเหลืองอร่ามตาพากันพัดโชยกลิ่นหอมติดจมูก ทำให้หญิงสาวไม่อาจละสายตาได้
จนกระทั่งได้ยินเสียงไอเบาๆ “แค่ก...แค่ก”
หญิงสาวเริ่มได้สติกลับมาสนใจร่างชายผู้ที่อยู่ในสภาพอ่อนแรงอีกครั้ง “คุณเป็นอะไรมากไหม อย่าตายนะ!” น้ำเสียงตกใจพยายามเรียกสติของชายหนุ่มด้วยมิอยากให้เขาหมดลมหายใจไปต่อหน้า
ชายหนุ่มถอนหายใจกับท่าทีของหญิงสาวแปลกหน้า ฉงนในคำพูดคำจาของฝ่ายตรงข้ามยิ่งนัก อีกทั้งความบาดเจ็บนี้อีกเล่า “คุณ!! อย่าตายนะ” เธอทำได้เพียงจับแขนเขย่าตัวผู้บาดเจ็บเบาๆ
เมื่อดวงตาเริ่มพล่ามัวอีกครั้ง ใบหน้าของหญิงสาวที่เอาแต่ตะโกนเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ เลือนลาง และแล้วเปลือกตาชายหนุ่มก็ปิดสนิทอีกครา
“ก็แค่ความฝันน่ะลูก จะเป็นความจริงไปได้อย่างไรกัน” สายสุนีย์เอ่ยขึ้นหลังจากฟังบุตรสาวเล่าเรื่องในความฝันเป็นนานสองนาน ส่วนเจิมจันทร์ที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้าก็นั่งฟังการสนทนาของคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ
“ต้นหอมหมื่นลี้อยู่ใกล้ริมระเบียงห้องนอน จะมีดอกปลิวเข้ามาบ้างก็ไม่แปลกหรอก แล้วมือที่เปื้อนสีอะไรนั่น ก็เพราะเอมเผลอไปหยิบขวดหมึกพู่กันจีนจนเปื้อนมือหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่สาธยายสิ่งที่ควรจะเป็น
เอมมาลินในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุดใส่สบายยามที่อยู่บ้าน ได้แต่ทึ่งกับสิ่งที่สายสุนีย์สาธยาย ราวกับว่าแม่ของเธอคือนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เธอนึกค้านคำพูดของมารดาอยู่ในใจ แต่ด้วยไม่เหลือหลักฐานคราบเลือดสีแดงดังที่กล่าวอ้าง ด้วยหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเห็นมือเปื้อนเลือดสีแดง หญิงสาวก็รีบวิ่งพรวดไปล้างมือในห้องน้ำด้วยความตกใจ หรือเป็นไปได้ว่าเธอตาฝาดที่เห็นหมึกสีดำเป็นสีแดงนั่นเอง
ถึงกระนั้นยังมีหลักฐานของดอกหอมหมื่นลี้สองสามดอกติดอยู่บนเส้นผม แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ได้จากเหตุผลที่สายสุนีย์กล่าวอ้าง ในเมื่อเธอนอนเปิดระเบียงห้องค้างไว้เพื่อรับลม ก็เป็นไปได้ที่ดอกหอมหมื่นลี้จะปลิวเข้ามา แต่พอนึกขึ้นได้เกี่ยวกับภาษาที่ได้ยินในความฝัน
“ผู้ชายคนนั้นพูดภาษาจีนด้วยนะคะ” เอมมาลินยังเล่าให้ฟังอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเขาพูดภาษาจีน แล้วหนูเอมพูดภาษาอะไรล่ะลูก” เจิมจันทร์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยพูดสมทบ
เอมมาลินทำหน้าแหยๆ บอกว่าพูดภาษาไทยกับชายในความฝัน เสียงหัวเราะของหญิงสองวัยที่นั่งฟังก็ดังออกมาพร้อมกัน ความฝันแปลกประหลาดที่พูดถึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียแล้ว
“แล้วทำไมไม่พูดภาษาจีนใส่เขาล่ะลูก เอมพูดภาษาจีนเก่งจะตาย เรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมเลยนะ”
สายสุนีย์ยังแซวไม่เลิก จนเอมมาลินนึกโทษว่าสาเหตุของความฝันเป็นตุเป็นตะน่าจะมาจากหนังสือวรรณกรรมจีนร่วมสมัยที่อ่านเมื่อตอนหัวค่ำเป็นแน่แท้
‘ก็แค่ความฝัน’ เอมมาลินเริ่มคิดคล้อยตามเหตุผลที่ผู้เป็นแม่พูดทุกประการพลางตักข้าวต้มเข้าปาก
“พูดถึงต้นหอมหมื่นลี้ที่สวนหลังบ้านเรา สุนีย์ไม่มาเชียงใหม่แค่ไม่กี่เดือนออกดอกบานสะพรั่ง หอมฟุ้งไปทั่วบ้านเลยนะคะคุณแม่” สายสุนีย์อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงต้นไม้ในความฝันของเอมมาลิน หากแต่เป็นต้นไม้ของจริงที่เติบโตอยู่ในสวนหลังบ้าน
“ตั้งแต่ปลูกมาสองปีเห็นจะได้ แม่ก็ให้นายชดคอยดูแลรดน้ำพรวนดินสม่ำเสมอ คิดไม่ถึงว่าจะออกดอกเต็มต้นขนาดนี้นะ หนูเอมบอกว่าได้เมล็ดพันธุ์มาจากเมืองกุ้ยหลินใช่ไหมลูก” พูดพลางหันไปถามหลานสาว
“ใช่ค่ะคุณยาย” เอมมาลินเพียงแค่ตอบรับสั้นๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับแม่ค้าตัวน้อยคนนั้นเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร
“มาคราวนี้เอมอยู่นานแค่ไหนลูก” สายสุนีย์เปลี่ยนเรื่องถามกำหนดการกลับไปศึกษาต่อของลูกสาว
“เอมอยู่ประมาณหนึ่งเดือนค่ะ เอมต้องกลับไปร่วมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่เดือนหน้าค่ะ”
หญิงสาวตอบอย่างฉะฉาน
“ลูกสาวแม่เก่งจริงๆเลย ถ้าแม่จัดการงานทางนี้เรียบร้อยแล้ว แม่จะบินตามไปเยี่ยมเอมนะลูก”
“เอมจัดการทุกอย่างได้อยู่แล้ว สบายมากค่ะคุณแม่”
“จ้า แม่คนเก่ง” สายสุนีย์นั่งนิ่งมองหน้าลูกสาวอยู่ชั่วครู่
“อยู่ทางโน้น คุณพ่อเค้ามาเยี่ยมเอมบ้างหรือเปล่า” เอ่ยถามถึงอดีตสามีชาวจีนที่หย่าร้างกันเนิ่นนานแล้ว เอมมาลินได้แต่ส่ายหน้าไม่แม้แต่มองหน้ามารดา มือที่จับช้อนอยู่เขี่ยข้าวต้มวนไปมา
“พ่อไม่ได้มาเยี่ยมเอมเลยหรือ นี่ก็สองปีแล้วนะตั้งแต่เอมไปอยู่ที่โน่น”
น้ำเสียงเข้มขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากที่เห็นใบหน้าเรียวสวยของลูกสาวก้มต่ำเล็กน้อย
“คุณพ่อไม่ได้ติดต่อมาก็จริง แต่ให้คุณเลขาหม่ามาเยี่ยมเดือนละครั้งไม่ขาดเลยค่ะ”
หญิงสาวตอบทันควัน พยายามปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ
เจิมจันทร์นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่งฟังบทสนทนาของลูกหลานอยู่สักพัก จึงรีบพูดตัดบท
“พ่อเขาคงงานยุ่ง ตระกูลเขาก็ทำธุรกิจหลายอย่าง อีกเดี๋ยวมีเวลาก็คงจะไปหาหนูเอมเองนั่นล่ะ” คำปลอบใจของคุณยายมิได้ช่วยคลายความเศร้าระคนน้อยใจของหลานสาวสุดที่รักได้ รอยยิ้มเจื่อนๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว “เอมเข้าใจค่ะ”
อันที่จริง สายสุนีย์มิได้ชอบใจนักที่ลูกสาวขอไปเรียนต่อที่ประเทศจีน แต่ด้วยเห็นว่าลูกสาวของเธอมีความตั้งใจร่ำเรียนภาษาจีนมาตั้งแต่ชั้นประถม ผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวมีความหวังลึกๆ ว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอพ่อบังเกิดเกล้า แต่นี่สองปีแล้วที่เอมมาลินศึกษาอยู่ที่เมืองจีน แต่ไม่เคยพบหน้าผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง...
สิ่งที่ถางเล่อถงทำเพื่อลูกสาวคือจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับโรงเรียนจนกว่าเอมมาลินจะจบการศึกษา และจ่ายค่าเช่ารายปีคอนโดย่านกลางใจเมืองให้ลูกสาวอยู่ การดำเนินการทุกอย่างล้วนผ่านทางเลขาคนสนิททั้งสิ้น
ถึงกระนั้น ผู้เป็นแม่ไม่เคยคิดที่จะรับความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายจากอดีตสามีเลยสักนิด ถึงแม้จะปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เป็นผล
เอมมาลินมักพูดถึงเลขาหม่าให้แม่กับยายฟังอยู่เสมอ แม้สายสุนีย์จะไม่เคยพบหน้าบุคคลผู้นี้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้สายสุนีย์เบาใจได้ไปเปราะหนึ่งที่มีคนคอยให้ความช่วยเหลือลูกสาวในยามที่ต้องอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
สายสุนีย์มองเห็นสีหน้าจ๋อยๆ นึกสงสารลูกสาวจึงหยุดตั้งคำถาม เปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นอย่างอื่น
“เออจริงสิ เอมเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวโรงงานทอผ้า วันนี้ไปกับแม่ไหมลูก แต่ห้ามวิ่งเล่นจนข้าวของเสียหายนะ วันนี้แม่มีลูกค้าสำคัญ” น้ำเสียงปรามราวกับลูกสาวเป็นเด็กตัวน้อย
เอมมาลินเหลือบตามองพยักหน้ารับยิ้มตาวาว
“งั้นเอมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ คุณแม่รอเอมแป๊ปเดียว”
เสียงวิ่งขึ้นบันไดดัง ตึกๆๆ จนคนที่ยังนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารพากันส่ายหน้านิดๆ อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
ติงอี้เทารีบเข้าประคองแม่ทัพหนุ่มที่กระอักเลือดจากการต่อสู้ นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้นำทหารมาช่วยเจ้านายให้มากกว่านี้ ด้วยมิอาจรู้ถึงเล่ห์กลจากศัตรูที่หลอกล่อให้แม่ทัพหวางและทหารผู้ติดตามไม่กี่สิบนายออกจากจวนจนถูกยิงด้วยธนูอาบยาพิษ
เสียงกองกำลังเสริมของศัตรูเคลื่อนเข้ามาแต่ไกล หมายความว่าอีกไม่นานภัยจะมาถึงตัวอีกครา!!
เมื่อติงอี้เทาหันมองเห็นแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้มีวรยุทธแก่กล้าต้านทานพิษได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ก็รับมือกับศัตรูได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ร่างกายจึงเริ่มอ่อนแอจวนเจียนจะหมดสติ
“ท่านแม่ทัพหวาง ท่านต้องรีบไปจากที่นี่ ก่อนที่กำลังเสริมของศัตรูจะมาถึง” ติงอี้เทาตัดสินใจพยุงร่างแม่ทัพหวางชุนเทียนขึ้นบนหลังม้า
“ไม่!! ข้าจะต่อสู้จนตัวตาย ข้าจะไม่ทิ้งพวกเจ้า!!” น้ำเสียงแหบพล่าแต่แววตาเด็ดเดี่ยวของแม่ทัพหนุ่มยิ่งทำให้ติงอี้เทาซาบซึ้งในจิตใจอันเข็มแข็งของแม่ทัพผู้เป็นนาย แม้ในยามที่ข้าศึกประชิดตัวก็ไม่ยอมที่จะทอดทิ้งทหารที่ร่วมกำศึกมาด้วยกันหลายปี
“ท่านไปเสียตอนนี้ ข้าจักต้านทางพวกมันไว้เอง ขอเพียงให้ท่านรอดชีวิตแล้วกลับมาต่อสู้เพื่อบ้านเมืองอีกครั้ง” ติงอี้เทายกมือคารวะนายเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าขอให้ท่านโชคดี”
“อี้เทา! เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ให้ข้าได้ร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารหาญเยี่ยงพวกเจ้า” แม่ทัพหวางชุนเทียนไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเหล่าทหารที่เหลือ ถือดาบคอยปกป้องอยู่รอบกาย
นายทหารผู้ภักดีไม่ฟังคำทัดทานของแม่ทัพหนุ่มอีกต่อไป เขาปลดปล่อยให้เจ้าม้าแสนรู้แบกร่างที่บาดเจ็บสาหัสของแม่ทัพควบฝีเท้าพุ่งทะยานออกนอกสนามรบ
เมื่อติงอี้เทารู้สึกโล่งใจที่ช่วยชีวิตแม่ทัพผู้เป็นเจ้านายของเขาได้แล้ว ร่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหันกลับมาพร้อมชักดาบคู่ใจ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยทหารของศัตรูวิ่งถือดาบเข้าใกล้พื้นดินที่เขายืนอยู่ สายตามุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงวิ่งเข้าสู้แบบไม่กลัวตาย!!
หวางชุนเทียนไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่ยกใบหน้าขึ้นมองสถานการณ์การสู้รบอีกต่อไป เสียงกระทบกันของอาวุธนานาชนิดและเสียงโห่ร้องกึกก้องไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเหล่านั้นเงียบหายไป
เจ้าม้าสีนิลที่รับหน้าที่แบกร่างเจ้านายของมันวิ่งลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างภูเขาสองลูกขนาบข้าง เสียงวิ่งดังกุบกับๆๆ มุ่งตรงเข้ามายังพื้นที่ป่าสีเขียวขจี ต้นไม้ชนิดเดียวกันเกาะกลุ่มเต็มพื้นที่ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เพียงชั่วอึดใจร่างชายหนุ่มที่พาดอยู่บนหลังม้าค่อยๆ ร่วงหล่นลงมายังพื้นหญ้า
บัดนี้ บุรุษในชุดเกราะนักรบที่ทำจากหนังสัตว์อย่างดีนอนหงายหน้าไม่ได้สติอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านแตกใบเขียวครึ้มแซมด้วยช่อดอกไม้สีเหลืองอร่ามส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล สายลมโชยพัดทิ้งกลีบดอกไม้โปรยปรายปลิวละล่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่ม
ร่างกายเกิดอาการกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ อวัยวะทุกส่วนไร้เรี่ยวแรงแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ แม้ว่าประสาทสัมผัสรับรู้กลิ่นหอมจากดอกไม้ช่องามลอยมาแตะจมูก ถึงกระนั้นความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่างกายก็ไม่เคยหายไป
‘ข้ายังตายไม่ได้’ เขารำพึงรำพันในใจ ในขณะที่เปลือกตาจวนเจียนจะปิดลงเสียให้ได้ ภาพการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อหลายชั่วยามที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบ ได้แต่เจ็บใจที่ต้องเพลี่ยงพล้ำให้แก่ศัตรู นักรบหลายต่อหลายคนต่อสู้จนสุดชีวิต ทุกคนยอมตายเพื่อให้เขารอดชีวิต
เขาสาบานกับตัวเองว่าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อการแก้แค้น!!
ในขณะที่ข่มใจไม่ให้ยอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวด จู่ๆ หมอกหนาทึบสีเทาเคลื่อนเข้าปกคลุมรอบกาย เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ไม่อาจอธิบายได้ ดูราวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบังเกิดขึ้น ใบหน้าคมคายค่อยๆ หันหน้ามองข้างกายที่ก่อนหน้านี้มีแต่พื้นหญ้าที่เคยว่างเปล่า นักรบหนุ่มพยายามเพ่งมองบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันหลังจากหมอกสีเทาเคลื่อนสลายไป
ดวงตาที่เคยอิดโรยเบิกกว้างอย่างตะหนกตกใจเมื่อพบว่า มันคือร่างของสตรีนางหนึ่ง!
ชายหนุ่มพยายามขยับร่างเพื่อหันมองใบหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบอย่างชัดๆ อีกครั้ง หญิงแปลกหน้าที่นอนตะแคงหน้ามาทางเขาหลับสนิทหรือว่าไร้ชีวิตกันแน่ ใยจึงไม่ขยับเขยื้อนกายแม้เพียงสักนิด แล้วอยู่ๆ นางมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
“แม่นาง.........เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาเรียกให้คนข้างๆ ตื่นขึ้นมา
“แม่นาง ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” เขาพยายามอ้าปากพูดอีกครั้ง
แล้วก็ได้ผล ศีรษะของหญิงสาวผมยาวสลวยเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย ความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน เธอได้ยินเสียงเรียกด้วยภาษาที่เธอเข้าใจได้ ‘ใครกันนะเรียกเราด้วยภาษาจีน’
หญิงสาวที่ยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ปรือตามองบุคคลที่คาดว่าเป็นต้นเสียง แล้วอ้าปากพูดภาษาของตนเองคล้ายคนละเมอ “คุณเป็นใครกัน.......” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายตรงข้าม
หญิงสาวยกมือเรียวยาวแตะข้างแก้มของอีกฝ่ายเพื่อต้องการพิสูจน์การมีตัวตน เธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนผิวหน้าสากกระด้าง ปฏิกิริยาที่ดูไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกว่าชายผู้นี้ไม่เป็นอันตราย
เมื่อเอมมาลินผละมือออกจากใบหน้านั้น ของเหลวเหนียวข้นติดมากับมือของเธอ นัยน์ตาหญิงสาวเบิกกว้างก่อนที่จะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เลือด!! นี่คุณบาดเจ็บอยู่รึ ที่นี่ที่ไหน แล้ว....ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเนี่ย!!” ของเหลวสีแดงบนฝ่ามือคือเลือดของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ผิดแน่
ชายที่นอนคล้ายคนหมดแรงได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเร็วระรัวฟังไม่ได้ศัพท์ แค่การมาของหญิงสาวก็สร้างความฉงนมากพออยู่แล้ว อากัปกิริยาและคำพูดที่ออกจากปากของหญิงสาวยิ่งทำให้ประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด” ชายผู้นี้เอ่ยด้วยภาษาจีนอีกเช่นเคย ความตระหนกตกใจของหญิงสาวทำให้มึนงงเสียจนมิได้ใส่ใจในคำพูดนั้น
ร่างบางชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับลมพัดวูบจนดอกไม้สีเหลืองขนาดเล็กจิ๋วมากมายปลิวหลุดจากช่อลอยละล่องตกสู่เบื้องล่าง แพขนตายาวกระพริบสองคราเพ่งมองดอกไม้ที่ติดตามร่างกาย หญิงสาวเงยหน้ามองตั้งแต่โคนต้นเรื่อยขึ้นไปจนเห็นกิ่งก้านสาขาใหญ่ตระการตา รำพึงกับตัวเองเบาๆ ‘ต้นหอมหมื่นลี้’ สิ่งเดียวที่เธอรู้จักในสถานที่แห่งนี้คือต้นไม้ชื่อไพเราะนี้เท่านั้น
“ดอกหอมหมื่นลี้! ใช่จริงๆ ด้วย” นิ้วมือเรียวบางหยิบดอกไม้ขึ้นมาดูให้แน่ใจ มิวายเหลียวมองรอบกายอีกหลายสิบรอบ ‘ต้นหอมหมื่นลี้ทั้งนั้นเลย นี่มันป่าหอมหมื่นลี้ ป่าต้นกุ้ย!!’ ความสวยงามของต้นกุ้ยหลายสิบหลายร้อยต้นเบ่งบานสีเหลืองอร่ามตาพากันพัดโชยกลิ่นหอมติดจมูก ทำให้หญิงสาวไม่อาจละสายตาได้
จนกระทั่งได้ยินเสียงไอเบาๆ “แค่ก...แค่ก”
หญิงสาวเริ่มได้สติกลับมาสนใจร่างชายผู้ที่อยู่ในสภาพอ่อนแรงอีกครั้ง “คุณเป็นอะไรมากไหม อย่าตายนะ!” น้ำเสียงตกใจพยายามเรียกสติของชายหนุ่มด้วยมิอยากให้เขาหมดลมหายใจไปต่อหน้า
ชายหนุ่มถอนหายใจกับท่าทีของหญิงสาวแปลกหน้า ฉงนในคำพูดคำจาของฝ่ายตรงข้ามยิ่งนัก อีกทั้งความบาดเจ็บนี้อีกเล่า “คุณ!! อย่าตายนะ” เธอทำได้เพียงจับแขนเขย่าตัวผู้บาดเจ็บเบาๆ
เมื่อดวงตาเริ่มพล่ามัวอีกครั้ง ใบหน้าของหญิงสาวที่เอาแต่ตะโกนเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ เลือนลาง และแล้วเปลือกตาชายหนุ่มก็ปิดสนิทอีกครา
“ก็แค่ความฝันน่ะลูก จะเป็นความจริงไปได้อย่างไรกัน” สายสุนีย์เอ่ยขึ้นหลังจากฟังบุตรสาวเล่าเรื่องในความฝันเป็นนานสองนาน ส่วนเจิมจันทร์ที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้าก็นั่งฟังการสนทนาของคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ
“ต้นหอมหมื่นลี้อยู่ใกล้ริมระเบียงห้องนอน จะมีดอกปลิวเข้ามาบ้างก็ไม่แปลกหรอก แล้วมือที่เปื้อนสีอะไรนั่น ก็เพราะเอมเผลอไปหยิบขวดหมึกพู่กันจีนจนเปื้อนมือหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่สาธยายสิ่งที่ควรจะเป็น
เอมมาลินในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุดใส่สบายยามที่อยู่บ้าน ได้แต่ทึ่งกับสิ่งที่สายสุนีย์สาธยาย ราวกับว่าแม่ของเธอคือนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เธอนึกค้านคำพูดของมารดาอยู่ในใจ แต่ด้วยไม่เหลือหลักฐานคราบเลือดสีแดงดังที่กล่าวอ้าง ด้วยหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเห็นมือเปื้อนเลือดสีแดง หญิงสาวก็รีบวิ่งพรวดไปล้างมือในห้องน้ำด้วยความตกใจ หรือเป็นไปได้ว่าเธอตาฝาดที่เห็นหมึกสีดำเป็นสีแดงนั่นเอง
ถึงกระนั้นยังมีหลักฐานของดอกหอมหมื่นลี้สองสามดอกติดอยู่บนเส้นผม แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ได้จากเหตุผลที่สายสุนีย์กล่าวอ้าง ในเมื่อเธอนอนเปิดระเบียงห้องค้างไว้เพื่อรับลม ก็เป็นไปได้ที่ดอกหอมหมื่นลี้จะปลิวเข้ามา แต่พอนึกขึ้นได้เกี่ยวกับภาษาที่ได้ยินในความฝัน
“ผู้ชายคนนั้นพูดภาษาจีนด้วยนะคะ” เอมมาลินยังเล่าให้ฟังอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเขาพูดภาษาจีน แล้วหนูเอมพูดภาษาอะไรล่ะลูก” เจิมจันทร์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยพูดสมทบ
เอมมาลินทำหน้าแหยๆ บอกว่าพูดภาษาไทยกับชายในความฝัน เสียงหัวเราะของหญิงสองวัยที่นั่งฟังก็ดังออกมาพร้อมกัน ความฝันแปลกประหลาดที่พูดถึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียแล้ว
“แล้วทำไมไม่พูดภาษาจีนใส่เขาล่ะลูก เอมพูดภาษาจีนเก่งจะตาย เรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมเลยนะ”
สายสุนีย์ยังแซวไม่เลิก จนเอมมาลินนึกโทษว่าสาเหตุของความฝันเป็นตุเป็นตะน่าจะมาจากหนังสือวรรณกรรมจีนร่วมสมัยที่อ่านเมื่อตอนหัวค่ำเป็นแน่แท้
‘ก็แค่ความฝัน’ เอมมาลินเริ่มคิดคล้อยตามเหตุผลที่ผู้เป็นแม่พูดทุกประการพลางตักข้าวต้มเข้าปาก
“พูดถึงต้นหอมหมื่นลี้ที่สวนหลังบ้านเรา สุนีย์ไม่มาเชียงใหม่แค่ไม่กี่เดือนออกดอกบานสะพรั่ง หอมฟุ้งไปทั่วบ้านเลยนะคะคุณแม่” สายสุนีย์อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงต้นไม้ในความฝันของเอมมาลิน หากแต่เป็นต้นไม้ของจริงที่เติบโตอยู่ในสวนหลังบ้าน
“ตั้งแต่ปลูกมาสองปีเห็นจะได้ แม่ก็ให้นายชดคอยดูแลรดน้ำพรวนดินสม่ำเสมอ คิดไม่ถึงว่าจะออกดอกเต็มต้นขนาดนี้นะ หนูเอมบอกว่าได้เมล็ดพันธุ์มาจากเมืองกุ้ยหลินใช่ไหมลูก” พูดพลางหันไปถามหลานสาว
“ใช่ค่ะคุณยาย” เอมมาลินเพียงแค่ตอบรับสั้นๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับแม่ค้าตัวน้อยคนนั้นเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร
“มาคราวนี้เอมอยู่นานแค่ไหนลูก” สายสุนีย์เปลี่ยนเรื่องถามกำหนดการกลับไปศึกษาต่อของลูกสาว
“เอมอยู่ประมาณหนึ่งเดือนค่ะ เอมต้องกลับไปร่วมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่เดือนหน้าค่ะ”
หญิงสาวตอบอย่างฉะฉาน
“ลูกสาวแม่เก่งจริงๆเลย ถ้าแม่จัดการงานทางนี้เรียบร้อยแล้ว แม่จะบินตามไปเยี่ยมเอมนะลูก”
“เอมจัดการทุกอย่างได้อยู่แล้ว สบายมากค่ะคุณแม่”
“จ้า แม่คนเก่ง” สายสุนีย์นั่งนิ่งมองหน้าลูกสาวอยู่ชั่วครู่
“อยู่ทางโน้น คุณพ่อเค้ามาเยี่ยมเอมบ้างหรือเปล่า” เอ่ยถามถึงอดีตสามีชาวจีนที่หย่าร้างกันเนิ่นนานแล้ว เอมมาลินได้แต่ส่ายหน้าไม่แม้แต่มองหน้ามารดา มือที่จับช้อนอยู่เขี่ยข้าวต้มวนไปมา
“พ่อไม่ได้มาเยี่ยมเอมเลยหรือ นี่ก็สองปีแล้วนะตั้งแต่เอมไปอยู่ที่โน่น”
น้ำเสียงเข้มขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากที่เห็นใบหน้าเรียวสวยของลูกสาวก้มต่ำเล็กน้อย
“คุณพ่อไม่ได้ติดต่อมาก็จริง แต่ให้คุณเลขาหม่ามาเยี่ยมเดือนละครั้งไม่ขาดเลยค่ะ”
หญิงสาวตอบทันควัน พยายามปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ
เจิมจันทร์นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่งฟังบทสนทนาของลูกหลานอยู่สักพัก จึงรีบพูดตัดบท
“พ่อเขาคงงานยุ่ง ตระกูลเขาก็ทำธุรกิจหลายอย่าง อีกเดี๋ยวมีเวลาก็คงจะไปหาหนูเอมเองนั่นล่ะ” คำปลอบใจของคุณยายมิได้ช่วยคลายความเศร้าระคนน้อยใจของหลานสาวสุดที่รักได้ รอยยิ้มเจื่อนๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว “เอมเข้าใจค่ะ”
อันที่จริง สายสุนีย์มิได้ชอบใจนักที่ลูกสาวขอไปเรียนต่อที่ประเทศจีน แต่ด้วยเห็นว่าลูกสาวของเธอมีความตั้งใจร่ำเรียนภาษาจีนมาตั้งแต่ชั้นประถม ผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวมีความหวังลึกๆ ว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอพ่อบังเกิดเกล้า แต่นี่สองปีแล้วที่เอมมาลินศึกษาอยู่ที่เมืองจีน แต่ไม่เคยพบหน้าผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง...
สิ่งที่ถางเล่อถงทำเพื่อลูกสาวคือจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับโรงเรียนจนกว่าเอมมาลินจะจบการศึกษา และจ่ายค่าเช่ารายปีคอนโดย่านกลางใจเมืองให้ลูกสาวอยู่ การดำเนินการทุกอย่างล้วนผ่านทางเลขาคนสนิททั้งสิ้น
ถึงกระนั้น ผู้เป็นแม่ไม่เคยคิดที่จะรับความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายจากอดีตสามีเลยสักนิด ถึงแม้จะปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เป็นผล
เอมมาลินมักพูดถึงเลขาหม่าให้แม่กับยายฟังอยู่เสมอ แม้สายสุนีย์จะไม่เคยพบหน้าบุคคลผู้นี้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้สายสุนีย์เบาใจได้ไปเปราะหนึ่งที่มีคนคอยให้ความช่วยเหลือลูกสาวในยามที่ต้องอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
สายสุนีย์มองเห็นสีหน้าจ๋อยๆ นึกสงสารลูกสาวจึงหยุดตั้งคำถาม เปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นอย่างอื่น
“เออจริงสิ เอมเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวโรงงานทอผ้า วันนี้ไปกับแม่ไหมลูก แต่ห้ามวิ่งเล่นจนข้าวของเสียหายนะ วันนี้แม่มีลูกค้าสำคัญ” น้ำเสียงปรามราวกับลูกสาวเป็นเด็กตัวน้อย
เอมมาลินเหลือบตามองพยักหน้ารับยิ้มตาวาว
“งั้นเอมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ คุณแม่รอเอมแป๊ปเดียว”
เสียงวิ่งขึ้นบันไดดัง ตึกๆๆ จนคนที่ยังนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารพากันส่ายหน้านิดๆ อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ