ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ใครคือเหม่ยหลินตัวจริง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นางกำนัลอู๋จูผิงเดินถือตะกร้าผ้ามาถึงหน้าห้องของเหม่ยหลิน มือเล็กผลักประตูเข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตด้วยรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้หญิงสาวทุกนางต่างอยู่ที่ลานพิธี จูผิงเดินตรงไปที่มุมห้องหวังจะเก็บเสื้อผ้าไปซัก หญิงรับใช้แปลกใจเมื่อได้เห็นชุดสวยสำหรับใส่ในงานพิธียังคงแขวนอยู่ในห้อง จำได้ว่าเมื่อคืนจูผิงเป็นผู้ถือชุดสวยทั้งสองฝากไว้กับเสี่ยวถิงซึ่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียวในระหว่างที่เหม่ยหลินอาบน้ำอยู่

จูผิงไม่แน่ใจว่าชุดที่แขวนอยู่นี้เป็นของใคร นางเดินตรงไปที่ฉากไม้กั้นระหว่างสองเตียงนอน กลับได้พบร่างของเหม่ยหลินนอนหลับสนิทบนเตียงนอนฝั่งขวาไม่มีทีท่าจะตื่น

“อะไรกัน! ทำไมแม่นางเหม่ยหลินยังนอนอยู่เช่นนี้ แม่นาง...แม่นางตื่นเจ้าค่ะ” จูผิงพยายามปลุกเหม่ยหลินเพราะเห็นว่าหญิงสาวนอนนานผิดสังเกต

 “หือ...เช้าแล้วหรือ” เสียงงัวเงียเบาๆ ของคนเพิ่งตื่น ดวงตาที่หนักอึ้งขณะนี้ทำให้หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นได้อย่างยากเย็น

“แม่นางเหม่ยหลินไม่สบายหรือเจ้าคะ” จูผิงลองใช้มืออังที่ศีรษะของเหม่ยหลิน แต่ดูแล้วก็ปกติดี

“ข้า...ไม่รู้สิ แล้วนี่กี่โมงแล้ว” ความรู้สึกเหมือนยังตื่นไม่เต็มตาของเหม่ยหลินทำให้พูดออกไปแบบงงๆ

“กี่โมง? กี่โมงคืออะไรเจ้าคะ! เวลานี้แม่นางควรอยู่ที่ลานพิธีตามกำหนด ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”

“พิธีอะไรนะ...ตายแล้ว!! พิธีอำลาของหญิงบรรณาการ!” เหม่ยหลินตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ รีบลุกขึ้นจากที่นอนแต่ร่างกายยังโซเซอยู่เล็กน้อยจนจูผิงต้องเข้าพยุงไว้

“จูผิง ข้าต้องไปที่ลานพิธีให้เร็วที่สุด”

 “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยแต่งตัวให้เองเจ้าค่ะ”

เป็นเพราะจูผิงกุลีกุจอจัดเตรียมชุดและเครื่องประดับที่วางไว้บนโต๊ะเล็กๆ มุมห้อง ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างของหญิงสาวในชุดจีนยาวกรุยกรายจึงดูสวยงามกว่าทุกวัน เครื่องประทินโฉมที่เหม่ยหลินไม่คุ้นตาวางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่เกินความสามารถที่หญิงสาวจะใช้งานสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี สไตล์การแต่งหน้าของเหม่ยหลินเน้นความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าความนิยมของสาวยุคนี้ที่แต่งหน้าสีจัดจ้านมากไป

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ แม่นางงดงามมากจริงๆ รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”

“แต่ข้าไม่รู้จักสถานที่ ไปไม่ถูกน่ะสิ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพาไปเอง…แต่เอ๊ะ ป้ายประจำตัวของแม่นางอยู่ไหนเจ้าคะ”

เหม่ยหลินจำได้ไว้วางไว้ที่หัวเตียงจึงหันไปควานหาจนเจอ เมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วทำหน้าเจื่อนจนจูผิงเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“ทำไมเป็นป้ายชื่อเสี่ยวถิง เมื่อคืนข้าหยิบดูแล้วเป็นชื่อข้าแน่ๆ หรือว่าเสี่ยวถิงหยิบป้ายสลับไป”

“พกป้ายของแม่นางเสี่ยวถิงไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีป้ายประจำตัวแม่นางจะเข้าสู่ลานพิธีไม่ได้”

หญิงสาวจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของจูผิงไปก่อน ไม่มีเวลาคิดอะไรมากกว่าต้องไปให้ทันก่อนพิธีจะเสร็จสิ้น

ความโกลาหลในห้องขณะนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น หากเมื่อคืนนี้เหม่ยหลินไม่ได้ดื่มชาที่เสี่ยวถิงนำมาให้!

 

ในฝั่งของลานพิธี ทุกคนต่างเพลิดเพลินกับกระบวนท่าร่ายรำของเหล่าหญิงงามสอดประสานกับเสียงเพลงบรรเลง พระชายาฟางซินยิ้มอย่างพอใจที่การแสดงต่อหน้าที่ประทับของอ๋องแห่งแคว้นตงเยว่เป็นไปด้วยดีไม่มีขาดตกบกพร่อง

หลังจากที่การแสดงชุดสุดท้ายจบลง เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วลานพิธีอันกว้างขวาง ท่านอ๋องผู้เปรียบเสมือนประธานในพิธีลุกขึ้นกล่าวชื่นชมพร้อมยกจอกเหล้าเชิญชวนให้ทุกคนในงานดื่มพร้อมกัน

หลังจากวางจอกเหล้าก็หันไปพูดกับพระชายาฟางซินที่นั่งเคียงข้างองค์ชายรองและเอ่ยปากชมเชยในความสามารถของหญิงงามทุกนาง

“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้พระชายาดูแลพวกนาง การแสดงทุกชุดก็ช่างงดงามยิ่งนัก บรรณาการนี้ต้องเป็นที่พอใจของแคว้นม่งอู๋อย่างแน่นอน ไม่เสียแรงที่ข้ายกสิทธิ์ขาดหน้าที่คัดเลือกหญิงงามให้”

“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันทำเพื่อแคว้นตงเยว่ของเราเพคะ”

“จริงอย่างที่เสด็จพ่อตรัสพ่ะย่ะค่ะ การที่พระชายาคัดเลือกหญิงงามได้ทุกที่ในแคว้นตงเยว่ ก็เพราะสิทธิ์ขาดที่เสด็จพ่อมอบให้ หญิงงามทุกคนต้องเชื่อฟังไม่ยกเว้นแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองพูดสมทบขึ้นบ้างหากแต่ในขณะพูดนั้นชายตามองไปยังแม่ทัพหวางชุนเทียน

แม่ทัพหวางยังคงทำหน้านิ่งไม่ใส่ใจในคำพูดกระทบกระเทียบนั้นเพราะมั่นใจในสิ่งที่ท่านอ๋องเคยรับปากไว้

ท่านอ๋องใช้มือลูบหนวดเครายาวสีดอกเลาไปมา คิดถึงคำขอร้องของแม่ทัพหวางขึ้นมาได้

“ข้าได้ยินว่าพระชายารับหญิงงามจากหมู่บ้านหนิงอันมาหนึ่งนางใช่หรือไม่”

“ใช่เพคะ นางก็จะร่วมเดินทางในฐานะสตรีบรรณาการเช่นกันเพคะ” พระชายาตอบกลับสีหน้าปกติ

ท่านอ๋องพยักหน้าให้ขันทีหยิบม้วนภาพแล้วเปิดออกช้าๆ หันไปทางที่ประทับขององค์ชายรองและพระชายาแล้วทรงตรัส “ข้ารู้มาว่าแม่นางในภาพคือหญิงผู้นั้น วันนี้ข้าจึงขอให้พระชายาละเว้นนางไม่ต้องส่งตัวไปแคว้นม่งอู๋ตามคำขอร้องจากแม่ทัพหวางชุนเทียน”

ทั้งพระชายาและองค์ชายรองเพิ่งได้เห็นภาพวาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าภาพนี้ซุนนถงฉีเป็นผู้วาดขึ้น

“ข้าพูดถูกหรือไม่แม่ทัพหวาง”

“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ นางคือลูกสาวบุญธรรมของท่านหมอหลิวซูเหยียนผู้มีพระคุณของข้า จึงขอความกรุณาจากพระชายาฟางซินให้ละเว้นนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หวางชุนเทียนเงยหน้ามองที่ประทับเบื้องบนหวังว่าพระชายาจะตอบรับคำขอ

จากที่ได้พบเหม่ยหลินวันนั้น หวางชุนเทียนจึงได้รับรู้ตามคำบอกเล่าในเหตุการณ์ก่อนที่นางจะถูกนำตัวออกจากหมู่บ้าน ทั้งที่หมอหลิวซูเหยียนเอ่ยปากรับนางเป็นลูกบุญธรรมแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทัดทานพระประสงค์ของพระชายาที่บังคับให้เหม่ยหลินเป็นเครื่องบรรณาการอย่างไม่เต็มใจครั้งนี้

“หากเป็นคำขอร้องจากเสด็จพ่อ ลูกจะทำตามพระบัญชาเพคะ” พระชายาฟางซินรับปากโดยง่ายดายเสียจนแม่ทัพหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ ชายหนุ่มได้แต่มองดูท่าทีที่ผิดปกตินี้อย่างเงียบๆ

“ดี...เรียกนางออกมา” ท่านอ๋องหันไปทางขันทีให้เรียกหาหญิงที่กล่าวถึง

“หญิงที่มาจากหมู่บ้านหนิงอัน ให้ออกมารับพระบัญชาเดี๋ยวนี้!” เสียงกู่ร้องของขันทีดังก้องลานพิธี

หญิงสาวที่ก้าวออกมาจากแถวด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ นางสวมชุดสวยสีหวานแลดูอ่อนโยน ที่เอวห้อยป้ายประจำตัวหากแต่มองจากระยะไกลไม่อาจเห็นชื่อบนป้ายได้อย่างชัดเจน

แม่ทัพหวางทำสีหน้าประหลาดใจ ‘นางไม่ใช่เหม่ยหลิน!’

“เจ้าคือหญิงสาวในภาพงั้นรึ” เจ้าผู้ครองแคว้นเอ่ยถามอย่างสนใจ

“ใช่เพคะ” หญิงสาวผู้ตอบรับคือเสี่ยวถิงที่ปลอมตัวเป็นเหม่ยหลิน นางสลับตราประจำตัวตอนที่เหม่ยหลินหลับสนิท ซึ่งแน่นอนว่าคือแผนการวางยานอนหลับในน้ำชาให้เหม่ยหลิน หากไม่มีใครปลุกก็จะหลับนานไปอีกหลายชั่วยามเลยทีเดียว ถึงเวลานั้นทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”

“ฝ่าบาท! กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล...” หวางชุนเทียนทนไม่ไหว รีบก้าวออกมาเพื่อต้องการบอกว่านางผู้นี้ไม่ใช่เหม่ยหลิน แต่ยังไม่ทันได้กล่าวประโยคต่อไปก็มีเสียงของทหารเฝ้าประตูดังขึ้น

“สตรีบรรณาการขอเข้าสู่ลานพิธี!!”

ยังมีหญิงคนใดที่ยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีนี้อีกเล่า....สิ้นเสียงกู่ร้องของทหารเฝ้าประตูทุกคนที่อยู่ในลานพิธีต่างหันไปมองกันตาเดียวรวมถึงหวางชุนเทียนด้วยเช่นกัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าแทบจะไม่กะพริบ ชั่วอึดใจเหม่ยลินก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเธอสามารถเข้าสู่ลานพิธีด้วยการแสดงป้ายประจำตัวในชื่อของผู้อื่นนั่นคือเสี่ยวถิง

เหม่ยหลินมองสถานที่โดยรอบอันตระการตา ผู้คนในชุดเป็นทางการทั้งนั่งและยืนตามตำแหน่งต่างๆ ไหนจะกลุ่มหญิงสาวที่ยืนเรียงเป็นระเบียบราวกับเวทีนางงาม หญิงสาวเกิดความรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ทั้งที่ถึงเวลาที่เธอต้องเดินไปตามทางพื้นปูลาดด้วยหินขัดมันเงางาม แต่ดูเหมือนขาของเธอเกิดแข็งขึ้นมาดื้อๆ

หญิงสาวเห็นชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าของบุรุษผู้นั่งบัลลังก์มังกรก็จำได้ว่าคือแม่ทัพหวางชุนเทียนที่พยักหน้าเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เหม่ยหลินก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ขาทั้งสองข้างจึงเริ่มก้าวเดินอย่างมั่นใจมากขึ้น หญิงผู้มาใหม่เครื่องหน้าสวยงามโดดเด่นเดินเยื้องย่างเข้ามาในชุดที่พระชายาและนางกำนัลซูปี้ส่งไปให้ตั้งแต่เมื่อคืนหวังเพียงแค่ให้นางตายใจ ไม่คิดว่านางจะได้ใส่มันจริงๆ ...

ร่างงามระหงเดินมาหยุดเคียงข้างเสี่ยวถิงที่ยืนอย่างสงบเสงี่ยม สายตาของเธอมองไปเห็นป้ายประจำตัวในชื่อตัวเองห้อยอยู่ที่เอวของเสี่ยวถิงทำให้เริ่มรู้สึกเอะใจสงสัยอะไรบางอย่าง...

พระชายาฟางซินหันไปมองหน้าซูปี้ที่ยืนอยู่เยื้องไปด้านหลัง สายตาตำหนินั้นทำให้นางกำนัลอาวุโสถึงกับทำหน้าเจื่อน พอหันกลับมาเหลือบเห็นพระสวามีจ้องมองหญิงสาวผู้เข้ามาใหม่ตาไม่กะพริบ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปอีก

“ถวายบังคมฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเสียงเรียกหญิงที่มาจากหมู่บ้านหนิงอัน จึงบังอาจเข้าร่วมงานกลางคันเพคะ” คำพูดของเหม่ยหลินที่กราบทูลต่อฝ่าบาททำให้เสี่ยวถิงหันไปมองหน้าอย่างไม่พอใจ

“หือ...เจ้าก็มาจากหมู่บ้านหนิงอันเหมือนกันรึ” ท่านอ๋องถามหญิงผู้มาใหม่

“ใช่เพคะ หม่อมฉันนามว่าเหม่ยหลินมาจากหมู่บ้านหนิงอันเพคะ”

“แล้วเจ้าล่ะ...”

“หม่อมฉัน...หม่อมฉันนามว่าเหม่ยหลินเพคะ” เสี่ยวถิงจำเป็นต้องตอบไปตามแผนการเดิม

ท่านอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสงสัยว่าเหตุใดจึงมีหญิงสองนางที่มาจากหมู่บ้านหนิงอันเหมือนกันแล้วยังชื่อเดียวกันอีก คนไหนที่แม่ทัพหวางขอให้ละเว้นกันแน่ พลางหันไปถามพระชายาฟางซิน

“เสด็จพ่อเพคะ หญิงบรรณาการมีอยู่หลายสิบนาง หม่อมฉันไม่อาจจำชื่อได้ทุกคนเพคะ หากต้องการทราบต้องดูจากป้ายประจำตัวที่สลักชื่อแต่ละคนไว้เพคะ” อธิบายจบแล้วหันไปหานางกำนัลคนสนิท

“ซูปี้ ไปเอาป้ายของนางทั้งสองมาให้ท่านอ๋อง”

“เพคะ” รับคำสั่งจากพระชายาก็เดินลงมารับป้ายโดยให้คนในลานพิธีเป็นเหมือนดั่งพยาน แน่นอนว่าป้ายประจำตัวทั้งสองนั้นมีชื่อเหม่ยหลินเพียงป้ายเดียว ส่วนอีกป้ายคือชื่อเสี่ยวถิง

“แม่ทัพหวาง แล้วหญิงที่เจ้าขอให้ละเว้นชื่ออะไรรึ” ท่านอ๋องหันไปถามแม่ทัพอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ

“ชื่อเหม่ยหลินพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อตอบตามความจริง

“ดูจากป้ายประจำตัวก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจบเรื่องได้แล้วเพคะ” พระชายาจึงพูดรวบรัดว่าหญิงผู้ยืนอยู่ก่อนคือเหม่ยหลิน ให้แม่ทัพหวางรีบรับนางไปเสีย นอกจากนี้ยังทูลขอให้ท่านอ๋องไม่เอาเรื่องหญิงสาวอีกหนึ่งนางที่ใช้ชื่อคนอื่นเป็นชื่อของตนเอง นางจะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้เป็นการภายในเอง

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าต้องมีการเข้าใจผิด แม่นางเหม่ยหลินที่เป็นลูกบุญธรรมของท่านหมอหลิวไม่น่าจะใช่นางพ่ะย่ะค่ะ” เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ท่านอ๋องงงหนักขึ้นไปอีก

“ถ้าเช่นนั้น” พระชายาฟางซินได้ทีรีบหันไปพูดกับเหม่ยหลินตัวปลอม “เจ้ามีสิ่งใดแสดงว่าเป็นลูกบุญธรรมของท่านหมอหลิวหรือไม่ แสดงให้ท่านแม่ทัพดูทีเถิด”

“หม่อมฉันมีตราหยกที่พ่อบุญธรรมได้รับมาจากท่านแม่ทัพหวางชุนเทียนเพคะ” เสี่ยวถิงหยิบป้ายหยกที่เหน็บอยู่ในผ้าคาดเอวออกมาอย่างหน้าตาเฉย เหม่ยหลินหันไปเห็นป้ายหยกที่หายไปทำให้รู้ชัดแล้วว่าที่แท้ขโมยชายหญิงคู่นั้นเป็นคนของเสี่ยวถิง!

“แสดงว่าท่านแม่ทัพคงจะสับสนไปบ้าง ก็เห็นอยู่ว่าเหม่ยหลินคือคนไหน ทั้งป้ายประจำตัวและป้ายหยกล้วนเป็นสิ่งที่ยืนยันแน่ชัดแล้วมิใช่รึ” องค์ชายรองที่นั่งเงียบมาสักพักได้ที พูดขัดขึ้นในเชิงเข้าข้างพระชายาของตนเอง

แม่ทัพหวางรู้สึกว่านี่คือแผนการสลับตัวเหม่ยหลินอย่างแน่นอน ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ทูลขอเวลาในการพิสูจน์ ท่านอ๋องทรงอนุญาตด้วยอยากรู้เช่นกันว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร

“ข้าขอถามเจ้า หญิงนามว่าเหม่ยหลินที่หมู่บ้านหนิงอันมีเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่”

“ไม่มีใครอื่นในหมู่บ้านที่ชื่อเหม่ยหลินนอกจากข้าเท่านั้น” เสี่ยวถิงพูดปดอย่างต่อเนื่อง

เหม่ยหลินตัวจริงหันหน้าไปมองรูมเมทสาวตัวแสบ เธอทำได้แค่พูดลอดไรฟันออกมาเบาๆ “นี่เจ้า!...”

“เจ้ามั่นใจว่าหญิงในภาพคือเจ้าด้วยสินะ” แม่ทัพหวางชุนเทียนถามต่อโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

“แน่นอนเจ้าค่ะ” แม่ทัพหนุ่มมองไปที่พระชายาและองค์ชายรองหลังจากได้ฟังคำตอบที่มั่นใจของหญิงผู้นี้ สายตาแสดงออกเพื่อให้รู้ว่าเขายังไม่หมดหนทาง...แล้วจึงหันไปทูลท่านอ๋องประทานอนุญาตเรียกซุนถงฉีจิตรกรผู้วาดภาพนี้เข้ามายืนยันตัวตนที่แท้จริงของเหม่ยหลิน

“ได้! ไปเรียกจิตรกรซุนถงฉีมาเดี๋ยวนี้”

ขันทีรับคำสั่งท่านอ๋องวิ่งออกจากลานพิธี มุ่งหน้าไปที่เรือนของซุนถงฉีโดยทันที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา