ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ก่อนถึงวันงานพิธี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเหม่ยหลินหันหลังกลับมามองบุรุษผู้ช่วยดึงเธอออกจากกองไม้อันตรายที่กำลังจะหล่นลงมาทับ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีเรือนร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างผึ่งผายรับกับความคมลึกของดวงหน้า การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีบ่งบอกว่าเป็นผู้มีฐานะ ใบหน้าของชายผู้นี้ดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่ดูเหมือนฝั่งชายหนุ่มก็ชะงักไปเช่นกันที่ได้เห็นหน้าหญิงสาวชัดๆ เขาจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวตาไม่กะพริบ ด้วยไม่คิดว่าหญิงสาวที่เขาติดตามเมื่อหลายวันก่อน บัดนี้มายืนอยู่ตรงหน้าด้วยเหตุบังเอิญ
“แม่นางคือเหม่ยหลินใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย ความคิดที่จะวิ่งตามขโมยผู้คว้าตราหยกสำคัญไปนั้นหยุดลงชั่วครู่
“เราเคยพบกันหรือ” น้ำเสียงประหลาดใจหลังจากได้ยินเขาเรียกชื่อเธอได้ไม่ผิดเพี้ยน ทั้งที่วันนี้เพิ่งมีโอกาสออกจากเรือนที่พักของตำหนักเฟิ่งหวงจึงยังไม่รู้จักผู้ใดในเมืองหลวง
“จำข้าไม่ได้หรือ เราเคยพบกันที่หมู่บ้านหนิงอัน”
ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อยู่ๆก็นึกถึงใบหน้าของชายผู้บาดเจ็บสาหัสที่เธอพบเป็นครั้งแรกในความฝันกึ่งจริงครั้งนั้นได้
เหม่ยหลินพยายามนึกอยู่ชั่วครู่ แล้วก็อุทานออกมา “ใต้ต้นกุ้ย...หรือว่าท่านคือแม่ทัพหวางชุนเทียน!”
ชายที่ยืนเผชิญหน้ากับเธอในขณะนี้คือแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้ที่หมอหลิวไว้เนื้อเชื่อใจอย่างนั้นหรือ เมืองหลวงที่ทั้งกว้างใหญ่และผู้คนมากมายยังเผอิญได้พบกับคนที่เธอต้องการขอความช่วยเหลือมากที่สุด
ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดยิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
“อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนั้นข้าคิดว่าท่านจะตายเสียแล้ว”
“เจ้าพูดภาษาข้าได้ เหตุใดพบกันครั้งนั้นจึงพูดไม่รู้เรื่องเล่า” หวางชุนเทียนออกปากทัก หลังจากได้ยินคำพูดหลายประโยคจากปากหญิงสาว เขาจำได้ดีว่าเจอกันครั้งแรกนางพูดภาษาอื่น เหม่ยหลินไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับยิ้มอย่างดีใจ เพราะแน่ใจแล้วว่าคือแม่ทัพหวางชุนเทียนที่เธอรอคอย
“ท่านแม่ทัพจริงๆด้วย ท่านหมอหลิวบอกว่าท่านจะช่วยข้าไม่ให้ต้องเป็นเครื่องบรรณาการใช่มั้ยเจ้าคะ”
“พบเจ้าครั้งนี้ก็ดีแล้ว ข้าจะได้แจ้งข่าวแก่เจ้า....” ชายหนุ่มยังไม่ทันจะพูดรายละเอียด ก็มีเสียงแหลมใสของหญิงสาวตะโกนตามหาเหม่ยหลินดังแว่วมาเสียก่อน
“เหม่ยหลิน! เจ้าอยู่ไหน...เหม่ยหลิน”
“เอ๊ะ เสี่ยวถิงเรียกหาข้าแล้ว” พอจะขยับตัวเดินหน้าไปยังทิศทางของเสียงเรียกนั้น
“อย่าเพิ่งไป ข้ายังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญ” หวางชุนเทียนหวังที่จะยื้อเวลาของนางเอาไว้อีกเล็กน้อยจึงฉวยคว้ามือของหญิงสาวไว้ เขาแทบไม่ต้องออกแรงดึงร่างบางก็ปลิวชิดกำแพงฝั่งที่ยากต่อการมองเห็นเพื่อหลบสายตาของผู้ที่กำลังตามหา
เหม่ยหลินได้แต่ยืนงงหน้าแดง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกเขินด้วย พบกันที่หมู่บ้านหนิงอันครั้งก่อนเขาอ่อนแรงจากอาการบาดเจ็บสาหัสเลือดท่วมตัวจนไม่อาจยกแขนทั้งสองข้างได้ด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้มือหนาของเขายังเกาะกุมมือหญิงสาวไว้แน่น ไม่มีทีท่าจะปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ
เจ้าของมือหนาลอบมองจากมุมกำแพงเพื่อให้แน่ใจว่าเสี่ยวถิงเดินเลยไปจนพ้นสายตาแล้ว ใบหน้าคมหันกลับมาเพื่อจะพูดสิ่งที่ค้างไว้ พอรู้ตัวว่าเสียมรรยาทที่จับมือหญิงสาวโดยพลการจึงรีบปล่อยมือ
“เอ่อ...ข้ารีบไปหน่อย ขอโทษเจ้าด้วย”
“ไม่...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แล้วเรื่องที่ท่านจะพูดคืออะไร หรือว่าท่านจะพาข้าหนีกลับไปหมู่บ้านหนิงอัน”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ตอนนี้เจ้าเปรียบเสมือนเป็นคนของพระชายาฟานซิน หากต้องการเป็นอิสระมีหนทางเดียวคือทูลขอต่อท่านอ๋อง เช่นนั้นแล้วจะไม่มีใครทัดทานได้”
“แล้ว...ท่านอ๋องจะประทานอนุญาตจริงหรือเจ้าคะ”
“ท่าอ๋องรับปากกับข้าแล้วจะทรงตรัสละเว้นเจ้าในวันพิธีอำลาของเหล่าสตรีบรรณาการ”
ใบหน้ายิ้มด้วยความดีใจของเหม่ยหลิน ทำให้แม่ทัพหนุ่มอดยิ้มตามไม่ได้
“อันที่จริงข้าก็มีเรื่องสำคัญอยากจะพูดเหมือนกัน คือว่าตราหยกของท่านแม่ทัพถูกชายผู้นั้นขโมยไปแล้ว ข้าขอโทษที่รักษาตราหยกของท่านไว้ไม่ได้”
หวางชุนเทียนพอเข้าใจแล้วที่เหม่ยหลินวิ่งตามหัวขโมยอย่างไม่ลดละจนตัวเองเกือบถูกกองไม้ทับ เพียงเพราะต้องการตราหยกคืนนี่เอง สีหน้าของชายหนุ่มขรึมลง
“คราวหลังอย่าวิ่งตามใครจนไม่ระวังตัวเองเช่นนี้อีก! กองไม้หนักๆเหล่านี้ทับเจ้าตายได้เชียวนะ” เขาเอ็ดหญิงสาวจนเธอสะดุ้งเล็กน้อย เหม่ยหลินห่อปากด้วยความขัดเคืองใจไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง
‘ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเกิดอันตรายขนาดนี้ อุตสาห์พยายามรักษาของๆตัวเองไว้ให้อย่างดีแท้ๆ ยังจะมาดุใส่เราอีกแน่ะ’ ทำได้แค่บ่นในใจเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่าต้องพึ่งพาเขา เธอคงจะเถียงกลับคอเป็นเอ็นไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็รู้สึกโล่งใจที่เจ้าของตราหยกไม่เอาเรื่อง
ค่ำคืนนี้สตรีบรรณาการทุกคนต่างเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับงานพิธีอำลาในวันรุ่งขึ้น
“ต้องการกลีบดอกกุ้ยฮวาเพิ่มอีกหรือไม่เจ้าคะ” เสียงใสของนางกำนัลรับใช้สาวรุ่นนำดอกกุ้ยฮวาโรยลงในอ่างอาบน้ำ นางรับคำสั่งจากนางกำนัลซูปี้ให้มาดูแลเหม่ยหลินและเสี่ยวถิง
เมื่อถามว่าต้องการกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดใด ‘ดอกกุ้ยฮวา’ คือคำตอบเดียวที่เหม่ยหลินต้องการ
“เท่านี้ก็พอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก เอ...เจ้าชื่ออะไรรึ”
เหม่ยหลินมักจะถามชื่อใครก็ตามที่ช่วยเหลือเธอและพูดไปยิ้มไปตามนิสัยคนที่บ้านเกิด
“ข้าชื่ออู๋จูผิงเจ้าค่ะ หากแม่นางต้องการสิ่งใดเพิ่มให้เรียกข้าได้เลยนะเจ้าคะ” หญิงรับใช้ได้เห็นรอยยิ้มของเหม่ยหลินแล้วก็ฉีกยิ้มอย่างจริงใจ จูผิงรู้สึกว่าหญิงสาวงดงามผู้นี้ช่างน่าอยู่ใกล้ยิ่งนัก ลักษณะท่าทางดูไม่เย่อหยิ่งเหมือนเช่นสตรีบรรณาการผู้อื่นที่ตั้งความหวังมากเหลือเกินว่าจะได้มีโชควาสนาเป็นหญิงสูงศักดิ์ในแคว้นต่างถิ่น เมื่อจูผิงดูแลความเรียบร้อยในห้องอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยๆถอยออกมา
ร่างขาวนวลของเหม่ยหลินค่อยๆก้าวลงสู่อ่างไม้ ดอกกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่เต็มอ่างส่งกลิ่นหอมชื่นใจจนเธอใช้เวลาแช่น้ำนานเป็นพิเศษ เสียงฮัมเพลงเบาๆ ของหญิงสาวดังแว่วมาจากบริเวณฉากไม้กั้นบังสายตา ป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกคลายกังวลมากที่สุดนับตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาอยู่ในตำหนักเฟิ่งหวงแห่งนี้ อาจเป็นเพราะแม่ทัพหวางชุนเทียนรับปากว่าจะช่วยเหลือเธอให้กลับหมู่บ้านหนิงอัน หญิงสาวอดดีใจไม่ได้เพราะพรุ่งนี้จะเป็นอิสระเสียที แต่อยู่ๆ หญิงสาวกลับนึกถึงหน้าตาดุๆของแม่ทัพที่เอ็ดใส่เธอวันนั้นขึ้นมาเฉยๆ
‘อีตาแม่ทัพหวางอะไรนี่ เพิ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้งทำเป็นเก๊กหน้าเข้มดุใส่เราซะงั้น น่าโมโหจริงๆเลย!’
เธอใช้มือตีน้ำกระจายด้วยอารมณ์ที่ขัดเคือง สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
“เหม่ยหลิน เจ้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง” เสียงเสี่ยวถิงเดินมาตามเธอถึงห้องอาบน้ำ
“ใกล้เสร็จแล้ว เจ้ามีอะไรหรือเสี่ยวถิง”
“ข้าเห็นว่าเจ้าออกมานานแล้วก็เลยมาตาม”
เมื่อเหม่ยหลินตอบรับว่าอีกประเดี๋ยวก็อาบน้ำเสร็จแล้ว เสี่ยวถิงจึงเดินกลับไปรอที่ห้อง
หญิงสาวย่นคิ้วพลางคิดว่าก่อนหน้านี้ดูเสี่ยวถิงจะไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไร แต่ไม่รู้เพราะอะไรพักนี้เสี่ยวถิงมักจะตัวติดกับเธอเกือบตลอดเวลา แถมการแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูจะคล้ายกันกับเธอมากราวกับฝาแฝด เป็นเพราะอะไรกันแน่นะ...
เหม่ยหลินเปิดประตูเข้าห้องก็ได้เห็นเสี่ยวถิงนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลางห้อง หญิงสาวมองเห็นขนมบนจานเล็กๆและชุดน้ำชาวางอยู่ตรงหน้าของรูมเมทแสนใจดี
“เจ้าหิวหรือเสี่ยวถิง ทั้งขนมทั้งน้ำชาวางเต็มโต๊ะเลย”
“ของเหล่านี้เป็นของที่พระชายาทรงเมตตาประทานมาให้พวกเราต่างหาก”
“คนอื่นๆก็ได้รับเช่นกันรึ”
เสี่ยวถิงพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่พับอยู่ “ไม่ใช่แค่นี้นะ เสื้อผ้าแพรพรรณสวยงามนี้ก็สำหรับใส่วันพรุ่งนี้เช่นกัน” เหม่ยหลินรับชุดมาทาบตัวรู้สึกพอใจกับชุดสวยที่ได้รับ เหลือบไปเห็นป้ายประจำตัวที่วางคู่กันด้วยจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อ่อ...นั้นคือป้ายประจำตัวสำหรับสตรีบรรณาการทุกนางพกติดตัวอย่างไรเล่า”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะนำติดตัวไว้” เหม่ยหลินเห็นป้ายไม้สลักชื่อของเธอก็ไม่ได้แปลกใจอะไร คงเปรียบได้กับบัตรประจำตัวที่ต้องพกติดตัวไว้เหมือนบัตรนักศึกษาหรือบัตรพนักงานล่ะมั้ง
“วางชุดไว้ก่อนเถิด รีบมากินขนมกัน ดูสิน่าอร่อยทั้งนั้น” น้ำเสียงนุ่มนวลของเสี่ยวถิงทำให้เหม่ยหลินตายใจตามมานั่งกินขนมและดื่มน้ำชาด้วย พลางคิดถึงวันพรุ่งนี้ ความจริงก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นพิธีอำลาอะไรนั่น สาวงามแต่งตัวสวยงามร่วมแสดงการร่ายรำต่อหน้าท่านอ๋องคงจะงดงามตระการตามากทีเดียว
เมื่อถึงเวลาเช้าอันสดใส บรรดาหญิงสาวในชุดกรุยกรายจับกลุ่มกันอยู่ที่ลานกว้างกลางตำหนักเฟิ่งหวงซึ่งเป็นที่นัดหมายให้มารวมตัวกันก่อนที่จะเดินไปสู่ลานพิธี ทุกนางพอใจกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับสวยงามที่พระชายาประธานให้
นางกำนัลซูปี้คนสนิทของพระชายาเดินเข้ามา หญิงสาวทุกนางหยุดโค้งคำนับและต่างแยกย้ายยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบตามที่ได้รับการสั่งสอน
“พวกเจ้าพร้อมกันแล้วหรือยัง”
“พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงของสาวงามหลายสิบนางดังก้อง
ซูปี้หันไปสั่งนางกำนัลรับใช้ให้พาทุกนางเดินไปยังลานพิธีก่อน จนทุกคนก้าวเท้าพ้นประตูใหญ่ไปหมดแล้ว นางกำนัลรุ่นใหญ่รีบเดินกลับมาเรียกคนที่หลบอยู่ให้ออกจากที่พรางตัว
“เสี่ยวถิงเป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่”
หญิงที่ถูกเรียกชื่อพยักหน้าอย่างรู้กันพร้อมหยิบตราหยกและตราประจำตัวขึ้นมาให้ซูปี้ตรวจสอบ ซูปี้ยิ้มกว้างพอใจในผลงานของหญิงสาวผู้นี้ เสร็จแล้วจึงเร่งให้เสี่ยวถิงเดินไปรวมตัวกับขบวนที่เคลื่อนไปสักพัก
ด้านหน้าท้องพระโรงบริเวณลานพิธีอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ ถูกจัดตกแต่งด้วยบุปผางามโดยรอบเพื่อให้เข้ากับพิธีอำลาของสาวงามในวันนี้ พื้นที่ที่สูงที่สุดคือตำแหน่งของบังลังก์มังกรอันสง่างามมีรูปหล่อสำริดของสัตว์มงคลตามความเชื่อตั้งอยู่ต่ำลงมาหนึ่งระดับขั้นบันไดทั้งสองข้าง เบื้องล่างคือเหล่าข้าราชบริพารที่เข้าร่วมพิธีต่างยืนขึ้นถวายความเคารพประมุขของแคว้นตงเยว่ที่เหยียบย่างขึ้นสู่ที่ประทับ ส่วนข้างที่ประทับนั้นคือเหล่าพระญาติของท่านอ๋องที่รอคอยให้ขบวนสาวงามเข้าสู่ลานพิธีด้วยเช่นกัน
หนึ่งในเหล่าข้าราชบริพารมีแม่ทัพหวางชุนเทียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด เขาคาดหวังให้เรื่องราวในวันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ไม่วายมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อยเมื่อเหลือบมองเห็นสีหน้ายิ้มเยาะขององค์ชายรองที่ประทับเคียงข้างพระชายา ทั้งสองประทับอยู่ไม่ห่างจากบังลังก์ของท่านอ๋อง แม่ทัพหนุ่มไม่เข้าใจในท่าทีแปลกๆขององค์ชายรองแต่ก็จำต้องทำเป็นเมินเฉย
“เหล่าสตรีบรรณาการมาถึงแล้ว!” เสียงตะโกนกู่ก้องของทหารหน้าประตูดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ ณ ลานพิธีต่างหันไปมองอย่างสนอกสนใจ
แถวขบวนของสาวงามเคลื่อนตัวมาอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าที่ฉาบด้วยเครื่องประทินผิวและเสื้อผ้าที่สวมใส่ของแต่ละนางช่างชวนให้หลงใหล ทุกนางหยุดอยู่เบื้องหน้าของท่านอ๋องและถวายความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน แม่ทัพหวางชุนเทียนสอดส่ายสายตามองหาเหม่ยหลินที่คาดว่าร่วมขบวนมาด้วย แม้จะเพ่งมองตั้งแต่ต้นขบวนจนถึงท้ายขบวนก็ไม่เห็นหญิงสาวแต่อย่างใด
‘เหม่ยหลิน...เจ้าหายไปไหนนะ’
ทั้งที่นัดแนะกันแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดนางจึงหายไปมิได้ร่วมขบวนมาด้วยเช่นนี้
เกิดอะไรขึ้นกับเหม่ยหลินกันแน่!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ