ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  16.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) พิสูจน์ด้วยเสียงเพลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“จิตรกรหลวงซุนถงฉีมาถึงแล้ว!” เสียงกู่ร้องของทหารหน้าประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนรับทราบการมาของบุคคลสำคัญต่อเหตุการณ์ในลานพิธี ชายวัยกลางคนที่รอบดวงตาถูกพันด้วยผ้าขาวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ข้างกายมีหญิงวัยเดียวกันคอยประคองและจับมือนำพาให้เดินตรงไปตามทางจนถึงเบื้องหน้าของท่านอ๋อง

ไม่ว่าใครได้เห็นจิตรกรหลวงปรากฏตัวในสภาพนี้ต่างก็ประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ

“มองไม่เห็นเช่นนี้แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าใครคือตัวจริง”

“มีเพียงเขาคนเดียวแท้ๆที่จะบอกได้”

"แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ"

หูของจิตรกรหลวงได้ยินเสียงพึมพำของผู้คน คำพูดที่จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างดังมาจากเหล่าข้าราชบริพารและเหล่าหญิงงามที่อยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาที่เฝ้ามองเหตุการณ์ ณ ลานพิธีนี้อย่างไม่วางตา

ซุนถงฉีรู้อยู่แล้วว่าต้องถูกเรียกมาเพื่อพิสูจน์ตัวตนของหญิงในภาพวาด แม้ว่าดวงตาไม่อาจมองเห็นแต่ในเมื่อรับปากท่านแม่ทัพหวางซุนเทียนไว้แล้ว อย่างไรเสียต้องมาปรากฏตัวในฐานะผู้วาดภาพสำคัญนี้ให้ได้

ซุนถงฉีและฮูหยินซุนทำถวายความเคารพท่านอ๋องก่อนที่จะถูกถาม

“จิตรกรซุนถงฉี เจ้าบาดเจ็บที่ดวงตาได้อย่างไร”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสะเพร่าที่ทำหมึกกระเด็นเข้าที่ดวงตาพ่ะย่ะค่ะ หมอรักษาบอกว่าอาการมองไม่เห็นนี้จะหายเป็นปกติในอีกไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ” ซุนถงฉีจำเป็นต้องพูดปด เขาไม่อยากให้ท่านอ๋องสืบสาวสาเหตุที่แท้จริงของอาการบาดเจ็บนี้ เพราะไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใดในเมื่อผู้ที่ไม่ต้องการให้เขามองเห็นอาจเป็นพระชายาฟางซินก็เป็นได้! อาการบาดเจ็บนี้กว่าจะหายดีก็ใช้เวลาร่วมเดือนเลยทีเดียว ดังนั้นหากพูดสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อนอาจมีภัยมาถึงตัวอีกครา เขาจึงไม่ควรเสี่ยง...

ในขณะที่ซุนถงฉีพูดอยู่นี้ สีหน้าของหวางชุนเทียนเริ่มเป็นกังวล เขาไม่รู้มาก่อนว่าซุนถงฉีมีอาการบาดเจ็บที่ดวงตา ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันเพิ่งได้สนทนากันแท้ๆ

ท่านอ๋องเองก็ได้แต่ถอนหายใจ หันไปมองแม่ทัพหวางชุนเทียนที่เป็นผู้เสนอให้พาตัวจิตรกรเจ้าของผลงานมาพิสูจน์หญิงงามในภาพวาดนี้

“แม่ทัพหวาง ท่านเห็นว่าเป็นเช่นไร วันนี้จิตรกรซุนถงฉีไม่สามารถยืนยันคนในภาพได้เสียแล้ว”

“นั่นสิ จะรอให้หายก่อนแล้วค่อยมาพิสูจน์กันภายหลังก็คงไม่ทันกำหนดเดินทางของหญิงบรรณาการ หรือหากจะให้นางทั้งสองอยู่รอจนกว่าซุนถงฉีผู้นี้มองเห็นก่อน เกรงว่าจะมากเรื่องเกินไปหรือไม่” องค์ชายรองรีบพูดดักทาง เพื่อไม่ให้แม่ทัพหวางได้ทันตั้งตัวและไม่อาจคิดเสนอทางออกอะไรได้อีก

พระชายาฟางซินผู้วางแผนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นหันไปลอบยิ้มกับนางกำนัลซูปี้ แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของหญิงทั้งสอง เมื่อแผนการแรกไม่สำเร็จก็ยังมีแผนการต่อไป ซึ่งหมายความว่าจะไม่ยอมให้เหม่ยหลินตกเป็นของผู้ใดในแคว้นนี้นอกจากไล่ให้ไปอยู่แคว้นม่งอู๋ที่ห่างไกลและตกเป็นของผู้อื่นไปเสีย

แม่ทัพหวางขมวดคิ้วสีหน้าขรึมลง เดินตรงไปยังจุดที่ซุนถงฉียืนอยู่

“ท่านซุน ข้าดีใจนักที่ท่านมาร่วมพิสูจน์ในครั้งนี้...แต่ว่า...” หวางชุนเทียนรู้สึกขอบคุณด้วยใจจริง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรองเช่นนี้ ทำให้พูดประโยคต่อไปไม่ออก

“ยังมีวิธีพิสูจน์นอกเหนือจากการมองเห็น โปรดไว้ใจข้า” คำพูดนี้ของซุนถงฉีทำให้หวางชุนเทียนเลิกคิ้วมองอย่างไม่อาจเชื่อได้เต็มที่นัก

 ท่านอ๋องที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ได้ยินซุนถงฉีเอ่ยปากกับแม่ทัพหวางชุนเทียนเช่นนั้นก็ใคร่อยากรู้วิธีที่จิตรกรหลวงกล่าวถึง “ยังมีวิธีใดที่จะพิสูจน์ได้อีกหรือ รีบบอกมาเร็ว”

“พิสูจน์ด้วยเสียงขลุ่ยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมวาดภาพนี้ในขณะที่ฟังเสียงขลุ่ยของแม่นางผู้นั้น กระหม่อมจำเสียงบรรเลงอันไพเราะนั้นได้แม่นยำพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายรองและพระชายาชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจิตรกรหลวงผู้นี้ยังจะสามารถหาหนทางอื่นจนได้

“เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าเรื่องหลังจากนี้ให้หม่อมฉันเป็นผู้จัดการเองดีกว่า อย่าทำให้เสด็จพ่อต้องเสียเวลาเลย” พระชายารีบพูดขัดขึ้นทันที คิดเพียงว่าต้องขัดขวางการพิสูจน์นี้ให้ได้

“ข้าอยากรู้ความจริงวันนี้...ไปนำขลุ่ยมาให้แม่นางทั้งสอง!” สำหรับท่านอ๋องแล้ว ไม่ว่าผลเป็นเช่นไรก็ตาม การพิสูจน์ด้วยเสียงขลุ่ยบรรเลงก็น่าสนใจเช่นกัน

หญิงทั้งสองที่ท่านอ๋องกล่าวถึง ในขณะนี้ต่างทำหน้าแปลกใจ เหม่ยหลินเองที่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับภาพที่กล่าวถึงมาก่อน แต่ตอนนี้พอจะเรียบเรียงเหตุการณ์ได้บ้างแล้วว่าเหตุใดอยู่ๆนางกำนัลซูปี้จึงเดินทางไปถึงหมู่บ้านหนิงอันเพื่อนำตัวเธอมาโดยเฉพาะ เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าการมาของเธอจะสำคัญอะไรหนักหนา

“ก่อนที่จะเริ่ม หม่อมฉันขอดูภาพนั้นใกล้ๆได้ไหมเพคะ”คำขอของเหม่ยหลินย่อมเป็นผล เมื่อทรงอนุญาตให้นางทั้งสองได้พินิจภาพต้นเหตุอย่างละเอียด เหม่ยหลินคิดขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ในภาพคงจะเป็นวันที่เธอนั่งอยู่ใต้ต้นกุ้ยและได้เป่าขลุ่ยที่จินเอ๋อร์มอบให้นั่นเอง เพียงแต่ไม่ทันสังเกตบุคคลที่วาดรูปเธออยู่บริเวณใกล้ๆนั้น

เสี่ยวถิงเหลือบสายตามองพระชายาและนางกำนัลซูปี้ในเชิงขอความช่วยเหลือ การเป่าขลุ่ยนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการตั้งแต่ต้น นางเป็นเพื่อนร่วมห้องกันก็จริงแต่ไม่เคยเห็นเหม่ยหลินหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าสักครั้งเดียว จึงไม่เคยรู้ว่าเหม่ยหลินจะเป่าขลุ่ยได้ ยังดีที่ในช่วงพำนักภายในวังหลวงเสี่ยวถิงได้รับการฝึกฝนการแสดงด้านดนตรีที่นอกเหลือจากการร่ายรำด้วยเช่นกัน นางหวังเพียงว่าเสียงขลุ่ยอันไพเราะของนางจะทำให้จิตรกรหลวงผู้นี้สับสนได้บ้างไม่มากก็น้อย

“หม่อมฉันขอเป็นผู้เริ่มก่อน” เสี่ยวถิงรีบชิงพูดขอเป็นคนแรกหลังจากเห็นนางกำนัลซูปี้พยักหน้าส่งสัญญาณ

 

ในขณะที่เสี่ยวถิงบรรเลงเพลงขลุ่ยเสียงหวาน ก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านอ๋องที่นิยมชมชอบในฟังเพลงบรรเลงจากดนตรีเกือบทุกประเภท ความไพเราะในเพลงขลุ่ยของเสี่ยวถิงทำให้พระชายาฟางซินรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาได้บ้าง นางเหลือบมองท่าทีของเหม่ยหลินพลางคิดอยากให้หญิงผู้นี้ตกประหม่าเสียจนเป่าขลุ่ยไม่ออก หญิงงามจากหมู่บ้านห่างไกลขนาดนั้นจะมีฝีมือบรรเลงขลุ่ยได้ไพเราะดีเท่ากับหญิงที่ได้รับการฝึกสอนจากเมืองหลวงได้อย่างไรกัน

“ไพเราะมาก!” สิ้นเสียงบรรเลงเพลงขลุ่ยของหญิงคนแรก ท่านอ๋องเป็นผู้นำปรบมือพร้อมกับพูดชื่นชมจนทุกคนในลานพิธีต่างปรบมือตามกันยกใหญ่ เสี่ยวถิงยิ้มกว้างถวายคำนับอย่างนอบน้อม

ซุนถงฉีก็เห็นด้วยกับท่านอ๋องเมื่อได้ฟังจากเสียงบรรเลงจากหญิงคนแรกก็ยอมรับว่านางเป็นผู้มีความสามารถในเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นอย่างมาก แต่เพลงที่ได้ยินอาจมีความคล้ายแต่ก็ยังมิอาจใช่ เขาคิดว่าควรรอฟังการบรรเลงของอีกหนึ่งนางมากกว่า...

“เอาล่ะ...ต่อไปถึงตาเจ้า” ท่านอ๋องชี้ไปที่เหม่ยหลินที่ยืนใจเต้นตุบๆ ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีประกวดแข่งขันบรรเลงดนตรีก็ไม่ปาน เธอไม่เคยเป่าขลุ่ยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้มาก่อน อย่างมากก็เป่าต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนร่วมเรียนเพื่อสอบให้ผ่านระดับขั้นทางดนตรีเท่านั้น

หวางชุนเทียนเห็นอาการตกประหม่าของหญิงสาว จึงขอเป็นผู้หยิบขลุ่ยอีกอันจากนางกำนัลเดินตรงไปมอบให้กับเหม่ยหลินด้วยตนเอง หากนางกลัวเสียจนไม่สามารถเป่าขลุ่ยได้ก็จะไม่มีสิ่งใดเป็นการพิสูจน์นอกเหนือจากนี้อีกแล้ว

“อย่าได้กลัว เจ้าจงเป็นตัวของเจ้าเองแล้วบรรเลงเพลงให้ดีที่สุด” เสียงพูดนุ่มนวลเอ่ยให้กำลังใจ

“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้ดีที่สุด” หญิงสาวเงยหน้ามองเขาตาปริบๆ

ทำไมนะ...คำพูดให้กำลังใจเพียงแค่ไม่กี่คำของแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นี้ กลับทำให้เธอสร้างพลังบางอย่างขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

เหม่ยหลินรับขลุ่ยจากมือชายหนุ่มมากำไว้แน่น หญิงสาวที่มาจากยุคอนาคตอย่างเธอช่างหาญกล้าสู้คนยุคอดีตที่เป็นต้นตำรับในเครื่องดนตรีชนิดนี้ แต่ในเมื่อเธอมายืนอยู่ตรงนี้แล้วจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

‘คิดซะว่ากำลังสอบเลื่อนระดับก็แล้วกัน ถึงจะไม่ใช่มืออาชีพอย่างน้อยฉันก็ได้เกรดเอวิชาดนตรีเหมือนกันนะ!’

เหม่ยหลินคิดเข้าข้างตัวเอง เกรดเอวิชาดนตรีไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แสดงว่าเราต้องมีพรสวรรค์ถึงแม้จะไม่มีเลือดศิลปินอยู่ในตัวก็ตาม!

แม่ทัพหวางเดินกลับไปนั่งจุดเดิม สายตาที่แสดงให้เห็นว่าเขาคอยเอาใจช่วยอยู่ตรงนี้ทำให้เหม่ยหลินเริ่มใจฟูขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยในที่แห่งนี้ก็ยังมีคนที่คอยหวังดีกับเธออยู่หนึ่งคน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด ยกขลุ่ยขึ้นมาประชิดริมฝีปากบางในตำแหน่งพร้อมบรรเลง นึกถึงเพลงที่เธอเคยเป่าให้จิ่นเอ๋อร์ฟังใต้ต้นกุ้ย เหม่ยหลินไม่ได้บอกชื่อเพลงนี้ให้จิ่นเอ๋อร์รู้ เธอบอกกับจิ่นเอ๋อร์ให้รู้เพียงว่านี่คือเพลงคลาสสิกที่โด่งดังมากในสถานที่ที่เธอจากมา

ใช่...เหม่ยหลินรู้ดีว่าเพลงนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นเพลงร้องประกอบภาพยนตร์รักโรแมนติกที่โด่งดังไปทั่วโลก คนเกือบทุกวัยในยุคของเธอต่างรู้จักทำนองเพลงที่หวานกินใจตั้งแต่เริ่มอินโทรแรกของเพลงนี้เลยทีเดียว เมื่อใดที่บทเพลงนี้ถูกบรรเลงผ่านขลุ่ยจีนยิ่งทวีความไพเราะเข้ากันกับอารมณ์เพลงที่ต้องการจะสื่อถึงความรักหวานปนเศร้า

เพราะในเวลานี้ เพียงแค่ท่อนนำของบทเพลงอันแสนหวานที่เหม่ยหลินเริ่มบรรเลงก็สะกดให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดความหลงใหลเสียแล้ว...

ผู้คนในลานพิธีต่างนิ่งงันราวกับต้องมนต์ ไม่มีเสียงพูดของใครเล็ดลอดออกมาแม้แต่เสียงเดียวราวกับไม่อยากให้เสียงสนทนาใดๆดังแทรกขึ้นมาทับเสียงขลุ่ยที่หวานล้ำเจือความเศร้าจากฝีมือการบรรเลงของเหม่ยหลินในขณะนี้

ซุนถงฉีที่ได้ฟังการบรรเลงอย่างชัดเจน เขาฉีกยิ้มและพยักหน้าน้อยๆอย่างพอใจ ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่หน้านิ่วคิ้วขมวดไปตามๆกัน ไม่คิดมาก่อนว่าเพลงที่ซุนถงฉีเคยกล่าวถึงจะไพเราะสะกดอารมณ์ผู้ฟังได้มากถึงเพียงนี้

ส่วนหวางชุนเทียนนั้นเล่า...เริ่มเข้าใจสิ่งที่ซุนถงฉีเคยพูดไว้ ทำนองเพลงประหลาดแต่ช่างแสนไพเราะน่าฟัง รวมถึงท่วงท่าในการบรรเลงเพลงของหญิงสาวช่างดูงดงามเช่นนี้นี่เอง จิตรกรหลวงจึงไม่อาจพลาดโอกาสวาดภาพหญิงสาวในขณะที่อยู่ในห้วงอารมณ์เพลงนี้ได้…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา