ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) ทูลขอท่านอ๋อง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ข้าเพียงแจ้งว่าหญิงงามในภาพวาดพำนักอยู่ที่หมู่บ้านหนิงอัน ข้าไม่ได้เป็นผู้เสนอแนะให้ไปรับตัวนางมาเป็นเครื่องบรรณาการแต่อย่างใด” ซุนถงฉีผู้เป็นจิตรกรหลวงปฏิเสธในเรื่องที่เขาไม่ได้ทำ หลังจากที่แม่ทัพหวางชุนเทียนเดินทางมาสอบถามเขาถึงที่เรือนด้วยตนเอง
“หากเป็นเรื่องจริงอย่างที่ท่านแม่ทัพบอก เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น”
จิตรกรหลวงวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าภาพวาดของเขาจะกลายเป็นสาเหตุให้หญิงงามผู้นั้นกลายเป็นว่าที่เครื่องบรรณาการ หวางชุนเทียนสังเกตสีหน้าของซุนถงฉีที่ดูตกใจไม่น้อยเมื่อได้ทราบข่าว คิดว่าคนผู้นี้คงไม่ได้พูดโกหก
“แล้วเหตุใดพระชายาจึงออกคำสั่งให้นางกำนัลซูปี้เดินทางไปรับตัวนางมาเช่นนี้ ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นภาพวาดหรือตัวจริงของนางนอกจากข้า”
คำพูดของหวางชุนเทียนทำให้ซุนถงฉีนึกถึงสถานการณ์ในวันที่ไปตำหนักเฟิ่งหวง เขาจับสังเกตอาการของทั้งพระชายาและองค์ชายรองได้
“หากให้ข้าเดาน่าจะเป็นเพราะความหึงหวงที่พระชายากลัวไปเองว่าองค์ชายรองจะนำตัวนางมาเป็นสนม จึงรีบร้อนไปชิงตัวนางมาจากหมู่บ้านเพื่อที่จะส่งไปต่างแคว้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“เข้าไม่เข้าใจเรื่องเช่นนี้ เหตุใดพระชายาต้องกลัวด้วยเล่า ในเมื่อองค์ชายรองก็ยังไม่เคยเห็นหน้านางด้วยซ้ำ” แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าไปมา ไม่เห็นด้วยกับความกลัวที่เกินกว่าเหตุของพระชายา
“แต่คนในวังหลวงต่างรู้ดีว่าองค์ชายรองทรงมีนิสัยเจ้าสำราญ แถมยังมีพระสนมหลายพระองค์ซึ่งต่างก็เป็นสตรีที่งดงามทั้งนั้น หากต้องการจะรับอีกสักหนึ่งนางคงไม่แปลก อีกประการหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงไม่พอใจที่รู้ว่าข้ามอบภาพหญิงผู้นั้นให้ท่านแม่ทัพอาจทำให้พระชายากลัวว่าองค์ชายจะเอาชนะท่านแม่ทัพก็เป็นได้นะขอรับ” ซุนถงฉีร่ายยาวถึงความเป็นไปได้
“แค่สันนิษฐานว่าองค์ชายรองอาจพาตัวนางมาเป็นสนม เหตุผลเพียงเท่านี้ถึงกับต้องผลักไสนางให้ไปอยู่ยังแคว้นอื่นเชียวหรือ” ถอนหายใจยาวไม่คิดเลยว่าความหึงหวงของผู้หญิงช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
“ท่านแม่ทัพรู้จักหญิงผู้นี้เช่นนั้นหรือขอรับ”
“นางชื่อเหม่ยหลิน หมอหลิวซูเหยียนผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ขอร้องให้ช่วยเหลือนางไม่ให้ต้องเป็นเครื่องบรรณาการแคว้นม่งอู๋...ดังนั้นเรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉย”
“มันคือความผิดพลาดของข้าเอง ท่านแม่ทัพโปรดให้อภัย” ซุนถงฉีรู้สึกผิด หากไม่เป็นเพราะภาพที่เขาวาดขึ้นและคำพูดของเขาถึงความงามของนาง เหม่ยหลินผู้นี้คงไม่ต้องประสบเรื่องราวเช่นนี้
“ท่านซุนจะช่วยเหลือข้าได้หรือไม่”
“ท่านบอกมาเถิดต้องการให้ข้าช่วยท่านได้อย่างไร หากเป็นเรื่องที่ข้าช่วยได้ข้าจะไม่ลังเล”
“ดี...ข้าขอให้ท่านช่วยเป็นพยานให้แก่นางว่าเป็นคนเดียวกันกับหญิงในภาพวาด ส่วนข้าจะทูลขอต่อท่านอ๋องให้ละเว้นนาง ไม่ต้องส่งตัวนางเป็นเครื่องบรรณาการในครั้งนี้”
"ได้ขอรับ"
หวางชุนเทียนรู้ดีว่าการที่จะช่วยเหลือนางได้นั้นคือการขอจากผู้มีอำนาจสูงสุดในแคว้น หากทูลขอโดยไม่แจ้งที่ไปที่มาอาจกลายเป็นเรื่องมิบังควรก็เป็นได้ ในเมื่อซุนถงฉีจะรับหน้าที่เป็นผู้ยืนยันตัวตนของนาง ถือเป็นการช่วยนางอีกแรง
ภายในเรือนนอนฝั่งตะวันตกของตำหนักเฟิ่งหวง เหม่ยหลินที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพักผ่อนอยู่ในห้องนอนขนาดเล็ก ภายในห้องมีเตียงนอนสองเตียงตั้งอยู่คนละมุมห้อง ร่างบางในชุดนอนสีขาวแขนยาวนั่งบนเตียงของตนเองหยิบตราหยกแกะสลักห้อยพู่ระย้าสีเขียวเข้มที่หมอหลิวมอบให้ขึ้นมาดูอย่างใช้ความคิด
เจ้าของตราหยกชิ้นนี้คือแม่ทัพหวางชุนเทียนชายผู้ที่ท่านหมอหลิวไว้ใจ เขาเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยหญิงสาวรอดพ้นจากการเป็นเครื่องบรรณาการ ป่านนี้เขาจะทราบข่าวจากท่านหมอหลิวหรือยังว่าเธอมาถึงวังหลวงแล้ว ‘ท่านหมอหลิวเชื่อใจแม่ทัพหวางผู้นี้มาก เราก็ต้องเชื่อใจเขาเช่นกัน’ เหม่ยหลินได้แต่คิดในทางที่ดีเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ตัวเอง
“แอ๊ด....” เสียงบานประตูถูกหญิงนางหนึ่งผลักเข้ามาทำให้ความคิดเหม่ยหลินหยุดลง
“อ้าว เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” ที่แท้คือเหอเสี่ยวถิงเพื่อนร่วมห้องของเหม่ยหลิน นางคือหญิงงามที่ถูกกำหนดให้เป็นสตรีบรรณาการมาตั้งแต่ต้น เสี่ยวถิงผู้นี้เก่งกาจเรื่องการร่ายรำ นางร่ายรำได้สวยงามกว่าหญิงทุกคนด้วยเป็นผู้มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นที่โปรดปรานของชายสูงศักดิ์คนใดคนหนึ่ง
“เป็นเจ้านี่ก็ดีเสียจริงนะ ไม่ต้องซ้อมร่ายรำแต่ก็ได้ร่วมเดินทางไปแคว้นม่งอู๋พร้อมพวกข้า” เสี่ยวถิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
วันนี้เสี่ยวถิงรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เหตุเพราะใกล้ถึงวันจัดพิธีอำลาก่อนการเดินทางแล้ว นางต้องซ้อมร่ายรำหนักเป็นพิเศษ
“แล้วพวกเจ้ายินดีไปเป็นหญิงบรรณาการที่แคว้นม่งอู๋งั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่อยากไป”
“ใช่ ข้าไม่อยากไป ในเมื่อไม่มีการถามความสมัครใจแต่กลับบังคับมาเช่นนี้ อย่างไรข้าก็ยอมรับไม่ได้”
“โธ่เอ๊ย...ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้นะเหม่ยหลิน บ้านเมืองของแคว้นม่งอู๋ใหญ่โตกว่าที่นี่เสียอีก หลายปีที่ผ่านมามีการสร้างตำหนักใหม่หลายแห่ง ไหนจะบรรดาจวนของพวกขุนนางชั้นสูงอีกเล่า ประชาชนในแคว้นนั้นต่างก็อยู่สุขสบาย แสดงว่าแคว้นม่งอู๋ต้องเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยทรัพย์สิน นี่เจ้าไม่รู้เรื่องราวเลยหรืออย่างไร”
เสี่ยวถิงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย เพียงได้ฟังที่ผู้อื่นกล่าวขานก็เชื่อสนิทใจจนอยากไปอยู่ที่แคว้นอันมั่งคั่นนั้นเร็วๆ เหม่ยหลินเห็นว่าความต้องการย้ายแคว้นของคนบางกลุ่มในยุคนี้เดาว่าน่าจะเป็นยุคที่ยังไม่รวมแผ่นดินจีน แต่ละแคว้นตั้งตนเป็นอิสระมีอ๋องเป็นผู้ครองแคว้น มีการสู้รบสลับกันแพ้ชนะในช่วงเวลาหลายร้อยปี แคว้นใดที่ตกเป็นเมืองขึ้นย่อมมีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการตามธรรมเนียมของแคว้นที่แพ้สงคราม
“ข้าไม่รู้หรอกว่าแคว้นม่งอู๋ยิ่งใหญ่แค่ไหน รู้เพียงว่าแคว้นที่ไม่ได้พัฒนาให้ประชาชนทำมาหากินด้วยตนเอง เอาแต่รอรับเครื่องบรรณาการ สักวันแคว้นนั้นย่อมล่มสลายเป็นแน่”
เหม่ยหลินพูดตามหลักการทั่วไป หากเป็นยุคในอนาคตมีตัวอย่างประเทศที่เคยรุ่งเรืองจากการขายน้ำมันและเอาเงินแจกประชาชนจนถึงวันหนึ่งต้องกลายเป็นประเทศยากจนอย่างรวดเร็ว เปรียบได้กับเศรษฐีตกยากเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะการพัฒนาประเทศด้วยเงินไม่ใช่มันสมอง!
‘นางผู้นี้หน้าตาสะสวยแต่ช่างโง่นัก สถานที่เช่นนั้นจะตกต่ำอับจนได้อย่างไรกัน’ เสี่ยวถิงมองเหม่ยหลินอย่างเหยียดๆ หากสายตาไม่วายเหลือบไปเห็นตราหยกในมือของเหม่ยหลิน “ตราหยกของเจ้าที่เจ้าถืออยู่นั่น...ไหนขอข้าดูหน่อยสิ”
เมื่อต้องการดูให้แน่ชัดจึงคว้าไปไปจากมือของเหม่ยหลินอย่างไร้มรรยาท “นี่มันตราสัญลักษณ์ของแม่ทัพ ของสำคัญเช่นนี้เจ้าได้มาอย่างไรกัน!”
“เป็นของที่พ่อบุญธรรมให้แก่ข้ามา คืนข้ามาเถิด”
หญิงผู้ไร้มรรยาทเหล่ตามองเหม่ยหลินนึกอิจฉาอยู่ในใจ ตราหยกชิ้นนี้แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของแม่ทัพหวางชุนเทียนไม่ผิดแน่ นางอยู่ในวังหลวงมานานร่วมปีย่อมได้เรียนรู้ธรรมเนียมทั้งหมดรวมถึงตราประจำตัวของบุคคลสำคัญในราชสำนักด้วย
“ที่แท้เจ้าก็รู้จักกับแม่ทัพหวางชุนเทียนนี่เอง มิน่าเล่าเจ้าจึงไม่อยากไปเป็นเครื่องบรรณาการที่แคว้นม่งอู๋” แม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นี้นอกจากเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจเกรียงไกรแล้วยังเป็นบุรุษรูปงามที่ผู้คนกล่าวขวัญถึง ไม่นึกเลยว่าจะรู้จักหญิงผู้มาจากหมู่บ้านห่างไกลเช่นนางผู้นี้
“เอ้า...เอาของของเจ้าคืนไป” นางส่งตราหยกให้อย่างไม่ใส่ใจจนเกือบจะหลุดมือ ดีที่เหม่ยหลินคว้าไว้ทัน
“เสี่ยวถิง…เจ้าระวังหน่อยสิ ถ้าตราหยกตกพื้นแตกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”
“อุ๊ย...ขอโทษๆ แต่ถ้าไม่เป็นไรแล้วข้าไปนอนล่ะ” พูดแล้วหันหลังเดินกลับไปที่เตียงของตนเอง
เหม่ยหลินมองตามเสี่ยวถิงอย่างขัดเคืองใจได้แต่กลอกตาไปมา ดูนางไม่ค่อยชอบตนเองสักเท่าไร
‘ยายรูมเมทคนนี้คงเข้ากับเราไม่ได้ แต่ช่างเถอะ อีกไม่นานทั้งเราและนางก็ต้องไปจากที่นี่ทั้งคู่’
หวางชุนเทียนในฐานะแม่ทัพใหญ่เข้าเฝ้าท่านอ๋องที่ห้องทรงงานเพื่อหารือเรื่องเตรียมแผนการทำศึกที่รับรู้กันระหว่างท่านอ๋องและเหล่าแม่ทัพนายกอง แผนการลวงให้แคว้นม่งอู๋ตายใจว่าแคว้นตงเยว่เพิกเฉยต่อการทหารจะดูสมจริงมากที่สุดหากสั่งการให้แม่ทัพหวางชุนเทียนประจำอยู่ในวังหลวงโดยไม่มีทีท่าที่จะเตรียมการซ้อมรบ แต่ความเป็นจริงได้สั่งการให้องค์ชายใหญ่ลี่หมิงและรองแม่ทัพลักลอบรวบรวมทหารและฝึกซ้อมกำลังพลที่ชายแดนทางใต้ไว้แล้ว
หลายปีที่ผ่านมาแคว้นม่งอู๋ส่งเครื่องบรรณาการด้วยหลายเหตุผล ทั้งหญิงงาม เสื้อผ้าแพรพรรณ และไม้มีค่าสำหรับสร้างบ้านเรือนและตำหนัก เพียงหวังให้เจ้าผู้ครองแคว้นมงอู๋ตายใจ สร้างนิสัยการใช้เงินและกำลังพลไปกับเรื่องไร้สาระมากที่สุด อย่างเช่นใช้กำลังพลในการปลูกสร้างสถานที่ต่างๆ ทั้งยังส่งเสริมให้นิยมเสพสุขกับการจัดงานรื่นเริงมากกว่าการป้องกันเมือง
หลังจบการหารือ ในห้องทรงงานที่ยังเหลือเพียงท่านอ๋องและแม่ทัพหวางผู้กังวลใจที่จะเอ่ยปากทูลขออะไรบางอย่าง รอจนความกล้าบังเกิดแม่ทัพหนุ่มจึงเปิดภาพสำคัญให้ดูและกล่าวขอท่านอ๋องให้ช่วยพูดกับพระชายาละเว้นการนำตัวหญิงสาวในภาพไปเป็นเครื่องบรรณาการ
บุรุษในชุดผ้าทอจากไหมชั้นดีปักลวดลายมังกรสีทองตัดกับผ้าไหมสีคราม ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขาน่าเกรงขาม หันไปจิบชาที่นางกำนัลส่งมอบให้ก่อนที่จะหันมามองหญิงงามในภาพวาดแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?”
“กระหม่อมรู้สึกเกรงใจที่รบกวนท่านอ๋องในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่กระหม่อมเห็นว่าอำนาจสิทธิ์ขาดในการคัดเลือกสาวงามเป็นของพระชายาฟางซิน แม่ทัพเหล่าทหารอย่างกระหม่อมจึงมิกล้าทูลขอพระชายาโดยตรงพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาเข้าใจในจุดนี้ดีในเมื่อเขาเองเป็นผู้ยกหน้าที่คัดเลือกหญิงงามให้แก่พระชายาฟางซินลูกสะใภ้เป็นผู้รับผิดชอบ
“ได้ ข้าจะออกคำสั่งละเว้นนางต่อหน้าทุกคนในวันจัดงานพิธีอำลาของเหล่าสตรีบรรณาการ คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าทักท้วง ขอให้เจ้าสบายใจได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในห้องทรงงาน หวางชุนเทียนจึงขอตัวลากลับ เขาเดินไปถึงประตูโดยมีนางกำนัลคอยเปิดประตูให้ เผอิญได้เดินสวนทางกับองค์ชายรองและขันทีคนสนิทที่หน้าประตู เขาทำความเคารพตามหน้าที่ของผู้น้อย องค์ชายรองพยักหน้าแบบขอไปทีโดยไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใด
แม่ทัพหวางเดินจากไปแล้ว แต่องค์ชายรองยังคิดถึงการสนทนาระหว่างท่านอ๋องและแม่ทัพหวางเมื่อสักครู่ที่องค์ชายเผอิญได้
"ทูลขอให้ละเว้นหญิงผู้นั้นงั้นรึ...เจ้าได้ยินหรือไม่" องค์ชายรองหันไปพูดกับขันทีที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง
"ได้ยินพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพหวางผู้นี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจเอ่ยถึงชื่อหญิงคนใด แต่มาวันนี้ถึงกลับมาขอจากท่านอ๋องโดยตรง ช่างน่าสนใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ"
"ใช่...น่าสนใจยิ่งนัก" ใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่มุมปากเปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายกำลังคิดแผนการในใจ
ไม่เพียงองค์ชายรองเท่านั้นที่ได้ยินเรื่องน่าสนใจนี้ นางกำนัลผู้ที่ยกน้ำชาให้แก่ท่านอ๋องในห้องทรงงานและเป็นผู้เปิดประตูให้แก่หวางชุนเทียนจนได้เจอกับองค์ชายรอง นางก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้ฟังบทสนทนาทั้งหมด
นางไม่รอช้ารีบเดินออกจากห้องทรงงานเพื่อที่จะไปแจ้งข่าวให้พระชายาฟางซินทราบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ