ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เดินทางเข้าเมืองหลวง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทหารชั้นประทวนรักษาจวนสกุลหวางเดินตรงมาตามโถงทางเดินฝั่งตะวันออก ในมือถือกระบอกขนาดเล็กภายในบรรจุกระดาษมีข้อความสำคัญส่งถึงแม่ทัพหวางชุนเทียน ทหารผู้นั้นหยุดอยู่หน้าห้องตำราก่อนที่จะกล่าวขออนุญาตบุคคลภายในห้อง
“นกพิราบจากหมู่บ้านหนิงอันบินกลับมาพร้อมมีสารส่งถึงท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารรายงานให้ทราบทันทีที่ก้าวพ้นประตูเข้ามา
แม่ทัพหนุ่มยืนหันหลังอยู่กลางห้องได้ยินดังนั้นรีบพับตำราพิชัยสงครามที่กำลังอ่านอยู่อย่างลวกๆ หันหน้ากลับมารับกระบอกในมือทหาร ‘หมู่บ้านหนิงอัน...หรือว่าท่านหมอหลิวมีเรื่องเดือดร้อนอันใดให้ช่วยเหลือ’
แม่ทัพหวางนึกถึงหน้าหมอหลิวซูเหยียนผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาเป็นอันดับแรกพลางดึงกระดาษออกมาจากกระบอกเล็กสีดำ
แต่เมื่อได้อ่านข้อความที่หมอหลิวซูเหยียนเขียนในกระดาษยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากขึ้น
‘หญิงผู้มีปานรูปดอกไม้ที่แขนขวามีนามว่าเหม่ยหลิน พระชายามีคำสั่งให้นางกำนัลซูปี้พาตัวนางเข้าวังหลวงเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่แคว้นม่งอู๋ เหม่ยหลินคือคนที่ท่านพบคืนนั้น โปรดช่วยนางด้วย’
ข้อความในกระดาษทำให้ความรู้สึกสับสนระคนหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจของแม่ทัพหนุ่ม
‘หญิงผู้นั้นมีตัวตนจริงๆหรือนี่ และตอนนี้นางกำลังมาที่วังหลวงเพื่อเตรียมเป็นเครื่องบรรณาการงั้นหรือ!’
เขารู้ดีว่าในวังหลวงกำลังจัดเตรียมเครื่องบรรณาการสำหรับส่งไปยังแคว้นม่งอู๋ รวมถึงเหล่าสตรีบรรณาการก็มีกำหนดเดินทางไปแคว้นม่งอู๋ในอีกไม่เกินหนึ่งเดือนเช่นกัน แต่ช่างน่าแปลกใจที่พระชายาสั่งการให้นางกำนัลซูปี้เดินทางไปถึงหมู่บ้านหนิงอันเพื่อพาตัวเหม่ยหลินมาในการนี้ด้วย
แม่ทัพหวางม้วนกระดาษใบเล็กใส่กระบอกตามเดิมก่อนที่จะก้าวออกจากห้องตำราบ่ายหน้าไปยังห้องทำงานทันที เขาคิดจะไปหยิบภาพที่ซุนถงฉีมอบให้เมื่อหลายวันก่อน แต่พอเปิดประตูเข้ามาก็ได้พบหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในห้องก่อนแล้ว
“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของหญิงสาวหันมากล่าวทักทายแม่ทัพหนุ่ม
หญิงผู้นี้ถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยเสรีได้ทุกที่ในจวนสกุลหวางโดยไม่เกรงใจผู้ใดนอกจากหวางชุนเทียนผู้เป็นนายใหญ่ แต่ดูแม่ทัพหวางมิได้ถือสาอะไรมากมายนัก
“ลู่หลิ่ง เจ้ามีธุระอะไรหรือ”
“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงว่าท่านยังมิได้รับอาหารเช้าจึงเข้ามาตาม แต่ไม่เห็นท่านแม่ทัพอยู่ในห้อง”
ลู่หลิ่งคือน้องสาวคนเดียวของติงอี้เทาทหารคนสนิทผู้ที่ยอมสละชีวิตกลางหุบเขาเพื่อช่วยให้แม่ทัพหวางผู้เป็นนายได้รอดชีวิตจนไปพบกับหมอหลิวซูเหยียน ดังนั้นหวางชุนเทียนต้องการตอบแทนบุญคุนของทหารคนสนิทผู้นี้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือรับน้องสาวคนเดียวของติงอี้เทามาดูแลด้วยเห็นว่านางไม่มีที่พึ่งเพราะบิดามารดาก็ตายไปตั้งแต่เด็ก
“ข้ายังไม่หิว...” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบภาพที่วางบนโต๊ะม้วนใส่กระบอกปิดฝาแน่นหนา
“เอ่อ...ท่านแม่ทัพ ภาพนั้น...” ลู่หลิ่งขยับตัวเข้าใกล้ หากแต่ร่างสูงเพรียวผึ่งผายของแม่ทัพหนุ่มกลับเดินผ่านลู่หลิ่งออกจากห้องทำงานไปอย่างรีบร้อน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงของลู่หลิ่งที่พยายามจะไต่ถามด้วยซ้ำไป
“ทหาร! เตรียมม้าให้ข้าด้วย” เสียงสั่งการพร้อมก้าวเท้าออกนอกประตูโดยไม่ใส่ใจลู่หลิ่งที่ยังยืนอยู่ในห้องยิ่งทำให้ดูน่าน้อยใจยิ่งนัก
ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะมาถึง นางเห็นภาพที่วางบนโต๊ะแล้วบังเกิดความสงสัย เหตุใดจึงมีภาพหญิงสาวอยู่บนโต๊ะของท่านแม่ทัพ ทั้งที่กำลังจะอ้าปากถามว่าหญิงในภาพเป็นผู้ใด แต่แม่ทัพหวางกลับเดินจากไปอย่างเร่งรีบแถมยังหยิบภาพนั้นติดตัวไปด้วย
ลู่หลิ่งทำได้เพียงมองตามหลังแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ หลงคิดไปเองว่าแม่ทัพหนุ่มอาจจะสนใจในตัวนางบ้างไม่มากก็น้อยจึงยอมรับนางมาอาศัยในจวนสกุลหวาง แม้ว่าเวลานี้ต้องพำนักอยู่เรือนเล็กตั้งอยู่ด้านหลังสุด อย่างไรเสียนางจะต้องหาทางยกฐานะตัวเองเพื่อเข้ามาอยู่เรือนใหญ่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง
แต่หากท่านแม่ทัพยังไม่สนใจในตัวนางเช่นนี้ ความหวังที่จะยกฐานะตนเองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร!
รถม้าคันเล็กที่เหม่ยหลินนั่งอยู่วิ่งตามหลังรถม้าคันใหญ่ของนางกำนัลซูปี้โดยมีทหารหลายนายนั่งบนหลังม้าคอยควบคุมขบวนไว้ทั้งหน้าและหลัง หญิงสาวได้แต่คิดท้อใจกับการเดินทางรอนแรมมาตลอดหนึ่งวันกับหนึ่งคืนแล้วก็ยังไม่ถึงจุดหมายเสียที การเดินทางในสมัยโบราณช่างใช้เวลานานเสียจริง!
ล้อรถม้าหมุนเคลื่อนที่ตามเส้นทางถนนพื้นดินปนหินที่ขรุขระ บ่อยครั้งที่ล้อรถตกหลุมจนร่างบางโยกเยกไปมาทำให้เหม่ยหลินรู้สึกเวียนหัว ยังดีที่รถม้าตู้นี้มีหน้าต่างทั้งซ้ายขวาให้หญิงสาวได้เปิดดูข้างทางได้บ้าง แน่นอนว่ามองเห็นแต่ป่าไม้เขียวชอุ่มตลอดเส้นทางที่ขบวนวิ่งผ่านมา
ในขณะที่ขบวนรถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนนเส้นเดียวกัน หวางชุนเทียนควบม้าออกจากประตูเมืองทะยานไปตามหนทางที่คาดว่าขบวนรถม้าของนางกำนัลซูปี้จะวิ่งผ่าน เส้นทางจากหมู่บ้านหนิงอันเข้าสู่เมืองหลวงเป็นเส้นทางที่แม่ทัพหนุ่มรู้ดีที่สุด เขาไม่ได้คิดประจันหน้ากับขบวนรถม้า จึงควบม้าสีนิลตัวโปรดลัดเลาะไปริมทาง พอถึงจุดที่คาดว่าเหมาะสมสำหรับการซุ่มดู เขาจึงบังคับเจ้าม้าสีนิลให้หลบอยู่หลังต้นไม้ข้างทาง อดทนรออยู่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงขบวนรถม้าดังใกล้เข้ามา
รถม้าคันแรกติดธงสัญลักษณ์รูปหงส์ปลิวสะบัดตามแรงลมวิ่งด้วยความเร็วระดับปานกลางปรากฏขึ้น
‘นั่นคือรถม้าของตำหนักเฟิ่งหวงของพระชายาไม่ผิดแน่นอน’
ครั้นสอดส่ายสายตามองไปยังรถม้าคันหลังที่ตามมาติดๆ ใครบางคนที่โดยสารอยู่ภายในเปิดหน้าต่างชะเง้อหน้ามองสิ่งแวดล้อมภายนอกด้วยความสนใจ
หวางชุนเทียนพยายามเพ่งมองหญิงสาวที่ปรากฏในกรอบหน้าต่างตาไม่กะพริบ ใบหน้าขาวนวลที่โผล่พ้นหน้าต่างนั้นดูแปลกใจกับทุกสิ่งที่พบเห็นไปเสียทั้งหมด สีหน้าท่าทางเช่นนั้นช่างไม่ต่างกับที่เขาเคยเจอนางครั้งแรกในครานั้น เขายังจดจำดวงหน้างดงามนั้นได้ดีแม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้ว
แม่ทัพหนุ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่านางคือคนที่เขาตามหาอยู่อย่างแน่นอน!
ความเร็วของรถม้าช้าลงเมื่อวิ่งเข้าสู่ประตูเมืองชั้นใน เสียงจ้อกแจ้กจอแจภายนอกดังแทรกเข้ามาทำให้เหม่ยหลินอดไม่ได้ที่ต้องแง้มม่านหน้าต่างดูด้านนอก หญิงสาวตื่นเต้นกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า รถม้าที่โดยสารมาขณะนี้เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าอยู่ท่ามกลางถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมถนนเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปแบบโบราณที่ดูคล้ายกับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในประเทศจีน สำหรับยุคสมัยในอนาคตนั้นสถานที่ที่คล้ายกันนี้ถูกอนุรักษ์ไว้ด้วยการบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดจึงมีความเก่าผสมใหม่เพื่อให้เห็นร่องรอยในอดีต
แต่สถานที่ที่เธออยู่ในยุคนี้เวลานี้เล่า...บ้านเรือนสไตล์โบราณทุกอย่างดูใหม่หมดเพราะเพิ่งปลูกสร้างในระยะเวลาไม่นาน อีกทั้งผู้คนที่เดินสวนกันไปมาต่างสวมเสื้อผ้าสไตล์เสื้อคลุมยาวสะบัดไปมายามเคลื่อนไหว สีสันและรูปแบบของเสื้อผ้าสวยงามกว่าที่เคยเห็นในหมู่บ้านหนิงอันมากนัก บรรยากาศตรงหน้าดูตื่นตาตื่นใจเหมือนที่เคยดูในซีรีส์จีน แต่พอสายตาได้เห็นของจริงช่างดูมีมนต์ขลังสะกดสายตายิ่งกว่าที่ดูในจอภาพเป็นไหนๆ ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนหายไปชั่วครู่ ในใจกลับนึกสนุกจนอยากก้าวออกจากรถม้าไปเดินสำรวจด้วยตัวเองเสียจริง
‘เมืองหลวงของแคว้นตงเยว่เป็นอย่างนี้เอง เราจะมีโอกาสได้ออกมาเดินชมเมืองบ้างไหมน้อ’
รถม้าทั้งสองคันหยุดที่หน้าประตูเมืองฝั่งทางเข้าตำหนักเฝิงหวง เหม่ยหลินก้าวลงมาจากรถม้าตามเสียงเรียกของนางกำนัลซูปี้ ‘ในที่สุดก็ได้ออกจากรถม้าเสียที’ หญิงสาวใช้มือนวดตามเนื้อตัวเบาๆ
“ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“ที่นี่คือตำหนักเฟิ่งหวง แต่วันนี้ให้เจ้าพักผ่อนก่อน แล้วจงเตรียมตัวเข้าพบพระชายาในวันพรุ่งนี้” นางกำนัลอาวุโสพูดพลางหันไปสั่งให้หญิงรับใช้สาวนางหนึ่งพาเหม่ยหลินไปยังเรือนพัก
ระหว่างที่นางกำนัลอาวุโสหันไปสั่งการหญิงรับใช้ เหม่ยหลินสอดส่ายสายตาโดยรอบตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าที่ใหญ่โตเรื่อยไปจนกำแพงสูงที่ทอดยาว จนสะดุดที่รูปปั้นราชสีห์อันน่าเกรงขามตั้งอยู่เยื้องประตูทางเข้า บังเอิญให้ได้เห็นเหมือนมีใครบางคนหลบอยู่ด้านหลังของรูปปั้นทำท่าทางลับๆล่อๆคล้ายไม่อยากให้ใครเห็นตัว
“แม่นางเหม่ยหลิน ตามข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินได้ยินนางกำนัลสาวกล่าวเชิญชวนจึงหันกลับไปทางเดิม ไม่ติดใจสงสัยอะไรอีกในเมื่อวังหลวงมีผู้คนตั้งมากมายจะมีคนยืนอยู่ตามที่ต่างๆย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น
ชายผู้ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หลังรูปปั้นก็คือแม่ทัพผู้เกรียงไกรที่แอบมาทำภารกิจอันนอกเหนือจากหน้าที่ของทหาร เขาโผล่หน้าออกมาดูให้แน่ใจว่าเหม่ยหลินก้าวเข้าสู่ประตูทางเข้าตำหนักเฟิ่งหวงแล้วจริงๆ ภาพที่เตรียมมาด้วยถูกเปิดออกดูหลายต่อหลายครั้ง ทั้งใบหน้าและทรงผมรวมถึงการแต่งกายในภาพละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงในภาพมาก แสดงว่าภาพที่ซุนถงฉีวาดขึ้นนี้มาจากความบังเอิญที่ได้พบเหม่ยหลินผู้นี้อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดต้องไปรับตัวนางมาเป็นเครื่องบรรณาการด้วย หวางชุนเทียนม้วนภาพเก็บเข้ากระบอกอย่างช้าๆ ใบหน้าแปลกใจเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หรือว่าซุนถงฉีเป็นผู้เสนอต่อพระชายาให้ทำเรื่องเช่นนี้?
ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินไปยังตำแหน่งที่ผูกม้าสีนิลไว้แล้วควบม้าวิ่งออกไป
จุดหมายปลายทางคือเรือนของซุนถงฉีจิตรกรหลวงแห่งแคว้นตงเยว่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ