ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) เครื่องบรรณาการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กสี่ห้าคนเฝ้ามองไม้แผ่นเรียบที่มีภาพวาดที่ดูน่าขบขันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม้แผ่นนี้ถูกตัดเป็นหลายสิบชิ้น รูปร่างและขนาดแต่ละชิ้นต่างกัน เด็กหลายคนต่างตั้งคำถามด้วยความสงสัยเพราะไม่เข้าใจว่าเหม่ยหลินวาดภาพบนแผ่นไม้แล้วเหตุใดต้องตัดมันออกเป็นชิ้นเป็นส่วนเช่นนี้ ‘เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร?’
“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่า จิ๊กซอว์”
“จิ๊กซอว์?” เด็กๆพูดเกือบพร้อมกัน
“ใช่ จิ๊กซอว์...มันคือภาพที่ถูกตัดแล้วนำมาต่อใหม่” เหม่ยหลินคิดหาการละเล่นมาอวดเด็กยุคนี้หวังให้เด็กทุกคนได้สนุกสนาน ภาพที่เธอวาดก็เป็นภาพการ์ตูนที่คนยุคนี้ยังไม่ชินสายตา แน่นอนว่าเด็กในยุคนี้ไม่มีทางรู้ว่าภาพการ์ตูนตรงหน้าขณะนี้คือ ‘โดราเอมอน’ ที่หญิงสาววาดจากจิตนาการได้อย่างง่ายแสนง่าย
จิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงถือแผ่นไม้ที่เรียกว่าจิ๊กซอว์ภาพการ์ตูน ‘คิตตี้’ และ ‘มิกกี้เม้าส์’ ออกมาอีกคนละชุด ทั้งสองกุลีกุจอตั้งแต่เช้าเพื่อช่วยเหม่ยหลินตัดแผ่นไม้ออกเป็นชิ้นตามที่เหม่ยหลินสอน มือน้อยค่อยๆวางแผ่นไม้ไว้กลางวงล้อมอย่างระมัดระวัง ขณะนี้มีแผ่นไม้ตัดเป็นชิ้นที่เรียกว่าจิ๊กซอว์ทั้งหมดสามชุดวางไว้กลางวงล้อมของเด็กๆ
มือเรียวบางของหญิงสาวละเลงชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ให้ปนเปกันไป “เอาล่ะ ทีนี้เรามาแข่งขันกันต่อชิ้นส่วนของภาพให้เป็นเหมือนเดิม มีจิ๊กซอว์สามชุดให้แบ่งเป็นสามกลุ่ม ใครต่อภาพเสร็จก่อนถือเป็นผู้ชนะ เข้าใจหรือไม่”
เหม่ยหลินอธิบายโดยละเอียดทำให้เด็กๆพอจะเข้าใจวิธีการเล่นแล้ว ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน
“หนึ่ง สอง สาม...เริ่มได้!”
มือเล็กๆของเหล่าเด็กน้อยแย่งชิ้นส่วนจิ๊กซอว์กันอย่างสนุกสนาน จนชาวบ้านที่เดินไปมาต่างพากันหัวเราะเอ็นดู โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กหลายคนก็จ้องมองดูลูกๆของตัวเองแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
แต่ความสุขในยามนี้...เหตุใดจึงอยู่ได้ไม่นาน
เสียงฝีเท้าของม้าปะปนกับเสียงล้อไม้วิ่งบนพื้นถนน เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาจนกระทั่งมองเห็นขบวนแถวของรถม้าที่นำด้วยชายใส่ชุดทหารหลายนายมุ่งหน้าเข้าสู่ทางเข้าหมู่บ้าน กลุ่มของเด็กๆที่นั่งล้อมวงก้มหน้าก้มตาค้นหาชิ้นส่วนภาพก็ต้องหยุดมือลงชั่วขณะ
ทหารนายหนึ่งที่นั่งบนหลังม้าพาขบวนมาหยุดอยู่กลางถนนที่บัดนี้รายล้อมด้วยชาวบ้าน ผ้าม่านด้านหน้าของรถม้าถูกเปิดออก บุคคลที่ก้าวออกมาคือซูปี้นางกำนัลร่างท้วมผู้ถือพัดทรงกลมสีขาวหม่นลายดอกเหมย มือของนางขยับพัดโบกไปมาเพื่อคลายความร้อน นางพยักหน้าอนุญาตให้นายทหารผู้นำขบวนหยิบป้ายหยกแกะสลักรูปหงส์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระชายาแห่งองค์ชายรองของแคว้นตงเยว่ออกมาแสดงต่อหน้าทุกคนพร้อมประกาศด้วยเสียงดังก้องกังวาน
“พวกเจ้าทุกคนจงฟัง นางกำนัลซูปี้ได้รับมอบหมายจากพระชายาแห่งองค์ชายรองให้ทำหน้าที่ดูแลการส่งเครื่องบรรณาการ บัดนี้ถึงเวลาที่ราชสำนักจะขอรับเครื่องบรรณาการจากหมู่บ้านหนิงอันตามกำหนด”
ท่านหมอหลิวเดินออกจากบ้านตรงมายังกลุ่มผู้คน หลังจากได้ยินเสียงประกาศจากนายทหารจึงรีบทำก้าวออกมาทำความเคารพ
“ข้าน้อยหลิวซูเหยียนหมอรักษาแห่งหมู่บ้านหนิงอัน ขอคารวะนางกำนัลซูปี้ บรรดาสิ่งของเครื่องบรรณาการได้มีเหล่าทหารจากราชสำนักส่งรถม้าเทียมเกวียนมารับไปแล้วเมื่อสามวันก่อนขอรับ” หมอหลิวซูเหยียนจดจำชุดเครื่องแบบทหารที่มาเมื่อสามวันก่อนได้ดี เหมือนกับทหารที่มาในวันนี้ไม่ผิดเพี้ยน
“สิ่งของงั้นรึ?” ซูปี้พูดเสียงสูง “ข้าเกรงว่าท่านยังเตรียมไม่ครบ”
ท่านหมอหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยไม่รู้ความหมายที่นางกำนัลผู้นี้กล่าว
“ท่านจงฟังข้าให้ดี วันนี้ข้ามาเพื่อรับสตรีผู้เป็นเครื่องบรรณาการของหมู่บ้านหนิงอัน!”
“หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีสตรีที่เหมาะสมสำหรับเป็นเครื่องบรรณาการดังที่ท่านกล่าวถึง”
หมอหลิวซูเหยียนรีบปฏิเสธทันที ในเมื่อทางการไม่ได้กำหนดให้หมู่บ้านหนิงอันต้องคัดเลือกสตรีให้แก่ราชสำนัก เหตุใดต้องส่งคนมารับ
“จะมีสตรีที่เหมาะสมหรือไม่นั้น ข้าจะเป็นผู้ตัดสินเอง เพราะฉะนั้นขอให้นำตัวหญิงสาวทุกคนในหมู่บ้านมายืนต่อหน้าข้า ห้ามหญิงสาวผู้ใดซ่อนตัวเด็ดขาด!”
หากนางกำนัลซูปี้ได้เห็นทุกคนครบถ้วน นางย่อมรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเป็นผู้ใด หญิงสาวชาวบ้านสามัญในหมู่บ้านห่างไกลขนาดนี้จะมีสักกี่คนที่ใบหน้าสะสวยเสียจนจิตรกรหลวงเช่นท่านซุนถงฉีเอ่ยปากชม
เหม่ยหลินที่ยืนอยู่ห่างออกไปได้แต่ทำหน้าตกใจ ยืนนิ่งไม่ไหวติงหลังจากได้ยินเสียงประกาศ ในหัวของหญิงสาวมีแต่ความมึนงง อะไรคือหญิงสาวทุกคนในหมู่บ้าน... แล้วคนนอกอย่างเธอให้ถือรวมด้วยหรือเปล่า...
จิ่นเอ๋อร์พยายามดึงมือเหม่ยหลินให้หลบไปหลังต้นไม้ข้างๆ แต่ก็ไม่ทันกับความรวดเร็วของทหารหลายนายที่แยกย้ายกันจับหญิงสาวทุกคนให้มายืนเรียงแถวหน้ากระดาน
หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้มีหญิงสาวอายุประมาณสิบห้าถึงยี่สิบห้าปีอยู่เพียงไม่ถึงยี่สิบนาง ซูปี้สาวเท้ามองผ่านทุกนาง จนมาสะดุดที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ท้ายแถว
“เจ้า...เงยหน้าขึ้น”ซูปี้สั่งหญิงสาวที่ยืนก้มหน้ามองต่ำจนเห็นแพขนตายาวรับกับใบหน้าขาวผ่อง เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งทำให้มองเห็นดวงหน้าชัดเจน หญิงสาวผู้นี้ผิวพรรณนวลเนียนไม่เหมือนสาวนางอื่น ยิ่งยืนอยู่ท่ามกลางสาวชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเห็นความแตกต่าง
“บอกมาสิเจ้าชื่ออะไร”
“ข้า...ข้าชื่อเหม่ยหลินเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป่าขลุ่ยได้หรือไม่ ตอบข้ามาตามตรง” เหม่ยหลินออกจะแปลกใจกับคำถาม แต่ก็ต้องพยักหน้าตามความจริง
นางกำนัลซูปี้ลอบยิ้มที่มุมปาก ‘เหม่ยหลิน...เป็นนางผู้นี้ไม่ผิดแน่ ผู้ที่คอยดูแลการคัดเลือกนางรำแห่งราชสำนักมาช้านานอย่างข้าไม่เคยมองพลาด’
“ข้าขอเลือกให้เหม่ยหลินคือผู้เป็นเครื่องบรรณาการของหมู่บ้านหนิงอัน ผู้ใดคือบิดามารดาของนางให้ก้าวออกมารับเงินกำนัลจำนวนสี่ร้อยตำลึงเป็นการแลกตัวเหม่ยหลิน”
สิ้นเสียงประกาศจากนางกำนัลร่างท้วม จิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงต่างพากันเข้ามากอดเหม่ยหลินแล้วร้องไห้โฮ ไม่อยากให้เหม่ยหลินต้องจากไป ซื่ออิงและเค่อหยวนรีบเข้ามาจับลูกทั้งสองไว้เกรงว่าจะเป็นการทำให้นางกำนัลผู้นี้รำคาญใจแล้วเรื่องจะไปกันใหญ่ หลิวซูเหยียนที่มองดูอยู่ด้วยความเป็นห่วง เห็นสายตาของเหม่ยหลินที่หันมองหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ดูท่าทางก็รู้ว่านางไม่อยากไปเป็นเครื่องบรรณาการ...
หลิวซูเหยียนก้าวออกมาแสดงตัว “ท่านหมอหลิวคือบิดาของนางงั้นรึ เช่นนั้นก็รับเงินก้อนนี้ไปซะ”
“ข้าน้อยไม่ขอรับเงินก้อนนี้ เหม่ยหลินคือบุตรบุญธรรมที่จะสืบทอดวิชาสมุนไพรต่อจากข้าน้อย... ข้าน้อยไม่อาจยกนางให้เป็นเครื่องบรรณาการตามที่ท่านต้องการได้ แม่นางซูปี้โปรดพิจารณาด้วย”
‘ท่านหมอหลิว...’ เหม่ยหลินทำได้เพียงรำพึงในใจ ซาบซึ้งใจที่หมอหลิวให้ความเมตตาช่วยเหลือโดยอุปโลกน์ให้เป็นบุตรบุญธรรมเพื่อหวังจะรอดพ้นจากการถูกนำตัวไปเป็นเครื่องบรรณาการในครั้งนี้
“ท่านหมอหลิวจะขัดคำสั่งของพระชายาอย่างนั้นรึ!”
“ข้าน้อยมิกล้า...หากแต่หญิงงามทั่วแคว้นมีตั้งมากมาย ได้ข่าวว่ามีหลายนางต่างเต็มใจที่จะทำหน้าที่นี้ ข้าน้อยขอความเมตตาจากแม่นางช่วยยกเว้นเหม่ยหลินไว้สักคนเถิด”
“อำนาจในการคัดเลือกหญิงบรรณาการเป็นสิทธิ์ขาดที่พระชายาได้รับมอบอำนาจจากท่านอ๋อง หากไม่ทำตามคำสั่ง...ท่านหมอและชาวบ้านอาจต้องถูกลงโทษในฐานที่ขัดคำสั่งพระชายา ท่านหมอต้องการเช่นนั้นรึ”
“เหตุใดต้องลงโทษ! ท่านหมอไม่ได้ทำอะไรผิด” เหม่ยหลินทนไม่ได้รีบพูดแทรกขึ้นมา ยุคสมัยนี้ช่างป่าเถื่อนเสียจริง ไม่ได้ดั่งใจอะไรก็จะลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องให้ได้!
นางกำนัลซูปี้หันมามองหน้าเหม่ยหลิน
“เหม่ยหลินเจ้าจงไปกับข้า ข้าจะดูแลสนับสนุนเจ้าให้เป็นหญิงงามเครื่องบรรณาการชั้นดี เพื่อให้เจ้าได้เป็นสนมของเจ้าผู้ครองแคว้นม่งอู๋” ซูปี้ทำน้ำเสียงอ่อนลงเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เหม่ยหลินทำตาม
“แต่ข้าไม่อยากไป...”
“คิดดูให้ดี เจ้าอยากเห็นบิดาของเจ้าและชาวบ้านถูกลงโทษด้วยสาเหตุที่เจ้าขัดคำสั่งพระชายางั้นรึ ถึงเวลานั้นไม่มีใครช่วยได้นอกจากเจ้าเท่านั้น!”
เมื่อได้รับอนุญาตจากนางกำนัลซูปี้ให้ล่ำลาครอบครัวก่อนเดินทาง ทุกคนจึงมานั่งในห้องทำงานของหมอหลิว ทั้งจิ่นเอ๋อร์กับจื่อหลงต่างนั่งน้ำตานองหน้าเสียใจกับข่าวร้ายวันนี้ แม้เป็นเวลาเพียงไม่นานแต่ทั้งสามก็สนิทสนมกันมากราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ จึงไปอยากแยกจากกันไป
“เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ ท่านหมอหลิว”ซื่ออิงเอ่ยถามในขณะที่กำลังปลอบประโลมลูกสาวลูกชายของตนเอง เหม่ยหลินเองได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง ยามนี้เธอคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
“สถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากไม่ทำตามคำสั่งนางกำนัลซูปี้ผู้นี้ก็ขู่จะเอาผิดให้จงได้ ราวกับว่าการมาครั้งนี้ของนางกำนัลซูปี้เจาะจงมารับเหม่ยหลินไปโดยเฉพาะ ช่างน่าแปลกใจนัก”
“ข้าคงต้องไปจากที่นี่จริงๆใช่ไหม ไม่เช่นนั้นทุกคนจะถูกลงโทษ”เหม่ยหลินเอ่ยเสียงสั่นน้ำตาคลอเบ้า
หมอหลิวที่ยืนทำหน้าเคร่งเครียดได้แต่ถอนหายใจ พื้นเพของเหม่ยหลินไม่ใช่คนแคว้นนี้ ต่อให้ช่วยนางหนีไปจากหมู่บ้าน อย่างไรเสียก็ถูกทหารจับได้อยู่ดี
เสียงนกพิราบสะบัดปีกบินอยู่ภายในกรงไม้ไผ่อย่างตื่นตระหนก ทำให้หมอหลิวหันไปมองและตัดสินใจทำบางอย่างหลังจากนี้
เขาเอ่ยถามเหม่ยหลินเพื่อให้แน่ใจเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่พบแม่ทัพหวางชุนเทียน
“หากท่านหมายถึงชายสวมชุดเกราะและได้รับบาดเจ็บอยู่ใต้ต้นกุ้ยต้นนั้น ก็คงเป็นข้าเองที่อยู่กับเขาในวันนั้น เขาคือใครหรือเจ้าคะ”
พอท่านหมอหลิวเล่าว่าชายผู้นั้นคือแม่ทัพหวางชุนเทียนที่ได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บจากหมอหลิวซูเหยียนจนหายดี สถานการณ์ซับซ้อนเช่นนี้ยิ่งทำให้เหม่ยหลินงุนงง
“เหม่ยหลิน ในเมื่อมันเป็นชะตากรรมของเจ้ามิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้ข้าคิดจะช่วยให้เจ้าหนีไปจากที่นี่ก็มิอาจทำได้ เจ้าไม่รู้จักใครในแคว้นนี้เลยถึงหนีไปได้ก็ไม่มีประโยชน์”
“ข้า...เข้าใจดีเจ้าค่ะ”เสียงแผ่วเบาแสดงถึงความจำยอมของหญิงสาวช่างน่าสงสาร
หมอหลิวหยิบตราหยกที่แม่ทัพหวางให้ไว้ก่อนออกจากหมู่บ้าน แล้วยื่นให้แก่เหม่ยหลิน
“เจ้าจงเก็บตราหยกประจำตัวของท่านแม่ทัพชิ้นนี้ไว้ให้ดี หลังจากที่เจ้าเดินทางไปถึงวังหลวง ข้าจะแจ้งต่อท่านแม่ทัพให้ช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้”
หญิงสาวมองตราหยกห้อยพู่ระย้าสีเขียวเข้ม เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าแม่ทัพผู้ที่พบกันเพียงครั้งเดียวจะช่วยเธอได้
ท่านแม่ทัพหวางชุนเทียนผู้นี้ จะเป็นคนช่วยเราไม่ต้องเป็นเครื่องบรรณาการได้จริงหรือ?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ