เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ลงโทษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมโยนกระเป๋าลงบนเตียง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มืออันสั่นเทายกขึ้นลูบใบหน้าและลำคอ ก่อนจะถอดแว่นออกและใช้นิ้วบีบสันจมูกเพื่อสงบสติ
ผมทำอะไรลงไป
ความคิดมากมายทะลักพรั่งพรูเหมือนเขื่อนเก็บน้ำที่เปิดออก อารมณ์ทั้งหลายประเดประดังเข้ามาจนรู้สึกแน่นทรวงอก ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองกางเกนเหนือประตูระเบียง จ้องมองนิ่ง ๆ ราวกับกำลังรอฟังคำตอบที่ไม่สามารถหาได้จากโลกนี้
พระเจ้าช่วยผมด้วย...โปรดอย่าทำให้ผมทุกข์ใจ อย่าทำให้ผมเสียเพื่อน และอย่าทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนผิด
ผมพยายามกล่อมตัวเองให้รู้สึกดีด้วยความคิดที่ว่า ทั้งหมดที่ทำลงไปคือการปกป้องตงเปียน แต่พอผ่านไปสักพักความคิดเหล่านั้นก็เริ่มเปลี่ยน กลายเป็นความอับอายและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันบีบรัดจนผมทนไม่ไหวถึงขนาดต้องเดินรอบ ๆ ห้องเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ผมน่าจะเงียบและพาตงเปียนเดินหนีออกมา
ถ้าทำแบบนั้นผมกับชลเทพอาจจะยังรักษามิตรภาพเอาไว้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ตอบโต้หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี
ผมไม่โกรธหรอกที่เขาตอกย้ำเรื่องชาติกำเนิดของผม แต่ผมทนไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดใส่ตงเปียน ได้เห็นสายตาและท่าทางเหยียดหยาม นั่นต่างหากที่ทำให้ผมโกรธจนไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้เลย
เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เที่ยวพูดจาบาดหูและสร้างความบาดหมางไปทั่ว ผมรู้ว่าชลเทพเป็นคนดื้อรั้น แต่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาต้องใจร้ายกับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ทว่านั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับการได้รู้ว่าคิมหันต์ใช้เวลาทั้งวันทำเรื่องเหลวไหลกับคนพวกนี้
แต่ผมก็ไม่ควรเดินจากมาโดยทิ้งคิมหันต์ไว้คนเดียวกับความรู้สึกหนักใจ
บางทีสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เรื่องทุกอย่างอาจสลับขั้วโดยสิ้นเชิง ผมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่
ผมใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้สำเร็จ จากนั้นจึงนั่งรอคิมหันต์กลับห้องอย่างอดทน ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นระส่ำระสายอย่างวิตกกังวล
จนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่ม เสียงดังเอะอะข้างนอกค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับอากาศอบอุ่น เมื่อได้ยินเสียงกลอนประตูขยับและบานพับเปิดออก จึงปรากฏร่างของบุคคลที่ผมเฝ้ารอคอย
เพียงเวลาชั่วครู่ที่ดูเหมือนเนิ่นนานขณะเราสองคนสบตากัน ผมพร้อมแล้วที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ขอแค่อย่าให้เรารู้สึกต่อกันเพียงแค่รูมเมทที่ควรรักษาระยะห่าง เพราะสวรรค์รู้ว่าผมต้องการให้เราเป็นมากกว่าเพื่อนที่เข้าใจกันในทุก ๆ เรื่อง
คิมหันต์ยืนยิ้มประหม่า ๆ อยู่ที่ปากประตู จากนั้นจึงลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผม เราอยู่ใกล้กันมากจนผมสังเกตเห็นว่าเสื้อและแขนของเขามีสีเปื้อนเปอะเป็นหย่อม ๆ แถมยังได้กลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นฉุนของทินเนอร์จากตัวเขาอีกด้วย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่ไม่ลงตัวอย่างยิ่งทว่าผมกลับสูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังดมกลิ่นดอกไม้หอม
“รัน เราขอโทษจริง ๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย” คิมหันต์บอก สายตาไม่มองสิ่งอื่นใดนอกจากจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
“ไม่ต้องขอโทษเราหรอก เราต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ” ผมพยายามสุดความสามารถที่จะไม่หันไปทางอื่น
คิมหันต์เลิกคิ้วดกดำขึ้น
“ขอโทษเราเหรอ ขอโทษเรื่องอะไร” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ที่เราไม่ฟังที่นายพยายามห้ามเลยไง” ผมอธิบาย “สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้”
คิมหันต์อมยิ้ม
“รันไม่มีอะไรต้องขอโทษเราทั้งนั้น เราเข้าใจดีว่าตอนนั้นนายรู้สึกยังไง”
ผมพยักหน้า ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามคำถามนั้น
“แล้วคิมได้สูบบุหรี่กับพวกไอ้ชลหรือเปล่า...เราตามหา...”
ผมชะงัก เกือบจะพลั้งปากพูดความรู้สึกนึกคิดแท้จริงออกไป ราวกับว่าหากทำเช่นนั้นคิมหันต์จะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวและจับได้ว่าผมคิดกับเขาอย่างไร กลัวเขาจะรู้ว่าผมอยากเห็นหน้ามากแค่ไหน หากแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยหรือคาดคั้นให้พูดประโยคที่เหลือต่อจนจบ
กลับกันเขาขยับเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสมือนมีคำพูดขออนุญาตกระซิบออกมา และในวินาทีที่หัวใจเหมือนย้ายขึ้นมาเต้นอยู่ในลำคอ ณ ตอนนั้นเองหัวเข่าของเราก็สัมผัสกันอย่างนุ่มนวล
“ใช่ เราสูบบุหรี่กับพวกนั้นจริง ๆ” เขายอมรับอย่างหนักแน่นโดยยังคงสบตาผมอยู่ “เราอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงก็เลยขอจากไอ้ชลมาลองสูบสักตัว ไม่มีใครบังคับเราเลยสักคน...เราเต็มใจทำเอง”
แต่ผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับคำพูดของคิมหันต์เลยสักนิด เพราะทั้งหมดที่รับรู้ในตอนนี้คือผิวของเราที่กำลังสัมผัสกัน ซึ่งกางเกงขาสั้นเปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจรายละเอียดที่พลาดไปเมื่อคราวก่อน ทั้งความอบอุ่นและขนขาสากเคือง ผมเคลิบเคลิ้มไปกับมันจนเผลอใช้หัวเข่าขยับขึ้นลงตามขาอ่อนของอีกฝ่าย
และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไปแล้วละก็ ผมคิดว่าอีกฝ่ายก็ตอบสนองกลับด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับของผมด้วยเช่นกัน มันเป็นสัมผัสที่เหมือนดังหมอกยามรุ่งอรุณ อบอุ่นและหนาวเย็นในเวลาเดียวกัน
ผมหลับตาลงพลางตั้งคำถามในใจ
นี่คือเรื่องจริงหรือเปล่านะ?
เพราะบางครั้งผมก็ฝันถึงเรื่องเหล่านี้บ่อยมากจนเริ่มรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริง
“อืม...” คิมหันต์ผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง
ผมชะงักและหยุดตัวเองเมื่อตระหนักว่ากำลังทำอะไรอยู่ หัวใจเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ คิมหันต์ขยับออกห่างเล็กน้อยและใช้มือข้างหนึ่งลูบท้ายทอย ส่วนผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเพราะเขินอาย
“อ...เอ่อ...ช่างมันเถอะ วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ อยากรู้อยากลองไปหมด” ผมบอกและแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ “แต่คราวหลังนายต้องคิดให้มาก ๆ นะเวลาจะทำอะไร เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่ต้องนึกถึงพ่อแม่กับลุงของนายด้วย”
คิมหันต์พยักหน้า
แล้วจากนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาทำอะไรบ้างตั้งแต่เช้า เริ่มจากนั่งรถออกไปข้างนอกกับคุณพ่อประเสริฐเพื่อหาซื้ออุปกรณ์ถางป่าและทาสีกำแพงโรงเรียน แต่หลังจากที่คุณพ่อขอตัวไปทำงานอย่างอื่น พวกเขาก็พากันหลบไปนั่งพักที่ใต้ร่มเงาของกำแพง ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสูบบุหรี่เพื่อคลายเหนื่อยและเรื่องวุ่นวายทั้งหมด
ผมนั่งก้มหน้าฟังเงียบ ๆ จนจบ ถึงแม้จะดีใจที่ได้ทราบมูลความจริง แต่ก็ยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมรู้ว่าคิมหันต์เป็นคนฉลาดแต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังขาดความรอบคอบ
จะทำอย่างไรหากมีคนอื่นมาเจอ ผมคิด
เพราะต่อให้เป็นหลานของคุณพ่ออธิการก็ไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์นี้ เขาเสี่ยงที่จะถูกลงโทษสถานหนักหรือเลวร้ายสุดคือโดนไล่ออก
ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะเตือนสติคิมหันต์อย่างไรจนลืมสังเกตไปว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้ามากแค่ไหน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าดวงตาของเขาหรี่ปรือและแดงระเรื่อ ไหล่ทั้งสองข้างที่เคยผึ่งผายกลับลู่ลง คิมหันต์ดูตัวเล็กลงจนผมอยากประคองเขาไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม
แล้วเขาก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวาน ผมเขินมากจนต้องมองไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นสนใจปฏิทินที่ตั้งบนโต๊ะ
“อยู่นิ่ง ๆ แป๊บนึงนะ”
พูดจบคิมหันต์ก็ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง จากนั้นก็ซบไหล่ขวาของผมและหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ผมตัวแข็งทื่อทันที สมองว่างเปล่าและประสาทไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไปนอกจากน้ำหนักบนไหล่
ในขณะที่ผมกำลังประหม่าและทำตัวไม่ถูก คิมหันต์ก็ได้ทำให้หัวใจของผมละลายอีกครั้งด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับต้นขาของผม ตอนนี้ผมจึงมั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่จินตนาการ เขาจงใจทำแบบนี้จริง ๆ
คิมหันต์กำลังทดสอบผมอยู่ใช่ไหม หรือว่าเขารู้แล้วว่าผมแอบชอบ
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามผมไม่คิดจะสนใจมัน ณ ตอนนี้ เพราะขนขาซาก ๆ ที่กำลังบดขยี้กับขาอ่อนของผมได้ทำให้สมองมุ่งจดจ่อไปทางอื่นราวกับต้องมนตร์สะกด
ใช้หัวเข่าดันเข้าไปให้ลึกกว่านี้ บุกเข้าไปให้ถึงเป้ากางเกงของเขาแล้วลองดุนดันดูสิว่ามันจะตื่นตัวไหม จะคับแน่นกางเกงชั้นในเหมือนกับของผมตอนนี้หรือเปล่า จากนั้นก็รูดซิปลงมา...
“ขอบคุณมากนะ” คิมหันต์บอกหลังจากกลับไปนั่งหลังตรง “ถ้างั้นเราไปอาบน้ำก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าวัดแต่เช้า”
เขาตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะลากเก้าอี้ไปเก็บที่เดิม แล้วจึงเดินไปทางตู้เสื้อผ้าเพื่อหาของใช้อาบน้ำ
“อือ”
ผมครางตอบรับอย่างเหม่อลอย พลางมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายลับไปหลังบานประตูเหมือนคนไร้สติ แล้วคืนนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
เวลาผ่านมาจนถึงวันจันทร์ ตงเปียนกับผมไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันหลังเลิกเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนคิมหันต์ยังคงถูกปราการเหนี่ยวรั้งไว้ไม่เลิกจนเขาต้องยอมแยกไปนั่งด้วยที่โต๊ะอีกตัวซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในโรงอาหาร
“มึงว่าเราจะได้กี่คะแนน”
จู่ ๆ ตงเปียนก็เอ่ยถามถึงงานแปลบทความที่เพิ่งส่ง เขาต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงกระทบของช้อนกับถาดหลุมที่ดังระงมทั่วโรงอาหาร
ผมแกล้งทำเป็นครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“ได้เต็ม”
“โห มึงรู้ได้ไงอะ”
“กูมั่ว”
“แต่กูขอให้เป็นจริงเถอะ อาแมนนนนน” พูดจบเพื่อนตัวน้อยก็ทำสำคัญมหากางเขนอย่างรวดเร็วเพื่อขอให้สมหวัง ผมมองดูและได้แต่ส่ายหัว
ขณะรับประทานอาหารอยู่นั้นผมก็คอยลอบมองไปทางคิมหันต์ตลอด แม้จะอยากให้เรานั่งด้วยกันแต่เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาจากที่ไกล ๆ หัวใจก็เต้นแรงและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นผมก็นึกถึงตอนที่หัวเข่าของเราสัมผัสกันขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“มึงยิ้มทำไมวะ” ตงเปียนทำหน้างง
“กูเปล่าสักหน่อย” ผมคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มและรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อน “เออ แล้วมึงหายโกรธไอ้ชลหรือยัง”
ตงเปียนจ้องหน้าผมราวกับว่านี่เป็นคำถามไม่เข้าท่า
“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนถาม” เขาว่า “มึงกับมันทะเลาะกันหนักกว่ากูอีก”
ผมเบ้ปาก
“เอาจริง ๆ กูก็ยังโกรธมันอยู่นะ แต่ช่างมันเถอะ” ผมถอนหายใจและพยายามผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง
ตงเปียนไม่แสดงความเห็นใด ๆ กับคำพูดของผม
สักพักหนึ่งผมก็เห็นคุณพ่ออรรถพลลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ท่านเดินผ่านโต๊ะของเราและตรงไปยังบริเวณที่คิมหันต์กับเพื่อน ๆ กำลังนั่งกันอยู่ คุณพ่อคุยอะไรบางอย่างกับพวกเขา จากนั้นก็เดินออกนอกโรงอาหารไป
“พ่อพลไปคุยอะไรกับพวกนั้นวะ”
ผมหันไปถามความคิดเห็นจากตงเปียนแต่เขากลับเงียบเหมือนไม่ได้ยิน เมื่อผมถามอีกรอบเขาจึงวางช้อนลงอย่างนุ่มนวลและมองตาผม
“กูบอกพ่อพลไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันเสาร์” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแฝงความสะใจ “กูคิดว่าไม่น่าจะพ้นเรื่องนี้หรอก”
“อะไรนะ มึงบอกพ่อพลไปแล้วหรอ!”
“เออ” เขาตอบรับสั้น ๆ
แต่นั่นเปรียบเสมือนหมัดหนัก ๆ ชกเข้าที่ท้องจนจุก ผมพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ๆ จนตงเปียนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มึงเป็นอะไรวะ”
ผมส่ายหัวทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่ากำลังทำหน้าเครียด
เมื่อเห็นว่าพวกคิมหันต์ทยอยออกจากโรงอาหาร ผมจึงรีบรับประทานให้เรียบร้อยและตามหลังไปติด ๆ โดยทิ้งตงเปียนไว้ที่นั่นอย่างไม่สนใจ ตอนนี้สมองไม่มีที่ว่างสำหรับความคิดอื่นใดนอกจากเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณพ่อจะทำอะไรกับพวกนั้นบ้าง? ผมคิดอย่างกลัดกลุ้มขณะเร่งเดินไปยังวัดน้อย
เมื่อมาถึงทุกคนก็เข้าไปข้างในนั้น ส่วนผมตัดสินใจแหวกเข้าไปในดงไม้พุ่มข้าง ๆ วัดและคอยแอบดูสถานการณ์จากช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่บานหนึ่ง
ภายในวัดประกอบไปด้วยคุณพ่ออรรถพล คุณพ่อประเสริฐและบราเดอร์วิน พวกท่านทั้งสามยืนอยู่ด้านหน้าพระแท่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ส่วนคิมหันต์ ชลเทพ ปราการและคนอื่น ๆ นั่งหน้าจ๋อยบนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับสวดภาวนา ซึ่งบรรยากาศตอนนี้ดูตึงเครียดและน่าอึดอัดมากจนแทบจะจับต้องได้
“รู้ใช่ไหมว่าพ่อเรียกมาที่นี่ทำไม” เสียงของคุณพ่ออรรถพลดังก้องไปทั่วทั้งวัด ท่านกวาดสายตามองเด็กหนุ่มด้วยความอดทนอดกลั้น “พ่อไม่อยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อเสียเวลา งั้นเรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า”
คุณพ่อเริ่มเท้าความถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันเสาร์แต่ไม่ระบุชื่อคนแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ ท่านหันไปถามคุณพ่อประเสริฐกับบราเดอร์วินเป็นครั้งคราวเพื่อขอคำอธิบาย จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ทำเอาใคร ๆ ก็ต้องหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปหลายนาทีในที่สุดท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
“พ่อขอให้เราบอกความจริงต่อหน้าพระเยซูเจ้ากับแม่พระ และถ้าใครรู้ตัวว่าทำผิดก็สารภาพออกมาจะดีกว่า” แล้วจึงกล่าวเสริมอีกว่า “มีใครอยากเล่าให้พ่อฟังไหม พ่ออยากฟังเรื่องราวจากฝั่งพวกเอ็งบ้าง”
ทว่าพวกเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือแม้แต่จะกระดุกกระดิกเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คุณพ่ออรรถพลผิดหวัง ผมสังเกตได้จากสีหน้าบึ้งตึงและท่าทางของท่าน
ผมมองไปทางชลเทพ หมอนั่นดูเลิ่กลั่กมากที่สุด เขาหน้าซีดและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่คิมหันต์กลับยกมือขึ้นตัดหน้าเสียก่อน ทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“ผมเป็นคนชวนพวกมันสูบครับ ผมผิดเอง” คิมหันต์ว่า ใบหน้าเด็ดเดี่ยวไม่แสดงอาการหวาดกลัวใด ๆ
ทุกคนที่ได้ยินต่างมีสีหน้าตกใจ ชลเทพกับปราการอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว แต่คุณพ่ออรรถพลไม่แสดงอาการใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกันเมื่อได้ยิน ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อในสิ่งที่หลานชายพูดเสียด้วยซ้ำ คุณพ่อกำลังมองคิมหันต์ด้วยสายตาพิจารณาไตร่ตรอง
“เอ็งก็รู้ว่ามันผิดไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่ที่บ้านเณรเลย โรงเรียนไหน ๆ เขาก็มีกฎระเบียบห้ามเรื่องพวกนี้” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม
“ครับ” คิมหันต์ว่า “ผมแค่อยากลอง”
“อยากลองรึ” คุณพ่อเลิกคิ้วสูงอย่างอดกลั้น “แล้วเอ็งไปเอาบุหรี่มาจากไหน”
“จากบ้านครับ”
คุณพ่ออรรถพลเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง สีหน้านิ่งเรียบยากที่จะคาดเดาความคิด
แล้วท่านก็หันไปสอบสวนคนอื่น ๆ เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงคุณพ่อประเสริฐด้วย ก่อนจะหันมาทางคิมหันต์อีกครั้ง
“เอ็งยอมรับจริง ๆ ใช่ไหมว่าเป็นคนชวนเพื่อนสูบบุหรี่” คุณพ่อมองคิมหันต์อย่างคาดหวัง
“ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น
ผมเห็นแววเสียใจปรากฏบนสีหน้าของท่านเมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของคิมหันต์
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้เอ็งสำหรับความผิดที่ได้ทำลงไป” คุณพ่อว่า “แต่ถึงอย่างนั้นพวกเอ็งทุกคนก็ต้องถูกทำโทษเข้าใจไหม”
พวกหนุ่ม ๆ พยักหน้าอย่างเศร้าสลด
แล้วจากนั้นคุณพ่อประเสริฐก็เดินนำทุกคนออกไปนอกวัดและสั่งให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ลานปูอิฐตัวหนอน ผมแหวกต้นไม้และขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะได้เห็นได้ถนัดตา หัวใจเต้นตึกตักด้วยความลุ้นระทึกและแทบอยู่นิ่งไม่ได้เลย
คุณพ่ออรรถพลรับไม้เรียวมาจากบราเดอร์วินและดัดมันจนโก่งงอดูน่ากลัวโดยมีคุณพ่อประเสริฐมองดูด้วยสีหน้ากังวลใจ ส่วนบราเดอร์วินก็ดูเป็นห่วงเป็นใยพวกเด็ก ๆ ไม่แพ้กัน จากนั้นการลงโทษก็เริ่มต้นขึ้น
ทุกคนแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อไม้เรียวฟาดลงที่ก้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังป๊าบ ทำให้เด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันหยุดดูเหตุการณ์อย่างสนใจ
คิมหันต์ถูกตีห้าครั้งโดยนับตามจำนวนเพื่อน ๆ ในกลุ่มซึ่งมีทั้งหมดห้าคน ส่วนที่เหลือโดนคนละสองครั้ง หวดแรกสำหรับความผิดโทษฐานที่ไม่ยอมห้ามคิมหันต์ ส่วนหวดที่สองสำหรับโทษฐานที่ยอมทำตามเขาและทุกคนต้องติดทัณฑ์บน
สักพักผมก็ตัดสินใจออกไปยืนรวมกับนักเรียนบางส่วนที่ถนนหน้าวัด สายตาไม่ละไปจากสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวของคิมหันต์และคนอื่น ๆ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาโกหกไปเพื่ออะไร
เพื่อปกป้องเพื่อน? เพื่อปกป้องชลเทพ? หรือว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆ
ตอนนี้ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความเท็จกันแน่
หลังการลงโทษสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็แยกย้าย และเมื่อชลเทพเห็นผมก็ถลึงตามองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนปราการและคนอื่น ๆ ต้องลากตัวไปอีกทาง ยกเว้นคิมหันต์ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวด
“คิม...”
ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี การปลอบใจไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดและการถามซักไซ้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสม ณ ตอนนี้ ดังนั้นผมจึงยื่นมือออกไปวางบนบ่าของเขาอย่างนุ่มนวล หวังว่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกแย่ ๆ ได้บ้าง
คิมหันต์ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ก่อนจะจับมือของผมออกอย่างสุภาพและเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นกับความรู้สึกเหมือนฟ้าสวรรค์กำลังจะพังทลายลงมา
วันนั้นผมไม่มีสมาธิเรียนวิชาที่เหลือในช่วงบ่ายเลย ความคิดของผมเอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และถึงแม้ผมกับคิมหันต์จะนั่งข้างกันแต่เราก็เหมือนอยู่ห่างไกล สังเกตได้จากภาษากายที่อีกฝ่ายแสดงออก ทั้งสีหน้า องศาการหันตัวและหัวเข่าที่ชี้ไปทางอื่น
ผมอยากคุยกับเขาใจจะขาด อยากถามเกี่ยวกับเรื่องคาใจทั้งหมด และเหนือสิ่งอื่นใดผมอยากให้เขามองมาทางผมบ้าง ไม่จำเป็นต้องยิ้มหรือพูดอะไรทั้งนั้น ขอแค่มองมาเฉย ๆ ก็พอ
เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ผมจึงพลิกสมุดไปด้านหลังและเริ่มต้นเขียนลงไป
เจ็บมากไหม เป็นยังไงบ้าง
เขียนเสร็จก็เลือนสมุดไปยังโต๊ะของคิมหันต์ เขาก้มมองอ่านครู่หนึ่งก่อนจะลงมือเขียน แล้วจึงส่งกลับมาภายในไม่กี่วินาที
ไว้คุยกันที่ห้อง
ผมอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้อง มันไม่ใช่เพราะความวิตกกังวลหากแต่เป็นระลอกคลื่นแห่งความเบิกบาน ซึ่งมันคือกำลังใจเดียวที่ช่วยให้ผมอยู่รอดจนถึงตอนเย็น
“มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ”
ตงเปียนเข้ามาหาผมระหว่างที่เดินกลับห้อง ผมหยุดที่กลางทางและยืนจ้องหน้าเขา
“เปล่า กูไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ กูเห็นมึงดูซึม ๆ แปลก ๆ”
“เออ กูไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” ผมตอบอย่างขอไปที “แล้ว...มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“ไปตีแบตด้วยกันไหม” ตงเปียนเอ่ยชวนด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไอ้รัตน์กับไอ้นนท์ก็ไปด้วย”
“น่าสนใจนะมึงแต่กูมีนัดว่ะ โทษที”
เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นัดกับใครวะ” เขาถาม
“กับคิม” ผมตอบ
ตงเปียนนิ่งเงียบ สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
“อ่อ...โอเค”
“งั้นกูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“เดี๋ยวก่อนมึง” เขาเดินเข้ามาใกล้และคว้าข้อมือผมเอาไว้ “มึงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมเกี่ยวกับเรื่องที่กูบอกพ่อพล”
น้ำเสียงของตงเปียนฟังดูกังวล ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำถามนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือผมไม่ได้โกรธตงเปียนแน่นอน
“หึ กูไม่ได้มีปัญหาอะไร” ผมบอกและฝืนยิ้ม “กูเข้าใจมึงนะ ไม่ต้องคิดมาก”
“โอเค” เขาว่า “ถ้างั้นวันหลังค่อยไปเล่นด้วยกัน”
ผมโบกมืออำลาก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
เมื่อถึงห้องผมก็รีบเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลอง จากนั้นก็ค้นหายาหม่องกับยาแก้อักเสบตามตู้และลิ้นชักต่าง ๆ เสร็จแล้วจึงนั่งรอคิมหันต์กลับมาอย่างอดทน
ขณะเดียวกันผมก็ใช้เวลาช่วงนั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายและพยายามเข้าข้างการตัดสินใจของตงเปียนด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียพวกนั้นก็ทำผิดกฎระเบียบจริง ๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ผมสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายสมอง หันไปมองหน้าต่างบานเกล็ดที่มีผ้าม่านสีน้ำตาลแหวกเปิดออก เผยให้เห็นท้องฟ้าภายนอกที่กลายเป็นสีส้มแก่สวยงาม ก้อนเมฆละลายเป็นเส้นบาง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว เปิดทางให้แสงแดดยามอัสดงส่องกระทบเตียงนอนอีกหลังที่อยู่ติดหน้าต่าง
แสงแดด ท้องฟ้าสีแสดกับกลิ่นอายของฤดูร้อนในอากาศคอยเตือนผมให้นึกถึงวันแรกที่ได้พบกะบคิมหันต์เสมอ
เช่นเดียวกับแสงในดวงตา แสงสะท้อนจากผิวสีชาและยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้ที่มักทำให้หัวใจของผมเต้นรัว
ผมนึกภาพตอนที่เราได้คุยกันหลังจากนี้ ผมควรจะถามเกี่ยวกับเรื่องสำคัญหรือใช้โอกาสนี้ถามเขาในเรื่องสนองตัณหาอย่างเช่น “นายตั้งใจใช้หัวเข่าชนกับขาเราใช่ไหม” หรือ “เคยทำแบบนี้กับใครมาบ้างหรือเปล่า” แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีวันทำแบบนั้นได้
ผมมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความระแวดระวัง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปทางเตียงนอนอีกฝั่ง นั่งลงและเอามือลูบไล้ผ้าปูเตียงอย่างเบามือ
ผมจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรหากคิมหันต์ไม่อยากมองหน้าผมอีกแล้วเพราะเรื่องในวันนี้ ผมคิด
ความเสียใจและความเศร้าคงกลืนกินผมจนไม่เหลือซาก และถ้าหากผมตกอับเกินกว่าจะรับไหวก็อาจทิ้งจดหมายให้คิมหันต์และหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปยังที่ที่มีอิสระจะทำตามหัวใจ สถานที่ที่ให้โอกาสได้เลือกจับมือกับพระเจ้าหรือปล่อยมือ แต่กระนั้นผมก็นึกภาพไม่ออกว่าจะเงยหน้ามองท้องฟ้าในฤดูร้อนได้อย่างไรโดยไม่รู้สึกอยากตาย
ในที่สุดผมก็เอนกายและนอนแผ่บนเตียง ปล่อยให้กลิ่นของคิมหันต์โอบอุ้มร่างของผมเอาไว้เงียบ ๆ มันอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการคิดมากผมจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าห้องเปิดไฟสว่างไสว
คิมหันต์กำลังนั่งมองผมจากเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา ผมกระโดดออกจากเตียงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“มานานหรือยัง” ผมถามขณะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความขายหน้า
“ไม่นาน ประมาณสิบนาทีเอง” คิมหันต์บอก เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ผมพยักหน้างึก ๆ
อย่างไรก็ตามถึงแม้คิมหันต์จะไม่เอ่ยถามว่าทำไมผมถึงขึ้นไปนอนบนเตียงของเขา แต่ผมก็รู้สึกว่าควรจะอธิบายให้ชัดเจน
“เอ่อ...เราขอโทษที่นอนบนเตียงของนายนะ” ผมพูดโดยไม่ยอมสบตา “พอดี...พอดีไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกน่ะ สงสัยจะเพลียก็เลยเผลอหลับไป”
“ไม่เป็นไร ตามสบายเลย” เขาบอกยิ้ม ๆ
“เจ็บมากไหม” ผมถามขณะแสร้งทำเป็นหยิบจับข้าวของบนโต๊ะเพื่อกลบเกลื่อนอาการเคอะเขิน
“โห เจ็บดิถามได้ โดนตั้งห้าที”
“งั้นเอายานี่ไปกิน พอหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ทายาหม่องด้วยจะได้หายไว ๆ” ผมยื่นห่อยาให้เขา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำเช่นนี้
คิมหันต์ยื่นมือมารับและพลิกดูไปมา
“ขอบใจนะ”
ผมยิ้ม
จู่ ๆ เราสองคนต่างมองไปคนละทางราวกับพยายามหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมอง ขณะเดียวกันผมก็นับลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกความกล้า
“คิม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงบอกพ่อพลไปแบบนั้น” ในที่สุดผมก็เข้าประเด็น “นายพูดออกไปแบบนั้นเพื่อปกป้องไอ้ชลเหรอ หรือว่า...หรือว่ามันคือความจริง”
“นายรู้ได้ไงว่าเราพูดอะไร” คิมหันต์ถาม เขามองผมด้วยสายตากึ่งประหลาดใจกึ่งสงสัย
“ก็...เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” ผมบ่ายเบี่ยง
คิมหันต์เกาที่ด้านหลังศีรษะด้วยสีหน้างุนงง
“อืมใช่ เราพูดออกไปก็เพราะอยากช่วยไอ้ชลนั่นแหละ” เขาตอบด้วยซุ่มเสียงที่ออกจะแข็ง ๆ อยู่บ้าง “ถ้าไม่ทำแบบนั้นมันต้องเดือดร้อนแน่ ๆ”
“เราเข้าใจนะว่านายอยากช่วยเพื่อน แต่นายไม่กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” ผมถาม
คิมหันต์ขมวดคิ้ว
“แต่นายเคยบอกเองนะว่าถ้ามีเรื่องอีกไอ้ชลโดนไล่ออกแน่” เขาว่า “แล้วถ้ารันเป็นเราล่ะ นายจะไม่ยอมช่วยเพื่อนเลยเหรอ”
คิมหันต์เว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกว่า
“แล้วถ้าเป็นเราล่ะ นายจะทำเพื่อเราไหม”
ผมจ้องหน้าคิมหันต์เขม็ง ปากคอแห้งผากไปชั่วขณะ
แน่นอนว่าผมเคยทำเรื่องลำบากใจบางอย่างเพื่อเพื่อนและคิดว่าคงทำมันได้อีก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ความร่วมมือได้มากน้อยแค่ไหนเพราะในอีกแง่มันก็สวนทางกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
แต่ถ้าให้ผมพิจารณาด้วยหัวใจเปิดกว้างและอ่อนหวานเหมือนนักบุญสักองค์ ผมอาจจะยอมทำทุกอย่างแบบไร้ข้อแม้ด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์ แม้ว่ามันจะทำให้ผมเดือดร้อนไปด้วยก็ตาม
ผมเผลอกัดปากขณะต่อสู้กับความรู้สึกในใจ
“ค...คือ...”
และในช่วงจังหวะที่ผมลังเลที่จะตอบ คิมหันต์ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ
“แต่เราทำเพื่อรันได้นะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เพราะว่ารันเป็นเพื่อนของเราไง”
ผมหน้าชาไปทันที
คิมหันต์จะยอมทำเพื่อผมอย่างนั้นหรือ? เขาพูดจริง ๆ ใช่ไหม?
ถ้าเช่นนั้นแล้วขอบเขตของการอุทิศตนนี้มีมากน้อยแค่ไหน?
ถึงผมจะรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ถ้าคิมหันต์ยอมโดนตีห้าครั้งและยอมเสียประวัติสมบูรณ์แบบเพียงแค่ต้องการช่วยชลเทพแล้วละก็ นั่นก็แสดงว่าเขาพูดจริง
ผมคิดขณะมองดวงตาสีน้ำตาลคิมหันต์ ลึก ๆ แอบหวังว่าอาจมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ในคำว่า “เพื่อน” แต่ความนิ่งสงบของอีกฝ่ายได้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้สื่อถึงอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอและพูดออกมาในที่สุด
“อืม...เราก็ทำเพื่อนายได้เหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนกันนิ”
คิมหันต์ยิ้มก่อนจะก้มหน้ามองพื้น ขณะที่เสียงลมหายใจของผมสั่นผิดปกติราวกับฉากดึงอารมณ์ในละคร จากนั้นสักพักผมก็เอ่ยถามคิมหันต์อีกครั้ง
“แล้วนายไม่สงสัยเหรอว่าใครเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อพล”
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นและส่ายหัว
“ไม่ใช่รันก็แล้วกัน” เขาว่า แววตาที่มองมามีประกายแห่งความเชื่อมั่น
นั่นทำให้ผมเกือบยิ้มออกมาด้วยความดีใจ หากแต่ก็ยังไม่ช่วยให้สบายใจได้เต็มร้อย
“คิม เรามีเรื่องจะขอร้อง”
“อะไรเหรอ”
“คือตอนนี้พวกไอ้ชลเข้าใจว่าเราเป็นคนฟ้องใช่ไหม”
ตอนแรกคิมหันต์เงียบไม่ยอมตอบ แต่แล้วก็พยักหน้า
“ถ้างั้นก็ปล่อยให้มันเข้าใจแบบนั้นไปเถอะ”
“หมายความว่ายังไง” คิมหันต์ว่า สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ
“หมายความว่าเรากำลังช่วยปกป้องตงเปียนไง เหมือนที่คิมช่วยพวกเพื่อน ๆ นั่นแหละ”
คิมหันต์ทำตาโต
“ตงเปียนเป็นคนบอกพ่อพลเหรอ”
ผมชะงัก
“ใช่ แต่นายอย่าไปบอกใครนะเราขอร้อง”
ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้มาเกิดกับผมดีกว่า ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับตงเปียนเพราะได้ยินมาว่าพ่อแม่ของเขาดุมาก หากมีรายงานความประพฤติไม่เหมาะสมแจ้งไปทางบ้านแล้วล่ะก็ ผมเดาว่าเขาคงโดนทำโทษแน่นอน
คิมหันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง เม้มปากอย่างครุ่นคิดและดูลำบากใจ
“แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ไม่กลัวตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” คิมหันต์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ผมเหมือนเห็นตัวเองที่เคยถามคำถามนี้ในตอนแรก
ผมส่ายหัว
“ก็ถ้าคิมไม่กลัวเราก็ไม่กลัวเหมือนกัน” ผมตอบอย่างหนักแน่น
คิมหันต์จ้องมองผมนิ่งจนเริ่มรู้สึกประหม่า
“ว่าไงคิม ช่วยเราหน่อยนะ”
“ก็ได้ ๆ” เขาว่า “แต่นายแน่ใจนะว่าอยากให้เราทำแบบนี้จริง ๆ”
“แน่ใจสิ” ผมบอก “คิมไม่ต้องคิดมากหรอก”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ความจริงแล้วผมไม่รู้เลยว่าจะรับมืออย่างไรและจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีที่ได้ปกป้องเพื่อน และตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจหัวอกของคิมหันต์แล้ว
ผมทำอะไรลงไป
ความคิดมากมายทะลักพรั่งพรูเหมือนเขื่อนเก็บน้ำที่เปิดออก อารมณ์ทั้งหลายประเดประดังเข้ามาจนรู้สึกแน่นทรวงอก ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองกางเกนเหนือประตูระเบียง จ้องมองนิ่ง ๆ ราวกับกำลังรอฟังคำตอบที่ไม่สามารถหาได้จากโลกนี้
พระเจ้าช่วยผมด้วย...โปรดอย่าทำให้ผมทุกข์ใจ อย่าทำให้ผมเสียเพื่อน และอย่าทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนผิด
ผมพยายามกล่อมตัวเองให้รู้สึกดีด้วยความคิดที่ว่า ทั้งหมดที่ทำลงไปคือการปกป้องตงเปียน แต่พอผ่านไปสักพักความคิดเหล่านั้นก็เริ่มเปลี่ยน กลายเป็นความอับอายและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันบีบรัดจนผมทนไม่ไหวถึงขนาดต้องเดินรอบ ๆ ห้องเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ผมน่าจะเงียบและพาตงเปียนเดินหนีออกมา
ถ้าทำแบบนั้นผมกับชลเทพอาจจะยังรักษามิตรภาพเอาไว้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ตอบโต้หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี
ผมไม่โกรธหรอกที่เขาตอกย้ำเรื่องชาติกำเนิดของผม แต่ผมทนไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดใส่ตงเปียน ได้เห็นสายตาและท่าทางเหยียดหยาม นั่นต่างหากที่ทำให้ผมโกรธจนไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้เลย
เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เที่ยวพูดจาบาดหูและสร้างความบาดหมางไปทั่ว ผมรู้ว่าชลเทพเป็นคนดื้อรั้น แต่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาต้องใจร้ายกับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ทว่านั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับการได้รู้ว่าคิมหันต์ใช้เวลาทั้งวันทำเรื่องเหลวไหลกับคนพวกนี้
แต่ผมก็ไม่ควรเดินจากมาโดยทิ้งคิมหันต์ไว้คนเดียวกับความรู้สึกหนักใจ
บางทีสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เรื่องทุกอย่างอาจสลับขั้วโดยสิ้นเชิง ผมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่
ผมใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้สำเร็จ จากนั้นจึงนั่งรอคิมหันต์กลับห้องอย่างอดทน ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นระส่ำระสายอย่างวิตกกังวล
จนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่ม เสียงดังเอะอะข้างนอกค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับอากาศอบอุ่น เมื่อได้ยินเสียงกลอนประตูขยับและบานพับเปิดออก จึงปรากฏร่างของบุคคลที่ผมเฝ้ารอคอย
เพียงเวลาชั่วครู่ที่ดูเหมือนเนิ่นนานขณะเราสองคนสบตากัน ผมพร้อมแล้วที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ขอแค่อย่าให้เรารู้สึกต่อกันเพียงแค่รูมเมทที่ควรรักษาระยะห่าง เพราะสวรรค์รู้ว่าผมต้องการให้เราเป็นมากกว่าเพื่อนที่เข้าใจกันในทุก ๆ เรื่อง
คิมหันต์ยืนยิ้มประหม่า ๆ อยู่ที่ปากประตู จากนั้นจึงลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผม เราอยู่ใกล้กันมากจนผมสังเกตเห็นว่าเสื้อและแขนของเขามีสีเปื้อนเปอะเป็นหย่อม ๆ แถมยังได้กลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นฉุนของทินเนอร์จากตัวเขาอีกด้วย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่ไม่ลงตัวอย่างยิ่งทว่าผมกลับสูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังดมกลิ่นดอกไม้หอม
“รัน เราขอโทษจริง ๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย” คิมหันต์บอก สายตาไม่มองสิ่งอื่นใดนอกจากจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
“ไม่ต้องขอโทษเราหรอก เราต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ” ผมพยายามสุดความสามารถที่จะไม่หันไปทางอื่น
คิมหันต์เลิกคิ้วดกดำขึ้น
“ขอโทษเราเหรอ ขอโทษเรื่องอะไร” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ที่เราไม่ฟังที่นายพยายามห้ามเลยไง” ผมอธิบาย “สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้”
คิมหันต์อมยิ้ม
“รันไม่มีอะไรต้องขอโทษเราทั้งนั้น เราเข้าใจดีว่าตอนนั้นนายรู้สึกยังไง”
ผมพยักหน้า ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามคำถามนั้น
“แล้วคิมได้สูบบุหรี่กับพวกไอ้ชลหรือเปล่า...เราตามหา...”
ผมชะงัก เกือบจะพลั้งปากพูดความรู้สึกนึกคิดแท้จริงออกไป ราวกับว่าหากทำเช่นนั้นคิมหันต์จะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวและจับได้ว่าผมคิดกับเขาอย่างไร กลัวเขาจะรู้ว่าผมอยากเห็นหน้ามากแค่ไหน หากแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยหรือคาดคั้นให้พูดประโยคที่เหลือต่อจนจบ
กลับกันเขาขยับเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสมือนมีคำพูดขออนุญาตกระซิบออกมา และในวินาทีที่หัวใจเหมือนย้ายขึ้นมาเต้นอยู่ในลำคอ ณ ตอนนั้นเองหัวเข่าของเราก็สัมผัสกันอย่างนุ่มนวล
“ใช่ เราสูบบุหรี่กับพวกนั้นจริง ๆ” เขายอมรับอย่างหนักแน่นโดยยังคงสบตาผมอยู่ “เราอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงก็เลยขอจากไอ้ชลมาลองสูบสักตัว ไม่มีใครบังคับเราเลยสักคน...เราเต็มใจทำเอง”
แต่ผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับคำพูดของคิมหันต์เลยสักนิด เพราะทั้งหมดที่รับรู้ในตอนนี้คือผิวของเราที่กำลังสัมผัสกัน ซึ่งกางเกงขาสั้นเปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจรายละเอียดที่พลาดไปเมื่อคราวก่อน ทั้งความอบอุ่นและขนขาสากเคือง ผมเคลิบเคลิ้มไปกับมันจนเผลอใช้หัวเข่าขยับขึ้นลงตามขาอ่อนของอีกฝ่าย
และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไปแล้วละก็ ผมคิดว่าอีกฝ่ายก็ตอบสนองกลับด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับของผมด้วยเช่นกัน มันเป็นสัมผัสที่เหมือนดังหมอกยามรุ่งอรุณ อบอุ่นและหนาวเย็นในเวลาเดียวกัน
ผมหลับตาลงพลางตั้งคำถามในใจ
นี่คือเรื่องจริงหรือเปล่านะ?
เพราะบางครั้งผมก็ฝันถึงเรื่องเหล่านี้บ่อยมากจนเริ่มรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริง
“อืม...” คิมหันต์ผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง
ผมชะงักและหยุดตัวเองเมื่อตระหนักว่ากำลังทำอะไรอยู่ หัวใจเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ คิมหันต์ขยับออกห่างเล็กน้อยและใช้มือข้างหนึ่งลูบท้ายทอย ส่วนผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเพราะเขินอาย
“อ...เอ่อ...ช่างมันเถอะ วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ อยากรู้อยากลองไปหมด” ผมบอกและแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ “แต่คราวหลังนายต้องคิดให้มาก ๆ นะเวลาจะทำอะไร เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่ต้องนึกถึงพ่อแม่กับลุงของนายด้วย”
คิมหันต์พยักหน้า
แล้วจากนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาทำอะไรบ้างตั้งแต่เช้า เริ่มจากนั่งรถออกไปข้างนอกกับคุณพ่อประเสริฐเพื่อหาซื้ออุปกรณ์ถางป่าและทาสีกำแพงโรงเรียน แต่หลังจากที่คุณพ่อขอตัวไปทำงานอย่างอื่น พวกเขาก็พากันหลบไปนั่งพักที่ใต้ร่มเงาของกำแพง ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสูบบุหรี่เพื่อคลายเหนื่อยและเรื่องวุ่นวายทั้งหมด
ผมนั่งก้มหน้าฟังเงียบ ๆ จนจบ ถึงแม้จะดีใจที่ได้ทราบมูลความจริง แต่ก็ยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมรู้ว่าคิมหันต์เป็นคนฉลาดแต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังขาดความรอบคอบ
จะทำอย่างไรหากมีคนอื่นมาเจอ ผมคิด
เพราะต่อให้เป็นหลานของคุณพ่ออธิการก็ไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์นี้ เขาเสี่ยงที่จะถูกลงโทษสถานหนักหรือเลวร้ายสุดคือโดนไล่ออก
ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะเตือนสติคิมหันต์อย่างไรจนลืมสังเกตไปว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้ามากแค่ไหน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าดวงตาของเขาหรี่ปรือและแดงระเรื่อ ไหล่ทั้งสองข้างที่เคยผึ่งผายกลับลู่ลง คิมหันต์ดูตัวเล็กลงจนผมอยากประคองเขาไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม
แล้วเขาก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวาน ผมเขินมากจนต้องมองไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นสนใจปฏิทินที่ตั้งบนโต๊ะ
“อยู่นิ่ง ๆ แป๊บนึงนะ”
พูดจบคิมหันต์ก็ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง จากนั้นก็ซบไหล่ขวาของผมและหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ผมตัวแข็งทื่อทันที สมองว่างเปล่าและประสาทไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไปนอกจากน้ำหนักบนไหล่
ในขณะที่ผมกำลังประหม่าและทำตัวไม่ถูก คิมหันต์ก็ได้ทำให้หัวใจของผมละลายอีกครั้งด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับต้นขาของผม ตอนนี้ผมจึงมั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่จินตนาการ เขาจงใจทำแบบนี้จริง ๆ
คิมหันต์กำลังทดสอบผมอยู่ใช่ไหม หรือว่าเขารู้แล้วว่าผมแอบชอบ
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามผมไม่คิดจะสนใจมัน ณ ตอนนี้ เพราะขนขาซาก ๆ ที่กำลังบดขยี้กับขาอ่อนของผมได้ทำให้สมองมุ่งจดจ่อไปทางอื่นราวกับต้องมนตร์สะกด
ใช้หัวเข่าดันเข้าไปให้ลึกกว่านี้ บุกเข้าไปให้ถึงเป้ากางเกงของเขาแล้วลองดุนดันดูสิว่ามันจะตื่นตัวไหม จะคับแน่นกางเกงชั้นในเหมือนกับของผมตอนนี้หรือเปล่า จากนั้นก็รูดซิปลงมา...
“ขอบคุณมากนะ” คิมหันต์บอกหลังจากกลับไปนั่งหลังตรง “ถ้างั้นเราไปอาบน้ำก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าวัดแต่เช้า”
เขาตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะลากเก้าอี้ไปเก็บที่เดิม แล้วจึงเดินไปทางตู้เสื้อผ้าเพื่อหาของใช้อาบน้ำ
“อือ”
ผมครางตอบรับอย่างเหม่อลอย พลางมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายลับไปหลังบานประตูเหมือนคนไร้สติ แล้วคืนนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
เวลาผ่านมาจนถึงวันจันทร์ ตงเปียนกับผมไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันหลังเลิกเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนคิมหันต์ยังคงถูกปราการเหนี่ยวรั้งไว้ไม่เลิกจนเขาต้องยอมแยกไปนั่งด้วยที่โต๊ะอีกตัวซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในโรงอาหาร
“มึงว่าเราจะได้กี่คะแนน”
จู่ ๆ ตงเปียนก็เอ่ยถามถึงงานแปลบทความที่เพิ่งส่ง เขาต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงกระทบของช้อนกับถาดหลุมที่ดังระงมทั่วโรงอาหาร
ผมแกล้งทำเป็นครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“ได้เต็ม”
“โห มึงรู้ได้ไงอะ”
“กูมั่ว”
“แต่กูขอให้เป็นจริงเถอะ อาแมนนนนน” พูดจบเพื่อนตัวน้อยก็ทำสำคัญมหากางเขนอย่างรวดเร็วเพื่อขอให้สมหวัง ผมมองดูและได้แต่ส่ายหัว
ขณะรับประทานอาหารอยู่นั้นผมก็คอยลอบมองไปทางคิมหันต์ตลอด แม้จะอยากให้เรานั่งด้วยกันแต่เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาจากที่ไกล ๆ หัวใจก็เต้นแรงและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นผมก็นึกถึงตอนที่หัวเข่าของเราสัมผัสกันขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“มึงยิ้มทำไมวะ” ตงเปียนทำหน้างง
“กูเปล่าสักหน่อย” ผมคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มและรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อน “เออ แล้วมึงหายโกรธไอ้ชลหรือยัง”
ตงเปียนจ้องหน้าผมราวกับว่านี่เป็นคำถามไม่เข้าท่า
“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนถาม” เขาว่า “มึงกับมันทะเลาะกันหนักกว่ากูอีก”
ผมเบ้ปาก
“เอาจริง ๆ กูก็ยังโกรธมันอยู่นะ แต่ช่างมันเถอะ” ผมถอนหายใจและพยายามผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง
ตงเปียนไม่แสดงความเห็นใด ๆ กับคำพูดของผม
สักพักหนึ่งผมก็เห็นคุณพ่ออรรถพลลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ท่านเดินผ่านโต๊ะของเราและตรงไปยังบริเวณที่คิมหันต์กับเพื่อน ๆ กำลังนั่งกันอยู่ คุณพ่อคุยอะไรบางอย่างกับพวกเขา จากนั้นก็เดินออกนอกโรงอาหารไป
“พ่อพลไปคุยอะไรกับพวกนั้นวะ”
ผมหันไปถามความคิดเห็นจากตงเปียนแต่เขากลับเงียบเหมือนไม่ได้ยิน เมื่อผมถามอีกรอบเขาจึงวางช้อนลงอย่างนุ่มนวลและมองตาผม
“กูบอกพ่อพลไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันเสาร์” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแฝงความสะใจ “กูคิดว่าไม่น่าจะพ้นเรื่องนี้หรอก”
“อะไรนะ มึงบอกพ่อพลไปแล้วหรอ!”
“เออ” เขาตอบรับสั้น ๆ
แต่นั่นเปรียบเสมือนหมัดหนัก ๆ ชกเข้าที่ท้องจนจุก ผมพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ๆ จนตงเปียนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มึงเป็นอะไรวะ”
ผมส่ายหัวทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่ากำลังทำหน้าเครียด
เมื่อเห็นว่าพวกคิมหันต์ทยอยออกจากโรงอาหาร ผมจึงรีบรับประทานให้เรียบร้อยและตามหลังไปติด ๆ โดยทิ้งตงเปียนไว้ที่นั่นอย่างไม่สนใจ ตอนนี้สมองไม่มีที่ว่างสำหรับความคิดอื่นใดนอกจากเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณพ่อจะทำอะไรกับพวกนั้นบ้าง? ผมคิดอย่างกลัดกลุ้มขณะเร่งเดินไปยังวัดน้อย
เมื่อมาถึงทุกคนก็เข้าไปข้างในนั้น ส่วนผมตัดสินใจแหวกเข้าไปในดงไม้พุ่มข้าง ๆ วัดและคอยแอบดูสถานการณ์จากช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่บานหนึ่ง
ภายในวัดประกอบไปด้วยคุณพ่ออรรถพล คุณพ่อประเสริฐและบราเดอร์วิน พวกท่านทั้งสามยืนอยู่ด้านหน้าพระแท่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ส่วนคิมหันต์ ชลเทพ ปราการและคนอื่น ๆ นั่งหน้าจ๋อยบนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับสวดภาวนา ซึ่งบรรยากาศตอนนี้ดูตึงเครียดและน่าอึดอัดมากจนแทบจะจับต้องได้
“รู้ใช่ไหมว่าพ่อเรียกมาที่นี่ทำไม” เสียงของคุณพ่ออรรถพลดังก้องไปทั่วทั้งวัด ท่านกวาดสายตามองเด็กหนุ่มด้วยความอดทนอดกลั้น “พ่อไม่อยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อเสียเวลา งั้นเรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า”
คุณพ่อเริ่มเท้าความถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันเสาร์แต่ไม่ระบุชื่อคนแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ ท่านหันไปถามคุณพ่อประเสริฐกับบราเดอร์วินเป็นครั้งคราวเพื่อขอคำอธิบาย จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ทำเอาใคร ๆ ก็ต้องหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปหลายนาทีในที่สุดท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
“พ่อขอให้เราบอกความจริงต่อหน้าพระเยซูเจ้ากับแม่พระ และถ้าใครรู้ตัวว่าทำผิดก็สารภาพออกมาจะดีกว่า” แล้วจึงกล่าวเสริมอีกว่า “มีใครอยากเล่าให้พ่อฟังไหม พ่ออยากฟังเรื่องราวจากฝั่งพวกเอ็งบ้าง”
ทว่าพวกเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือแม้แต่จะกระดุกกระดิกเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คุณพ่ออรรถพลผิดหวัง ผมสังเกตได้จากสีหน้าบึ้งตึงและท่าทางของท่าน
ผมมองไปทางชลเทพ หมอนั่นดูเลิ่กลั่กมากที่สุด เขาหน้าซีดและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่คิมหันต์กลับยกมือขึ้นตัดหน้าเสียก่อน ทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“ผมเป็นคนชวนพวกมันสูบครับ ผมผิดเอง” คิมหันต์ว่า ใบหน้าเด็ดเดี่ยวไม่แสดงอาการหวาดกลัวใด ๆ
ทุกคนที่ได้ยินต่างมีสีหน้าตกใจ ชลเทพกับปราการอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว แต่คุณพ่ออรรถพลไม่แสดงอาการใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกันเมื่อได้ยิน ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อในสิ่งที่หลานชายพูดเสียด้วยซ้ำ คุณพ่อกำลังมองคิมหันต์ด้วยสายตาพิจารณาไตร่ตรอง
“เอ็งก็รู้ว่ามันผิดไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่ที่บ้านเณรเลย โรงเรียนไหน ๆ เขาก็มีกฎระเบียบห้ามเรื่องพวกนี้” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม
“ครับ” คิมหันต์ว่า “ผมแค่อยากลอง”
“อยากลองรึ” คุณพ่อเลิกคิ้วสูงอย่างอดกลั้น “แล้วเอ็งไปเอาบุหรี่มาจากไหน”
“จากบ้านครับ”
คุณพ่ออรรถพลเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง สีหน้านิ่งเรียบยากที่จะคาดเดาความคิด
แล้วท่านก็หันไปสอบสวนคนอื่น ๆ เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงคุณพ่อประเสริฐด้วย ก่อนจะหันมาทางคิมหันต์อีกครั้ง
“เอ็งยอมรับจริง ๆ ใช่ไหมว่าเป็นคนชวนเพื่อนสูบบุหรี่” คุณพ่อมองคิมหันต์อย่างคาดหวัง
“ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น
ผมเห็นแววเสียใจปรากฏบนสีหน้าของท่านเมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของคิมหันต์
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้เอ็งสำหรับความผิดที่ได้ทำลงไป” คุณพ่อว่า “แต่ถึงอย่างนั้นพวกเอ็งทุกคนก็ต้องถูกทำโทษเข้าใจไหม”
พวกหนุ่ม ๆ พยักหน้าอย่างเศร้าสลด
แล้วจากนั้นคุณพ่อประเสริฐก็เดินนำทุกคนออกไปนอกวัดและสั่งให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ลานปูอิฐตัวหนอน ผมแหวกต้นไม้และขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะได้เห็นได้ถนัดตา หัวใจเต้นตึกตักด้วยความลุ้นระทึกและแทบอยู่นิ่งไม่ได้เลย
คุณพ่ออรรถพลรับไม้เรียวมาจากบราเดอร์วินและดัดมันจนโก่งงอดูน่ากลัวโดยมีคุณพ่อประเสริฐมองดูด้วยสีหน้ากังวลใจ ส่วนบราเดอร์วินก็ดูเป็นห่วงเป็นใยพวกเด็ก ๆ ไม่แพ้กัน จากนั้นการลงโทษก็เริ่มต้นขึ้น
ทุกคนแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อไม้เรียวฟาดลงที่ก้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังป๊าบ ทำให้เด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันหยุดดูเหตุการณ์อย่างสนใจ
คิมหันต์ถูกตีห้าครั้งโดยนับตามจำนวนเพื่อน ๆ ในกลุ่มซึ่งมีทั้งหมดห้าคน ส่วนที่เหลือโดนคนละสองครั้ง หวดแรกสำหรับความผิดโทษฐานที่ไม่ยอมห้ามคิมหันต์ ส่วนหวดที่สองสำหรับโทษฐานที่ยอมทำตามเขาและทุกคนต้องติดทัณฑ์บน
สักพักผมก็ตัดสินใจออกไปยืนรวมกับนักเรียนบางส่วนที่ถนนหน้าวัด สายตาไม่ละไปจากสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวของคิมหันต์และคนอื่น ๆ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาโกหกไปเพื่ออะไร
เพื่อปกป้องเพื่อน? เพื่อปกป้องชลเทพ? หรือว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆ
ตอนนี้ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความเท็จกันแน่
หลังการลงโทษสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็แยกย้าย และเมื่อชลเทพเห็นผมก็ถลึงตามองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนปราการและคนอื่น ๆ ต้องลากตัวไปอีกทาง ยกเว้นคิมหันต์ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวด
“คิม...”
ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี การปลอบใจไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดและการถามซักไซ้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสม ณ ตอนนี้ ดังนั้นผมจึงยื่นมือออกไปวางบนบ่าของเขาอย่างนุ่มนวล หวังว่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกแย่ ๆ ได้บ้าง
คิมหันต์ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ก่อนจะจับมือของผมออกอย่างสุภาพและเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นกับความรู้สึกเหมือนฟ้าสวรรค์กำลังจะพังทลายลงมา
วันนั้นผมไม่มีสมาธิเรียนวิชาที่เหลือในช่วงบ่ายเลย ความคิดของผมเอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และถึงแม้ผมกับคิมหันต์จะนั่งข้างกันแต่เราก็เหมือนอยู่ห่างไกล สังเกตได้จากภาษากายที่อีกฝ่ายแสดงออก ทั้งสีหน้า องศาการหันตัวและหัวเข่าที่ชี้ไปทางอื่น
ผมอยากคุยกับเขาใจจะขาด อยากถามเกี่ยวกับเรื่องคาใจทั้งหมด และเหนือสิ่งอื่นใดผมอยากให้เขามองมาทางผมบ้าง ไม่จำเป็นต้องยิ้มหรือพูดอะไรทั้งนั้น ขอแค่มองมาเฉย ๆ ก็พอ
เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ผมจึงพลิกสมุดไปด้านหลังและเริ่มต้นเขียนลงไป
เจ็บมากไหม เป็นยังไงบ้าง
เขียนเสร็จก็เลือนสมุดไปยังโต๊ะของคิมหันต์ เขาก้มมองอ่านครู่หนึ่งก่อนจะลงมือเขียน แล้วจึงส่งกลับมาภายในไม่กี่วินาที
ไว้คุยกันที่ห้อง
ผมอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้อง มันไม่ใช่เพราะความวิตกกังวลหากแต่เป็นระลอกคลื่นแห่งความเบิกบาน ซึ่งมันคือกำลังใจเดียวที่ช่วยให้ผมอยู่รอดจนถึงตอนเย็น
“มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ”
ตงเปียนเข้ามาหาผมระหว่างที่เดินกลับห้อง ผมหยุดที่กลางทางและยืนจ้องหน้าเขา
“เปล่า กูไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ กูเห็นมึงดูซึม ๆ แปลก ๆ”
“เออ กูไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” ผมตอบอย่างขอไปที “แล้ว...มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“ไปตีแบตด้วยกันไหม” ตงเปียนเอ่ยชวนด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไอ้รัตน์กับไอ้นนท์ก็ไปด้วย”
“น่าสนใจนะมึงแต่กูมีนัดว่ะ โทษที”
เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นัดกับใครวะ” เขาถาม
“กับคิม” ผมตอบ
ตงเปียนนิ่งเงียบ สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
“อ่อ...โอเค”
“งั้นกูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“เดี๋ยวก่อนมึง” เขาเดินเข้ามาใกล้และคว้าข้อมือผมเอาไว้ “มึงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมเกี่ยวกับเรื่องที่กูบอกพ่อพล”
น้ำเสียงของตงเปียนฟังดูกังวล ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำถามนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือผมไม่ได้โกรธตงเปียนแน่นอน
“หึ กูไม่ได้มีปัญหาอะไร” ผมบอกและฝืนยิ้ม “กูเข้าใจมึงนะ ไม่ต้องคิดมาก”
“โอเค” เขาว่า “ถ้างั้นวันหลังค่อยไปเล่นด้วยกัน”
ผมโบกมืออำลาก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
เมื่อถึงห้องผมก็รีบเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลอง จากนั้นก็ค้นหายาหม่องกับยาแก้อักเสบตามตู้และลิ้นชักต่าง ๆ เสร็จแล้วจึงนั่งรอคิมหันต์กลับมาอย่างอดทน
ขณะเดียวกันผมก็ใช้เวลาช่วงนั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายและพยายามเข้าข้างการตัดสินใจของตงเปียนด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียพวกนั้นก็ทำผิดกฎระเบียบจริง ๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ผมสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายสมอง หันไปมองหน้าต่างบานเกล็ดที่มีผ้าม่านสีน้ำตาลแหวกเปิดออก เผยให้เห็นท้องฟ้าภายนอกที่กลายเป็นสีส้มแก่สวยงาม ก้อนเมฆละลายเป็นเส้นบาง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว เปิดทางให้แสงแดดยามอัสดงส่องกระทบเตียงนอนอีกหลังที่อยู่ติดหน้าต่าง
แสงแดด ท้องฟ้าสีแสดกับกลิ่นอายของฤดูร้อนในอากาศคอยเตือนผมให้นึกถึงวันแรกที่ได้พบกะบคิมหันต์เสมอ
เช่นเดียวกับแสงในดวงตา แสงสะท้อนจากผิวสีชาและยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้ที่มักทำให้หัวใจของผมเต้นรัว
ผมนึกภาพตอนที่เราได้คุยกันหลังจากนี้ ผมควรจะถามเกี่ยวกับเรื่องสำคัญหรือใช้โอกาสนี้ถามเขาในเรื่องสนองตัณหาอย่างเช่น “นายตั้งใจใช้หัวเข่าชนกับขาเราใช่ไหม” หรือ “เคยทำแบบนี้กับใครมาบ้างหรือเปล่า” แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีวันทำแบบนั้นได้
ผมมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความระแวดระวัง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปทางเตียงนอนอีกฝั่ง นั่งลงและเอามือลูบไล้ผ้าปูเตียงอย่างเบามือ
ผมจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรหากคิมหันต์ไม่อยากมองหน้าผมอีกแล้วเพราะเรื่องในวันนี้ ผมคิด
ความเสียใจและความเศร้าคงกลืนกินผมจนไม่เหลือซาก และถ้าหากผมตกอับเกินกว่าจะรับไหวก็อาจทิ้งจดหมายให้คิมหันต์และหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปยังที่ที่มีอิสระจะทำตามหัวใจ สถานที่ที่ให้โอกาสได้เลือกจับมือกับพระเจ้าหรือปล่อยมือ แต่กระนั้นผมก็นึกภาพไม่ออกว่าจะเงยหน้ามองท้องฟ้าในฤดูร้อนได้อย่างไรโดยไม่รู้สึกอยากตาย
ในที่สุดผมก็เอนกายและนอนแผ่บนเตียง ปล่อยให้กลิ่นของคิมหันต์โอบอุ้มร่างของผมเอาไว้เงียบ ๆ มันอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการคิดมากผมจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าห้องเปิดไฟสว่างไสว
คิมหันต์กำลังนั่งมองผมจากเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา ผมกระโดดออกจากเตียงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“มานานหรือยัง” ผมถามขณะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความขายหน้า
“ไม่นาน ประมาณสิบนาทีเอง” คิมหันต์บอก เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ผมพยักหน้างึก ๆ
อย่างไรก็ตามถึงแม้คิมหันต์จะไม่เอ่ยถามว่าทำไมผมถึงขึ้นไปนอนบนเตียงของเขา แต่ผมก็รู้สึกว่าควรจะอธิบายให้ชัดเจน
“เอ่อ...เราขอโทษที่นอนบนเตียงของนายนะ” ผมพูดโดยไม่ยอมสบตา “พอดี...พอดีไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกน่ะ สงสัยจะเพลียก็เลยเผลอหลับไป”
“ไม่เป็นไร ตามสบายเลย” เขาบอกยิ้ม ๆ
“เจ็บมากไหม” ผมถามขณะแสร้งทำเป็นหยิบจับข้าวของบนโต๊ะเพื่อกลบเกลื่อนอาการเคอะเขิน
“โห เจ็บดิถามได้ โดนตั้งห้าที”
“งั้นเอายานี่ไปกิน พอหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ทายาหม่องด้วยจะได้หายไว ๆ” ผมยื่นห่อยาให้เขา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำเช่นนี้
คิมหันต์ยื่นมือมารับและพลิกดูไปมา
“ขอบใจนะ”
ผมยิ้ม
จู่ ๆ เราสองคนต่างมองไปคนละทางราวกับพยายามหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมอง ขณะเดียวกันผมก็นับลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกความกล้า
“คิม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงบอกพ่อพลไปแบบนั้น” ในที่สุดผมก็เข้าประเด็น “นายพูดออกไปแบบนั้นเพื่อปกป้องไอ้ชลเหรอ หรือว่า...หรือว่ามันคือความจริง”
“นายรู้ได้ไงว่าเราพูดอะไร” คิมหันต์ถาม เขามองผมด้วยสายตากึ่งประหลาดใจกึ่งสงสัย
“ก็...เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” ผมบ่ายเบี่ยง
คิมหันต์เกาที่ด้านหลังศีรษะด้วยสีหน้างุนงง
“อืมใช่ เราพูดออกไปก็เพราะอยากช่วยไอ้ชลนั่นแหละ” เขาตอบด้วยซุ่มเสียงที่ออกจะแข็ง ๆ อยู่บ้าง “ถ้าไม่ทำแบบนั้นมันต้องเดือดร้อนแน่ ๆ”
“เราเข้าใจนะว่านายอยากช่วยเพื่อน แต่นายไม่กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” ผมถาม
คิมหันต์ขมวดคิ้ว
“แต่นายเคยบอกเองนะว่าถ้ามีเรื่องอีกไอ้ชลโดนไล่ออกแน่” เขาว่า “แล้วถ้ารันเป็นเราล่ะ นายจะไม่ยอมช่วยเพื่อนเลยเหรอ”
คิมหันต์เว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกว่า
“แล้วถ้าเป็นเราล่ะ นายจะทำเพื่อเราไหม”
ผมจ้องหน้าคิมหันต์เขม็ง ปากคอแห้งผากไปชั่วขณะ
แน่นอนว่าผมเคยทำเรื่องลำบากใจบางอย่างเพื่อเพื่อนและคิดว่าคงทำมันได้อีก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ความร่วมมือได้มากน้อยแค่ไหนเพราะในอีกแง่มันก็สวนทางกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
แต่ถ้าให้ผมพิจารณาด้วยหัวใจเปิดกว้างและอ่อนหวานเหมือนนักบุญสักองค์ ผมอาจจะยอมทำทุกอย่างแบบไร้ข้อแม้ด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์ แม้ว่ามันจะทำให้ผมเดือดร้อนไปด้วยก็ตาม
ผมเผลอกัดปากขณะต่อสู้กับความรู้สึกในใจ
“ค...คือ...”
และในช่วงจังหวะที่ผมลังเลที่จะตอบ คิมหันต์ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ
“แต่เราทำเพื่อรันได้นะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เพราะว่ารันเป็นเพื่อนของเราไง”
ผมหน้าชาไปทันที
คิมหันต์จะยอมทำเพื่อผมอย่างนั้นหรือ? เขาพูดจริง ๆ ใช่ไหม?
ถ้าเช่นนั้นแล้วขอบเขตของการอุทิศตนนี้มีมากน้อยแค่ไหน?
ถึงผมจะรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ถ้าคิมหันต์ยอมโดนตีห้าครั้งและยอมเสียประวัติสมบูรณ์แบบเพียงแค่ต้องการช่วยชลเทพแล้วละก็ นั่นก็แสดงว่าเขาพูดจริง
ผมคิดขณะมองดวงตาสีน้ำตาลคิมหันต์ ลึก ๆ แอบหวังว่าอาจมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ในคำว่า “เพื่อน” แต่ความนิ่งสงบของอีกฝ่ายได้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้สื่อถึงอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอและพูดออกมาในที่สุด
“อืม...เราก็ทำเพื่อนายได้เหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนกันนิ”
คิมหันต์ยิ้มก่อนจะก้มหน้ามองพื้น ขณะที่เสียงลมหายใจของผมสั่นผิดปกติราวกับฉากดึงอารมณ์ในละคร จากนั้นสักพักผมก็เอ่ยถามคิมหันต์อีกครั้ง
“แล้วนายไม่สงสัยเหรอว่าใครเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อพล”
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นและส่ายหัว
“ไม่ใช่รันก็แล้วกัน” เขาว่า แววตาที่มองมามีประกายแห่งความเชื่อมั่น
นั่นทำให้ผมเกือบยิ้มออกมาด้วยความดีใจ หากแต่ก็ยังไม่ช่วยให้สบายใจได้เต็มร้อย
“คิม เรามีเรื่องจะขอร้อง”
“อะไรเหรอ”
“คือตอนนี้พวกไอ้ชลเข้าใจว่าเราเป็นคนฟ้องใช่ไหม”
ตอนแรกคิมหันต์เงียบไม่ยอมตอบ แต่แล้วก็พยักหน้า
“ถ้างั้นก็ปล่อยให้มันเข้าใจแบบนั้นไปเถอะ”
“หมายความว่ายังไง” คิมหันต์ว่า สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ
“หมายความว่าเรากำลังช่วยปกป้องตงเปียนไง เหมือนที่คิมช่วยพวกเพื่อน ๆ นั่นแหละ”
คิมหันต์ทำตาโต
“ตงเปียนเป็นคนบอกพ่อพลเหรอ”
ผมชะงัก
“ใช่ แต่นายอย่าไปบอกใครนะเราขอร้อง”
ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้มาเกิดกับผมดีกว่า ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับตงเปียนเพราะได้ยินมาว่าพ่อแม่ของเขาดุมาก หากมีรายงานความประพฤติไม่เหมาะสมแจ้งไปทางบ้านแล้วล่ะก็ ผมเดาว่าเขาคงโดนทำโทษแน่นอน
คิมหันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง เม้มปากอย่างครุ่นคิดและดูลำบากใจ
“แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ไม่กลัวตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” คิมหันต์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ผมเหมือนเห็นตัวเองที่เคยถามคำถามนี้ในตอนแรก
ผมส่ายหัว
“ก็ถ้าคิมไม่กลัวเราก็ไม่กลัวเหมือนกัน” ผมตอบอย่างหนักแน่น
คิมหันต์จ้องมองผมนิ่งจนเริ่มรู้สึกประหม่า
“ว่าไงคิม ช่วยเราหน่อยนะ”
“ก็ได้ ๆ” เขาว่า “แต่นายแน่ใจนะว่าอยากให้เราทำแบบนี้จริง ๆ”
“แน่ใจสิ” ผมบอก “คิมไม่ต้องคิดมากหรอก”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ความจริงแล้วผมไม่รู้เลยว่าจะรับมืออย่างไรและจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีที่ได้ปกป้องเพื่อน และตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจหัวอกของคิมหันต์แล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ