เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ล้างแค้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผ่านมาประมาณเกือบสองสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่วันที่พวกคิมหันต์ถูกทำโทษ ข้อดีของเวลาคือช่วยให้ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งในกรณีนี้ผมปรารถนาให้ตัวเองลืมเรื่องแย่ ๆ ไปให้หมด
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาไม่ว่าจะไปที่ไหนผมก็มักได้ยินเพื่อน ๆ พูดคุยกันเรื่องนี้ บางคนถึงขั้นรบเร้าให้ผมเล่าความจริงแต่ผมก็ไม่เคยปริปาก และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเหลืออดจริง ๆ ก็จะดึงพระเจ้าเข้ามาช่วยโดยการอ้างถึงพระบัญญัติสิบประการข้อที่แปดที่ว่า “อย่าพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น” บางคนยอมหยุดเพราะไม่อยากไปแก้บาป แต่บางคนก็กลอกตาและทำเป็นไม่สนใจ
ในขณะเดียวกัน แม้ชลเทพจะมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตรยามที่เราเดินสวนกันที่ไหนสักแห่ง หรือตอนที่ปราการเดินเข้ามาใกล้และพูดจาไม่ลื่นหู แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมสะทกสะท้านแต่อย่างใดทว่ากลับรู้สึกสบายใจมากกว่า เพราะหมายความว่าพวกเขาไม่ได้สงสัยตงเปียนอย่างที่ผมกังวล
แต่เพื่อความสบายใจช่วงนี้ผมจึงไปไหนมาไหนกับตงเปียนตลอด ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น โดยผมถือว่าอย่างน้อยก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง
สุดท้ายเมื่อไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัด ฉะนั้นเรื่องนี้จึงถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงผมต้องขอบคุณกิจกรรมกีฬาสีที่จะถึงในเร็ว ๆ นี้เพราะมันช่วยเบนความสนใจของใคร ๆ ได้มากทีเดียว
ช่วงกลางเดือนกันยายนของทุกปีทางบ้านเณรจะมีการจัดงานกีฬาสีเป็นระยะเวลาสามวัน งานนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนที่อื่น ๆ เนื่องด้วยจำนวนนักเรียนที่ค่อนข้างน้อย แต่บรรดาคุณพ่อก็ดูตื่นเต้นมาก เช่นเดียวกับพวกนักเรียนที่เอาแต่คุยไม่หยุดว่าปีนี้ตนจะได้อยู่สีไหน
เย็นวันหนึ่งนักเรียนทั้งหมดไปรวมตัวกันที่สนามฟุตบอลตามคำสั่งของคุณพ่อประเสริฐที่ได้แจ้งไว้เมื่อตอนเช้า โดยมีบราเดอร์วินยืนถือกล่องบรรจุสลากสีขาว สีแดง สีเขียวและสีม่วงอยู่หน้าเสาธง ปากคอยตะโกนสั่งให้ทุกคนเงียบเสียงแต่ก็ไม่มีใครสนใจฟัง
เมื่อบราเดอร์วินยอมแพ้ไปในที่สุดคุณพ่อประเสริฐก็มารับช่วงต่อ ท่านสั่งให้พวกเรานั่งลงเป็นแถวตอนตามชั้นเรียนด้วยเสียงอันดังฟังชัด
“คิดว่าจะได้อยู่สีอะไร”
มีเสียงกระซิบดังที่ข้างหูซ้าย ผมหันไปและเห็นคิมหันต์ยักคิ้วให้อย่างทะเล้น ๆ ผมยิ้มแล้วจึงเอนไปด้านหลัง
“สีเขียวมั้ง” ผมกระซิบที่หูขวาของเขา
“อยู่ด้วยได้ไหม” คิมหันต์ว่า
ผมชะงักไปเล็กน้อย
ให้ตายเถอะได้แน่นอน! ผมยินดีมากเลย อันที่จริงผมน่าจะเป็นคนถามคำถามนี้มากกว่า เพราะใคร ๆ ต่างก็อยากอยู่ทีมเดียวกับเขาทั้งนั้น
พ่อนักกีฬาคนเก่งของผม
ใช่แล้ว เขาเป็นของผมเสมอในจินตนาการและความฝัน และด้วยสาเหตุนี้เองผมจึงรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าเมื่อคิดถึงมัน
“ได้ดิ มีนายก็เหมือนมีนักกีฬาสิบคนละ” ผมตอบกวน ๆ แก้เขิน
คิมหันต์ยื่นมือมาขยี้ติ่งหูของผมอย่างหมั่นไส้ ผมทำเป็นหัวเราะและแกล้งขยับหนี ทว่าจริง ๆ แล้วกำลังวิงวอนในใจขออย่าให้เขาหยุดทำแบบนั้น
อย่าหยุดมองและอย่าหยุดสัมผัสตัวผม ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ตั้งแต่นิ้วเท้าจนถึงปลายเส้นผม
ผมยอมสวดสายประคำวันละหนึ่งร้อยครั้งหรืออดอาหารสามวันต่อสัปดาห์เลยก็ได้ ขอเพียงแค่สวรรค์อนุญาตให้เกิดเรื่องแบบนี้เสมอ ๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงคราวจับฉลากคิมหันต์กับผมก็ไม่ได้อยู่สีเดียวกันอยู่ดี ผมจับได้สีขาว ตงเปียนได้สีเขียวและคิมหันต์ได้สีแดง ส่วนคนอื่น ๆ ผมไม่คิดจะอยากรู้
โชคดีที่ช่วงนั้นการบ้านไม่เยอะมาก ผมจึงมีเวลาว่างฝึกซ้อมดนตรีกับเล่นกีฬาได้อย่างสบายใจ ถึงจะมีฝนตกบ้างแต่พวกเราก็สนุกกับการเตรียมความพร้อมสำหรับงานกีฬาสี ซึ่งถ้าวันไหนอากาศดีคิมหันต์ก็จะปลุกผมตั้งแต่ตีห้าให้ไปวิ่งด้วยกัน
โอเค ผมยอมเขาทุกเรื่องนั่นแหละแต่อาจจะยกเว้นเรื่องการนอน ผมพยายามบ่ายเบี่ยงแต่คิมหันต์ก็ไม่ยอมฟัง
“อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบินนนนนน”
เขาร้องเพลงเจ้าขุนทองด้วยทำนองสูง ๆ ต่ำ ๆ และกระชากผ้าห่มออกไป จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มซี่โครงจนผมจั๊กจี้และไม่สามารถนอนหลับอีกต่อไปได้
หลายนาทีผ่านไป หลังจากแต่งตัวเสร็จผมกับคิมหันต์ก็ลงไปข้างล่างและตรงไปยังสนามฟุตบอล โดยพวกเราจะวิ่งวนรอบสนามกันที่นั่น ซึ่งก็มีนักเรียนหลายคนตื่นมาวิ่งด้วยเช่นกัน
แต่พอวิ่งไปได้ไม่นานผมก็เริ่มโหยหาเตียงนอน ตาทั้งสองข้างหรี่ปรือและหนักอึ้ง แตกต่างจากคิมหันต์ที่วิ่งขนาบข้างอย่างกระฉับกระเฉง คอยกระตุ้นผมด้วยการสั่งให้วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
“พักหน่อยได้ไหม” ผมโอดครวญเมื่อวิ่งครบรอบที่สาม ปากพะงาบ ๆ หอบหายใจ รู้สึกเจ็บแปลบซี่โครงไปหมด
“อีกรอบแล้วค่อยพัก”
พูดจบคิมหันต์ก็ดันหลังผมให้ออกวิ่งต่อ ผมทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเหมือนไก่ป่วยก่อนจะลากสังขารวิ่งอีกหนึ่งรอบตามคำสั่ง
ที่สุดแล้วผมก็ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันงานกีฬาสี ตื่นไปวิ่งแต่เช้า กลับมาอาบน้ำแต่งตัวและไปร่วมพิธีมิสซาตอนหกโมงครึ่ง เมื่อถึงช่วงพักเที่ยงผมกับเพื่อนบางคนในชั้นเรียนก็พากันไปซ้อมดนตรี จากนั้นพอตกเย็นก็ซ้อมวอลเลย์บอลและวิ่งแข่ง
หากวันไหนพายุเข้าเราก็จะหยุดพักและหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น ดูโทรทัศน์หรือไม่ก็ขอคิมหันต์เล่นเกมบอย บางครั้งก็นอนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างวุ่นวายแต่ผมกลับรู้สึกมีความสุขมาก อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผมลืมเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นได้
เมื่อถึงวันงานกีฬาสี หลังเสร็จกิจวัตรประจำวันตอนเช้าแล้วนักเรียนทั้งหมดก็รีบไปขึ้นรถสองแถวที่คุณพ่อจัดเตรียมไว้ให้เพื่อไปตั้งขบวนพาเหรดที่หน้าโรงพยาบาลประจำอำเภอ
ตอนนั้นเองที่ผมแยกกับคิมหันต์และตงเปียนเพราะต้องไปนั่งรถอีกคันซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับวงโยธวาทิต เมื่อทุกคนมาครบแล้วคนขับรถก็พาเราออกไปก่อนคันอื่น ๆ เพื่อจะได้มีเวลาไปตั้งขบวน
พอหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความโกลาหลไปแล้ว พวกเราก็เดินขบวนพาเหรดมาถึงบ้านเณรตอนแปดโมงโดยประมาณ เมื่อประธานกล่าวเปิดพิธีเสร็จพวกเด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันไปตามซุ้มประจำสี บ้างก็ไปรวมตัวกันตามสนามต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวลงแข่งขัน
เสียงกลองและเสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างคึกคัก โดยมีคุณพ่ออรรถพลกับคุณพ่อบารมีรับหน้าที่เป็นพิธีกรและคอยพากย์เสียง หากมีช่วงไหนเสียงแผ่วลงพวกเขาก็จะเปิดเพลงออกเครื่องเสียงเพื่อสร้างบรรยากาศ
ส่วนผมที่เพิ่งเสร็จจากหน้าที่ก็รีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดโปโลสีขาวกับกางเกงวอร์มสีดำ ก่อนจะไปนั่งรวมกับคนอื่น ๆ ที่ซุ้มสีขาวซึ่งอยู่ใกล้กับสวนหย่อมข้างสนามฟุตบอล
ช่วงเช้าผมไม่มีแข่งขัน ยกเว้นตอนบ่ายซึ่งมีแข่งวอลเลย์บอลกับทีมสีเขียว จากนั้นก็มีวิ่งแข่งอีกทีในวันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้าย ดังนั้นผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งรับชม ร้องเพลงเชียร์และช่วยพี่ ๆ ยกของมาไว้ที่ซุ้ม
เช้านั้นกีฬาสีเปิดฉากด้วยการแข่งฟุตบอลระหว่างทีมสีแดงกับสีม่วง ผมจึงมีโอกาสได้เห็นคิมหันต์ในชุดเสื้อยืดสีแดงกับกางเกงขาสั้นสีดำที่วันนี้ค่อนข้างสั้นและรัดรูปมาก
ผิวสีน้ำตาลของเขาดูเปล่งประกายท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ สีหน้ามุ่งมั่นกับวิธีการเตะส่งลูกฟุตบอลให้กับเพื่อนในทีมทำให้เขาดูน่าสนใจมากกว่าที่เคย ราวกับผมกำลังรับชมละครตอนโปรดที่ผู้กำกับใส่ใจรายละเอียดเป็นพิเศษ
“มึงดูไอ้พี่คิมแม้งวิ่งเข้าไปสกัดไอ้เอ็มเฉยเลย เล่นโคตรกวนส้นตีน” เด็กม. 4หน้ากลมสะกิดเพื่อนข้าง ๆ และชี้ให้เห็น
เด็กผมหยิกพยักหน้าเห็นด้วยและพวกเขาก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเมามัน
ผมซึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกลหูผึ่งทันที ในใจร้อนรนอยากจะทำอะไรสักอย่างให้พวกนั้นหุบปาก มันน่าหงุดหงิดมากที่ไม่สามารถพูดออกไปตรง ๆ แต่ผมก็ร้ายกาจพอที่จะสั่งเด็กพวกนั้นให้ไปยกถังน้ำดื่มจากโรงอาหารมาไว้ที่ซุ้ม
“ทำไมต้องเป็นพวกผมอะพี่” เด็กหน้ากลมถามเสียงสูง โดยมีเพื่อนของเขาพยักหน้าเห็นด้วย
“เอ้า ก็พี่ไม่เห็นพวกน้องทำอะไรเลยตั้งแต่มาถึง” ผมบอก “เร็ว ๆ อย่ามัวลีลา พวกนักกีฬาเขารอกินน้ำกันอยู่นะ”
ทั้งสองคนจ้องหน้าผมอย่างเคือง ๆ แต่ผมกลับทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ แล้วจากนั้นพวกเขาก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปอย่างอารมณ์เสีย
หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จผมกับตงเปียนก็แยกกันเพื่อไปเตรียมตัวลงแข่ง ในใจแอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่สามารถไปดูเพื่อนแข่งเปตองได้เพราะวอลเลย์บอลก็ดันมาแข่งเวลาเดียวกัน
ขณะกำลังเดินอย่างเซ็ง ๆ ไปยังสนามวอลเลย์บอลคิมหันต์ก็วิ่งมาแตะไหล่ผมจากด้านหลัง ใบหน้าของเขาพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ ริมฝีปากสวยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“ได้ดูเราแข่งไหม” เขาถามพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า
“ดูสิ เชียร์อยู่ข้างสนามเลย” ผมตอบยิ้ม ๆ “แต่เราเชียร์สีม่วงนะ”
คิมหันต์เอาแขนมาคล้องคอผมไว้
“แต่สีแดงชนะนะครับ” เขายักคิ้วกวน ๆ แบบที่ชอบทำ
“คร้าบบบบบคุณคิม” ผมพูดหยอก “วันหลังมาเตะให้ทีมผมบ้างล่ะ”
“ได้ดิ แต่ผมไม่ช่วยใครฟรี ๆ หรอกนะ” เขาทำเสียงเข้มเชิงวางมาด “คุณรันจะให้อะไรผมเป็นค่าตอบแทนล่ะ”
ผมเงียบ นึกไม่ถึงว่ามุกธรรมดา ๆ จะทำให้ทั้งร่างกายของผมเย็นวาบ
ใจผมอยากตอบว่า ผมนี่แหละคือค่าตอบแทน แต่ปากที่รู้งานมากกว่านั้นเลือกที่จะพูดออกไปว่า
“ทุกอย่าง”
“เห้ย ทุกอย่างเลยเหรอ”
“ถ้าทำได้อะนะ” ผมยักคิ้วกวน ๆ กลับไปบ้าง
แล้วคิมหันต์ก็จัดการล็อคคอผมและขยี้หัวด้วยความหมั่นไส้ ผมหัวเราะลั่นและพยายามดิ้นให้หลุดจากแขนแกร่ง แต่สักพักเขาก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ
เราสองคนมาถึงสนามวอลเลย์บอลซึ่งอยู่ข้างอาคารเรียนปีกตะวันออกก่อนเวลานัดแข่งขันค่อนข้างนาน ดังนั้นที่นี่จึงไม่ค่อยมีผู้คนนอกจากนักกีฬาทีมสีขาวกับสีเขียวที่มารอแข่งเท่านั้น ส่วนกองเชียร์และคุณพ่อกำนันผู้เป็นกรรมการตัดสินยังไม่มา
ผมมองไปรอบ ๆ เพื่อหาลูกวอลเลย์บอลแต่ก็ไม่เจอเลยสักลูก ดูเหมือนยังไม่ได้เอามาเตรียมไว้เลยด้วยซ้ำ
“พี่นนท์ ๆ มีใครไปเอาลูกวอลเลย์มาหรือยังครับ” ผมเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มร่างสูงจากทีมสีเขียวซึ่งกำลังยืนคุยกับเพื่อนอยู่ข้างเสาเน็ต
“พี่บอกให้เด็กไปเอามาแล้วนะ” เขาชะเง้อมองไปทางโรงเก็บของที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล “เดี๋ยวก็ใกล้จะมาแล้วมั้ง”
ผมพยักหน้าและกลับไปนั่งรอที่ใต้ร่มเงาข้างอาคารเรียน ชวนคิมหันต์คุยเรื่องการแข่งขันฟุตบอลจนกระทั่งผ่านไปเกือบสิบห้านาทีก็ยังไม่มีใครกลับมาพร้อมกับลูกวอลเลย์บอล ฉะนั้นผมจึงรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“รออยู่นี่นะเดี๋ยวมา” ผมบอกคิมหันต์
“จะไปไหน” เขาตะโกนถามหลังจากผมวิ่งออกไปได้ไม่ไกล
“ไปเอาลูกวอลเลย์ ไม่นานหรอก”
แล้วผมก็รีบวิ่งไปยังโรงเก็บของซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณร้อยห้าสิบเมตร ห่างไกลจากเสียงคึกคักต่าง ๆ พอสมควร
อย่างไรก็ตามมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่ามีคนเคยเห็นผีนางรำมาฟ้อนแถว ๆ โรงเก็บของ แม้พวกคุณพ่อจะบอกอย่างรำคาญ ๆ ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อทั้งเพ แต่มันก็ไม่ช่วยให้ใคร ๆ เลิกกลัวได้จนตอนนี้พวกนักเรียนไม่ค่อยกล้ามาแถวนี้เลย
ความจริงผมก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นตาขาวจนไม่กล้ามาที่นี่คนเดียว เมื่อเห็นเจ้ามะขามสุนัขจรจัดนอนอยู่ข้างประตูที่เปิดแง้มไว้นั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดนึง มันลืมตามองขณะผมเดินเข้าไปใกล้ประตูก่อนจะหลับต่ออย่างไม่สนใจ
ผมยื่นหน้าเข้าไปดูข้างใน คาดหวังว่าจะพบใครก็ตามที่พี่นนท์ใช้ให้มาเอาลูกวอลเลย์บอลทว่าก็ไม่พบใครเลย
“อยู่ไหนกันนะ” ผมพูดออกมาเบา ๆ
บางทีพวกนั้นอาจกลัวจนไม่กล้ามา หรือถ้าหากเป็นเด็กนักเรียนม. 4 ก็อาจสับสนและไปผิดที่ ผมบอกตัวเองให้เลิกคิดและเข้าไปข้างในโรงเก็บของ
ภายในค่อนข้างมืดสลัวและอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบ ผมย่นจมูกขณะสาวเท้าเข้าไปด้านใน ทุกซอกมุมเต็มไปด้วยข้าวของชำรุดหลายประเภท เช่น โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ต้นคริสต์มาสฝุ่นจับ รูปปั้นนักบุญแตก ๆ ที่ทำจากปูนปลาสเตอร์และอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่กองสุมอย่างไม่เป็นระเบียบ
ผมขยับแว่นและเบิกตากว้างเพื่อรับแสงให้ได้มากที่สุด พยายามมองหาถุงตาข่ายที่บรรจุลูกวอลเลย์บอลไปรอบ ๆ ไม่นานก็พบว่ามันวางอยู่ในตะกร้าไม้สานที่ตั้งอยู่บนกองไม้ข้างหน้า
“มึงเร็ว ๆ หน่อย เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาหรอก” มีเสียงคนพูดดังมาจากด้านหลังกองซากปรักหักพังทางขวามือ
“เออ แป๊บนึง” เสียงทุ้มค่อนข้างแหบตอบกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
ผมขนลุกซู่และเกือบเสียหลักล้มด้วยความตกใจขณะกำลังหาทางขึ้นไปหยิบถุงตาข่าย ต่อมาผมก็ได้ยินเสียงไอและสำลัก แม้ใจจะสั่นด้วยความกลัวทว่าสมองกลับสั่งให้เข้าไปดูว่าใครอยู่ตรงนั้นกันแน่
อย่างไรก็ตามจังหวะที่ก้าวถอยหลังถุงตาข่ายดันไปเกี่ยวกับตะปู ผมพยายามดึงอยู่พักหนึ่งแล้วก็พลาดท่าเสียหลักล้มใส่กองไม้จนเกิดเสียงดังโครม
“เหี้ยแล้ว!” มีเสียงอุทานร้องดังลั่น
แล้วแทบจะทันทีบุคคลปริศนาก็เผยตัวออกมาจากด้านหลังกองซากปรักหักพัง ทั้งสองคนดูหวาดกลัวสุดขีดราวกับเห็นผี ส่วนผมรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจอาการเจ็บตามตัวและความรู้สึกขายหน้า
จากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสับสนซึ่งผมรู้ว่าทำไม เพราะนี่เป็นการเผชิญหน้ากันแบบจริงจังครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ระหว่างพวกเรา
“มึงมาทำเหี้ยไร” ปราการตะคอกถามโดยมีชลเทพยืนวางท่าอยู่ข้าง ๆ เหมือนยักษ์สมองกลวง
“กูมาเอาลูกวอลเลย์” ผมตอบกลับเสียงเย็นชาและมองพวกเขาอย่างพิจารณา “แล้วพวกมึงมาทำอะไรในนี้ไม่ทราบ”
ปราการทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะเหลือบมองไปทางชลเทพ
“พวกกูก็มาเอาลูกวอลเลย์” ชลเทพก้าวเข้ามาใกล้ผมมากพอจนได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขา “มึงไม่ต้องสะเหล่อ”
ผมถอนหายใจ พยายามข่มอารมณ์เดือดดาลเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าคนที่พี่นนท์ใช้ให้มาเอาลูกวอลเลย์บอลจะเป็นปราการกับชลเทพ โลกนี้มันชักจะมีแต่เรื่องบังเอิญเกินไปแล้ว
ผมหยิบถุงตาข่ายขึ้นมา มองหน้าสองคนนั้นแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังและก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังประตู หากแต่ชลเทพกลับพุ่งเข้าไปขวางและกางแขนออก ส่วนปราการก็ต้อนผมไว้จากด้านหลังจนรู้สึกเหมือนสุนัขจนมุม
“หลีกไป!” ผมเหวใส่ชลเทพซึ่งกำลังแสยะยิ้มน่าเกลียด “มึงมาขวางทางกูทำไม!”
แต่คำตอบที่ผมได้รับคือการโดนผลักที่อกอย่างแรงจนเซไปถูกปราการ หมอนั่นรวบแขนทั้งสองของผมไว้ด้านหลังจนไม่สามารถดิ้นหนีหรือขัดขืน ถุงตาข่ายหลุดมือไปกองอยู่บนพื้น
“เห้ย พวกมึงจะทำอะไรน่ะ!” ผมร้องถามอย่างตื่นกลัว “ปล่อยกู!”
ผมร้องด่าและถลึงตามองชลเทพอย่างโกรธเคือง สักพักหมอนั่นก็ย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทางนักเลง
“ปากดีนักเหรอมึง”
ผลัวะ!
มันเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าผมจะทันตั้งตัว ใบหน้าของผมสะบัดอย่างแรงไปทางขวา แว่นตาทรงกลมหลุดกระเด็นตกลงพื้น แล้วโลกทั้งใบก็หมุนติ้วเคว้งคว้างอย่างไร้การควบคุม จากนั้นความรู้สึกเจ็บแปลบก็แผ่ซ่านไปทั่วแก้มซ้าย ทั้งร้อนวูบวาบและเจ็บแสบ
ผมหันกลับมาเพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่สมองจะทันประมวลผลได้ทัน วัตถุบางอย่างก็พุ่งหวือเข้ามากระแทกที่ใบหน้าอย่างแรงจนศีรษะหงาย
ผลัก!
ลูกวอลเลย์บอลตกลงสู่พื้น แล้วจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนภาพตัด ชลเทพตบหน้าผมอีกครั้งจนสะบัดหงาย ก่อนจะตามมาด้วยหมัดหนัก ๆ ที่ท้อง ผมอยากส่งเสียงร้องทว่ามันจุกมากจนไม่มีเสียงเล็ดลอดนอกจากน้ำตาและเลือด
“เห้ยมึงกูว่าเบา ๆ หน่อยเถอะ” ปราการบอกขณะยังคงรวบแขนผมไว้จากด้านหลัง น้ำเสียงฟังดูตื่นตระหนก
“มึงกลัวเหรอ!” ชลเทพตะคอกใส่เพื่อน “มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนไปฟ้องพ่อพล ไอ้เหี้ยนี่แม้งวอนส้นตีนเอง”
ปราการครางในลำคอ บอกไม่ได้ว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ยังเสริมขึ้นมาอีกว่า
“แต่มันเลือดไหลเลยอะ กูว่าพอได้แล้วมั้ง แค่นี้มันก็น่าจะเข็ดแล้วกูว่า”
ผมพยายามสูดหายใจแต่ก็ทำได้ยากลำบากเพราะโพรงจมูกอุดตันด้วยของเหลวเป็นเมือกข้น ผมเริ่มไอและสำลักอย่างทรมานจนขาสั่นเทาไปหมด ปราการพยายามบังคับให้ผมยืนตรง ๆ แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะรู้สึกเหมือนจะหมดสติ ทั้งเลือดและน้ำตาหยดลงพื้นเป็นดวง ๆ
แล้วสายตาพร่ามัวของผมก็จับได้ว่าชลเทพกำลังจุดบุหรี่ เขาไม่ได้ยกมันขึ้นมาสูบแต่เพียงแค่มองดูอย่างพอใจ จากนั้นก็เอาปลายจิ้มลงที่แขนซ้ายของผม
“โอ้ยยยยย” ผมร้องโหยหวนดังลั่นจนชลเทพต้องเอามือปิดปากผมไว้
เขาถอยออกไปจุดบุหรี่อีกครั้ง ต่อมาก็จิ้มลงที่ซอกคอของผมซึ่งสร้างความเจ็บแสบอย่างร้ายกาจ ผมร้องและดิ้นทุรนทุรายเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ ทว่ากลับดูเหมือนยิ่งยุยงให้ชลเทพทำรุนแรงมากกว่าเดิม ผมซึ่งอับจนหนทางจึงเริ่มสวดภาวนาในใจขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ในขณะที่ชลเทพเหมือนจะทำอะไรบางอย่างที่โหดเหี้ยม ประตูโรงเก็บของก็เปิดผลัวะออกเสียงดัง
แต่ก่อนที่ทุกคนจะรับรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร บุคคลนั้นก็พุ่งเข้ามากระชากชลเทพออกไปอย่างแรงจนเขาปลิวหือเหมือนปุยนุ่นไปที่มุมหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามายื้อแย่งผมไปจากการจับกุมของปราการจนหมอนั่นเซถลาไปชนโต๊ะนักเรียนด้านหลัง
ผมทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ แต่บุคคลนั้นก็รีบช้อนร่างของผมเอาไว้อย่างอ่อนโยนและพยุงมานั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ แล้วจึงเดินไปเก็บแว่นตาที่แตกร้าวขึ้นมาสวมให้กับผม
“คิม” ผมร้องสะอื้นเมื่อได้เห็นใบหน้าคิมหันต์ สวรรค์ส่งอัศวินมาช่วยผมแล้วจริง ๆ
คิมหันต์ใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ไหลย้อยลงมาตามคางและเหนือริมฝีปากให้อย่างเบามือ เขามองดูผมด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ริมฝีปากขยับเหมือนจะเอื้อนเอ่ยบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียง
“พวกมึงทำแบบนี้ทำไมว้ะ กูไม่ได้ยอมช่วยพวกมึงเพื่อให้มาทำเรื่องเหี้ย ๆ แบบนี้หรอกนะเว้ย!” คิมหันต์หันไปตะหวาดพวกนั้นพลางกำหมัดแน่น “พวกมึงแม้งเหี้ยเกินไปแล้ว นี่กะจะฆ่าเพื่อนให้ตายเลยเหรอ!”
ชลเทพกับปราการหน้าซีดเผือด ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าคิมหันต์จะโผล่มาที่นี่หรือที่เขากล้าพูดแบบนี้ออกมา
“ก็แม้งสมควรโดนนี่หว่า คนอย่างมันต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง” แม้ชลเทพจะเถียงกลับเสียงแข็งแต่ก็ดูหวาดเกรงอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วมึงล่ะไอ้ชล อย่างมึงไม่ควรโดนสั่งสอนบ้างเลยเหรอ” คิมหันต์สาวเท้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มหน้าสิวจนตัวแทบจะติดกัน ทั้งสองจ้องตากันเขม็ง “มึงคิดว่ามึงเป็นใคร เป็นพระเจ้าหรือไงถึงได้กล้าคิดจะสั่งสอนคนอื่น”
คิมหันต์ชี้หน้าชลเทพอย่างท้าทาย
“ถ้าแน่จริงมึงเอาตัวเองให้รอดจากเรื่องนี้ให้ได้นะ กูจะคอยดูว่าคนเก่งอย่างมึงจะทำยังไงต่อไป”
ชลเทพคว้าคอเสื้อคิมหันต์ด้วยท่าทางเหมือนสัตว์ดุร้าย
“แล้วใครสั่งให้มึงช่วยกู!” เขาตะคอกใส่หน้าอีกฝ่ายจนน้ำลายกระเด็น “กูไม่ได้ขอร้องเลยสักคำ มึงเสือกมาช่วยกูเอง!”
แล้วชลเทพก็เอานิ้วชี้จิ้มลงบนหน้าผากของคิมหันต์อย่างแรงพร้อมกับแสยะยิ้ม
“แล้วมึงล่ะคิดว่าตัวเองเป็นใครว้ะ เป็นพระเอกหนังหรือไง หรือเป็นนักบุญ? พ่อพระ? หึ มึงมัน --”
แต่ชลเทพไม่มีโอกาสได้พูดประโยคที่เหลือจนจบเพราะคิมหันต์ปัดมือเขาออกและผลักที่หน้าอกอย่างแรงจนหงายหลังล้มไปกองกับพื้น
เกมพลิกเหมือนสายฟ้าแลบ ตอนนี้คิมหันต์เป็นฝ่ายคว้าคอเสื้อของชลเทพด้วยมือทั้งสองข้างและยกหมอนั่นขึ้นจนเท้าลอยสูงจากพื้น
“พวกมึงพอเถอะ!” ปราการร้องบอกคิมหันต์ ก่อนจะมองมาทางผมอย่างลนลาน
ผมต้องข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ขณะสบตากับปราการ ใจหนึ่งก็ปรารถนาให้คิมหันต์ต่อยพวกนั้นให้หน้าหงายไปเลย ส่วนใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ ผมลังเลอยู่นานจนกระทั่งคิมหันต์ปล่อยมือออกข้างหนึ่ง กำหนัดและง้างแขน
“พอเถอะคิม” ผมบอกโดยพยายามทำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติมากที่สุด “ปล่อยมันไปเถอะ”
คิมหันต์ชะงักทันที
“ขอร้องล่ะ” ผมย้ำอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยขาสั่น ๆ “เราขอร้อง”
คิมหันต์มองผมสลับกับชลเทพไปมาราวกับกำลังชั่งใจอย่างหนักว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายเขาก็โยนชลเทพไปทางปราการ หมอนั่นตะเกียกตะกายลุกขึ้นและทำท่าจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้งแต่ก็ถูกปราการจับตัวเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากก่นด่าสาดเสียเทเสียและส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย
“ไปจากที่นี่เถอะ” ผมพูดเสียงแผ่วเบา
คิมหันต์พยักหน้าขรึม ๆ จากนั้นก็ช้อนตัวผมขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอกเหมือนเด็กน้อย ๆ และพาออกไปนอกโรงเก็บของ ทิ้งเสียงตะโกนด่าของชลเทพไว้เบื้องหลังซึ่งไม่ต่างอะไรจากขยะไร้ค่า
ตอนแรกคิมหันต์ยืนกรานให้ผมไปห้องพยาบาล แต่ผมยืนยันหนักแน่นว่าไม่เป็นอะไรมากแค่พาไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องอาบน้ำก็พอ อย่างไรก็ตามผมคงดูเหมือนคนใกล้ตายมากคิมหันต์จึงส่ายหน้ารัว ๆ และไม่ยอมทำตามคำขอ
“ปล่อยเราลงเถอะ” ผมขยับตัวยุกยิกอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง “เราเดินไหว”
“อยู่นิ่ง ๆ” คิมหันต์ดุ
“อย่าพาเราไปห้องพยาบาลเลยนะเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่” ผมอธิบายพร้อมกับใช้มือเช็ดเลือดเหนือริมฝีปาก
“เจ็บขนาดนี้ยังจะมาห่วงอะไรนักหนา”
“เถอะนะ อย่าพาเราไปเลย” ผมอ้อนวอน
คิมหันต์ทำหูทวนลม เขายังคงเดินต่อไปบนถนนคอนกรีตโดยมีนักเรียนสองสามคนมองตามอย่างสนใจใคร่รู้
“เราไม่เป็นไรจริง ๆ” ผมยืนยันอีกครั้ง “พาเราไปห้องอาบน้ำเถอะ”
คิมหันต์พ่นลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก้มดูผมด้วยสีหน้ากังวลใจก่อนจะมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางไปทางตรงกันข้ามกับห้องพยาบาล
อาจเป็นเพราะห้องอาบน้ำอยู่ไกลจากจุดที่พวกเราอยู่ค่อนข้างมากและการไปที่นั่นจำเป็นต้องใช้เส้นทางที่ตัดเข้าไปในใจกลางโรงเรียนซึ่งจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป ฉะนั้นจึงเป็นสาเหตุที่คิมหันต์พาผมมานั่งที่ใต้ต้นก้ามปูด้านหลังอาคารแห่งหนึ่งแทน
เขาถอดเสื้อยืดสีแดงออกและใช้มันซับเลือดที่ยังคงไหลซึมจากจมูก
“เงยหน้าขึ้นแล้วจับไว้แบบนี้” เขาบอก
ผมจับเสื้อที่ถูกขยำเป็นก้อนไว้ที่จมูกอย่างเชื่อฟัง
“รออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวมา”
“จะไปไหน” ผมถามเสียงอู้อี้
“ก็ไปบอกกรรมการไงว่านายเล่นไม่ได้แล้ว” คิมหันต์อธิบายขณะนั่งยอง ๆ ข้างผม “นายคงไม่คิดว่าสภาพอย่างนี้จะไปแข่งอะไรกับเขาได้หรอกนะ”
คิมหันต์พูดถูก ผมคงลงแข่งไม่ได้แล้ว หากไปในสภาพนี้มีหวังทุกคนคงตกใจแย่ ดังนั้นการเปลี่ยนให้ตัวสำรองขึ้นมาเล่นแทนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมหวังว่าทีมสีขาวจะไม่ว่าอะไรที่ผมหายไปกระทันหันเช่นนี้
“ขอบใจมากนะ สำหรับทุกอย่างเลย” ผมมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่ดูอ่อนโยนคู่นั้น
คิมหันต์ยิ้มและเอามือมาวางบนศีรษะของผมอย่างนุ่มนวล
“อืม ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เขามองดูผมอีกครั้งก่อนจะออกวิ่งไปบนถนนคอนกรีตและลับหายไปจากสายตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ