เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) หวนคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผ่านมาเกือบสัปดาห์หลังจากคืนนั้น ผมไม่ได้ไปที่บาร์อีกเลยเพราะรู้สึกแย่เกินกว่าจะโผล่ไปให้แม็กซ์เห็นหน้า และมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็ไม่อยากพบผมเช่นกัน ดังนั้นจึงเก็บตัวอยู่แต่ที่คอนโด ใช้เวลาส่วนใหญ่ร่างพล็อตนิยายเรื่องใหม่เพื่อเบี่ยงเบนความคิดตัวเอง

แต่ถึงจะเลี่ยงการเผชิญหน้าจากคนทั้งโลกได้ ผมก็มิอาจหลีกหนีจากความคิดฟุ้งซ่านที่สุมอยู่ในหัว หลายครั้งที่ต้องวางปากกาและลุกไปชงกาแฟ หรือไม่ก็ออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง เหม่อมองวิวเมือง พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่เคยลงเอยด้วยดีเหล่านั้น ซึ่งมันได้สร้างบาดแผลทางใจอย่างสาหัส จนผมไม่อยากมีความปรารถนาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว

ผมอยากกลายเป็นคนด้านชา ไม่ต้องแคร์ใคร ไม่ต้องใส่ใจ หรือรู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าตัดความต้องการออกไปได้ชีวิตคงสบายขึ้นกว่านี้มากทีเดียว มันอาจฟังดูเย็นชาและไร้หัวใจ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมภาวนาขอให้เป็นจริง เพราะผมเบื่อเต็มทนกับการมีความรู้สึก กับการเป็นคนอ่อนไหว และการใส่ใจที่มากเกินไป ยิ่งเป็นแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ผมอ่อนแอ

ก็แค่อยากเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน

แต่ก็ไม่ง่ายเลยในเมื่อหัวใจยังคงต้องการเขาอยู่

จวนจะตีสามแล้ว เสียงแป้นพิมพ์ยังคงดังรัวต่อเนื่อง ลบบ้าง เพิ่มเนื้อหาบ้าง สายตาเพ่งมองจอโน๊ตบุ๊คหลายชั่วโมงจนเริ่มล้า กระทั่งมีการแจ้งเตือนข้อความเข้าถี่ ๆ ในโทรศัพท์ ผมจึงมองนาฬิกาและตัดสินใจพอแต่เพียงเท่านี้ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำและกลับมานอนอ่านข้อความบนเตียง

ปราการ: ไงไอ้รันสบายดีมั้ย

                หายเงียบไปเลยนะมึงช่วงนี้

                เออ กูจะบอกมึงว่าหลังปัสกามีงานบวชที่วัดใหญ่บ้านเรานะ

ถ้าไม่ติดธุระอะไรก็ไปร่วมงานด้วยล่ะ กูก็จะไปเหมือนกัน

                ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับ ใครบวช? ปลายทางอ่านข้อความแทบจะทันทีและตอบกลับมาว่า ไอ้ชล

                ผม:          ชลเทพเหรอ?

                ปราการ: เออ

                                กูว่ากูเคยเล่าให้มึงฟังแล้วนะว่าตอนนี้มันเป็นสังฆานุกร

                ผม:          เล่าตอนไหนว้ะ

                ปราการ: ก็ตอนไปงานแต่งไอ้ตงไง

                ผม:          เหรอ กูจำไม่ได้เลย

                ปราการ: ก็มึงไม่ตั้งใจฟังไง เอาแต่นั่งเหม่อ

                ผม:          ก็กูง่วงนอนอะ

                ปราการ: เออ ๆ

เอาเป็นว่ามึงมานะ

                ผมคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป

                ผม:          เออ

จากนั้นก็นั่งมองจุดไข่ปลากะพริบในจอโทรศัพท์ เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ สักพักก็ได้รับข้อความใหม่

                ปราการ: มึงเลิกโกรธไอ้ชลแล้วหรือยัง

                ผม:          โห กูเลิกโกรธนานแล้ว

                                นี่ถ้ามึงไม่พูดกูก็เกือบลืมไปแล้วว่าเคยทะเลาะกับมัน

เราคุยกันต่อสักพัก จากนั้นปราการก็ขอตัวไปทำงานต่อ เขาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับกะดึกที่โรงแรมแห่งหนึ่งในภาคเหนือ บางคืนหากมีเวลาว่างก็จะแอบมาคุยด้วยเพราะเขารู้ว่าผมนอนตอนเช้า บางครั้งผมก็เป็นฝ่ายทักไปคุยเล่นแก้เหงา ปกติเราติดต่อกันเป็นประจำ เพียงแต่หลายเดือนที่ผ่านมาผมยุ่งกับงานเปิดตัวหนังสือ จึงขาดการติดต่อไปชั่วคราว

ชีวิตตอนนี้ผมเจอแต่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย เพื่อนสมัยมัธยมพากันห่างหายไปตามกาลเวลา ธิดาเองหลังบรรจุแล้วก็ย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด จะได้เจอกันก็ต่อเมื่อเธอขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพฯ ล่าสุดที่ได้เจอกันก็คือเมื่อปีกลาย ตอนเราเดินทางไปร่วมงานสมรสของตงเปียนที่จังหวัด อ. ซึ่งหลายคนกลับมารวมตัวอีกครั้งในงานนั้น

ผมนึกถึงบรรยากาศรื่นเริงภายในงาน ภาพของคู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานสีแดงสดตามสไตล์คนจีนยังคงตราตรึงในความทรงจำของผม ทุกคนดูมีความสุขมาก โดยเฉพาะตงเปียนกับคุณภรรยา

“เมื่อไหร่จะแต่งเมียล่ะมึง” หมอนั่นถามเล่น ๆ ขณะผมเข้าไปกล่าวแสดงความยินดี

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น กูไม่รีบ” ผมตอบยิ้ม ๆ

เราคุยเรื่องความหลังกันเล็กน้อย ยิ้มและหัวเราะกับวีรกรรมต่าง ๆ  แต่แล้วจู่ ๆ ตงเปียนกลับทำหน้าเศร้าสลดขึ้นมา จนผมอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม

“มึงเป็นไร”

“กูคิดถึงไอ้คิมว่ะ แม้งหายเงียบไปเลย กูอยากให้มันมางานแต่งกูด้วย”

จากตอนแรกที่หัวใจกำลังพองโต เมื่อได้ยินประโยคนั้นมันกลับห่อเหี่ยวทันที ผมนิ่งเงียบ ไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำได้เพียงแค่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้ ก่อนจะขอตัวไปหาอะไรรับประทาน

เมื่อนึกขึ้นได้ผมจึงกดเข้าไปดูรูปในแกลเลอรี่ เลื่อนลงไปเกือบล่างสุดกว่าจะพบรูปวันนั้น รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากโดยอัตโนมัติ ผมไล่ดูรูปอยู่จนเกือบถึงตีสี่ ก่อนจะปิดไฟและเข้านอนในที่สุด

เมษายนคือเดือนแห่งเทศกาลสงกรานต์และปัสกา ผมทำทุกอย่างยกเว้นออกไปเล่นน้ำกับเข้าโบสถ์ ผมไม่ร่วมกิจกรรมเหล่านั้นนานแล้ว สิ่งเดียวที่สนใจคืองานเท่านั้น ยกเว้นวันไหนมีคนชวนไปทานข้าวข้างนอกผมก็จะไปตามคำชวน บางทีก็ต่อด้วยดูหนัง และนาน ๆ ครั้งจะขับรถไปสถานที่หนึ่งที่ผมเคยบอกตัวเองว่าห้ามไปเยือน

บ้านดาวประจักษ์

ทุกครั้งที่มา ผมทำได้แค่ขับรถผ่านช้า ๆ  ไม่กล้าลงไปยืนหน้าประตูรั้วเพราะกลัวจะสร้างความเข้าใจผิดกับเจ้าของบ้าน

ในอดีตมันเคยเป็นบ้านสีขาวเหมือนไข่มุก ปัจจุบันถูกทาทับด้วยสีฟ้าน้ำทะเล สนามหญ้าบางส่วนถูกปรับให้เป็นสวนหย่อม โรงจอดรถถูกรื้อสร้างใหม่ และป้ายโลหะสลักตัวหนังสือสีทองหน้าบ้านก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น แม้บ้านอันใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้จะไม่ใช่ของตระกูลดาวประจักษ์อีกต่อไป แต่ในความทรงจำอันล้ำค่าของผม มันจะยังคงเป็นบ้านของเขาเสมอ

เพราะในหัวของผม ทั้งห้องนอน ระเบียง สระน้ำ สนามหญ้า และต้นไม้ทุกต้นที่เขาสัมผัส ทุกสิ่งยังคงถูกสงวนไว้ให้เขาวันยังค่ำ และไม่เคยเลยสักวันที่ทุกตารางนิ้วของมันจะไม่รอคอยให้เด็กหนุ่มคนนั้นกลับมาเยือน ผมแทบจะเห็นเขาออกมายืนรับลมและแสงแดดที่ระเบียง สวมใส่เพียงแค่กางเกงกีฬา โบกมือและยิ้มให้ขณะผมขับรถผ่านไป

จินตนาการนี้ทำให้ผมชุ่มชื่นหัวใจ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมเศร้า เพราะภาพนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงอีกแล้ว ดังนั้นพื้นที่เดียวที่มันจะกลายเป็นเรื่องจริงก็คือในหัวของผม ซึ่งจะถูกหล่อเลี้ยงอย่างทะนุถนอมด้วยความรักไปจนลมหายใจสุดท้าย

งานบวชจัดขึ้นสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ผมกับปราการพักที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัด อ. ที่เขาเป็นคนจองให้ ตงเปียนจะเดินทางมาร่วมงานวันนั้นเลย เพราะบ้านเขาอยู่ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร ส่วนธิดามาไม่ได้เพราะไม่สามารถลางานได้

พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่อานสวิหาร เสียงเพลงเปิดออกผ่านเครื่องขยายดังอึกทึก รถรามากมายแล่นเข้าออกสถานที่อย่างคับคั่ง ผู้คนทั้งในและนอกศาสนาต่างพากันมาร่วมงานด้วยความยินดี ผมเข้าไปสวัสดีบรรดาคุณพ่อ ซิสเตอร์และผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักสมัยเด็ก จากนั้นไปร่วมวงสนทนากับเพื่อน ๆ ก่อนงานจะเริ่ม

ภายในอาสนวิหาร ขณะคริสตชนยืนขึ้นและช่วยกันสวดบทเร้าวิงวอนนักบุญทั้งหลาย ผมกลับเอาแต่มองชลเทพในอาภรณ์สีขาวสะอาด ซึ่งกำลังนอนราบกับพื้นเบื้องหน้าพระแท่น พลางคิดอย่างอัศจรรย์ใจว่า ชายคนนี้น่ะหรือกำลังจะได้เป็นบาทหลวง ผมไม่เคยนึกภาพเขาสวมเสื้อกาสุลา ยืนถวายมิสซาบนพระแท่นมาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงการออกไปเทศน์สอนให้คนอื่นทำความดี

ผมไม่รู้ว่าอะไรเปลี่ยนแปลงชลเทพ อาจเป็นอำนาจจากสวรรค์หรือพลังจากตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมก็ขอร่วมโมทนาบุญกับเส้นทางที่เขาเลือก แม้มันยากจะเชื่อขณะมองดูพระสังฆราชประกอบพิธีและมอบแหวนของสงฆ์ให้ ทว่าผมยินดีมากที่ได้เห็นรอยยิ้มอิ่มเอมบนใบหน้าของเขา

เนื่องจากไม่ได้แก้บาปอย่างดี ผมจึงไม่ออกไปรับศีลมหาสนิท ได้แต่มองดูคนอื่นต่อแถวออกไปด้านหน้า กว่าจะแล้วเสร็จพิธีก็เกือบเที่ยง บางคนเข้าไปแห่ล้อมพระสงฆ์องค์ใหม่เพื่อขอให้อวยพร เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเข้าถึงตัวชลเทพได้ง่าย ๆ  ผม ปราการและเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งจึงชวนกันไปรับประทานอาหารในซุ้มที่จัดเตรียมไว้ข้างอาสนวิหาร

หลังทานอาหารเสร็จผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็ตัดสินใจลองเดินไปเยี่ยมชมสวนดอกไม้ด้านหลังอาสนวิหาร ที่นั่นมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังถ่ายรูปอยู่ในนั้น แม้น้ำตกจำลองกับรูปปั้นสัตว์บางชนิดจะถูกเอาออกไป แต่ทัศนียภาพที่ปรับปรุงใหม่ก็ทำให้ที่นี่สวยงามไม่แพ้จากของเดิม

ขณะยืนมองอยู่หน้าทางเข้า ผมก็เริ่มคิดถึงเขาอีกครั้ง หัวใจผมสั่นอย่างน่าเวทนาขณะมองกลีบดอกกระดังงาที่กำลังร่วงหล่น เมื่อผมตัดสินใจจะกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ  ก็มีคุณพ่อท่านหนึ่งเดินมายืนเคียงข้าง พอหันไปจึงพบว่านั่นคือชลเทพ อดีตคู่อริสมัยเรียน

“หวัดดีรัน” บุรุษสวมแว่นตาท่าทางสุขุมกล่าวทักทาย

ผมมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง

“สบายดีไหม” เขาถาม

“เรื่อย ๆ น่ะ แล้วมึงล่ะ”

บาทหลวงพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“แปลก ๆ นะที่เราได้คุยกันแบบนี้”

“อือ”

จากนั้นเราก็ยืนเงียบ ๆ  พลางมองผู้คนในสวนดอกไม้

“ขอบใจนะที่มางาน กูดีใจมากที่ได้เจอมึง”

คำพูดนั้นทำเอาผมตกตะลึง นอกจากภายนอกที่เปลี่ยนไปแล้ว ภายในชลเทพก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีวันที่เขาจะพูดอะไรทำนองนี้กับผมแน่นอน

“ไม่เป็นไร เพื่อนบวชทั้งทีจะไม่มาได้ไง”

เขาหันมาทางผม ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นสี่เหลี่ยมฉายแววบางอย่าง

“มึงนับกูเป็นเพื่อนด้วยเหรอ”

ผมนิ่ง แล้วจึงพยักหน้าช้า ๆ

“ใช่ มีเพื่อนดีกว่ามีศัตรู”

หัวใจผมเต้นแรง ราวกับมันตื่นเต้นที่จะได้ผลัดตะกอนแห่งความทุกข์ที่สะสมมาหลายปีออกไป ผมไม่รู้ว่าชลเทพรู้สึกอย่างไรต่อประโยคนั้น เขามองไปทางอื่น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กูรู้ว่ามันอาจสายเกินไป แต่กูคงรู้สึกผิดไปจนวันตายถ้าไม่ได้พูดสิ่งนี้กับมึง” เขาสูดหายใจ แล้วจึงเริ่มต้นพูดออกมา “กูขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ที่เคยแกล้งมึงเมื่อตอนเด็ก กูยอมรับว่าตอนนั้นทำตัวไม่ดี หลายคนต้องเสียใจเพราะสิ่งที่กูทำ” เขาสบตาผม “กูคงย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่กูสามารถชดเชยความผิดพลาดด้วยปัจจุบัน กูสัญญา”

ตอนแรกผมขาสั่น ไม่นานก็เริ่มสั่นทั้งตัว ดังนั้นจึงล้วงกระเป๋าเอาบุหรี่มาจุดสูบเพื่อกลบเกลื่อน อาการนี้ไม่ได้เกิดจากการกระหายสารพิษในมวนบุหรี่ แต่เป็นเพราะผมตั้งรับไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

ผมยื่นบุหรี่ส่งให้ชลเทพ เขามองมันด้วยสายตารังเกียจแล้วส่ายหัว ผมจึงหัวเราะในลำคอให้กับสถานการณ์ที่กลับตาลปัตรนี้ เพราะเมื่อก่อนผมเคยเป็นฝ่ายรังเกียจของในมือ ผมพ่นควันไปอีกทาง รวบรวมความคิดและตอบกลับไปโดยไม่ให้เสียงสั่น

“อืม กูไม่ถือสาอะไรแล้ว กูเชื่อว่ามึงเสียใจจริง ๆ” ผมกลืนน้ำลาย “จากนี้ไปมึงอย่าเก็บมาคิดอีกเลย สนใจทำหน้าที่คุณพ่อดีกว่า”

รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากของชลเทพ สีหน้าเขาดูสดใสยิ่งกว่าเก่า

“ขอบใจนะ”

ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางเอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ

เราสลับกันแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต ผมเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟัง แต่เรื่องของอีกฝ่ายนั้นน่าสนใจกว่ามาก เขาสารภาพว่าวันนั้นที่ไปพบคุณพ่ออรรถพลที่ห้องทำงานและบังเอิญเจอผม คือเขาตั้งใจไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรียนต่อวิทยาลัยสงฆ์ และผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้

“กูเนี่ยนะ” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อหู “ยังไงว้ะ”

“มึงจำตอนที่เราไปเข้าค่ายตอน ม. 5 ได้ไหม”

ผมพยักหน้า

“ไอ้การเล่าให้กูฟังว่ามึงรับเรื่องแทนไอ้ตง” สีหน้าเขาสลดลงเล็กน้อย “ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะได้รู้ว่าความจริงเป็นยังไงกูถึงเริ่มคิดได้ แต่ที่แน่นอนก็คือกูไม่อยากสร้างปัญหาอีกแล้ว”

การได้เปิดอกคุยกับชลเทพเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในรอบหลายปี ข้อสงสัยหลายอย่างที่อยากรู้มานานถูกไขกระจ่าง และรอยบาดหมางระหว่างเราก็ถูกเชื่อมสมาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมยินดีที่เขากลับใจ ไม่มีอะไรงดงามมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมตัดสินใจขอแก้บาปก่อนแยกจากกัน เขาดูตกใจแต่ก็ยินดี เขาฟังบาปของผมในสวนดอกไม้ซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่เราสองคน ผมสารภาพออกมาทั้งหมดอย่างง่ายดาย ไม่มีความละอายขวางกั้นระหว่างเรา

“มึงเป็นคนแรกเลยนะ” เขาเอ่ยขึ้นหลังอวยพรเสร็จ

“มึงควรดีใจที่ได้ฟังบาปกู” ผมพูดแหย่ “มึงไม่ตกใจใช่ไหม”

“แค่นี้จิ๊บ ๆ  มึงสู้กูไม่ได้หรอก”

ได้ฟังดังนั้นผมจึงหัวเราะ ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้า ชลเทพยื่นมือขวามาจับและเขย่าเบา ๆ  แล้วจากนั้นเราก็เดินกลับไปยังอาสนวิหาร

คืนนั้นพวกเราฉลองการรวมตัวกันที่ร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งในตัวเมือง พนักงานนำโต๊ะและเก้าอี้มาต่อเรียงเป็นแถวยาวให้พวกเรานั่ง เรากินและดื่มกันเต็มที่ พลางส่งเสียงคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศนั้นทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มหลายคนก็ขอตัวกลับบ้าน หนึ่งในนั้นมีตงเปียนด้วย

“พวกมึงกูกลับก่อนนะ” เขาบอกกับทุกคน

“รีบกลับจังว้ะ อยู่ต่ออีกสักหน่อยสิ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้ว่ะ เมียกูโทรตามยิก ๆ แล้วเนี่ย”

“โธ่ ที่แท้ก็กลัวเมีย” ปราการพูดเสียงอ้อแอ้

“ใครกลัวเมีย ไม่มี๊!” ตงเปียนทำเสียงสูง เพื่อนคนอื่น ๆ พากันหัวเราะชอบใจ

“ขับรถดี ๆ นะมึง” ผมตะโกน “ว่าง ๆ ก็พาเมียขึ้นมาเล่นที่โคราชบ้าง”

“โอเค พวกมึงก็ขับรถดี ๆ ล่ะ”

จากนั้นเราที่เหลือก็สังสรรค์ต่อจนถึงเที่ยงคืน ผมกับเพื่อนที่ยังมีสติดีช่วยกันพยุงคนเมาไปขึ้นรถ เราต่างฝ่ายต่างกล่าวอำลากัน ก่อนจะขับรถแยกย้ายไปคนละเส้นทาง

“มึงไหวเปล่า” ผมถามปราการหลังจากจอดรถที่ด้านหลังโรงแรม

“อะ...อือ กูหวาย” เขาพูดเสียงยานคาง ก่อนจะเปิดประตูออกไปยืนโงนเงนข้างนอก

หลังล็อกรถเสร็จ ผมเข้าไปช่วยพยุงปีกและพาเขาขึ้นห้องนอนที่ชั้นบนอย่างทุลักทุเล ปราการพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะผมช่วยเขาถอดรองเท้า จากนั้นก็พาไปล้างหน้าและขึ้นเตียงนอน ส่วนผมนอนเตียงอีกหลังที่อยู่ข้างกัน

“กูว่าอ้ายตงแม้งรีบกลับไปเอาเมียแน่นอน”

“เลอะเทอะละมึง รีบนอนได้แล้ว”

ปราการหัวเราะคึกคัก สักพักเสียงของเขาก็ค่อย ๆ เงียบลง จนเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งเบา ๆ  ผมถอดแว่นตาวางบนโต๊ะข้าง ๆ  ดึงผ้าห่มถึงปลายคาง สายตาจ้องมองเพดานดำมืดอย่างใช้ความคิด

แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่ผมยังคงอยากรู้ว่าตอนสมัยเรียนม. ปลายทำไมปราการถึงไม่คุยกับผม ทำไมเขาถึงย้ายห้องกะทันหัน มันน่าแปลกมากที่เพื่อนสนิทจู่ ๆ ก็ตีตัวออกห่าง ผมเคยถามเขาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ ทว่าตอนนี้เขากำลังเมา บางทีผมอาจใช้โอกาสนี้เค้นเอาคำตอบจากเขาได้

“มึงอย่าเพิ่งนอน คือ...กูมีอะไรจะถาม”

“อารายของมึง”

ผมเรียบเรียงประโยคในหัวครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา

“เกี่ยวกับเรื่องสมัยเรียนอ่ะ กูอยากรู้ว่าทำไมมึงถึงย้ายห้องว้ะ มึงไม่เคยอธิบายกูเลย”

“อืมมมมม กูม้ายอยากเห็นหน้ามึง”

ผมหันไปหาเขา

“ทำไมว้ะ”

“กูม้ายรู้ กูสับสน”

“สับสนเหรอ สับสนอะไร” ผมถามต่ออย่างสงสัย

ปราการเงียบ ผมจึงทวนคำถามอีกรอบ เขาถอนหายใจลากยาว

“กูคิดว่ากูรู้สึกแปลก ๆ กับมึง” เขาตอบเสียงอ้อมแอ้มจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

“แปลกแบบไหน”

“ก็แปลก ๆ อ้ะ”

“ทำไม มึงชอบกูเหรอ” ผมพูดเล่น

“คงงั้นมั้ง”

“เห้ย จริงดิ!” ผมดีดตัวลุกนั่ง

“อือ” เขาว่า “แต่กูก็ยังชอบผู้หญิงนะ”

“มึงล้อเล่นปะเนี่ย” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“อัม น็อต” เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษ

ผมอึ้งไปเลย ผมเคยคิดว่าสาเหตุที่ปราการย้ายห้องเป็นเพราะว่าเขาคงโกรธหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง ไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบนี้

ผมล้มตัวลงนอน เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม

“แล้วตอนนี้ล่ะมึงยังชอบกูอยู่ไหม”

ปราการหัวเราะ

“ควายละ กูมีคนที่ชอบแล้วเว้ย ม้ายช่ายมึงแน่นอน”

“ว้า กูเสียใจนะเพื่อน”

“เหอะ อย่างมึงต่อให้แถมข้าวแถมทองกูก็ม้ายเอาหรอก”

“ปากดีละ มึงนอนไปเลยไป”

หมอนั่นหัวเราะพลาง สะอึกพลาง ก่อนจะส่งเสียงกรนเบา ๆ ในไม่กี่นาทีต่อมา ส่วนผมก็คิดถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกันจนกระทั่งผล็อยหลับไป

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกแต่เช้า ปราการเขวี้ยงหมอนใส่ผมให้ตื่นไปรับ ตอนแรกผมทำเมินเพราะง่วงเกินกว่าจะลืมตาไหว แต่ดูเหมือนคนโทรจะไม่ละความพยายามง่าย ๆ  เขาโทรไม่ยอมหยุดจนผมต้องลุกขึ้นมารับสายในที่สุด

“ฮัลโหล” เสียงผมแหบพร่า

“ฮัลโหล ใช่รันหรือเปล่า”

ผมหยิบแว่นมาสวม มองหน้าจอ เมื่อตระหนักว่าเป็นเบอร์ของใครผมจึงลุกจากเตียง จากนั้นก็เดินโซเซออกไปคุยที่ระเบียง

“ใช่ครับ หวัดดีครับพ่อ”

“อืม เอ็งจะกลับกรุงเทพฯ วันไหน”

“พรุ่งนี้ครับ”

“เหรอ ถ้างั้นวันนี้มาหาพ่อหน่อยสิ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มีสิ เกี่ยวกับเรื่องเจ้าคิม” น้ำเสียงท่านฟังดูเศร้า ๆ

ได้ยินดังนั้นผมก็รู้สึกหน้ามืด จึงคว้าราวระเบียงเพื่อทรงตัว ปากคอสั่นฉับพลัน

“คะ...คิมหันต์เหรอครับ ”

“ใช่”

“ขะ...เขาเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ผมไม่ได้ --”

“ไว้เราค่อยคุยกันตอนที่เอ็งมาหาพ่อดีกว่า” คุณพ่อพูดตัดบท “ฮัลโหล ได้ยินพ่อไหม”

“ได้ยินครับ ผ...ผมจะรีบไป”

หลังจากวางสาย ผมนั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่บนเก้าอี้ที่ระเบียง เฝ้าถามตัวเองในใจว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่คือเรื่องจริงคือไม่ เพราะในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับความฝัน ฝันที่จะได้รับข้อมูลหรือข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับคนรักที่ปลายฟ้า แม้จะกินเวลามาสิบห้าปีกว่าก็ตาม

อารมณ์มากมายตีอยู่ในทรวงอก ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ไม่รู้ว่าควรขอบคุณพระเจ้า หรือขอบคุณที่ตัวเองยังคงมีศรัทธาในความหวังอันริบหรี่ แน่นอนว่าผมดีใจมากที่จะได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับคิมหันต์ แต่ขณะเดียวกันน้ำเสียงของคุณพ่อก็ทำให้ผมกังวลมาก

จนเมื่อตะวันเริ่มฉายแสงร้อนแรง ผมจึงกลับเข้าไปข้างใน อาบน้ำแต่งตัว เขียนโน้ตทิ้งไว้ให้ปราการที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ขับรถออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าสู่สามเณราลัยเซนต์ดอมินิกด้วยหัวใจเปี่ยมความหวัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา