เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) สิบห้าปีต่อมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฤดูร้อนปีนี้อากาศค่อนข้างแปรปรวน บางวันมีพายุฝน และบางวันก็อากาศเย็นผิดปกติ ทุกวันนี้ก่อนออกจากคอนโดผมต้องหยิบร่มกับเสื้อกันหนาวติดมือมาด้วย จะได้ไม่เดือดร้อนตัวเองในภายหลัง
หากแต่โชคดีที่คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งเห็นดวงดาว เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ผมสวมใส่พลิ้วตามกระแสลมอบอุ่น ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนสีดำ ขณะยืนมองวิวและแสงสีตระการตาของเมืองหลวงจากดาดฟ้าโรงแรมห้าดาวชื่อดัง โดยมีเสียงเพลงแจ๊สจากบาร์ด้านหลังเคล้าคลอบรรยากาศ
คืนนี้ผมตั้งใจมาดื่ม เพื่อฉลองให้กับนวนิยายเล่มแรกที่ได้ตีพิมพ์เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ภายใต้นามปากกาใหม่เอี่ยม หลังจากยึดอาชีพนักแปลมาจนถึงปี 2020 มีผลงานแปลมากมาย แต่แล้วผมในวัยสามสิบสี่กลับผันตัวมาเป็นนักเขียนเสียอย่างนั้น สร้างความประหลาดใจให้เหล่าบรรดานักอ่านที่ติดตามอย่างมาก แต่คนใกล้ชิดอย่าง บก. และคนในสำนักพิมพ์ต่างรู้มานานแล้วว่าผมอาจมาแนวนี้
งานเขียนนั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย มันแตกต่างจากการแปลโดยสิ้นเชิง เพราะผมต้องคิดทุกอย่างเองหมด ไม่ใช่การถอดความหมายเป็นภาษาอื่น ฉะนั้นนวนิยายเล่มแรกนี้ผมจึงใช้เวลาเขียนหนึ่งปีเต็มกว่าจะจบ เป็นผลงานที่ผมทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ และมันก็ออกมาสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ
ผมคิดอย่างมีความสุขขณะจุดบุหรี่ ปล่อยควันออกทางจมูก พลางทอดมองออกไปไกลแสนไกล
นับตั้งแต่ซื้อคอนโดที่กรุงเทพฯ ผมก็ย้ายขึ้นมาอยู่ที่นี่ได้สามปีกว่าแล้ว และจะกลับไปไร่ศรีราพันธ์ก็ต่อเมื่อมีธุระเกี่ยวกับงานที่นั่น หรือไม่ก็วันเกิดของสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัว
ความจริงผมไม่ได้อยากจากมานักหรอก ผมชอบความสงบของไร่ศรีราพันธ์มากทีเดียว แต่พออายุมากขึ้นจนย่างเข้าเลขสาม พ่อกับแม่ต่างก็คาดหวังที่จะเห็นผมแต่งงานและมีหลานให้อุ้ม ผมจึงใช้แหวนที่นิ้วนางมาเป็นข้ออ้างว่ามีคนคุยด้วยอยู่แล้ว มันเคยเป็นข้ออ้างที่ได้ผลดี แต่ในเมื่อผมไม่เคยเปิดตัวบุคคลปริศนา ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามแนะนำผู้หญิงให้ผมรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นลูกของเพื่อนหรือคนที่รู้จักก็ตาม ผมยอมคุยกับพวกเธอตามมารยาท แต่สุดท้ายก็ไม่เคยสานสัมพันธ์ต่อ
ซึ่งการที่ผมไม่เปิดเผยเรื่องความรักตลอดช่วงที่อาศัยอยู่ที่ไร่ ได้สร้างความสงสัยแก่ใครหลายคน และมันก็กลายประเด็นให้คนงานบางคนเอาผมไปซุบซิบนินทา ถ้าวันหนึ่งผมไม่เข้าไปเดินเล่นในสวนและบังเอิญได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ผมก็คงไม่มีวันรู้เลยว่าพวกนั้นคิดเป็นตุเป็นตะอย่างไรต่อรสนิยมของผม
ความรู้สึกอึดอัดก่อตัวขึ้นทุกวันจนเริ่มทนไม่ไหว สายตาเคลือบแคลงจากคนรอบข้างยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ แม้อนุชากับมาลีจะปฏิบัติกับผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่นั่นก็ไม่สามารถช่วยให้ผมสบายใจขึ้น
ดังนั้นพอพวกเขาเข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงวางแผนซื้อคอนโดราคาหลักล้านต้น ๆ ที่กรุงเทพฯ และเพื่อเป้าหมายนั้นผมจึงรับงานทุกอย่างที่สำนักพิมพ์เสนอให้ ส่วนงานในไร่ก็ไม่ขาดตกบกพร่อง มันเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมเฝ้าอดทนเก็บหอมรอมริบอยู่สามปีจนกระทั่งได้จำนวนเงินมากพอ จากนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับพ่อแม่เรื่องนี้
แม้พวกท่านจะอยากให้ผมอยู่ที่บ้าน ทว่าก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เพราะผมอ้างความสะดวกเรื่องการงานมาเป็นเหตุผลหลัก ผมสงสารพวกเขาเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ที่ผ่านมาทั้งสองดีกับผมมาโดยตลอด แต่ผมกลับตอบแทนด้วยการจากไปและปล่อยให้สองตายายอยู่กันอย่างเหงา ๆ
ผมพ่นควันบุหรี่ พลางครุ่นคิดต่อไป
ถึงจะดูใจดำ แต่ผมจำเป็นต้องย้ายออกมา เพราะไม่วันใดวันหนึ่งสิ่งที่ผมกลัวจะต้องเกิดขึ้น และถ้ามันเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉะนั้นจึงเป็นการดีหากผมไปให้พ้น ๆ จากตรงนั้น
อย่างไรก็ตาม ชีวิตผมตอนนื้ถือว่าอยู่ตัว ผมพอใจกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ผมมีความสุขในระดับที่ไม่ทำให้เป็นซึมเศร้า แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่เหงาจนไม่ต้องการคนคุยด้วย หากวันไหนเหนื่อยล้ากับงาน รู้สึกหมดพลัง สิ่งที่ผมทำคือการขับรถออกมานั่งดื่มที่บาร์ประจำ ผมค้นพบว่ามันช่วยได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้นานอีกเท่าไหร่ เพราะผมไล่ดื่มแอลกอฮอล์มาแทบจะครบทุกยี่ห้อแล้ว
อ่อใช่ นอกจากจะขยับมาเป็นนักเขียน ตอนนี้ผมยังเป็นนักดื่มด้วยครับ ผมไม่ได้ภูมิใจนักหรอกสำหรับความถนัดใหม่ด้านนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ ทั้งหมดเป็นเพราะแม็กซ์ บาร์เทนเดอร์ลูกครึ่งฝรั่งคนนั้น ผู้มีพรสวรรค์เปลี่ยนน้ำขมให้เป็นน้ำหวานด้วยลีลาการชงอันแพรวพราว
ผมหันไปมองบาร์อันครึกครื้น พลางสูบอัดควันเข้าปอดและพ่นออกช้า ๆ ไม่ละสายตาไปจากบาร์เทนเดอร์สุดหล่อที่กำลังคุยกับลูกค้าผู้หญิงสองคน หมอนั่นช่างมืออาชีพเสียจริง
ผมยิ้มเมื่อนึกไปถึงเมื่อชั่วโมงก่อนตอนที่เพิ่งเข้ามาสั่งเครื่องดื่ม แม็กซ์มักชวนผมคุยเสมอ ไม่ได้ปล่อยให้นั่งเหงาคนเดียว และแน่นอนว่าเขาทำแบบเดียวกันกับลูกค้าทุกคน แต่ผมไม่สนหรอก ขอเพียงแค่เขายังจำเครื่องดื่มที่ผมโปรดปรานได้ และไม่มีท่าทีอึดอัดที่จะบริการ หลังครั้งหนึ่งผมเคยหลุดปากพูดเกี่ยวกับรสนิยมของตัวเองออกมา
ตอนนั้นผมอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ผมคงไปจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแม็กซ์เอ่ยรั้งไว้ เขารีบชงเครื่องดื่มบางอย่าง เทใส่แก้วและยื่นมาให้ ผมมองมันสลับกับใบหน้ามีเสน่ห์ พลางคิดในใจว่านี่คงเป็นวิธีรับมือของเขาสินะ ผมถึงได้บอกไงว่าแม็กซ์เป็นพวกมืออาชีพ
“รับไปเถอะ แก้วนี้ผมเลี้ยง” เขายิ้ม เผยให้เห็นฟันทองเล่มหนึ่งที่ตำแหน่งฟันเขี้ยวฝั่งซ้ายด้านบน เข้ากันดีกับรอยสักมากมายที่โผล่พ้นออกมาชุดยูนิฟอร์มขาวดำ
“ผมจ่ายได้ คุณไม่ต้องเลี้ยงหรอก ของมันเป็นราคาทั้งนั้น”
“รับไปเถอะครับ ผมอุตส่าห์ตั้งใจชงเลยนะ ถ้าคุณไม่ดื่มผมคงเสียใจแย่”
ผมถอนหายใจ และนั่นถือเป็นคำตอบตกลง
คืนนี้ก็เช่นกัน ผมเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับงานเขียนที่ได้ตีพิมพ์ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก แค่พูดไปเรื่อย ทว่าแม็กซ์กลับตั้งใจฟังมากทีเดียว เขาไม่รู้มาก่อนว่าผมเป็นนักเขียน แน่ล่ะผมไม่เคยเล่าเรื่องงานการให้เขาฟัง ผมปล่อยให้เขาคิดเอาเองว่าทำอาชีพอะไร
“ผมนึกว่าคุณทำงานออฟฟิศเสียอีก” แม็กซ์เสยผมรองทรงที่ชโลมแว็กซ์เป็นมันวาว
“ก็คล้าย ๆ กันแหละ เพียงแต่ออฟฟิศของผมอยู่ที่บ้าน”
“น่าอิจฉาจัง คุณคงมีความสุขมากแน่เลย”
“ก็ประมาณนั้น แต่คุณไม่ต้องอิจฉาผมหรอก การนั่งเก้าอี้วันละเจ็ดแปดชั่วโมงไม่ใช่เรื่องดีเลย ผมปวดหลังไปหมดแล้ว”
“ถ้างั้นให้ผมนวดให้ไหมครับ” แม็กซ์ยิ้ม
ผมรู้ว่าเขาพูดเล่น แต่หัวใจผมกลับกระตุกเพราะปรารถนาให้เขาคิดจริง
“ผมมันก็แค่นักเขียนไส้แห้ง ไม่ปัญญาจะจ้างบาร์เทนเดอร์มือทองให้มาเป็นหมอนวดหรอกครับ”
“ไม่จริงหรอก คุณกำลังนั่งดื่มที่บาร์บนดาดฟ้าโรงแรมห้าดาวเชียวนะ”
“ผมแงะกระปุกมาจ่ายทั้งนั้น”
แม็กซ์หัวเราะ ขณะลงมือทำเครื่องดื่มที่ด้านล่างเคาน์เตอร์
“โธ่ ถ้างั้นให้ผมเลี้ยงคุณอีกแก้วละกัน ฉลองให้กับนักเขียนไส้แห้งเป็นไง”
ผมมุ่นคิ้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ คุณเลี้ยงผมบ่อยเกินไปแล้ว ถ้าเมเนเจอร์คุณรู้ระวังคุณจะเดือดร้อน”
“เป็นห่วงผมเหรอ” แม็กซ์หยุดชะงักจากสิ่งที่ทำแล้วมองมายังผม
“ผมกลัวจะเสียบาร์เทนเดอร์เก่ง ๆ ต่างหาก ถ้าคุณโดนไล่ออกผมคงรู้สึกผิดมากแน่ ๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ นี่เป็นโควตาดื่มฟรีที่ผมเอาไว้ออฟเฟอร์ลูกค้าเวลามีปัญหา ผมยังไม่ได้ใช้เกินจำนวน”
“ผมไม่ได้สร้างปัญหาให้คุณใช่ไหม” ผมรู้สึกไม่สบายใจ
“ไม่แน่นอนครับ ตรงกันข้ามเลยต่างหาก” แม็กซ์พูดพร้อมกับเสิร์ฟบลู มาร์การิตา ดวงตาสีฟ้าที่มองมาฉายแววบางอย่างที่ทำให้ใจผมสั่นไหว “คุณน่ะทำให้ผมอยากมาทำงานทุกวันเลย”
ประโยคนั้นทำเอาผมนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นว่าผมเงียบ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“ถ้ามีลูกค้านิสัยดีแบบคุณมาดื่มเยอะ ๆ ผมก็อยากมาทำงานทุกวัน”
“อ่อใช่ แน่นอน” ผมตอบไปตามน้ำ ก่อนจะยกบลู มาร์การิตาขึ้นมาจิบ พลางใช้สายตาพิจารณาคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
อืม ผมชอบอะไรเกี่ยวกับเขานะ คงเป็นรูปร่างล่ะมั้ง ใช่…นั่นแหละคือสิ่งดึงดูดผมที่สุด แม็กซ์ดูสมส่วนและยังหนุ่มแน่น เดาว่าอายุน่าจะไม่ห่างกันมาก ท้องไส้ของผมปั่นป่วนเมื่อแม็กขยับตัวยืนในท่าที่ทำให้เห็นความตุงของเป้ากางเกง ผมมองต่ำไปที่จุดนั้นอย่างมิอาจหักห้าม และดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยให้ผมมองมันอย่างเต็มที่ ราวกับพึงพอใจที่ได้อวดเจ้าสิ่งนั้น ความร้อนแผ่ซ่านขึ้นหน้าลามไปถึงใบหู
แม็กซ์กำลังจะพูดบางอย่าง แต่จังหวะนั้นเองลูกค้าผู้หญิงสองคนก็เดินเข้ามาสั่งออร์เดอร์ บาร์เทนเดอร์จึงส่งสายตามาเป็นเชิงขอตัว
“ตามสบายครับ” ผมบอก
แล้วแม็กซ์ก็ไม่อาจถอนตัวออกจากการสนทนาที่พวกหล่อนสรรหามาคุยได้เลย เป็นเวลานานมากพอจนผมดื่มบลู มาร์การิตาหมดแก้ว วางค่าเครื่องดื่มและทิปจำนวนหนึ่งบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินออกมารับลมที่ริมดาดฟ้า
ผมดูดเอาควันเข้าปอดอีกเฮือก ก่อนจะจี้ก้นบุหรี่ในกระถางทรายใกล้ ๆ ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่าเกือบเที่ยงคืนแล้วจึงตัดสินใจเดินทางกลับ ผมเดินอ้อมผู้คนและโต๊ะนั่งมากมายไปยังประตูทางออก
“คุณครับ” เสียงคุ้นหูร้องเรียกมาจากด้านข้าง ผมหันไป แม็กซ์กำลังเดินมา
“อ่าวคุณ มาได้ไง”
“ผมขอเมเนเจอร์มาเข้าห้องน้ำ”
ผมหรี่ตา
“หวังว่าไม่ใช่ข้ออ้างนะครับ”
แม็กซ์ไม่สนใจคำพูดของผม
“อีกยี่สิบนาทีผมจะเลิกงานแล้ว ถ้าคุณไม่รีบล่ะก็ช่วยรอหน่อยได้ไหมครับ”
“มีอะไรเหรอครับ”
แม็กซ์ดูอ้ำอึ้ง แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ผมจะชวนคุณไปเที่ยวต่อที่ไนต์คลับแถวนี้น่ะ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
หัวใจผมเต้นแรง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือฮอร์โมนที่ทำให้เป็นอย่างนี้ สีหน้าแม็กซ์ดูคาดหวัง และผมคงโง่มากที่จะตอบปฏิเสธ
“อ่อได้สิครับ ผมก็กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดีเลย”
บาร์เทนเดอร์ยิ้มกว้าง จากนั้นก็พาผมไปนั่งที่มุมหนึ่ง ผมคอยอยู่ตรงนั้น นั่งคิดไปเรื่อย เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยงคืนกว่า ๆ แล้ว แม็กซ์กลับมาหาผมอีกครั้งและบอกให้ลงไปรอหน้าโรงแรม ส่วนเขาจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องล็อกเกอร์
สิบนาทีต่อมา รถเก๋งสีดำวาววับคันหนึ่งได้แล่นมาจอดอย่างเงียบเชียบตรงตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณลานจอดรถของลูกค้า โดยอยู่ติดถนนด้านหน้าโรงแรม
กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง ผมเดินเข้าไปใกล้
“คุณจอดรถไว้ที่นี่แล้วมากับผมเถอะ”
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ คุณดื่มไปหลายแก้วแล้วนะ มันไม่ปลอดภัยหรอกที่จะขับรถเอง” บาร์เทนเดอร์กล่าว “มาเถอะครับ”
ผมแอบกลัวผสมกับลังเล ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นฉุดผมไว้ได้ไม่นาน สุดท้ายผมก็เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งและเข้าไปนั่ง แล้วแม็กซ์ก็ขับรถออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าสู่ไนต์คลับสักแห่งในใจกลางกรุง
ภายในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนผมตัวสั่น แม็กซ์เอื่อมมือไปลดอุณหภูมิ พร้อมกับชำเลืองมองมือของผม
“แฟนคุณไม่ว่าอะไรเหรอที่ออกมาดื่มคนเดียวแบบนี้”
ผมหันขวับไปมองอีกฝ่าย
“แหวนนั่นน่ะ ผมเดาว่าคุณคงมีใครสักคนอยู่แล้วใช่ไหม”
ผมยกมือซ้ายขึ้นมาดู แหวนเงินที่นิ้วนางสะท้อนแสงไฟข้างถนนเป็นประกายแวววาว
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“หมายความว่าไงครับ”
ผมขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจคำถามนี้ มันทำให้ผมหงุดหงิด ผมจึงมองออกนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนสีหน้า
“คุณไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก เอาเป็นว่าผมไม่เดือดร้อนก็แล้วกัน”
แม็กซ์ไม่ถามเซ้าซี้ เขากดเปิดเพลง จากนั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไป
ไม่นานเราก็มาถึงไนต์คลับที่ว่า ผมไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน แม็กซ์วนรถไปจอดด้านหลังร้าน พอลงจากรถผมจึงได้เห็นการแต่งกายของเขาได้ถนัดตา ผมไม่เคยเห็นเขาในชุดปกติมาก่อน แม็กซ์สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำทับเสื้อกล้ามสีขาว ลำคอหนามีสร้อยเงินเรียบ ๆ ห้อยคล้อง กางเกงยีนสีดำมีรอยขาดตรงหัวเข่า ตัดกับสีฟ้าสดใสของรองเท้าผ้าใบ
เขาช่างแต่งตัวได้เข้ากับสถานที่จริง ๆ ผิดกับผมที่แต่งเหมือนจะไปงานแจกลายเซ็นในงานหนังสือแห่งชาติ
เราออกเดินบนถนนเพื่ออ้อมมาเข้าประตูด้านหน้า ขณะเดียวกันผมก็สำรวจแสงสีจากร้านเหล้านับไม่ถ้วนระหว่างทางไปด้วย นักท่องราตรีมากมายเดินสวนกันไปมา เสียงเพลงก็ดังจนผมแทบไม่ได้ยินว่าแม็กซ์หันมาพูดอะไร
“เตรียมบัตร!” เขาตะโกน
“โอเค!” ผมตะโกนตอบ
เรายื่นบัตรประชาชนให้พนักงานหน้าโหด พวกนั้นมองหน้าเราสลับกับดูรายละเอียดในบัตรอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งคืนและอนุญาตให้เข้าไปข้างใน
เนื่องจากแม็กซ์มีเพื่อนทำงานที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียค่ามิกเซอร์หรืออะไรให้วุ่นวาย แถมยังได้โต๊ะดี ๆ ตรงมุมหนึ่งที่สามารถมองเห็นดีเจจากข้างบนเวที
“คุณอยากดื่มอะไร เดี๋ยวผมไปสั่งให้” แม็กซ์โน้มเข้ามาพูดใกล้ ๆ
“ผมขอไวน์คูลเลอร์สักขวดก็พอ”
หลังจากแม็กช์หายไปในฝูงชน ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการมองบรรยากาศครื้นเครงโดยรอบ ผมไม่ได้มาร้านแบบนี้หลายปีแล้ว และมันก็ไม่ใช่สไตล์เสียเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ที่นี่มีแต่วัยรุ่น พวกเขากำลังออกสเต็ปลวดลายการเต้นอย่างเมามันอยู่ที่บริเวณกลางร้าน แสงไฟนีออน สปอตไลท์และไฟเลเซอร์กะพริบแปลบปลาบดูสวยก็จริง แต่มันก็เริ่มทำให้ผมตาลาย
สักพักแม็กซ์ก็กลับมาพร้อมกับเครื่องดื่ม เรานั่งดื่มและคุยกันเกือบครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเบียร์เริ่มทำให้แม็กซ์คึกคัก เขาจึงชวนผมให้ออกไปเต้นด้วยกัน แน่นอนว่าผมยินดี
การเต้นไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด แต่ก็พอจะออกลีลาไปได้เรื่อย ๆ ต่างจากพ่อบาร์เทนเดอร์ที่ใส่พลังเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวตามจังหวะเพลงอีดีเอ็มหลุดโลก ทำเอาหนุ่มสาวแถวนั้นพากันมองตาเป็นมัน ผมยิ้มให้กับเสน่ห์อันล้นเหลือของหมอนั่น เขาเกิดมาเพื่อแสงสีเหล่านี้จริง ๆ
ทุกครั้งที่ดีเจเปลี่ยนเพลง ผมกับแม็กซ์ต่างขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดเราสองคนก็เต้นนัวเนียและแทบจะหายใจรดต้นคอ ความมึนเมาทำให้สมองล่องลอยเหมือนลูกโป่งสูบก๊าซฮีเลี่ยม ส่วนความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทั่วตัวน่าจะมีสาเหตุมาจากส่วนนั้นของแม็กซ์ที่กำลังถูไถบั้นท้ายของผม
“คุณตัวหอมมาก ผมชอบน้ำหอมกลิ่นนี้ของคุณ” แม็กซ์โน้มลงมาพูด ผมหันกลับไปเผชิญหน้า เขย่งปลายเท้าเข้าไปพูดข้างหูคนตัวสูง
“ชอบน้ำหอมจริงเหรอ” ผมแกล้งทำเสียงเย้ายวน
เขากระดกเบียร์ที่อยู่ในมือซ้ายและมองผมด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ถ้าไม่ใช่น้ำหอมแล้วจะให้ผมชอบอะไรดีล่ะ” เขาใช้ปลายนิ้วเชยคางผม “คุณดีไหม?”
“คุณไม่กล้าหรอก” ผมยิ้มที่มุมปาก
“อย่าท้าผมนะ”
ผมคล้องแขนรอบต้นคออีกฝ่ายด้วยแรงปรารถนาเต็มอก
“ถ้างั้นผมขอท้าคุณ -- ตรงนี้เลย”
จังหวะที่ทุกคนกำลังเต้นสุดเหวี่ยงกับท่อนฮุกอันหนักหน่วง แสงไฟหลากสีกะพริบตามท่วงทำนอง หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งอาศัยจังหวะนั้นเปิดฉากจูบปากผมอย่างอุกอาจ ตามด้วยการส่งลิ้นร้อนเข้ามาอย่างหิวกระหาย ผมหลับตาและตอบสนองอย่างดูดดื่มเร่าร้อน
ราคะครอบงำจิตใจอย่างสมบูรณ์ ผมต้องการร่างกายของแม็กซ์มาช่วยปลดปล่อยความอัดอั้นข้างใน ไม่ว่าจะให้เขาสอดใส่ผม หรือผมสอดใส่เขา อะไรก็ตามที่จะเนรมิตให้เรื่องบนเตียงหฤหรรษ์ หากได้ทำจริง ๆ คืนนี้ผมจะทำให้เต็มที่จนไม่เหลือเรี่ยวแรง
แม็กซ์จูงมือผมออกจากไนต์คลับ เราก้าวฉับ ๆ บนถนนเส้นเดิมกลับไปยังลานจอดรถ แม็กซ์กดรีโมตปลดล็อก ไฟสีส้มกะพริบ เขาเปิดประตูที่นั่งด้านหลังและผลักผมเข้าไป ผมเสียหลักนอนหงายบนเบาะ ประตูปิดตามหลัง แล้วเสียงเพลงอึกทึกรอบตัวก็เบาลงทันที
แม็กซ์ค่อมตัวผม นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายในความมืดสลัว ผมเย็นสันหลังวาบ รู้สึกแปลก ๆ ราวกับกำลังตกเป็นเหยื่อของหมาป่า ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น และก่อนที่สมองจะคิดการอื่นออก บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็ก้มลงมาซุกไซร้ซอกคออย่างดุดัน เขาลากลิ้นผ่านลูกกระเดือกขึ้นมาถึงปลายคาง ก่อนจะขบริมฝีปากล่างของผมอย่างแรงด้วยฟัน
“อ๊ะ...เบา ๆ หน่อย” ผมปราม แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สน
กระดุมเสื้อถูกปลดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีมือหนาก็ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกเปลือยของผมอย่างมันมือ สักพักเขาก็จับผมพลิกคว่ำและบีบขยำบั้นท้ายอย่างแรงจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ผมปล่อยให้แม็กซ์ลวงเข้ามาในกางเกง และใช้นิ้วมือชุ่มน้ำลายทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการ
“ไม่ไหวแล้ว” แม็กซ์ครางกระเส่า
“อือ”
ขณะกำลังตักตวงความสุขจากเรือนร่างของกันและกัน ส่วนลึกในสมองผมกลับกำลังคิดว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาเป็นไปไม่สวยเลยสักครั้ง ไม่ต้องพูดถึงขั้นสอดใส่เลย โดยสิ่งที่ระงับผมไว้จากการกระทำนั้นก็คือ ภาพใบหน้าของบุคคลที่ผมพยายามหาวิธีลืม ผู้ที่มอบแหวนวงนี้ให้เมื่อนานมาแล้ว
จนถึงป่านนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดคนนั้นยังคงมีอิทธิพลกับชีวิตของผม ผมเคยคิดว่าเวลาจะช่วยบรรเทาและทำให้ลืมทุกอย่าง แต่เปล่าเลย มันกลับยิ่งทำให้สิ่งเหล่านี้ฝังรากลึก จนผมแทบจะเห็นภาพหลอนของเขาเดินปะปนกับผู้คนตามสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็ปรากฏในความคิด ความฝัน และทุกครั้งที่ผมมีสัมพันธ์ทางกายกับใคร
ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งนี้ไปได้เมื่อเป็นเรื่องเซ็กซ์ ราวกับผมได้ทำพันธสัญญาถาวรไว้กับเขา ไม่ว่าใครจะทำให้หัวใจของผมสั่นไหว ไม่ว่าสัมผัสนั้นจะดีสักเพียงไร แต่กลับไม่มีใครสักคนช่วยให้ผมหลุดพ้นจากบ่วงนี้ไปได้เลย
ในขณะที่แม็กซ์กำลังใช้นิ้วปรนเปรอให้ ผมก็ต้องพยายามอย่างหนักไม่ให้ใบหน้าของรักแรกปรากฏในหัว ฉะนั้นผมจึงจับแม็กซ์พลิกให้มาอยู่ใต้ร่าง เริ่มซุกไซร้ซอกคอ ใช้ร่องก้นบดคลึงแก่นกายแข็งขืนใต้เนื้อผ้า และฟังเสียงครางอย่างพอใจของอีกฝ่าย
“เป็นอะไร” แม็กซ์ถามเมื่อจู่ ๆ ผมก็หยุดและนั่งนิ่งบนตัวเขา
“เปล่า ไม่มีอะไร แค่มึนหัว”
แม็กซ์ทำท่าจะจับผมนอนกดบนเบาะ แต่ทว่าผมกลับขยับตัวออกห่างจนติดประตู
“เดี๋ยว...คือผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“อะไรอีกล่ะเนี่ย” เขาดูหงุดหงิด คราบสุภาพบุรุษเริ่มหายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ
“ผมขอโทษ ไม่น่าดื่มเยอะเลย” ผมโยนความผิดให้แอลกอฮอล์
แม็กซ์สบถคำหยาบ จากนั้นก็ยันตัวลุกนั่ง
“ถ้าจะอ้วกก็ออกไปอ้วกข้างนอก อย่ามาทำเลอะใส่รถผม”
ผมหน้าเจื่อน ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ก่อให้เกิดประเด็นทันที
“เรากลับกันได้ไหม”
“เห้ย เป็นบ้าหรือเปล่า มาถึงขั้นนี้แล้วอยู่ดี ๆ จะหยุดกลางคันไม่ได้ป้ะว้ะ”
นั่นก็จริง ไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องการสิ่งนี้ แต่ผมเองก็ไม่อาจห้ามแรงต้านในหัวได้เช่นกัน
แม็กซ์ถอนหายใจ
“ว่าแล้วต้องมีปัญหา สภาพแบบนี้คงทะเลาะกับแฟนแล้วมาหาที่ระบาย น่าเบื่อฉิบหาย!”
ผมนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะขุ่นเคืองกับคำพูดใจร้ายนั่น แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายดูอารมณ์เสียสุด ๆ จนผมหวาดกลัว
“ให้ผมช่วยให้เสร็จไหม” ผมเสนอทางออก
“ไม่ต้อง! หมดอารมณ์!” เขาพูดเสียงแข็ง จากนั้นก็ผลุนผลันเปิดประตูและย้ายไปนั่งที่เบาะคนขับ
ไม่กี่นาทีต่อมาเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง แม็กซ์ไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทางที่เขาขับรถพาผมกลับมาส่งที่โรงแรม ผมนั่งอยู่เบาะหลัง คอยมองสีหน้าบูดบึ้งผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะ ๆ พลางคิดในใจว่าโชคดีแค่ไหนที่ไม่โดนอีกฝ่ายทำร้าย แถมยังน้ำใจห้อตะบึงรถมาส่งอีก เพราะอันที่จริงผมสมควรถูกปล่อยให้นั่งแท็กซี่กลับเองเสียด้วยซ้ำ
“แม็กซ์ ผมขอโทษจริง ๆ” ผมพูดก่อนจะลงจากรถ ทว่าเขาไม่ตอบอะไรทั้งนั้น
ทันทีที่ปิดประตู รถเก๋งสีดำก็แล่นออกไปด้วยความเร็วจนมองตามหลังแทบไม่ทัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมโดนเกลียดเข้าแล้ว
ผมขยี้หัวแรง ๆ ความรู้สึกผิด เสียใจ โมโหประดังถาโถมจนผมอยากต่อยอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแค่สบถออกมาเสียงดัง จนยามที่นั่งอยู่ในป้อมถึงกับชะเง้อมองผ่านหน้าต่าง ผมยกมือไหว้เป็นการขอโทษ ก่อนจะเดินไปยังรถยนต์ของตัวเอง
เป็นอีกครั้งที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถจัดการปัญหาส่วนตัวได้สำเร็จ เขาจะรู้ไหมว่าผมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแค่ไหน ผมต้องการให้เขาได้เห็นสภาพของผมตอนนี้ และผมต้องการให้เขามารับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความรู้สึกอันแสนอ่อนไหวเปราะบาง ราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
ในขณะที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ผมเองก็ไม่รู้อะไรด้วยเช่นกัน บางทีเขาอาจลำบากยิ่งกว่า แต่บางทีก็อาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับใครสักคนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ นอนร่วมเตียงเดียวกันและทำอะไรแบบนั้นทุกคืน แค่คิดผมก็น้อยใจเกินกว่าจะรู้สึกเห็นใจหรือเป็นห่วงเป็นใย
แต่ถึงจะโกรธแค่ไหน ผมก็ต้องขอสภาพว่ายังแอบคิดถึงเขาอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะมาจากส่วนลึกของหัวใจและจิตวิญญาณอันบอบช้ำ ทว่านั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าผมยังคงมีเยื่อใย และใช่...ผมยังมีความหวัง แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมามันจะริบหรี่มากขึ้นเรื่อย ๆ หากแต่มันก็ไม่เคยมอดดับเลย
“คิมหันต์”
ผมพูดชื่อนี้ออกมาเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี พลางนึกถึงวันแรกที่พบกัน รายละเอียดเหตุการณ์นั้นยังคงชัดเจนราวกับฝังแน่นอยู่ในลูกตา และมันก็กำลังทำให้ดวงตาของผมแสบร้อน
รอยยิ้มเจ็บปวดผุดขึ้นบนใบหน้า น้ำตาไหลช้า ๆ ขณะผมขับรถมุ่งสู่คอนโดที่มีความอ้างว้างเฝ้ารอคอย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ