เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) วันสุดท้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังปั่นการบ้านและส่งงานทุกวิชาเรียบร้อย การเรียนส่วนที่เหลือก็แทบไม่สำคัญอีกต่อไป บางวิชาเช่นวิชาพละและสังคมศึกษา พวกอาจารย์อนุญาตให้เราไปใช้ห้องสมุดแทนที่จะมานั่งคุยกันเสียเวลาเปล่า ซึ่งสำหรับใครที่สนใจจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย คงหนีไม่พ้นต้องอ่านหนังสืออย่างหนักหามรุ่งหามค่ำ เพราะอีกไม่นานการสอบปลายภาคและสอบเอ็นทรานซ์ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
แต่ผมกลับไม่กระตือรือร้นเท่าคิมหันต์ ตงเปียน ปราการและเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ แม้จะกลุ้มใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อดีระหว่างเรียนต่อวิทยาลัยสงฆ์หรือสอบเข้าคณะที่อยากเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น เพราะก่อนหน้าที่พ่อแม่บุญธรรมจะทำเรื่องขออุปการะ ผมถูกกำหนดให้เรียนต่อด้านเทววิทยาตามแนวทางของโรงเรียน และตามความคาดหวังที่เปี่ยมไปด้วยแรงกดดันของบรรดาคุณพ่อ
ความจริงคือผมรู้ตัวมาตลอดว่าไม่อยากเป็นนักบวช และถึงจะอยากก็คงทำไม่ได้ ผมจะไม่ตัดสินว่าตัวเองทำผิดหรือถูกเรื่องเสียความบริสุทธิ์ในวัยเรียน แต่ที่แน่ ๆ คือทุกสิ่งที่ผมเลือกทำให้ผมมีความสุขมาก เช่นเดียวกับที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากมีชีวิตเป็นอิสระ ได้ทำธุรกิจเล็ก ๆ กับคนที่ผมรักหลังเรียนจบ
ฉะนั้นเช้าวันหนึ่งช่วงปลายเดือนมกราคม ผมจึงตัดสินใจไปพบคุณพ่ออรรถพลที่ห้องทำงานเพื่อคุยเรื่องแผนการในอนาคตของผม คุณพ่อดูประหลาดใจที่ผมมาหา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเหนือความคาดหมาย
คุณพ่อเชิญผมไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ ก่อนท่านจะทรุดลงบนเก้าอี้บุนวมหลังโต๊ะทำงาน ใบหน้ามีริ้วรอยเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“มาหาพ่อมีอะไรเหรอ” นักบวชสูงวัยถามด้วยเสียงสบาย ๆ พลางยื่นถาดคุกกี้ให้ตรงหน้า ผมส่ายหัว
“ผมมาคุยกับพ่อเรื่องมหา’ลัยครับ”
“ให้พ่อช่วยอะไรไหม” ท่านเอนหลังพิงผนัก
ผมบีบมือแน่น รวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป
“ผมว่าผมคงไม่สมัครเข้าเรียนที่วิท’ลัยแสงธรรมหรอกพ่อ ผมอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์มากกว่า” ผมพูดออกมารวดเดียวจบ
“งั้นรึ อักษรศาสตร์เอกภาษาอะไรล่ะ” คุณพ่อเลิกคิ้วถามอย่างสนใจ
“ภาษาอังกฤษครับ” ผมตอบ ใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นกังวล
คุณพ่อพยักหน้าช้า ๆ ขณะมองดูผมซึ่งนั่งหลังตรงเป็นไม้บรรทัด
“ก็ดีนี่ เอ็งชอบเรียนภาษาฝรั่งตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลงเรียนคณะอักษรศาสตร์ก็แจ๋วเลย เผื่อเรียนจบมาจะได้ช่วยพ่อกับแม่ส่งผลไม้ไปขายเมืองนอก”
จากที่ได้ยินมา พ่อแม่บุญธรรมของผมประกอบธุรกิจเป็นเจ้าของสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งคงจะมีการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศด้วย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจจนถึงกับนิ่งขึง สาเหตุที่แท้จริงคือคำตอบของคุณพ่ออรรถพลต่างหาก
“แต่...พ่อไม่ว่าอะไรผมเหรอครับ”
“ว่าอะไรล่ะ”
“ที่ผมไม่เรียนต่อวิท’ลัยแสงธรรมไงครับ”
คุณพ่อดูตกใจ
“พ่อจะว่าเอ็งทำไม พ่อไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นหรอกลูก” นักบวชกล่าวอย่างอ่อนโยน ดวงตาเมตตาคู่นั้นยังคงจ้องมองผมอยู่ ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก “นี่มันอนาคตของเอ็ง เอ็งอยากเรียนอะไร อยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น พ่อดีใจเสียอีกที่เอ็งยังอยากเรียนต่อ”
ผมนั่งกะพริบตาปริบ ๆ สมองโล่งเปล่า
“พ่อไม่ผิดหวังเหรอครับที่ผมไม่บวช”
ท่านส่ายหน้า
“ไม่เลย เส้นทางนี้ไม่ง่ายลูกก็รู้ ถ้าพระไม่เรียกเสียอย่างใครก็ไปฝืนบังคับไม่ได้ทั้งนั้น” คุณพ่อเอนตัวมาข้างหน้า ดวงตาสีดำฉายแววจริงใจ “เอ็งไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอกรัน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไปทำตามที่ใจรักเถอะลูก”
ความโล่งใจแผ่ซ่านทั่วทรวงอกจนเผลอยิ้มออกมา ผมคิดมาตลอดว่าท่านคาดหวังให้ผมเป็นบาทหลวง หรืออย่างน้อยก็ทำงานอยู่ในสังฆมณฑลของเราเพื่อทดแทนบุญคุณ หากแต่การได้ยินเช่นนั้นคือการยกภูเขาออกจากอกอย่างแท้จริง
ทว่ารอยยิ้มนั้นประทับบนใบหน้าผมเพียงแวบเดียวแล้วก็เจื่อนลง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมกับหลานชายของท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างไรและกำลังปิดบังอะไรไว้ คุณพ่ออรรถพลเปรียบเสมือนพ่อบังเกิดเกล้า ผมรักและเคารพท่านมาก ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดมากเช่นกันที่ไม่สามารถบอกความลับเหล่านั้นได้
ถ้ามีสักวันหรือช่วงเวลาใดที่ผมสามารถอธิบาย เมื่อถึงตอนนั้นผมจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง แต่ ณ ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแค่ฝืนยิ้ม
“ขอบคุณมากครับพ่อ ผมจะตั้งใจอ่านหนังสือและจะสอบให้ติดให้ได้”
ท่านพยักหน้ายิ้ม ๆ
เราคุยกันต่อสักพัก ขณะใกล้จะกลับ ตอนนั้นเองมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง คุณพ่อส่งเสียงบอกให้เข้ามาได้ และเมื่อประตูไม้ทาสีน้ำตาลเข้มเหวี่ยงเปิดออก บุคคลที่ชอบน้อยที่สุดในโรงเรียนก็ปรากฏอยู่ตรงกลางกรอบประตู ทั้งผมและเขาต่างดูตกใจที่พบว่าตนอยู่ในสถานที่เดียวกัน
“มีธุระอะไรเหรอ” คุณพ่อถามชลเทพที่ยืนเก้กัง
“ผมว่าจะมาขอคำปรึกษาจากพ่อน่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่สะดวก” ชายหนุ่มร่างโตพูดอย่างสุภาพ
คุณพ่ออรรถพลเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าการมาของชลเทพทำให้ท่านประหลาดใจของจริง
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ สวัสดีครับ”
ผมลุกขึ้น เดินตรงไปที่ประตู ชลเทพหลบออกไปยืนข้างหน้าต่างใกล้ ๆ และแทนที่ผมจะออกไปให้เร็วที่สุด ผมกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะทำในสิ่งที่แม้กระทั่งตัวผมเองก็ไม่เข้าใจ นั่นก็คือยิ้มให้ชลเทพอย่างเป็นมิตร
ชายหนุ่มทำตาโต เขาดูตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก คงคาดไม่ถึงว่าคู่อริอย่างผมจะมายืนยิ้มให้ในห้องทำงานของอธิการบ้านเณร ในจังหวะที่ผมเห็นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุก ก็เป็นตอนเดียวกับที่ชลเทพยกยิ้มบาง ๆ ให้อย่างไม่มั่นใจ แม้จะดูไม่ธรรมชาติ แต่ผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าบางอย่างระหว่างได้เราผ่อนคลายลงแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบปลายภาค ผม คิมหันต์ ตงเปียนและปราการชวนกันไปอ่านหนังสือที่สวนหย่อมข้างสนามฟุตบอล ภายใต้ร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ที่มีแสงแดดส่องเล็ดลอดพอประมาณ แต่ละคนเลือกทบทวนวิชาที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ และมากกว่าหนึ่งครั้งที่คิมหันต์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมในจุดที่พวกเราสงสัย
ขณะทุกคนกำลังเงียบ ตงเปียนก็สอดที่คั่นหนังสือ ก่อนจะมองดูคิมหันต์ที่กำลังฝึกแก้โจทย์คณิตศาสตร์อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะม้าหินอ่อน
“มึงจะไปเรียนต่อเมืองนอกจริงดิ” ตงเปียนเอ่ยถามด้วยสำเนียงเหน่อเป็นเอกลักษณ์
“เออ มึงจะถามอีกกี่รอบเนี่ย” คิมหันต์พูดติดรำคาญ
“ก็กูใจหายนี่นา กูอยากให้พวกเราเรียนที่เดียวกัน” เพื่อนตัวเล็กทำหน้าเศร้า “มึงไม่ไปไม่ได้เหรอ”
ปราการเหล่มองตงเปียนจากหางตา แล้วจึงปิดหนังสือวิชาภาษาไทย
“มึงปล่อยเพื่อนไปน่ะดีแล้ว พ่อแม่มันก็อยู่เมืองนอก จะให้มันอยู่เหงา ๆ ทำไมคนเดียวที่ไทย”
“เหงาอะไร กูไม่เคยเห็นมันเหงาสักที” ตงเปียนแหว “มีกู มีไอ้รัน มีมึงมันจะเหงาได้ไง”
ปราการกลอกตา ก่อนจะหันหน้าไปทางคิมหันต์ ทำท่าป้องปากและพูดกระซิบ
“มึงไม่ต้องไปฟังมันหรอกคิม ไอ้นี่แม้งไร้สาระ แต่มึงก็อย่าไปหวั่นไหวกับคำพูดของมันล่ะ ไปเรียนที่อิตาลีน่ะดีสุดแล้วเชื่อกู”
คิมหันต์พยักหน้างึก ๆ วางปากกาลง ชูแขนขึ้นสูงยืดเส้นยืดสาย
“เออ ๆ ให้มหา’ลัยจากทางโน้นตอบรับกูก่อนเถอะ”
แล้วผมซึ่งเอาแต่นั่งฟังเงียบ ๆ ตลอดเวลาก็รู้สึกถึงสัมผัสที่ขาขวา คิมหันต์จงใจใช้หัวเข่าซ้ายคลอเคลียกับต้นขาของผมอยู่ใต้โต๊ะ ผมหันไปมอง ส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางสายตา
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” ผมพูด พร้อมกับออกแรงคลอเคลียที่หัวเข่าตอบกลับ
ในความนิ่ง ผมเห็นความเศร้าหมองในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น คิมหันต์ไม่พูดอะไร เขาแค่ยิ้มบาง ๆ และกลับไปแก้โจทย์คณิตต่อ
“แล้วพ่อกับแม่มึงจะบินมาร่วมปัจฉิมป้ะ” ตงเปียนตั้งคำถามอีก
คิมหันต์ส่ายหัว
“มาไม่ได้หรอก พ่อแม่กูยุ่งจะตาย”
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปจดจ่อกับการท่องตำรา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจากผมจะเป็นฝ่ายพึ่งพาคิมหันต์ เขาเองก็คอยปรึกษากับผมเรื่องไปเรียนต่อที่อิตาลี แม้จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก แต่เขาก็ชอบถามความเห็นจากผมเสมอหากลักเลที่จะตัดสินใจในบางเรื่อง และผมถือว่านั่นคือความเมตตาอันเล็กที่คิมหันต์จะสามารถมอบให้ได้ เขาแค่อยากให้ผมมีส่วนร่วม ไม่ต้องการให้รู้สึกว่ากำลังถูกตัดขาดอย่างช้า ๆ
แม้สอบปลายภาคจะไม่บันเทิงเหมือนการไปเข้าค่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งตาคอยว่าจะทำให้ดีที่สุด หลังจากส่งกระดาษคำตอบและออกมายืนอยู่หน้าห้อง หัวใจผมปวดหนึบเมื่อตระหนักว่านี่คือวาระสุดท้ายของการเป็นนักเรียนที่นี่ ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
บ่อยครั้งในอดีต ผมเคยคิดอยากจะหนีไปให้ไกลจากบ้านเณรแห่งนี้ ผมเบื่อความอึดอัด เบื่อคนรอบข้าง และที่มากที่สุดก็คือเบื่อตัวผมเอง ความสับสนทำให้ผมแปรปรวน จนกลายเป็นความอ่อนไหวเลยต้องเสแสร้งเป็นคนเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันที่นี่ได้เปลี่ยนผมหลายอย่าง มอบหลายสิ่งที่ไม่มีวันหาได้ดีกว่าจากที่อื่น นั่นก็คือความรักและมิตรภาพ
ไม่นานคิมหันต์ก็ออกมา ตามมาด้วยปราการและตงเปียนซึ่งใช้เวลาทำข้อสอบนานที่สุดในกลุ่ม แล้วเราทั้งหมดก็เดินลงไปโรงอาหาร
“มึงกะจะเอาเต็มเลยเหรอ” ผมแซวตงเปียน ผู้ซึ่งทำสีหน้าเคร่งเครียดขณะเดินบนถนน
“เหอะ ได้เต็มก็ดีสิ” เขาว่า “กูเกือบลืมย้อนกลับมาทำข้อที่ข้ามไว้ต่างหาก ดีนะที่ยังนึกออก ไม่งั้นซวย”
คิมหันต์ตบไหล่บาง ๆ ของเพื่อนตัวน้อย
“ก็บอกว่าให้กินปลาเยอะ ๆ ไง”
ตงเปียนทำจมูกบาน ริมฝีปากเผยอเตรียมต่อปากต่อคำ
“เออ กูจะกินให้อ้วกเลย แต่กูไม่กินปลาช่อนปลาหมอแถวนี้นะ กูจะรอกินปลาแซลมอนจากท่าเรือเวนิสที่มึงไปว่านแหแล้วส่งมาให้”
พวกเราขำกันยกใหญ่ขณะเดินเข้าไปในโรงอาหารที่จอแจด้วยเสียงช้อนกระทบถาดหลุมโลหะ
วันต่อมาผมตื่นแต่เช้ามืดเพราะดนัยเตรียมตัวจะเดินทางกลับบ้าน ผมช่วยเขาลากกระเป๋าผ้าใบใหญ่ลงมาใต้หอพักและนั่งรอเป็นเพื่อนที่ม้านั่งด้านหน้า
“ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเหรอ รอถึงวันปัจฉิมแล้วค่อยไปก็ได้” ผมถามย้ำอีกรอบ มือไม้โบกสาละวนไล่ยุง
ผมเห็นสีหน้าเศร้าของดนัยผ่านความมืดสลัว เขาถอนหายใจและพูดว่า
“อยากสิ แต่กูต้องกลับไปช่วยแม่ทำนา ปีนี้แย่ฉิบหาย ถ้าพ่อกูไม่ป่วยจนเข้าโรง’บาลกูก็คงได้อยู่จนถึงฉลองเลี้ยงส่งอ่ะ”
ได้ฟังเช่นนั้นผมก็รู้สึกเห็นใจ หลายครั้งทีเดียวที่พระเจ้าทำให้ชีวิตของเราไม่เป็นไปตามแผนด้วยเหตุผลที่ผมไม่มีวันเข้าใจ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มีแสงไฟสีเหลืองสว่างวาบปรากฏที่มุมทางโค้ง แล้วรถกระบะหน้าตาเชยสีเขียวก็แล่นเข้ามาจอดหน้าหอพักด้วยเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม ผู้ขับคือน้าชายของดนัย ผมกราบสวัสดีทักทาย ก่อนจะช่วยเพื่อนขนกล่องกระดาษและกระเป๋าขึ้นไปใส่ท้ายกระบะ เราอำลากันด้วยรอยยิ้ม แล้วผมก็พบว่าตัวเองกำลังยืนมองไฟท้ายรถสีแดงเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา
หลังจากวันนั้น ภาพนักเรียนทยอยเก็บของกลับบ้านก็มีให้เห็นตลอด รถราติดป้ายทะเบียนหลากหลายจังหวัดเวียนเข้าออกที่นี่ไม่ขาดสายราวกับสถานีขนส่ง โดยพวกที่จากกันไปแทบหมดเป็นนักเรียนชั้นม. 4 กับ ม. 5 ส่วนพวกม. 6 นั้นส่วนใหญ่ยังคงอยู่รอจนถึงวันปัจฉิมนิเทศ ซึ่งก็คือสิ้นเดือนมีนาคม
เช่นนั้นแล้ว ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกสามวันสนุกสุดเหวี่ยงไปกับการเล่นกีฬาทุกชนิดที่เมื่อก่อนเคยเอาแต่เฝ้าชมจากข้างสนาม เล่นน้ำในคลองด้านหลังกับพวกเพื่อน ๆ และเที่ยวสำรวจโรงเรียนอย่างละเอียดเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เก็บภาพอาคารเรียน สนามหญ้า ดาดฟ้า ห้องสมุด วัดน้อยและห้องนอนเล็ก ๆ เอาไว้ในความทรงจำ
กระนั้นผมกลับคอยหาจังหวะเบนสายตาไปทางคิมหันต์เสมอ ตั้งแต่แรกพบจนถึงบัดนี้เขายังคงสถานะเป็นผู้หันเหความสนใจเบอร์หนึ่ง ไม่ว่าวิวจากดาดฟ้าจะงดงามเพียงใด แสงแดดยามรุ่งอรุณและก่อนลาลับขอบฟ้าจะวิเศษขนาดไหน แต่ภาพใบหน้าของคิมหันต์นั้นคือสิ่งงดงามที่สุด และจะเป็นสมบัติแห่งสายตาสำหรับผมคนเดียว
เมื่อเขายิ้ม สายตาของผมได้รับการอวยพร
เมื่อเขาเศร้า สายตาของผมส่งมอบความห่วงใย
และหลังจากที่คิมหันต์ได้ใช้ริมฝีปากจุมพิษดวงตาทั้งสองของผมในคืนที่เราปลดเปลื้องทุกอย่าง มันก็เท่ากับว่าดวงตาคู่นี้มีไว้สำหรับมองเขาเท่านั้น อีกไม่นานมันจะมองตอนเขาจากไป และในอนาคตอีกแสนไกลมันจะเฝ้ามองหาการกลับมาของเขา
วันปัจฉิมนิเทศจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่ห้องประชุมใหญ่ มีดอกไม้ประดับสถานที่พอประปรายให้ดูมีสีสัน เมื่อการให้โอวาทและมอบใบประกาศนียบัตรอันยืดยาวเสร็จสิ้น นักเรียนก็แห่ออกไปถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกกับเหล่าอาจารย์และคุณพ่อข้างบนเวที ท่ามกลางเสียงจอแจวุ่นวาย
ขณะผมยืนหันหน้าหันหลังในดงผู้ปกครอง คิมหันต์ก็เข้ามาหาและเรียกตงเปียนกับปราการให้ไปหน้าโรงเรียน ทุกคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถ่ายรูปกันเถอะ”
คิมหันต์พูดขึ้นเมื่อพวกเรามาถึง เขาดึงเอาใบประกาศนียบัตรของพวกเราใส่ในกระเป๋าผ้าที่สะพายมาด้วย จากนั้นก็ล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมาแทน
ตงเปียนอ้าปากจะถามอะไรบางอย่าง ทว่าคิมหันต์ขัดจังหวะด้วยการเข้ามาหนุนหลังพวกเราให้ไปยืนใต้ป้ายทรงโค้งเหนือประตูที่มีตัวหนังสือโลหะสีเงินปูดนูนเขียนว่า ‘สามเณราลัยเซนต์ดอมินิก’ ก่อนจะวิ่งหายไปและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับลุงกิตภารโรงของโรงเรียน
“ลุงทำแบบนี้นะครับ --” คิมหันต์ยื่นกล้องให้ชายแก่ เขารับมันไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและทดลองทำตามที่เด็กหนุ่มอธิบายอย่างเงอะงะงุ่มง่าม
“ยุ่งยากจริง! เอ้า เข้าไปยืนตรงนั้นสิ!” ภารโรงตวาด คิมหันต์จึงรีบเข้ามายืนเรียงแถวหน้ากระดานกับพวกเราโดยมีผมแนบชิดข้างกาย
ลุงกิตหลับตาข้างหนึ่งส่องรูกล้องแล้วกดชัตเตอร์ ไม่มีการนับให้จังหวะใด ๆ
“โหลุง พวกผมยังไม่ทันได้เก๊กท่าหล่อเลย เอาใหม่ ๆ” คิมหันต์โอดครวญ
ภารโรงดูหงุดหงิดจนผมกลัวว่าแกอาจจะด่าเรา เพราะโดยปกติแล้วลุงกิตก็ไม่ได้เอ็นดูพวกนักเรียนเท่าไหร่หรอก แต่แปลกที่วันนี้แกดูใจเย็นเป็นพิเศษ ถึงแม้สีหน้าดูเหมือนพร้อมจะไล่ตะเพิดเราได้ตลอดเวลาก็ตาม
หลังจากคอยระวังรถยนต์เข้าออก ลุงกิตก็กดชัตเตอร์อีกสองสามครั้ง เขายื่นกล้องคืนคิมหันต์และจากไปโดยไม่รอรับฟังคำขอบคุณจากพวกเรา
“มึงก็ช่างเลือกตากล้องเนอะ” ปราการกระซิบ พลางมองตามหลังลุงกิตซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางโรงอาหาร “กูล่ะเดาไม่ถูกเลยว่าจะออกมาสวยขนาดไหน”
“งี้แหละลุ้นดี” คิมหันต์ดูพอใจ “พวกมึงเขียนที่อยู่ให้กู เดี๋ยวพอกูล้างรูปแล้วจะส่งไปให้”
เขายื่นใบวุฒิคืนเจ้าของ จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็เดินกอดคอกันเข้าไปในโรงเรียน ร่วมงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายที่โรงอาหารกับทุก ๆ คน
คืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ผมว้าเหว่ที่สุด บ้านเณรไม่เคยเงียบเท่านี้มาก่อนเลย ปกติตอนนี้หอพักจะวอแวด้วยเสียงต่าง ๆ จากทุกชั้น และห้องน้ำก็มีคนเวียนเข้าใช้ตลอด บรรยากาศเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าสักวันจะคิดถึง
หลังอาบเสร็จผมก็ล้มตัวนอนบนเตียง ปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ไหลเข้ามาในหัว ใบหน้าของเพื่อน ๆ ปรากฏขึ้นคนแล้วคนเล่า เมื่อภาพใบหน้าปราการกับตงเปียนฉายแวบเข้ามา รอยยิ้มกว้างก็ผุดขึ้นมาทันที
ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมได้เป็นเพื่อนที่ดีกับตงเปียน และขอบคุณพระองค์อีกครั้งที่ให้ผมได้มีโอกาสฟื้นฟูมิตรภาพกับปราการ แม้ผมจะเห็นแก่ตัวและทำนิสัยไม่ดีบางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็ยอมรับและเข้าใจด้านนั้นของแต่ละคน อภัยให้แก่กันและกัน
ผมคงคิดถึงพวกเขามากแน่ ๆ ในวันข้างหน้า และมั่นใจมากกว่าพวกนั้นก็คงคิดถึงผมเช่นกัน ผมกะพริบอย่างรวดเร็วตาเพื่อกลั้นน้ำตา ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง
ทันใดนั้นภาพที่ชัดเจนของคิมหันต์ก็แล่นเข้ามาในโสตประสาท บดบังใบหน้าคนอื่นไปจนหมด ผมเริ่มตัวสั่นและลำคอตีบตัน ขณะความจริงอันแสนเศร้ากระซิบย้ำเตือนอย่างไร้ปรานีอีกครั้งว่า หมดเวลาแล้ว
พรุ่งนี้คิมหันต์จะเดินทางกลับกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ คุณพ่ออรรถพลจะขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟอีกเช่นเคย ซึ่งคราวนี้เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ผมไม่อยากไปด้วย ผมอยากขังตัวเองไว้ในห้องนี้ นั่งร้องไห้ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
เขากำลังจะจากไปแล้ว
จะไปแล้วจริง ๆ
ผมลูบแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วยใจปวดร้าว แล้วน้ำตาก็ไหลหยดลงบนหมอนเม็ดแล้วเม็ดเล่าจนมันเปียกชุ่ม
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง นานพอจนผมเกือบผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูกลางดึก ผมลุกจากเตียง เช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะแง้มเปิดประตู
คิมหันต์ยืนไหล่ตกอยู่ข้างนอกท่ามกลางความมืดสลัวยามราตรี สวมแค่กางเกงกีฬาตัวเดียวเช่นเคย เบ้าตาผมเริ่มกลับมาร้อนผ่าวอีกครั้ง
“ขอนอนด้วยได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
ผมพยักหน้า คิมหันต์รุดแทรกตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งรวบเอวผมเข้าไปสวมกอดแนบแน่น ประตูยังคงเปิดค้างไว้
“นายจะคิดถึงเราไหม” คิมหันต์กระซิบเสียงสั่นข้างหูของผม
“คิดถึงสิ” ผมตอบกลับเสียงแหบพร่า ออกแรงกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม “คิดถึงเสมอ”
เขาคลายอ้อมกอด ประคองใบหน้าผมด้วยสองมืออบอุ่น จ้องมองดวงตาแดงช้ำของผมผ่านความมืดมัว ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงจูบซับอย่างแผ่วเบาทั้งสองข้าง แล้วจึงเลื่อนลงมาจูบริมฝีปากผมอย่างนุ่มนวล
ผมเอียงหัวและจูบกลับอย่างโหยหา ไม่สนใจว่าประตูเปิดอยู่และอาจมีใครเห็นเราสองคนกำลังทำอะไรกัน ไม่มีอะไรสำคัญเท่าตอนนี้อีกแล้ว ตอนที่ยังมีเวลาเหลืออยู่เพียงชั่วข้ามคืน
เช้าวันต่อมาหลังเสร็จพิธีมิสซาอันเหงาหงอย ผมช่วยคิมหันต์นำสัมภาระทั้งหมดไปใส่ท้ายรถกระบะสีแดงคันเดิมซึ่งจอดคอยอยู่หน้าหอพัก เราต่างคนต่างเงียบ มีเพียงเสียงนกร้องกระจัดกระจายบนยอดไม้
“ไม่ไปส่งเจ้าคิมด้วยกันเหรอรัน” คุณพ่ออรรถพลถาม ศอกข้างหนึ่งท้าวพิงที่ขอบกระบะ
“ไม่ล่ะครับพ่อ ขอส่งแค่นี้แหละ” ผมบอกด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ เลี่ยงไม่มองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงข้าม
คุณพ่อไม่ถามเซ้าซี้ว่าทำไม ท่านเพียงแค่พยักหน้า แล้วจึงขอตัวไปหากาแฟร้อน ๆ ดื่มสักแก้วที่โรงอาหารก่อนออกเดินทาง
“ไม่ไปจริง ๆ เหรอ” คิมหันต์เอ่ยถาม
ผมฝืนเงยหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตาที่มองมาคู่นั้นดูเศร้าหมอง
“ไม่ล่ะ ไม่ --” ผมพูดต่อไม่ไหวเพราะปากกำลังสั่นระริก
สวรรค์รู้ว่าผมอยากไปส่งเขามากแค่ไหน ต่อให้แลกด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ผมก็อยากโบกมืออำลาคิมหันต์ที่ชานชาลา ขณะมองขบวนรถไฟแล่นจากไปจนสุดสายตา แต่เหตุผลที่ผมตัดสินใจไม่ไปก็เพราะกลัวจะเก็บอาการไม่อยู่ตอนนั่งรถกลับ ผมไม่อยากให้คุณพ่ออรรถพลสงสัยอาการเหมือนคนปางตายของผม
ฉะนั้นผมจึงเลือกอยู่ที่นี่ ขอส่งเพียงแค่ตรงนี้ เอาเท่าที่ยังไหว
ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่ของมัน คิมหันต์มองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดผมอีกครั้ง ผมหลับตาลง ซึบซับไออุ่นและกลิ่นกายของเขาไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ แล้วจึงโอบแขนกอดตอบแน่นยิ่งกว่า แม้เมื่อคืนจะนอนกอดกันจนแทบละลายกลายเป็นเนื้อเดียว แต่ดูเหมือนว่ามันไม่เคยเพียงพอสำหรับเราสองคน
“โชคดี” ผมบอกเสียงเข้มแข็ง แก้มแนบหน้าอกที่ผมนอนหนุนเมื่อคืน “เดินทางปลอดภัยนะ”
“ดูแลตัวเองด้วย แล้วเจอกันใหม่”
สิบนาทีต่อมาคิมหันต์ก็เข้าไปนั่งในรถ คุณพ่ออรรถพลเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำฝั่งคนขับและติดเครื่องยนต์ ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อรถเคลื่อนออกไปสู่ถนนด้านหน้า คิมหันต์มองออกมาผ่านกระจกหน้าต่าง ภาพทุกอย่างเบื้องหน้าของผมพร่ามัวด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ ขณะยืนโบกมือลาด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว แล้วรถกระบะสีแดงก็ค่อย ๆ แล่นห่างออกไป ไกลออกไป จนในที่สุดก็หายลับจากสายตา
ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้าพึมพำวลีสุดท้ายของคิมหันต์จนกระทั่งแสงแดดสีทองสาดส่องใบหน้าและน้ำตาที่ไหลเป็นทางอาบแก้ม
“แล้วเจอกันใหม่” ผมย้ำอีกรอบ “แล้วเจอกันใหม่”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ