เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ชีวิตใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมยังจำวันที่เดินทางไปนครราชสีมาได้ดี เราขับผ่านตัวเมืองขนาดใหญ่ที่ดูเจริญมาก ผ่านหมู่บ้าน ย่านชุมชนมากมาย และมุ่งต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใส ผมกับน้องอนุชามองออกข้างนอกอย่างสนใจ โดยมีมาลี เด็กหญิงผมสั้นนั่งเงียบ ๆ อยู่เบาะนั่งติดกระจกฝั่งซ้าย

เป็นเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ เมื่อรถเก๋งสีขาวคันโก้แล่นเข้าสู่ถนนแคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง จากนั้นก็ไต่ขึ้นเนินเขาเตี้ย ๆ ที่มีทางเลี้ยวทางโค้งเป็นระยะ มาถึงตอนนี้แม่บุญธรรมดูตื่นเต้นมาก เธอชี้ให้เราดูนั่นนี่ด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ

“เห็นตรงนั้นไหมลูก นั่นคือไร่ของเราทั้งหมดเลย”

เธอพูดเมื่อขึ้นรถมาหยุดอยู่เนินสูงแห่งหนึ่ง ทำให้มองเห็นวิวป่าไม้อันสวยงามน่าทึ่งที่อยู่ลาดต่ำลงไป

“โอ้โห กว้างมากเลย! -- ของพ่อกับแม่หมดเลยเหรอครับ!” อนุชาร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น

“ใช่แล้ว ทั้งเวิ้งนั้นเลย” พ่อบุญธรรมผู้ทำหน้าที่ขับรถตอบเสียงใส “เห็นตรงโน้นไหม บ้านของเราอยู่ตรงนั้นแหละ”

พอลงเนินลูกนั้นมาก็พบกับไร่ส้มที่กำลังผลิดอกขาวสะพรั่งน่าชม และเมื่อเลี้ยวโค้งเป็นครั้งสุดท้าย ผมจึงเห็นรั้วที่สร้างด้วยหินสีเทาวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ล้อมตัวบ้านขนาดใหญ่ มีชายหน่วยก้านดีคนหนึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วเหล็กดัด จากนั้นรถเก๋งก็เคลื่อนเข้าไปจอดที่ลานกว้าง ตรงกับหน้าบ้านที่สร้างด้วยปูนครึ่งชั้นและไม้ครึ่งชั้นอย่างลงตัว

ทุกคนลงจากรถ ผมกับน้องอนุชาเอาแต่มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาอึ้งทึ่ง มีไม้ดอกไม้ประดับหน้าตาแปลกประหลาดมากมายปลูกใส่กระถางตั้งเรียงเป็นระเบียบตลอดแนวรั้ว ส่วนต้นไม้ดูเหมือนจะมีอยู่ทุกแห่งหนไม่เว้นแม้แต่ภายในเขตบ้าน

“เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ แม่จะพาไปดูห้องนอนของแต่ละคน” แม่บุญธรรมบอกผมกับเด็กชาย ก่อนจะจับมือเราคนละข้างและพาเดินตรงไปยังประตูไม้บานใหญ่ โดยมีพ่อบุญธรรมจูงมือมาลีตามหลังมาติด ๆ

ขณะมองสำรวจข้าวของและสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้าน ผมก็แทบไม่อยากเชื่อวาสนาของตัวเองเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้มีครอบครัวเหมือนคนอื่นทั่วไป มีน้อง ๆ ให้ดูแลห่วงใย และมีพ่อแม่คอยให้ที่พึ่งพึง

แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป แต่เสียงสะท้อนจากภายในบอกผมว่าเราจะเข้ากันได้ดี ผมติดอยู่กับความคิดอันแสนวิเศษนั้นจนไม่สังเกตว่าอนุชากับมาลีแยกไปกับพ่อบุญธรรมแล้ว มีเพียงแค่ผมที่ตามหลังแม่บุญธรรมขึ้นมาชั้นสอง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูสีขาวบานหนึ่ง เธอหันมามอง

“นี่ห้องนอนของลูกจ้ะ เดี๋ยวแม่ให้พ่อบ้านยกกระเป๋าขึ้นมาให้”

“จะดีเหรอครับ ผมลงไปเอาเองก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอก รันพักผ่อนถามสบายอยู่ในห้องเถอะนะ”

“ครับ ขอบคุณครับ...แม่” ผมเอ่ยอย่างเคอะเขิน

หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย เธอแตะไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะขอตัวลงบันไดไป

ผ่านมาเกือบเดือนแล้วตั้งมาอยู่ที่ไร่ศรีราพันธ์ ทว่าผมยังไม่คุ้นชินกับชีวิตที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน มันไม่ง่ายที่จะอำลากิจวัตรเดิม ๆ เหล่านั้น บ่อยครั้งที่ผมสะดุ้งลุกจากเตียงเพราะรู้สึกว่านอนนานเกินไป แต่เมื่อเห็นห้องนอนใหม่อันกว้างสบาย รูปภาพตั้งเรียงรายบนโต๊ะอ่านหนังสือ และทิวทัศน์เขียวขจีนอกหน้าต่าง ผมจึงได้สติ

กระนั้น ผมก็เริ่มหลงใหลกิจวัตรใหม่ที่เคร่งครัดน้อยลง มีอิสระมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งระเบียบวินัย ผมไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว ภาวะความเป็นผู้ใหญ่กระตุ้นให้ผมแสวงหาความรับผิดชอบมากขึ้น ฉะนั้นผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นจากการช่วยงานในไร่ งานอะไรก็ได้ทั้งนั้น

แต่บ่ายวันหนึ่งขณะผมติดตามพ่อบุญธรรมเข้ามาในไร่มังคุดอันร้อนชื้นเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเกสร ความมุ่งมั่นของผมก็ถูกระงับด้วยคำพูดอันแสนใจดี

“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือจะดีกว่านะ”

“แต่ผมอยากช่วยนี่ครับ งานอะไรก็ได้”

ชายวัยกลางคนยิ้ม พลางใช้แขนเสื้อซับเม็ดเหงื่อตามกรอบหน้ากลมที่มีริ้วรอย

“อย่าไปแย่งงานจากคนสวนเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเถอะ ไว้ลูกเรียนจบเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน โอเคไหม” ท่านวาดมือไปรอบ ๆ ตัว “รับรองมีอะไรให้ทำเยอะแยะแน่นอน”

จากนั้นพ่อบุญธรรมก็เดินตรวจตราต่อไป ผมรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนใจท่านได้จึงทำได้แค่ถอนหายใจและออกเดินตาม

แต่ถึงจะถูกห้ามไม่ให้ช่วยงานไร่งานสวน ผมก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ควรจะต้องหยิบจับงานบ้านงานเรือน แม้พ่อกับแม่บุญธรรมจะคัดค้าน แต่ผมกลับยืนกรานหนักแน่นว่าไม่อาจนั่งกินนอนกินอย่างสบายใจเหมือนลูกคุณหนู เมื่อรู้ว่าห้ามไม่ได้ ดังนั้นพวกท่านจึงยอมให้ผมทำ โดยมีน้ากรคอยบ่นตลอดอย่างไม่เห็นด้วย

ผมรู้ว่าเด็ก ๆ ไม่ชอบทำงานจุกจิกเหล่านี้ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงเรียกอนุชากับมาลีให้มาช่วยกันทำความสะอาดพื้นบ้าน เช็ดเครื่องเรือนทุกชิ้น และไล่เติมน้ำใส่แจกันดอกไม้ทุกใบ

“เราต้องทำงานพวกนี้ด้วยเหรอพี่รัน” อนุชาบ่นอุบขณะใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะไม้สัก โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากมาลีซึ่งกำลังเติมน้ำใส่แจกันใกล้ ๆ

“ต้องทำสิ เราจะมาอยู่บ้านทำตัวสบาย ๆ ไม่ได้หรอกนะ ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าพี่เลี้ยงเคยเราสอนอะไรเราบ้าง”

“แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ” เด็กหญิงแย้งเสียงเนือย ๆ “อีกอย่างน้ากรก็ไม่อยากให้เรามาวุ่นวายหน้าที่ของเขาด้วย”

“ถึงพวกเขาจะไม่ว่าแต่เราก็ควรแบ่งเบาภาระคนบ้านนี้นะ นี่แหละถึงจะเป็นลูกที่ดีและน่ารัก เข้าใจไหมเด็ก ๆ” ผมอบรม พลางใช้ไม้ถูถูพื้นห้องไปด้วย

ทั้งสองตอบรับเสียงอ่อย

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังว่าเด็ก ๆ จะต้องทำงานบ้านทุกวัน แค่อยากสอนให้พวกเขารู้จักช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้างเพื่อฝึกเป็นนิสัย พวกเราจะช่วยกันทำความสะอาดสัปดาห์ละสองครั้ง แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เราไม่มีสิทธิ์ยุ่งก็คือซักผ้า ซึ่งน้ากรพ่อบ้านของเราค้านหัวชนฝาว่ายังไงเขาก็ต้องเป็นคนทำหน้าที่นี้

จะว่าไป การที่เราแย่งงานจากน้ากรก็มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ทำให้เขามีเวลาว่างมากขึ้น และเมื่อเขามีเวลาว่างมากขึ้น เราจึงมีโอกาสขอให้เขาช่วยขับรถพาไปเที่ยวในไร่ ซึ่งน้ากรก็ดูท่าทางมีความสุขที่ได้พาเราไป

บ่ายวันหนึ่ง พ่อบ้านวัยสามสิบต้น ๆ หน่วยก้านดีก็ได้นำรถกระบะที่ใช้บรรทุกผลไม้มารับเราสามคนที่หน้าบ้าน แล้วจึงขับมุ่งลงใต้เพื่อพาไปดูโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง มาลีกับอนุชาคุยกันเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เบาะนั่งข้างหลัง เด็กหญิงพูดเก่งขึ้นมากเมื่อคุ้นชินกับพวกเรา

แม้ไร่อันสมบูรณ์แห่งนี้จะอยู่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยคลุกคลีกับความศิวิไลซ์ ซึ่งบ้านเณรยิ่งช่วยให้เข้าใจความสามัญติดดินเป็นอย่างดี ฉะนั้นผมจึงตกหลุมรักที่นี่อย่างรวดเร็ว ความเงียบง่ายของธรรมชาติดึงดูดความสนใจของผมได้เสมอ ช่วยให้ลืมความเจ็บปวดชั่วคราว เช่นเดียวกับท้องฟ้าใสกับแสงแดดที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง

ผมมองบรรยากาศนอกผ่านหน้าต่างรถ ก่อนจะถลำเข้าสู่โลกส่วนตัว

มันไม่ง่ายที่จะทำตัวเป็นปกติในทันทีเหมือนเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวใหม่ที่พ่อแม่บุญธรรมซื้อให้ ตั้งแต่วันที่คุณพ่ออรรถพลไปส่งคิมหันต์ที่สถานีรถไฟ จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงนอนหลับพร้อมน้ำตาเพราะความคิดถึงที่รุมเร้า และตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหงาใจ ทางเดียวที่ทำให้ผมกลับมามีแรงกำลังใช้ชีวิตคือเปิดดูภาพในอัลบั้มรูปที่คิมหันต์ส่งมาให้ และคอยติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์

ความเปรมปรีดิ์โลดแล่นทั่วร่างทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตอบกลับจากปลายสาย ผมมักเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันที่ไร่ศรีราพันธ์ให้คิมหันต์ฟัง ส่วนเขาก็เล่าถึงการชีวิตเหงา ๆ คนเดียวที่บ้านขณะรอไปอิตาลี แล้วหัวใจผมก็กระตุกวูบเมื่อทราบว่าคิมหันต์จะบินตอนสิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์

“พอถึงแล้วจะรีบโทรหานะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก นายทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถอะ” ผมพยายามพูดเสียงราบเรียบเป็นปกติ

“ก็บอกว่าจะโทรหาไง” เขาพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แต่นั่นยิ่งทำให้ผมคลั่งไปกันใหญ่

“ตามใจ” ผมยิ้ม

ทุกครั้งหลังวางสาย ผมมักยืนเหม่อลอยทบทวนสิ่งที่คุยกัน ทว่าครั้งล่าสุดนั้นนานกว่าปกติ คงจะดีไม่น้อยถ้าได้จูบเขาอีกสักครั้งก่อนที่คิมหันต์จะบินข้ามน้ำข้ามทะเล ผมได้แต่คิดขณะเดินไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับทุกคนในห้องครัว

ผมได้สติกลับมาตอนที่รถตกหลุมจนผู้โดยสารก้นลอยจากเบาะ น้ากรพามาเส้นทางลัดที่ขรุขระและลำบากกว่าปกติ จนเมื่อขับมาจนสุดถนน เราจึงพบกับโรงงานขนาดใหญ่มุงหลังคาสังกะสีสีเขียว ตั้งอยู่กลางลานคอนกรีตขนาดกว้างขวาง โดยมีรั้วลวดหนามขึงล้อมอาณาเขตไว้ชั่วคราว เราทั้งสี่ลงจากรถมายืนข้างนอก

“ที่นี่แหละ โรงงานผลิตผลไม้กระป๋องศรีราพันธ์ เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานเอง” น้ากรบอกอย่างตื่นตา พลางทอดมองสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้า

“น้ากรจะได้มาทำงานที่นี่ไหมคะ” มาลีถามอย่างตื่นเต้น พ่อบ้านก้มมองเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

“น้าไม่ได้มาหรอก งานของน้าอยู่ที่บ้านใหญ่โน้น”

“เราเข้าไปข้างในได้ไหมครับ” อนุชาชะเง้อชะแง้ไปยังประตูเหล็กทาสีน้ำเงินที่ปิดสนิท

“ไม่ได้หรอก คุณนพยังไม่เปิดใช้งานที่นี่เลย ไว้ถ้าเปิดแล้วน้องนุชาลองขอพ่อมาเที่ยวดูนะ”

ฉะนั้นผมกับเด็ก ๆ จึงทำได้แค่เดินสำรวจรอบ ๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าให้ว่าตามตรงก็ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ นอกจากงูเขียวตัวหนึ่งที่รีบเลื้อยหนีเข้าพงหญ้าเมื่อน้ากรขว้างก้อนหินใส่มัน

เราทั้งหมดกลับขึ้นรถกระบะในอีกสิบหน้านาทีต่อมา ก่อนจะวนรถกลับทางเดิมเพื่อมาส่งพวกเราที่บ้าน ซึ่งกว่าจะมาถึงก็เย็นแล้ว เด็ก ๆ ผู้หิวโซต่างรีบวิ่งแจ้นเข้าบ้าน ส่วนผมยังคงยืนอยู่ข้างนอก มองดูแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องต้นไม้ รั้วหินซ้อน และตัวบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้

หัวใจของผมพองโตขณะมองรอบ ๆ  ทุกครั้งที่มองทุกอย่างจากตรงนี้ บรรยากาศบางอย่างจะชวนให้นึกถึงตอนไปเที่ยวบ้านของคิมหันต์ที่กรุงเทพฯ คิดถึงกลิ่นสนามหญ้า สีฟ้าของน้ำในสระ สายลมร้อนอ้าวที่พัดผ่านระเบียง และกระดานหมากรุกที่วางทิ้งไว้ทั่วทุกมุมบ้าน ส่วนผมกับเขาคงกำลังกอดรัดกันอยู่ในห้องนอนบนชั้นสอง ก่อนใครคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามว่า “เย็นนี้จะกินอะไรดีนะ”

มันช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ทั้งเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งที่ผมปรารถนาให้จนหมด ประทานช่วงเวลาที่ดีและเลวร้ายทรมาน สอนให้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมนุษย์อันเปราะบางผ่านประสบการณ์มากมาย

ผมถามตัวเองเสมอว่า “ฉันสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้จริง ๆ หรือ?”

แต่เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่ผมเคยผ่านมา มันก็ง่ายมากที่จะตอบกลับตัวเองว่า “ใช่ ฉันสมควรได้รับมัน ฉันคู่ควรกับชีวิตที่ดี”

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกอย่าง และขอบคุณตัวเองที่มีความอดทนและไม่หนีออกจากบ้านเณรไปเสียก่อน จนในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้ สถานที่วิเศษสุดที่เรียกว่าบ้าน

หลายเดือนหลังการสอบเอ็นทรานซ์ผ่านไป จนมาถึงวาระของการประกาศผลอันลุ้นระทึกผ่านทางโทรทัศน์ ผม กับพ่อแม่บุญธรรมนั่งเฝ้าติดตามผลจนถึงดึกดื่น เมื่อได้ยินรหัสที่นั่งและชื่อของตัวเองดังมาจากลำโพง ผมถึงกับกระโดดลุกขึ้นโห่ร้องเสียงดังลั่นบ้าน พ่อกับแม่รีบเข้ามากอดด้วยความดีใจ สักพักอนุชากับมาลีก็เปิดประตูห้องนอนออกมาท่าทางงัวเงีย ผมวิ่งเข้าไปรวบตัวน้อง ๆ เข้ามากอด

“พี่สอบติดแล้ว พี่สอบติดแล้ววววว” ผมเขย่าเด็กทั้งสองจนหัวโยกหัวคลอน

“ติดอารายเหรอ” มาลีถาม ดวงตาหรี่ปรือ

“พี่สอบติดมหา’ลัยแล้ว!”

“ดีใจด้วยครับพี่รัน” อนุชาพึมพำแสดงความยินดี แล้วเด็กชายกับเด็กหญิงก็กลับไปนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เช้าวันต่อมาผมรีบโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีกับคนทางจังหวัด อ. ทั้งคุณพ่ออรรถพลกับบรรดาพี่เลี้ยง ก่อนจะต่อสายไปถามข่าวคราวจากตงเปียนกับปราการ เราผลัดกันแสดงความยินดียกใหญ่หลังรู้ว่าทุกคนสอบติดคณะอันดับหนึ่ง จากนั้นผมก็เขียนจดหมายถึงธิดาและฝากน้ากรเอาเข้าไปส่งในตัวเมือง

ขณะนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน ผมแทบอดใจไม่ไหวที่จะโทรไปบอกคิมหันต์ แต่เนื่องด้วยเวลาท้องถิ่นที่ห่างกันประมาณหกชั่วโมง ผมจึงต้องคอยจนถึงตอนบ่ายกว่าจะได้ลงไปข้างล่างและยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง

“ยินดีด้วยนะ โล่งใจแล้วล่ะสิ”

“อื้อใช่ ตัวเบาเลยล่ะ ขอบใจมากนะ” ผมพูดเสียงชื่นบาน

จากนั้นก็เล่าข่าวคราวของตงเปียนกับปราการให้อีกฝ่ายรับทราบ

“แล้วเรื่องมหา’ลัยของนายล่ะเป็นไงบ้าง” ผมถาม หลังจากคิมหันต์แสดงความยินดีแก่เพื่อน ๆ

“ยังรอจดหมายประกาศผลอยู่เลย แต่คิดว่าน่าจะได้ภายในอาทิตย์นี้แหละ” เขาบอก

“นายติดแน่นอนอยู่แล้ว”

“อืม ไม่รู้สิ คนอื่นเก่ง ๆ มีตั้งเยอะแยะ”

“นายก็เก่ง” ผมบอกอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องเครียดนะ”

“อือ แต่ตอนนี้กำลังปวดหัวเลย”

“กินยาหรือยัง” ผมเริ่มเป็นห่วง

“กินไปก็ไม่หายหรอก” เขาทำเสียงเจ้าเล่ห์ “อาการนี้จะหายก็ต่อเมื่อได้ยินแฟนบอกรักเท่านั้น”

“ฝันไปเถอะ” ผมหูร้อนขึ้นมาทันที

“โอ้ยยยยย มันลามมาที่เบ้าตาแล้ว โอ้ยยยยย ปวดจี๊ดเลย!”

“ปวดให้ตายไปเลย” ผมยิ้มกว้างอยู่หลังหูโทรศัพท์

“โหย ใจร้ายจัง” เสียงปลายสายตอบกลับอย่างผิดหวัง “ถ้าตายขึ้นมาจริง ๆ ระวังจะเสียใจ”

ผมหัวเราะร่วน ก่อนจะชวนคิมหันต์คุยเรื่องที่ท่องเที่ยวในละแวกที่เขาอาศัยอยู่

ตกเย็นมีการจัดงานเลี้ยงฉลองที่บ้านศรีราพันธ์ น้ากรกับป้าแวว (แม่ของน้ากร) เดินจนหัวหมุนกับการตระเตรียมข้าวของ พ่อแม่บุญธรรมเชิญบรรดาญาติ เพื่อนฝูงและคนงานในไร่ให้มาร่วมสังสรรค์ ผมเกรงใจมากแต่ก็มีความสุขมากในเวลาเดียวกัน ไม่เคยมีใครจัดงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนี้ให้ผมมาก่อนเลย ผมนั่งร่วมโต๊ะกับญาติบุญธรรมที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา พลางมองทุกคนกิน ดื่มและร้องเพลงผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่ในลานหน้าบ้าน โดยมีอนุชากับมาลีวิ่งเล่นรอบ ๆ กับเด็กคนอื่น ๆ

กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมยืนเกาะขอบหน้าต่างห้องนอน ทอดมองต้นไม้ใบหญ้าเบื้องล่างที่ดำเหมือนสีน้ำหมึกด้วยดวงตาหรี่ปรือ ท้องฟ้ามีดาวโผล่ให้เห็นประปราย ส่วนดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆอันมืดทึบ ผมกระชับเสื้อกันหนาวเมื่อลมเย็นระลอกหนึ่งพัดวูบเข้ามา พลันรู้สึกใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก

ก้าวแรกของการเป็นผู้ใหญ่กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคงสนุกน่าดู แต่ก็ไม่รู้ว่าผมจะสามารถเอาตัวรอดที่กรุงเทพฯ ได้หรือไม่ อีกอย่างผมเริ่มกังวลว่าอาจเสียผู้เสียคนเพราะอิสระที่มีมากเกินไป ผมคงทนไม่ได้แน่หากต้องหอบกระเป๋ากลับมาที่ไร่ศรีราพันธ์ เผชิญหน้ากับสายตาผิดหวังของพ่อแม่บุญธรรมที่แสนใจดี

ผมยกมือลูบหน้า สลัดความคิดแย่ ๆ ออกไป

ผมต้องเรียนให้จบ มีงานทำ เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ เพื่อสร้างอนาคต นั่นแหละคือเป้าหมาย และถ้าหากโอกาสเอื้ออำนวย ผมจะบินไปหาคิมหันต์ที่อิตาลี อยู่ที่นั่นสักสัปดาห์ ตระเวนเที่ยวให้ทั่วทุกที่ที่อยากไป กินอาหารทุกอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน ก่อนจะตบท้ายค่ำคืนนั้นด้วยการเต้นรำในบาร์เล็ก ๆ สักแห่งที่ผู้คนไม่คิดจะสนใจมองเรา

ผมยิ้มให้กับความคิดนี้ขณะก้าวขึ้นเตียงนอนอันอบอุ่น และนั่นเป็นคืนแรกในรอบหลายวันที่ผมเข้าสู่ห่วงนิทราโดยไม่เสียน้ำตาให้กับความคิดใด ๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา