เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.18K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) จุดเปลี่ยน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจากฤดูร้อนเปลี่ยนผ่านสู่ฤดูฝน วันเวลาค่ำเช้าผ่านไปเหมือนดั่งสายลม รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ฤดูหนาวของเดือนธันวาคมแล้ว น่าแปลกที่ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับช่วงเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมา ทั้งการสอบเก็บคะแนน งานกีฬาสี สิ่งที่เด็กวัยรุ่นมักชวนกันทำเรื่อยเปื่อย และรสชาติระหว่างคิมหันต์กับผม ทั้งหมดกลายเป็นแค่ภาพเบลอ ๆ เท่านั้น
หรือนี่จะเป็นกลไกทางธรรมชาติของสมองที่พยายามปิดกั้น เพราะผมไม่เคยหยุดจดจำอะไรสักอย่าง จนบางทีก็เกินจะรับไหว และมันก็ได้สร้างความเจ็บปวดให้ผมอย่างร้ายกาจในภายหลัง มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ สัปดาห์อื่นหรือปีหน้า แต่บางทีมันอาจเริ่มในห้านาทีต่อมาเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นสำคัญแค่ไหน ซึ่งคุณรู้ดีว่าอะไรสำคัญมากที่สุดสำหรับผม
ดังนั้นหลังจากที่พวกเราย้ายหอพักและเปลี่ยนรูมเมทใหม่ก่อนที่จะเปิดเทอม ตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้สาบานกับตนเองลับ ๆ ว่าจะหมกมุ่นเรื่องของเขาให้น้อยลง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งผมต้องค้นพบวิธีและต้องทำให้ได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเวทนาตัวเองในวันที่จากลากัน
คิมหันต์บอกว่า
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
เดี๋ยวนี้เขามักพูดแบบนี้เสมอแทนคำพูดหยอดหวาน ๆ ถึงจะฟังดูห่างเหินเหมือนคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่ผมกลับรู้สึกขอบคุณที่เขายังคงพูดด้วยเป็นปกติ ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปทั้งก่อนและหลังกลับจากกรุงเทพฯ ยิ่งตอนนี้เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกต่อไปแล้ว ผมก็แทบจะคว้าเอาประโยคนั้นมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวราวกับท่องบทร่ำวิงวอน
ผมพึมพำประโยคนั้นออกมาเบา ๆ หลายครั้งตอนรู้สึกเศร้า เมื่อคิดถึงอนาคตอันไร้รูปร่างว่างเปล่า และในทุก ๆ เช้าก่อนจะลงไปพบคิมหันต์ที่ใต้หอพัก เพื่อจะเดินไปร่วมพิธีมิสซาที่วัดน้อยด้วยกัน
แม้ผมจะเก็บซ่อนความไม่ปกติเอาไว้และทำตัวเป็นปกติต่อหน้าคนอื่น กระนั้นมีเพียงแค่รูมเมทที่รู้เห็นด้านนั้นของผม จนกระทั่งมันได้ระเบิดออกมาในคืนวันหนึ่งกลางเดือนธันวาคม
“มึงไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับกูก็บอกได้นะ” ดนัยพูดขึ้นทันทีหลังจากผมปิดประตูห้อง
เขาคงเบื่อที่ผมมักกลับห้องหลังสี่ทุ่มแทบทุกวัน กลับมาถึงก็เปิดไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นการรบกวนเวลานอน ผมรู้ว่ากำลังทำไม่ถูกต้อง และโชคดีแค่ไหนแล้วที่ดนัยไม่ฟ้องบราเดอร์วินเกี่ยวกับพฤติกรรมแย่ ๆ ของผม
คืนนี้เขาเปิดไฟห้องและนั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือฝั่งริมหน้าต่าง สายตาที่มองมาแฝงความเหลืออดเหลือกลั้น
“อะไรกัน ทำไมมึงถึงคิดว่ากูไม่อยากอยู่กับมึงฮะ” ผมถามด้วยความประหลาดใจละคนตกใจ
ดนัยสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า
“ก็ดูมึงสิ แทบจะไม่อยู่ห้องเลย กลับมาก็ดึก ๆ ดื่น ๆ แถมพอเจอหน้ากันก็ไม่ค่อยได้คุยกันอีก แล้วอย่างงี้จะไม่ให้ดูคิดแบบนั้นได้ไงวะ มึงกำลังทำตัวมีปัญหา”
ผมได้แต่ยืนฟังนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูห้อง จริงอย่างที่ดนัยพูดทุกคำ ผมกำลังทำตัวมีปัญหา
ตอนแรกผมกะจะไม่ตอบอะไรใด ๆ แต่ก็รู้ได้ในทันทีว่ามันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นผมจึงกล่าวออกไปว่า
“กูขอโทษที่ทำให้มึงลำบากใจนะ กูกำลังเครียด ๆ เรื่องครอบครัวบุญธรรมน่ะ ช่วงนี้ก็เลยไประบายกับไอ้คิมบ่อยหน่อย”
รูมเมทร่างอวบที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ พอได้ยินเช่นนั้นก็คลายสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขายังคงดูไม่พอใจ แต่ดูเหมือนคำตอบของผมได้ยับยั้งหลายสิ่งที่ดนัยเตรียมจะพูดออกมา
“อ่อ เอ่อ...มึงมีอะไรก็บอกกูได้นะ มีอะไรช่วยได้กูก็จะช่วย” สีหน้าเขาอ่อนโยนขึ้น “แต่กูขอร้องอย่างเดียว มึงเลิกกลับห้องดึก ๆ แบบนี้ได้ไหม ถ้าไม่งั้นกูก็คงต้องบอกบราเดอร์”
ผมพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ
หลังปรับความเข้าใจกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างขึ้นเตียงนอนของตน แล้วทั้งห้องก็ตกสู่ความมืดและความเงียบงัน
คืนนั้นผมนอนคิดถึงสิ่งที่ดนัยพูด จากนั้นก็ย้อนกลับไปที่คำพูดของตัวเอง ผมไม่ได้แต่งเรื่องครอบครัวบุญธรรมขึ้นมาเพื่อโกหกเขาแต่อย่างใด มันคือเรื่องจริงที่ผมเองก็เพิ่งทราบเมื่อตอนต้นเดือน ว่าสามีภรรยาคู่นั้นที่รับเด็กหญิงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปอุปการะเมื่อปิดเทอมเล็กปีก่อน ตอนนี้พวกเขาต้องการรับผมกับเด็กชายที่นั่งด้วยกันในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ไปเป็นลูกบุญธรรมเพิ่ม
ผมประหลาดใจมากกับข่าวนี้ ยังคงไม่เชื่อหูตัวเองแม้พี่เลี้ยงจะเป็นคนโทรมาบอก จนคุณพ่ออรรถพลต้องมาช่วยยืนยันอีกเสียง ความดีใจปะทุขึ้นเหมือนน้ำพุในดินแดนแห้งแล้ง และดินแดนที่ว่าก็คือความหวังที่จะมีครอบครัวนั่นเอง ซึ่งมันเคยเหือดแห้งไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้มันค่อย ๆ กลับมาสมบูรณ์ด้วยความหวังเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ตั้งแต่รู้เรื่องนี้มาได้ประมาณสองสัปดาห์ ผมยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังแม้แต่คิมหันต์ คงเป็นเพราะกลัวว่าจู่ ๆ ทางฝั่งโน้นอาจเปลี่ยนใจขึ้นมา แล้วสิ่งที่ผมได้ป่าวประกาศไปทั่วอาจทำให้ผมขายหน้า เพราะผมเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นจึงขอเวลาอีกสักนิด จนกว่าจะได้พบหน้าว่าที่พ่อแม่บุญธรรมอีกหนตอนช่วงคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง
พอนำเรื่องนี้กับเรื่องอื่น ๆ มารวมกันในหัวสมองอันเล็กจ่อยของผม มันก็ได้กลายเป็นสงครามประสาทอันยุ่งเหยิงที่ไม่มีใครเข้าใจ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยู่ห้อง เพราะการอยู่ห้องทำให้ผมมีเวลาส่วนตัวมากเกินไปจนกลับไปหมกมุ่นกับความคิด ผมจึงไปทำการบ้านที่ห้องตงเปียนบ้าง นั่งคุยเล่นกับคิมหันต์บนดาดฟ้าบ้าง และบางวันก็ไปนั่งดูรายการโทรทัศน์ที่ใต้ถุนหอพัก
ก็แค่หันเหความสนใจของตัวเอง
พยายามไม่จดจ่อกับอะไรมากจนเกินไป
สองวันหลังคริสต์มาส พี่เลี้ยงผู้ชายคนหนึ่งก็มารับผมไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เช้า ขณะนั่งรถผมก็เอาแต่ภาวนาในใจเพื่อระงับความตื่นเต้น จนแทบจับใจความไม่ได้ว่าพี่เลี้ยงกำลังเล่าอะไรให้ผมฟัง
พอมาถึงก็พบว่าเด็กชายคนนั้นกำลังนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่แล้ว ผมชะงักอยู่ที่ปากประตูขณะสบตากันกับเขา พลางคิดอย่างละอายว่าจนป่านนี้ผมยังจำชื่อของเขาไม่ได้เลย มีเด็กกำพร้าเวียนเข้าออกที่นี่ตลอดขณะผมเรียนอยู่ที่บ้านเณร ฉะนั้นผมจึงมีบ้างที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก
น้องยกมือไหว้ผมกับพี่เลี้ยงที่พามาส่ง ผมรับไหว้ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ
“น้องชื่ออะไรเหรอ” ผมถาม
“น้องเขาชื่ออนุชา ชื่อเล่นชื่อนุชา จำไม่ได้หรือไง” พี่เลี้ยงชายคนนั้นพูดแทน “พี่ว่าพี่บอกเอ็งไปแล้วนะรันตอนอยู่ในรถ”
ผมหันไปยิ้มแหย ๆ เป็นเชิงขอโทษ พี่เลี้ยงส่ายหัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้โซนติดผนังห้อง ส่วนน้องอนุชาก็เอาแต่จ้องผมไม่เลิกจนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ดวงตาสีดำกลมโตดูไร้เดียงสาและน่าเวทนา และในดวงตาคู่นั้นผมเห็นสภาพสะท้อนของตัวเองเมื่อหลายสิบปีก่อน
ไม่นานพวกเขาก็พาสองสามีภรรยาและเด็กหญิงคนนั้นเข้ามา หลังจากสวัสดีกันจนวุ่นวายทั้งหมดก็นั่งลง ผมมองคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งคู่ดูเปลี่ยนไปพอสมควร สีหน้ามีรอยยิ้มระบายสดใสและมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้ผมรู้สึกตามไปด้วยเช่นกัน
การพบปะครั้งนี้มีอะไรมากกว่าครั้งก่อน นอกจากสอบถามกันเรื่องปกติทั่วไป ผมยังได้มีโอกาสถามว่าที่พ่อแม่บุญธรรมในเรื่องต่าง ๆ ที่อยากรู้ และพวกท่านก็ยินดีตอบอย่างกระตือรือร้น จนผมแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะคราวก่อนพวกเขาทำเหมือนผมกับอนุชาไม่มีตัวตนเลยก็ว่าได้
“ทำไมตอนนี้ถึงอยากรับผมกับอนุชาไปเลี้ยงล่ะครับ ทำไมไม่รับไปตั้งแต่ทีแรก” ผมตัดสินใจถามในที่สุด ไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายหรืออะไรทั้งนั้น เพียงแค่ต้องการความกระจ่าง
คำถามนี้ทำเอาบรรดาพี่เลี้ยงมองหน้ากันเลิ่กลัก สองสามีภรรยาหันไปสบตากันอย่างเศร้า ๆ แล้วคุณผู้หญิงก็เอ่ยขึ้น
“ทั้งหมดเป็นความผิดของน้าผิดเองแหละจ้ะ ตอนนั้นน้ายังไม่หายเศร้าที่เสียลูกสาวไปก็เลยคิดอยากจะรับแค่เด็กผู้หญิงไปเลี้ยง แต่ว่า...” แล้วหล่อนก็มองไปทางเด็กผู้หญิงซึ่งเอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ “เป็นเพราะหนูมาลีที่น่ารักคนนี้แหละจ้ะที่เปลี่ยนความคิดของน้า ตั้งแต่น้องมาอยู่ที่บ้าน น้องก็ทำให้เราเข้าใจจิตใจของเด็กกำพร้ามากขึ้น เพราะมาลีเราก็เลยเปิดใจ”
“ใช่” คุณผู้ชายเสริม “มาลีเปลี่ยนชีวิตเรา”
ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงผมสั้นที่ชื่อมาลี อดีตเด็กกำพร้าที่ผมเคยมองตามหลังไปเริ่มชีวิตใหม่เมื่อปีก่อน ขณะมองรอยยิ้มจริงใจของเธอ ความคิดและความรู้สึกแย่ ๆ ที่เคยมีให้มาลีก็อันตรธานหายไป ลงเหลือไว้เพียงความละอายใจอย่างถึงที่สุด
เราเงียบไปชั่วครู่ พวกพี่เลี้ยงนั่งเงียบกริบอยู่ที่เก้าอี้ข้างผนัง มีเพียงเสียงใบไม้ลู่ลมดังแว่วเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ น้องอนุชานั่งห่อตัวสูดจมูกอยู่ข้าง ๆ ผม
“พวกน้าขอโทษที่ไม่ได้รับพวกหนูไปด้วยเมื่อวันนั้น และน้ารู้ว่าพวกหนูคงเสียใจ แต่ตอนนี้พวกเราพร้อมจะพาพวกหนูไปอยู่ด้วยแล้ว” คุณผู้หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเธอมีน้ำตาระรื้น “ไปอยู่ด้วยกันนะ ไปเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ รู้สึกได้ว่าเบ้าตาร้อนผาว ผมพูดอะไรไม่ออกจึงทำได้แค่พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วน้องอนุชาก็ร้องไห้โฮจนตัวสั่น
“ผมจะมีพะ...พ่อแม่แล้ว” เด็กชายพูดสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม “คะ...ครอบครัว”
เย็นวันนั้นผมชวนคิมหันต์ขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้าของหอพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะได้พูดออกมาสักที ขณะเรากำลังเพ่งมองความมืดสลัวเบื้องหน้า สลับกับแหงนมองดูพระจันทร์ที่เห็นเป็นสีเทาจาง ๆ ผมก็เริ่มต้นเล่ามันออกมาด้วยโทนเสียงสงบเหมือนดั่งบรรยากาศรอบตัว
คิมหันต์เงียบไปสักพักหลังฟังผมพูดจบ ผมมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดนักในความมืด แต่ก็รู้ว่าเขายินดีร่วมไปด้วย
“ดีใจด้วยนะ” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “ว่าแต่นายอยากไปอยู่กับพวกนั้นจริง ๆ ใช่ไหม”
“อยากไปสิ” ผมตอบด้วยใจลังเลสับสน
คิมหันต์มองมาและเอียงศีรษะเล็กน้อย
“แต่ฟังดูน้ำเสียงนายไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
ผมนิ่ง เป็นอีกครั้งที่เขามองผมออกอย่างง่ายดาย
“ไม่รู้สิ เราคงกลัวด้วยแหละ ก็มันเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเราเลยนี่นา กลัวว่าจะตัดสินใจผิดพลาด” ผมบอก
“แสดงว่านายอยากอยู่บ้านเด็กกำพร้าต่อไปงั้นสิ”
ผมรีบส่ายหัวรัว ๆ
“ถ้างั้นก็เลิกกลัวได้แล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย เราคิดว่าเด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ก็อยากได้รับโอกาสแบบนี้เหมือนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“อืม”
ผมตอบสั้น ๆ ไม่กล้าพูดแทนใครทั้งนั้น เพราะขนาดตัวผมเองยังเคยคิดจะอยู่ตัวคนเดียวโดยปราศจากครอบครัวบุญธรรมมาอุปถัมภ์
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” เขากล่าวประโยคคุ้นหูออกมาอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” ผมพูดตามเบา ๆ ราวกับตอบรับพระวาจาของพระเจ้า
นี่เป็นครั้งแรกที่หัวใจผมรู้สึกเบาสบายเหมือนขนนก ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา มันถูกมัดด้วยเชือกแห่งความเครียดและถ่วงด้วยน้ำหนักแห่งความกังวล ทั้งเรื่องในอนาคตระหว่างสองเรา เรื่องมหาวิทยาลัย และชีวิตของผมกับครอบครัวใหม่ ถึงจะยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับสองเรื่องแรก แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็โล่งใจกับเรื่องสุดท้าย ซึ่งนั่นก็ดีมากแล้ว
สายลมเย็นของฤดูเหมันต์พัดโชยเป็นระลอก เสียงจักจั่นร้องอยู่ไกลออกไปแถวดงต้นไม้ข้างหอพัก ผมมีความสุขที่ได้นั่งข้าง ๆ เขาแบบนี้ กุมมือกันไว้เพื่อแลกเปลี่ยนไออุ่น พลางซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ในใจ
“จูบเราหน่อยได้ไหม” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบตลอดสิบนาทีที่ผ่านมา ผมอดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว
คิมหันต์กวาดสายตามองทั่วดาดฟ้า ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากอุ่นเข้ากับของผม มันเป็นจูบดูดดื่มที่ผมแสนจะโปรดปราน ซึ่งแปลว่ามันมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอราวกับสายฟ้าฟาด แทบไม่รู้ตัวเลยว่าคิมหันต์ถอนตัวออกไปแล้วจนเมื่อเขาเอ่ยขึ้น
“พอแค่นี้ก่อน เดี่ยวมีใครขึ้นมาเห็น” รอยยิ้มระบายบนใบหน้าหล่อเหลา
ผมปรับลมหายใจเข้าออกเป็นปกติก่อนจะพยักหน้า จากนั้นไม่นานเราก็แยกกันกลับห้อง
อย่างไรก็ตาม บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าในทุก ๆ วันอาทิตย์ คิมหันต์คิดจะสารภาพเรื่องต่าง ๆ ที่เราแอบทำด้วยกันไหม ไม่รู้สิ...บางครั้งผมก็ระแวงไปเรื่อย มันอดไม่ได้จริง ๆ เพราะตราบใดที่แหวนหมั้นยังคงเด่นหราอยู่บนนิ้วนางซ้าย ผมก็ไม่อาจเลิกกังวลว่าจะมีใครสงสัยเราสองคน
แต่จนถึงทุกวันนี้ทุกอย่างยังคงปกติดี คุณพ่ออรรถพลยังคงยิ้มให้ผม เช่นเดียวกับคุณพ่อท่านอื่น ๆ เมื่อเดินสวนกัน ไม่มีใครถามเรื่องแหวน ไม่มีใครสนใจว่าผมกับคิมหันต์ทำอะไรมาบ้างตอนปิดเทอม และขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้าแทบทุกเย็น ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าเรื่องระหว่างเรายังคงเป็นความลับ ตราบเท่าที่เราไม่ทำเสียเรื่องเสียเอง
เพราะยามใดที่คิมหันต์จูงมือผมไปยังที่ลับตาคน แทรกกายบดเบียดระหว่างชั้นหนังสือในห้องสมุด หรือในมุมมืดหลังอาคารเรียน สอดมือหยาบกร้านเข้ามาใต้เสื้อนักเรียนสีขาวที่ตัดกับผิวสีน้ำตาลของเขา ก่อนจะบรรจงจูบอย่างระมัดระวัง ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้นมันช่างเสี่ยงจะถูกจับได้อยู่รอมร่อ และผมก็ไม่เคยห้ามตัวเองได้เลย
ทว่าจูบในวันนั้นแตกต่างออกไป ผมเพิ่งเข้าใจว่าจูบดี ๆ สามารถช่วยให้สงบได้ และยังมอบความหวังเมื่อเผชิญหน้ากับความทรมานที่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบใด
ในอนาคตผมอาจจะยังคงเจ็บปวด กังวลและเศร้าเพราะเรื่องราวอันแสนงดงามระหว่างเรา แต่ขณะเดียวกันมันก็มอบชีวิตให้ผมเป็นรางวัลตอบแทน หากวันใดผมอ่อนแอ ผมก็แค่นึกถึงกาลครั้งหนึ่งเมื่อวัยเยาว์ เมื่อไหร่ที่ผมเศร้า ก็แค่ระลึกถึงรสจูบที่เคยได้รับ มันจะยังคงตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปากเสมอ แล้วผมก็จะสามารถผ่านมันไปได้
หรือนี่จะเป็นกลไกทางธรรมชาติของสมองที่พยายามปิดกั้น เพราะผมไม่เคยหยุดจดจำอะไรสักอย่าง จนบางทีก็เกินจะรับไหว และมันก็ได้สร้างความเจ็บปวดให้ผมอย่างร้ายกาจในภายหลัง มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ สัปดาห์อื่นหรือปีหน้า แต่บางทีมันอาจเริ่มในห้านาทีต่อมาเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นสำคัญแค่ไหน ซึ่งคุณรู้ดีว่าอะไรสำคัญมากที่สุดสำหรับผม
ดังนั้นหลังจากที่พวกเราย้ายหอพักและเปลี่ยนรูมเมทใหม่ก่อนที่จะเปิดเทอม ตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้สาบานกับตนเองลับ ๆ ว่าจะหมกมุ่นเรื่องของเขาให้น้อยลง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งผมต้องค้นพบวิธีและต้องทำให้ได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเวทนาตัวเองในวันที่จากลากัน
คิมหันต์บอกว่า
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
เดี๋ยวนี้เขามักพูดแบบนี้เสมอแทนคำพูดหยอดหวาน ๆ ถึงจะฟังดูห่างเหินเหมือนคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่ผมกลับรู้สึกขอบคุณที่เขายังคงพูดด้วยเป็นปกติ ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปทั้งก่อนและหลังกลับจากกรุงเทพฯ ยิ่งตอนนี้เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกต่อไปแล้ว ผมก็แทบจะคว้าเอาประโยคนั้นมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวราวกับท่องบทร่ำวิงวอน
ผมพึมพำประโยคนั้นออกมาเบา ๆ หลายครั้งตอนรู้สึกเศร้า เมื่อคิดถึงอนาคตอันไร้รูปร่างว่างเปล่า และในทุก ๆ เช้าก่อนจะลงไปพบคิมหันต์ที่ใต้หอพัก เพื่อจะเดินไปร่วมพิธีมิสซาที่วัดน้อยด้วยกัน
แม้ผมจะเก็บซ่อนความไม่ปกติเอาไว้และทำตัวเป็นปกติต่อหน้าคนอื่น กระนั้นมีเพียงแค่รูมเมทที่รู้เห็นด้านนั้นของผม จนกระทั่งมันได้ระเบิดออกมาในคืนวันหนึ่งกลางเดือนธันวาคม
“มึงไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับกูก็บอกได้นะ” ดนัยพูดขึ้นทันทีหลังจากผมปิดประตูห้อง
เขาคงเบื่อที่ผมมักกลับห้องหลังสี่ทุ่มแทบทุกวัน กลับมาถึงก็เปิดไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นการรบกวนเวลานอน ผมรู้ว่ากำลังทำไม่ถูกต้อง และโชคดีแค่ไหนแล้วที่ดนัยไม่ฟ้องบราเดอร์วินเกี่ยวกับพฤติกรรมแย่ ๆ ของผม
คืนนี้เขาเปิดไฟห้องและนั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือฝั่งริมหน้าต่าง สายตาที่มองมาแฝงความเหลืออดเหลือกลั้น
“อะไรกัน ทำไมมึงถึงคิดว่ากูไม่อยากอยู่กับมึงฮะ” ผมถามด้วยความประหลาดใจละคนตกใจ
ดนัยสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า
“ก็ดูมึงสิ แทบจะไม่อยู่ห้องเลย กลับมาก็ดึก ๆ ดื่น ๆ แถมพอเจอหน้ากันก็ไม่ค่อยได้คุยกันอีก แล้วอย่างงี้จะไม่ให้ดูคิดแบบนั้นได้ไงวะ มึงกำลังทำตัวมีปัญหา”
ผมได้แต่ยืนฟังนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูห้อง จริงอย่างที่ดนัยพูดทุกคำ ผมกำลังทำตัวมีปัญหา
ตอนแรกผมกะจะไม่ตอบอะไรใด ๆ แต่ก็รู้ได้ในทันทีว่ามันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นผมจึงกล่าวออกไปว่า
“กูขอโทษที่ทำให้มึงลำบากใจนะ กูกำลังเครียด ๆ เรื่องครอบครัวบุญธรรมน่ะ ช่วงนี้ก็เลยไประบายกับไอ้คิมบ่อยหน่อย”
รูมเมทร่างอวบที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ พอได้ยินเช่นนั้นก็คลายสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขายังคงดูไม่พอใจ แต่ดูเหมือนคำตอบของผมได้ยับยั้งหลายสิ่งที่ดนัยเตรียมจะพูดออกมา
“อ่อ เอ่อ...มึงมีอะไรก็บอกกูได้นะ มีอะไรช่วยได้กูก็จะช่วย” สีหน้าเขาอ่อนโยนขึ้น “แต่กูขอร้องอย่างเดียว มึงเลิกกลับห้องดึก ๆ แบบนี้ได้ไหม ถ้าไม่งั้นกูก็คงต้องบอกบราเดอร์”
ผมพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ
หลังปรับความเข้าใจกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างขึ้นเตียงนอนของตน แล้วทั้งห้องก็ตกสู่ความมืดและความเงียบงัน
คืนนั้นผมนอนคิดถึงสิ่งที่ดนัยพูด จากนั้นก็ย้อนกลับไปที่คำพูดของตัวเอง ผมไม่ได้แต่งเรื่องครอบครัวบุญธรรมขึ้นมาเพื่อโกหกเขาแต่อย่างใด มันคือเรื่องจริงที่ผมเองก็เพิ่งทราบเมื่อตอนต้นเดือน ว่าสามีภรรยาคู่นั้นที่รับเด็กหญิงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปอุปการะเมื่อปิดเทอมเล็กปีก่อน ตอนนี้พวกเขาต้องการรับผมกับเด็กชายที่นั่งด้วยกันในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ไปเป็นลูกบุญธรรมเพิ่ม
ผมประหลาดใจมากกับข่าวนี้ ยังคงไม่เชื่อหูตัวเองแม้พี่เลี้ยงจะเป็นคนโทรมาบอก จนคุณพ่ออรรถพลต้องมาช่วยยืนยันอีกเสียง ความดีใจปะทุขึ้นเหมือนน้ำพุในดินแดนแห้งแล้ง และดินแดนที่ว่าก็คือความหวังที่จะมีครอบครัวนั่นเอง ซึ่งมันเคยเหือดแห้งไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้มันค่อย ๆ กลับมาสมบูรณ์ด้วยความหวังเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ตั้งแต่รู้เรื่องนี้มาได้ประมาณสองสัปดาห์ ผมยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังแม้แต่คิมหันต์ คงเป็นเพราะกลัวว่าจู่ ๆ ทางฝั่งโน้นอาจเปลี่ยนใจขึ้นมา แล้วสิ่งที่ผมได้ป่าวประกาศไปทั่วอาจทำให้ผมขายหน้า เพราะผมเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นจึงขอเวลาอีกสักนิด จนกว่าจะได้พบหน้าว่าที่พ่อแม่บุญธรรมอีกหนตอนช่วงคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง
พอนำเรื่องนี้กับเรื่องอื่น ๆ มารวมกันในหัวสมองอันเล็กจ่อยของผม มันก็ได้กลายเป็นสงครามประสาทอันยุ่งเหยิงที่ไม่มีใครเข้าใจ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยู่ห้อง เพราะการอยู่ห้องทำให้ผมมีเวลาส่วนตัวมากเกินไปจนกลับไปหมกมุ่นกับความคิด ผมจึงไปทำการบ้านที่ห้องตงเปียนบ้าง นั่งคุยเล่นกับคิมหันต์บนดาดฟ้าบ้าง และบางวันก็ไปนั่งดูรายการโทรทัศน์ที่ใต้ถุนหอพัก
ก็แค่หันเหความสนใจของตัวเอง
พยายามไม่จดจ่อกับอะไรมากจนเกินไป
สองวันหลังคริสต์มาส พี่เลี้ยงผู้ชายคนหนึ่งก็มารับผมไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เช้า ขณะนั่งรถผมก็เอาแต่ภาวนาในใจเพื่อระงับความตื่นเต้น จนแทบจับใจความไม่ได้ว่าพี่เลี้ยงกำลังเล่าอะไรให้ผมฟัง
พอมาถึงก็พบว่าเด็กชายคนนั้นกำลังนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่แล้ว ผมชะงักอยู่ที่ปากประตูขณะสบตากันกับเขา พลางคิดอย่างละอายว่าจนป่านนี้ผมยังจำชื่อของเขาไม่ได้เลย มีเด็กกำพร้าเวียนเข้าออกที่นี่ตลอดขณะผมเรียนอยู่ที่บ้านเณร ฉะนั้นผมจึงมีบ้างที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก
น้องยกมือไหว้ผมกับพี่เลี้ยงที่พามาส่ง ผมรับไหว้ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ
“น้องชื่ออะไรเหรอ” ผมถาม
“น้องเขาชื่ออนุชา ชื่อเล่นชื่อนุชา จำไม่ได้หรือไง” พี่เลี้ยงชายคนนั้นพูดแทน “พี่ว่าพี่บอกเอ็งไปแล้วนะรันตอนอยู่ในรถ”
ผมหันไปยิ้มแหย ๆ เป็นเชิงขอโทษ พี่เลี้ยงส่ายหัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้โซนติดผนังห้อง ส่วนน้องอนุชาก็เอาแต่จ้องผมไม่เลิกจนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ดวงตาสีดำกลมโตดูไร้เดียงสาและน่าเวทนา และในดวงตาคู่นั้นผมเห็นสภาพสะท้อนของตัวเองเมื่อหลายสิบปีก่อน
ไม่นานพวกเขาก็พาสองสามีภรรยาและเด็กหญิงคนนั้นเข้ามา หลังจากสวัสดีกันจนวุ่นวายทั้งหมดก็นั่งลง ผมมองคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งคู่ดูเปลี่ยนไปพอสมควร สีหน้ามีรอยยิ้มระบายสดใสและมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้ผมรู้สึกตามไปด้วยเช่นกัน
การพบปะครั้งนี้มีอะไรมากกว่าครั้งก่อน นอกจากสอบถามกันเรื่องปกติทั่วไป ผมยังได้มีโอกาสถามว่าที่พ่อแม่บุญธรรมในเรื่องต่าง ๆ ที่อยากรู้ และพวกท่านก็ยินดีตอบอย่างกระตือรือร้น จนผมแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะคราวก่อนพวกเขาทำเหมือนผมกับอนุชาไม่มีตัวตนเลยก็ว่าได้
“ทำไมตอนนี้ถึงอยากรับผมกับอนุชาไปเลี้ยงล่ะครับ ทำไมไม่รับไปตั้งแต่ทีแรก” ผมตัดสินใจถามในที่สุด ไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายหรืออะไรทั้งนั้น เพียงแค่ต้องการความกระจ่าง
คำถามนี้ทำเอาบรรดาพี่เลี้ยงมองหน้ากันเลิ่กลัก สองสามีภรรยาหันไปสบตากันอย่างเศร้า ๆ แล้วคุณผู้หญิงก็เอ่ยขึ้น
“ทั้งหมดเป็นความผิดของน้าผิดเองแหละจ้ะ ตอนนั้นน้ายังไม่หายเศร้าที่เสียลูกสาวไปก็เลยคิดอยากจะรับแค่เด็กผู้หญิงไปเลี้ยง แต่ว่า...” แล้วหล่อนก็มองไปทางเด็กผู้หญิงซึ่งเอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ “เป็นเพราะหนูมาลีที่น่ารักคนนี้แหละจ้ะที่เปลี่ยนความคิดของน้า ตั้งแต่น้องมาอยู่ที่บ้าน น้องก็ทำให้เราเข้าใจจิตใจของเด็กกำพร้ามากขึ้น เพราะมาลีเราก็เลยเปิดใจ”
“ใช่” คุณผู้ชายเสริม “มาลีเปลี่ยนชีวิตเรา”
ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงผมสั้นที่ชื่อมาลี อดีตเด็กกำพร้าที่ผมเคยมองตามหลังไปเริ่มชีวิตใหม่เมื่อปีก่อน ขณะมองรอยยิ้มจริงใจของเธอ ความคิดและความรู้สึกแย่ ๆ ที่เคยมีให้มาลีก็อันตรธานหายไป ลงเหลือไว้เพียงความละอายใจอย่างถึงที่สุด
เราเงียบไปชั่วครู่ พวกพี่เลี้ยงนั่งเงียบกริบอยู่ที่เก้าอี้ข้างผนัง มีเพียงเสียงใบไม้ลู่ลมดังแว่วเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ น้องอนุชานั่งห่อตัวสูดจมูกอยู่ข้าง ๆ ผม
“พวกน้าขอโทษที่ไม่ได้รับพวกหนูไปด้วยเมื่อวันนั้น และน้ารู้ว่าพวกหนูคงเสียใจ แต่ตอนนี้พวกเราพร้อมจะพาพวกหนูไปอยู่ด้วยแล้ว” คุณผู้หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเธอมีน้ำตาระรื้น “ไปอยู่ด้วยกันนะ ไปเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ รู้สึกได้ว่าเบ้าตาร้อนผาว ผมพูดอะไรไม่ออกจึงทำได้แค่พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วน้องอนุชาก็ร้องไห้โฮจนตัวสั่น
“ผมจะมีพะ...พ่อแม่แล้ว” เด็กชายพูดสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม “คะ...ครอบครัว”
เย็นวันนั้นผมชวนคิมหันต์ขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้าของหอพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะได้พูดออกมาสักที ขณะเรากำลังเพ่งมองความมืดสลัวเบื้องหน้า สลับกับแหงนมองดูพระจันทร์ที่เห็นเป็นสีเทาจาง ๆ ผมก็เริ่มต้นเล่ามันออกมาด้วยโทนเสียงสงบเหมือนดั่งบรรยากาศรอบตัว
คิมหันต์เงียบไปสักพักหลังฟังผมพูดจบ ผมมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดนักในความมืด แต่ก็รู้ว่าเขายินดีร่วมไปด้วย
“ดีใจด้วยนะ” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “ว่าแต่นายอยากไปอยู่กับพวกนั้นจริง ๆ ใช่ไหม”
“อยากไปสิ” ผมตอบด้วยใจลังเลสับสน
คิมหันต์มองมาและเอียงศีรษะเล็กน้อย
“แต่ฟังดูน้ำเสียงนายไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
ผมนิ่ง เป็นอีกครั้งที่เขามองผมออกอย่างง่ายดาย
“ไม่รู้สิ เราคงกลัวด้วยแหละ ก็มันเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเราเลยนี่นา กลัวว่าจะตัดสินใจผิดพลาด” ผมบอก
“แสดงว่านายอยากอยู่บ้านเด็กกำพร้าต่อไปงั้นสิ”
ผมรีบส่ายหัวรัว ๆ
“ถ้างั้นก็เลิกกลัวได้แล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย เราคิดว่าเด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ก็อยากได้รับโอกาสแบบนี้เหมือนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“อืม”
ผมตอบสั้น ๆ ไม่กล้าพูดแทนใครทั้งนั้น เพราะขนาดตัวผมเองยังเคยคิดจะอยู่ตัวคนเดียวโดยปราศจากครอบครัวบุญธรรมมาอุปถัมภ์
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” เขากล่าวประโยคคุ้นหูออกมาอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” ผมพูดตามเบา ๆ ราวกับตอบรับพระวาจาของพระเจ้า
นี่เป็นครั้งแรกที่หัวใจผมรู้สึกเบาสบายเหมือนขนนก ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา มันถูกมัดด้วยเชือกแห่งความเครียดและถ่วงด้วยน้ำหนักแห่งความกังวล ทั้งเรื่องในอนาคตระหว่างสองเรา เรื่องมหาวิทยาลัย และชีวิตของผมกับครอบครัวใหม่ ถึงจะยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับสองเรื่องแรก แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็โล่งใจกับเรื่องสุดท้าย ซึ่งนั่นก็ดีมากแล้ว
สายลมเย็นของฤดูเหมันต์พัดโชยเป็นระลอก เสียงจักจั่นร้องอยู่ไกลออกไปแถวดงต้นไม้ข้างหอพัก ผมมีความสุขที่ได้นั่งข้าง ๆ เขาแบบนี้ กุมมือกันไว้เพื่อแลกเปลี่ยนไออุ่น พลางซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ในใจ
“จูบเราหน่อยได้ไหม” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบตลอดสิบนาทีที่ผ่านมา ผมอดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว
คิมหันต์กวาดสายตามองทั่วดาดฟ้า ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากอุ่นเข้ากับของผม มันเป็นจูบดูดดื่มที่ผมแสนจะโปรดปราน ซึ่งแปลว่ามันมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอราวกับสายฟ้าฟาด แทบไม่รู้ตัวเลยว่าคิมหันต์ถอนตัวออกไปแล้วจนเมื่อเขาเอ่ยขึ้น
“พอแค่นี้ก่อน เดี่ยวมีใครขึ้นมาเห็น” รอยยิ้มระบายบนใบหน้าหล่อเหลา
ผมปรับลมหายใจเข้าออกเป็นปกติก่อนจะพยักหน้า จากนั้นไม่นานเราก็แยกกันกลับห้อง
อย่างไรก็ตาม บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าในทุก ๆ วันอาทิตย์ คิมหันต์คิดจะสารภาพเรื่องต่าง ๆ ที่เราแอบทำด้วยกันไหม ไม่รู้สิ...บางครั้งผมก็ระแวงไปเรื่อย มันอดไม่ได้จริง ๆ เพราะตราบใดที่แหวนหมั้นยังคงเด่นหราอยู่บนนิ้วนางซ้าย ผมก็ไม่อาจเลิกกังวลว่าจะมีใครสงสัยเราสองคน
แต่จนถึงทุกวันนี้ทุกอย่างยังคงปกติดี คุณพ่ออรรถพลยังคงยิ้มให้ผม เช่นเดียวกับคุณพ่อท่านอื่น ๆ เมื่อเดินสวนกัน ไม่มีใครถามเรื่องแหวน ไม่มีใครสนใจว่าผมกับคิมหันต์ทำอะไรมาบ้างตอนปิดเทอม และขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้าแทบทุกเย็น ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าเรื่องระหว่างเรายังคงเป็นความลับ ตราบเท่าที่เราไม่ทำเสียเรื่องเสียเอง
เพราะยามใดที่คิมหันต์จูงมือผมไปยังที่ลับตาคน แทรกกายบดเบียดระหว่างชั้นหนังสือในห้องสมุด หรือในมุมมืดหลังอาคารเรียน สอดมือหยาบกร้านเข้ามาใต้เสื้อนักเรียนสีขาวที่ตัดกับผิวสีน้ำตาลของเขา ก่อนจะบรรจงจูบอย่างระมัดระวัง ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้นมันช่างเสี่ยงจะถูกจับได้อยู่รอมร่อ และผมก็ไม่เคยห้ามตัวเองได้เลย
ทว่าจูบในวันนั้นแตกต่างออกไป ผมเพิ่งเข้าใจว่าจูบดี ๆ สามารถช่วยให้สงบได้ และยังมอบความหวังเมื่อเผชิญหน้ากับความทรมานที่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบใด
ในอนาคตผมอาจจะยังคงเจ็บปวด กังวลและเศร้าเพราะเรื่องราวอันแสนงดงามระหว่างเรา แต่ขณะเดียวกันมันก็มอบชีวิตให้ผมเป็นรางวัลตอบแทน หากวันใดผมอ่อนแอ ผมก็แค่นึกถึงกาลครั้งหนึ่งเมื่อวัยเยาว์ เมื่อไหร่ที่ผมเศร้า ก็แค่ระลึกถึงรสจูบที่เคยได้รับ มันจะยังคงตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปากเสมอ แล้วผมก็จะสามารถผ่านมันไปได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ