เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) รุกฆาต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เมษายนมาถึงเร็วเหมือนตื่นจากฝัน ผมเดินโซเซลงบันไดมาชั้นล่างตอนช่วงสายของวันศุกร์ต้นสัปดาห์ ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้ตื่นช้ากว่าปกติ ช่วยไม่ได้เพราะหลังจากไปสวนหลวง ร. 9 เราก็แทบอยู่ไม่ติดบ้านเลย หลายวันมานี้คิมหันต์เสนอตัวขับรถยนต์พาผมตระเวนเที่ยวทั่วกรุงเทพฯ  ผมสนุกมากแต่ก็เพลียมากเช่นกัน
มีเสียงพูดดังออกมาจากห้องนั่งเล่นขณะผมเดินผ่านไปทางห้องครัว คิมหันต์สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีฟ้า กำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ข้างหน้าต่าง เขาไม่ทันสังเกตเห็นผมเพราะหันไปทางอื่น
“พอเถอะครับ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว แม่ก็รู้ว่าผมคิดยังไง...”
ผมดื่มน้ำ พยายามไม่ฟังโดยทำเป็นสนใจปฏิทินบนหลังตู้เย็น อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลสงกรานต์แล้ว
“ครับ ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิม…”
คิมหันต์พูดต่อด้วยโทนเสียงฟังดูไม่สบายใจ ผมไม่ต้องการเพ่งสมาธิกับเรื่องของคนอื่นเลยคิดหาอะไรทำ ดังนั้นจึงนั่งลงที่โต๊ะทานอาหารกลางห้องและเล่นหมากรุกต่อจากกระดานที่ทิ้งค้างไว้หลายวันโดยไม่มีใครเหลียวแล
ผ่านไปสักพักผมจึงได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นใกล้ ๆ
“เชา เบลล่า” เขายืนพิงขอบประตูห้องครัว
“ว่าไงนะ” ผมชะงัก
เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วหยิบพอว์นดำตัวหนึ่งไปวางที่เอสี่อย่างห้าวหาญ
“ว่าไงคนสวย ตื่นสายนะเรา”
ผมเลิกคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกเขินอายกับคำพูดนั้น
“ใครสวย ที่นั่งอยู่นี่แทบทำพระเอกหนังลำบากใจจะแย่อยู่แล้วนะ”
คิมหันต์หัวเราะในลำคอ
“หมายถึงนี่เหรอ” เขาชี้ตัวเอง
“หมายถึงนี่ต่างหาก” ผมชี้ตัวเองบ้าง
เราจบเรื่องไร้สาระอย่างรวดเร็วด้วยความเงียบ คิมหันต์มองที่หมากรุกราวกับจมอยู่กับความคิดอะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมลองถามหยั่งเชิง
คิมหันต์ไม่ตอบคำถามของผมแต่ถามกลับแทน
“เดี๋ยวตอนสิบโมงเราจะไปธนาคาร อยากไปด้วยไหม”
ผมพยักหน้า ความจริงก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกันและผมก็ไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว
“ไปแน่นอน นายจะให้เราอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ ไม่เอาหรอก” ว่าแล้วผมก็มองความกว้างภายในบ้านและเครื่องเรือนมากมายรอบตัวอย่างคนตาขาว
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ผีสิต้องกลัวนาย”
“จะถือว่าเป็นคำชมนะ” ผมบอก ก่อนจะเดินบิชอปขาวกินพอว์นดำเอสี่ คิมหันต์ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงผมกับเขาก็นั่งอยู่ในรถยนต์ซึ่งกำลังแล่นช้า ๆ บนถนนสายหนึ่ง วันนี้การจราจรค่อนข้างติดขัดเป็นพิเศษ มีเสียงบีบแตรดังขึ้นจากรอบด้านเป็นครั้งคราว
“สงสัยเริ่มทยอยกลับต่างจังหวัดกันแล้ว” คิมหันต์เหลียวมาทางผมแวบหนึ่ง “คิดถึงโรงเรียนเหมือนกันเนอะ”
“อืม”
ผมไม่แน่ใจว่าเห็นด้วยหรือเปล่าเพราะนี่คือสวรรค์ที่ผมตามหาและอยากอยู่ตลอดไป ผมปรับวิทยุเพื่อหนีรายงานข่าวประจำวันน่าเบื่อ ก่อนจะมองรถราด้านนอกซึ่งสะท้อนแสงแดดจนแสบตา
แล้วเราก็มาถึงธนาคารเล็ก ๆ สาขาหนึ่งตอนสิบโมงครึ่ง คิมหันต์รีบเข้าไปทำธุระโดยมีผมนั่งรออยู่ข้างนอกกับลุง รปภ. หน้าตาขึงขัง อันที่จริงเขาอยากให้เข้าไปข้างในด้วยกัน แต่ผมยืนยันที่จะรออยู่ตรงนี้ ผมไม่ต้องการรู้เห็นเรื่องส่วนตัวของคิมหันต์ในด้านนี้สักเท่าไหร่
หลังจากนั่งมองป้ายร้านค้าและผู้คนบนทางเท้าจนเริ่มเบื่อ ขณะที่ผมกำลังคิดจะข้ามถนนไปร้านขายของชำ ประตูธนาคารก็เปิดออกพอดี คิมหันต์กลับออกมาพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ
“รอนานไหม” เขาถาม
“ไม่นาน แต่ตอนนี้หิวจะแย่แล้ว” ผมลุกขึ้นยืน รู้สึกแสบไส้ไปหมด ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
“เดี๋ยวพาไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเด็ดหน้าโรงเรียนเก่า รับรองนายเลียถ้วยแน่” ว่าแล้วคิมหันต์ก็เดินนำหน้าไปยังรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ข้างทางห่างออกไปพอประมาณ ส่วนผมตามหลังไปติด ๆ
สิบนาทีต่อมาเราสองคนก็ซัดก๋วยเตี๋ยวเรือไปคนละสองชามเป็นอาหารมื้อแรกของวันนี้ ก่อนจะตบท้ายด้วยขนมบัวลอยไข่หวานอีกคนละถ้วย
“เข้าไปเดินเล่นในโรงเรียนหน่อยได้ไหม” ผมเอ่ยชวนขณะเดินออกจากร้าน ในใจยังไม่อยากรีบกลับเท่าไหร่นัก
คิมหันต์ดูลังเลแต่ก็ตอบตกลง แล้วเราก็ข้ามถนนไปยังโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านนี้
“นี่โรงเรียนเก่านายใช่ไหม”
“ใช่” เขาตอบ พลางมองดูอาคารเรียนทาสีขาวด้วยแววตาผูกพัน “เราเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม. ต้นเลย”
ที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างมากกว่าที่โรงเรียนของเราในจังหวัด อ. อยู่พอสมควรแต่ไม่ได้มีเนื้อที่กว้างเท่า ดังนั้นอาคารเรียนจึงอยู่ค่อนข้างชิดกันและนั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง
จากบรรดาสถานที่มากมายที่ผมได้ไปเยือน คิมหันต์ไม่เคยหยุดแวะแถวนี้เลยนอกจากขับรถผ่าน ผมจึงได้แต่สงสัยว่าจะมีโอกาสได้มาที่นี่สักครั้งไหมก่อนถึงเวลากลับ ซึ่งบางทีอาจสายเกินไปก่อนที่ผมจะกล้าเอ่ยปากขอร้อง
แล้วพ่อมัคคุเทศก์รูปหล่อก็พาผมเดินชมสถาบันแห่งนี้อย่างกระตือรือร้น ชี้ให้ผมดูว่าเมื่อก่อนเคยเตะฟุตบอลที่ไหน เรียนวิชาอะไรที่ตึกไหนบ้าง และเขาก็ไม่พลาดพาผมไปดูให้เห็นกับตาว่ามีถ้วยรางวัลสลักชื่อ ‘คิมหันต์ ดาวประจักษ์’ ที่อาคารพละเปิดโล่ง
“นึกว่าพวกเขาจะเอาออกไปซะแล้ว” คิมหันต์พูดขณะมองดูถ้วยรางวัลกีฬากับรูปถ่ายในตู้กระจกติดฝาผนัง ผมยืนชื่นชมข้าง ๆ ด้วยความเลื่อมใส
“ไม่มี ผอ. สติดีคนไหนอย่างเสียนักเรียนเก่ง ๆ แบบนายไปหรอก” ผมบอก “และมันก็ไม่ได้เสียหายตรงไหนที่จะเก็บชื่อเสียงของนายเอาไว้”
“นั่นถูกแค่ครึ่งเดียว” เขายกมือขวาทาบกระจก จากนั้นจึงก้มมองผมซึ่งอยู่ห่างจากหน้าอกกว้างเพียงแค่ปลายจมูก “นายยังไม่รู้เหตุผลอีกครึ่งว่าทำไมถึงไม่ควรมีสิ่งเกี่ยวข้องกับเราหลงเหลืออยู่”
ผมแทบกลั้นหายใจ
“ทำไมล่ะ”
คิมหันต์หน้าเศร้าสลด เขาเงียบไปสักพักราวกับขอเวลาทำใจก่อนที่จะถูกประหารชีวิต
“คือ…เราไม่ได้บอกนายทั้งหมดเรื่องย้ายโรงเรียน มันมีอะไรมากกว่าแค่พ่อกับแม่ไปอิตาลี บางทีนายอาจมองเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ได้ถ้ารู้เข้า”
“แต่ถ้านายไม่ยอมบอกก็อาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนะ” ผมแตะแขนซ้ายของเขาเพื่อให้กำลังใจ “แล้วจะมีเพื่อนไว้ทำไมล่ะคิมหันต์ นายบอกเราได้ทุกเรื่องนะรู้ไหม”
คิมหันต์ยิ้ม แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากความโล่งใจ
“ตามมา เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
พูดจบเขาก็ละไปยังทางออก ส่วนผมเดินตามกลิ่นโคโลญจน์อ่อนจางไปเหมือนคนหลงทาง
คิมหันต์พาผมเดินตัดสนามหญ้ากลางโรงเรียนไปสู่ศาลาเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้พิกุลที่ออกดอกบานเต็มต้น หลังจากนั่งในนั้นแล้วผมจึงสังเกตว่าบริเวณนี้เงียบมาก ไม่มีใครเลยนอกจากนกกระจิบและสุนัขตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างอ่างบัว
“นายคิดถึงที่นี่ไหม” ผมชวนคุย
“บางครั้ง” เขาสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ “แต่โรงเรียนใหม่ก็ดีไปอีกแบบ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แถมยังโชคดีที่ได้เจอคนดี ๆ แบบนายอีกด้วย”
คนดี ๆ แบบผมอย่างนั้นรึ? ผมคิด
“เราเพิ่งชมนายนะ ทำไมทำหน้าเครียดขนาดนั้นล่ะ” เขาพูด
“นายคิดว่าเราเป็นคนดีจริง ๆ เหรอ” ผมถาม
“แล้วนายเคยฆ่าคนตายไหม”
“ไม่เคย”
“นายเคยยุ่งกับยาเสพติดหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แต่เราเคย” เขาบอก
ผมจ้องคิมหันต์อย่างตกตะลึงถึงขีดสุด ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้แม้จะเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วก็ตาม
“นายฆ่าคนตายจริง ๆ เหรอ” ผมถามหาคำยืนยัน รู้สึกได้ว่ากำลังหน้าซีดปากสั่น
คิมหันต์รีบส่ายหัว
“ไม่ แต่เรามีส่วนทำให้เพื่อนเหมือนตายทั้งเป็น” เขาพูด สายตาที่มองมาฉายแววเจ็บปวด “เราไม่ห้ามพวกนั้นทั้ง ๆ ที่สมควรจะทำอะไรสักอย่าง ได้แต่ปล่อยให้มันใช้ชีวิตแบบนั้นเพราะกลัวจะถูกแกล้งและไม่มีใครคบ เหมือนอย่างที่เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับไอ้ชลยังไงล่ะ”
ผมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกทึ่งในความกล้าของคิมหันต์ที่ยอมเล่าให้ฟัง ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับประวัติสีเทาที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อยากยอมรับ ผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เขาไว้ใจแบ่งปันมันให้กับผม
“แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของนาย” ผมกล่าว “นายไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้หรอกคิม เรื่องบางเรื่องก็อยู่เกินขอบเขตความสามารถของเด็กอย่างเราที่จะจัดการ อย่าโทษตัวเองเลย”
พูดแล้วก็เหมือนกำลังสอนตัวเอง ผมเองก็เพิ่งหวิดจากปัญหาบ้า ๆ และความพยายามอันอ่อนหัดที่จะปกป้องตงเปียนมาหมาด ๆ  จึงรู้สึกประหลาดพอสมควรที่พูดอะไรทำนองนี้ออกมา
คิมหันต์ตอบรับเสียงเข้ม แต่นั่นไม่ช่วยกลบร่องรอยความอ่อนแอที่แสดงออกทางภาษากายได้ ผมมองสีหน้าหดหู่และมือที่กำแน่นบนโต๊ะด้วยความเศร้า นี่เป็นมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมองเขาเหมือนดังหินผาที่ไม่เคยหวั่นไหว เชิดชูราวกับพระบุตรองค์ที่สองจนลืมใส่ใจที่จะตระหนักว่าคิมหันต์เองก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มีเรื่องราวและปัญหาไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
“นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เพื่อนของเราไม่ค่อยได้ไปไหนด้วย พ่อแม่พวกนั้นไม่เต็มใจเท่าไหร่หรอกที่เห็นเราโผล่ไป” เขาอธิบายเสริม สายตามองมาที่ผมซึ่งนั่งอยู่นั่งตรงข้าม “พอเรื่องแดงขึ้นมาก็มีการสอบสวน แต่ก่อนที่จะบานปลายไปมากกว่านี้พ่อกับแม่เลยตัดสินใจย้ายเราออก โชคดีที่ลุงพลช่วยเกลี้ยกล่อม ไม่งั้นเราคงต้องไปอยู่ที่อิตาลีแล้ว ไม่อยากไปที่นั่นเลย”
ผมเริ่มปะติดปะต่อได้แล้วว่าทำไมคิมหันต์ถึงได้มาเรียนต่อที่โรงเรียนศาสนาทั้ง ๆ ที่มีโรงเรียนอื่นมากมายเหมาะกับเขามากกว่า ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวราวกับประกอบจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย
“นายไม่เกลียดเราใช่ไหม” เขาถามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเมื่อเห็นว่าผมแทบไม่พูดอะไรเลย
“เราจะเกลียดนายได้ยังไง” ผมพูดอย่างหนักแน่นพร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้า “ไม่มีทาง นายจะมีเราเสมอคิมหันต์ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
เขาดูตะลึงมากพอ ๆ กันกับผมเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ผมหันมองทางอื่นเพื่อเลี่ยงการสบตา
“ขอบใจนะ” เขาเอื้อมมาจับมือผมซึ่งวางบนโต๊ะ “นายก็จะมีเราเหมือนกัน…ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
ชีวิตผมไม่อาจสมบูรณ์มากไปกว่านี้อีกแล้ว การได้ยินคำพูดนี้จากปากคิมหันต์ถือเป็นดังโอสถบำรุงหัวใจให้เข้มแข็ง ซึ่งมันอาจกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์เดียวที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตอันโดดเดี่ยวในภายภาคหน้า แล้วผมกับเขาก็แลกเปลี่ยนรอยยิ้มกัน
เราคุยเรื่องนี้ต่อสักพักเพื่อให้คิมหันต์ได้ระบายออกมา ผมคอยจนเขาเงียบไปแล้วจึงชวนคุยเรื่องอื่นที่เบาสมองกว่า เขาหัวเราะในลำคอเมื่อผมพยายามปล่อยมุกตลกฝืด ๆ ที่จำมาจากรายการโทรทัศน์ แต่มันก็ประสบความสำเร็จเพราะตอนนี้คิมหันต์ดูสดใสขึ้นมากทีเดียว ทว่าเขายิ่งดูดีอีกเท่าตัวเมื่อผมท้าดวลหมากรุกตอนกลับถึงบ้าน
“นึกว่านายลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นขณะเราเดินออกจากโรงเรียนท่ามกลางแดดร้อนยามเที่ยง
“ทำไมถึงคิดว่าลืมล่ะ” ผมถาม ก่อนจะก้าวข้ามทางระบายน้ำเล็ก ๆ ที่ริมถนนด้านหน้า
“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะนายไม่เคยพูดถึงมันเลยมั้ง”
“นายก็ไม่พูดเหมือนกันนั่นแหละ”
“ก็จริง” เขายิ้มที่มุมปากเหมือนเป็นเรื่องขบขัน “เอาเป็นว่านายพร้อมที่จะแพ้แล้วสินะ”
ผมไม่ตอบอะไรนอกจากเดินเคียงข้างเขาไปยังรถยนต์คันโก้ที่จอดตากแดดอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ อีกไม่นานฟ้าดินก็จะร่วมเป็นสักขีพยานของผลลัพธ์นี้ซึ่งจะจารึกไว้ที่ขั้วหัวใจของผมไปตลอดกาล
คิมหันต์แวะไปรษณีย์เพื่อส่งซองเอกสารไปอิตาลีตอนขากลับ กว่าเราจะถึงบ้านดาวประจักษ์ก็บ่ายโมงพอดี ผมเงยหน้าขึ้นและเห็นลุงคนสวนกำลังตัดกิ่งต้นไทรผุ ๆ ข้างโรงจอดรถ เขาตะโกนบอกให้เราหลบไปไกล ๆ ถ้าไม่อยากโดนกิ่งไม้หล่นใส่หัวตาย ซึ่งผมกับคิมหันต์ยินดีที่จะทำตามโดยไม่ต้องสั่งอีกเป็นครั้งที่สอง
ตลอดทางกลับบ้านผมนั่งคิดมาตลอดว่าจะรับมืออย่างไรหากเรื่องไม่เป็นไปตามจินตนาการ ผมจะกล้าพอไหมเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริง แต่ใจผมก็เตือนเสมอว่าผมไม่ได้เฝ้าหยอดคำพูดไว้ที่ริมฝีปากเพียงเพื่อจะเก็บเงียบอีกต่อไป ซึ่งนักบุญวาเลนไทน์ทราบดีว่าผมต้องการเผยทุกอย่างออกมาในเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
เราโผล่มาหลังบ้านหลังผ่านไปสักพักพร้อมกับหมากรุกและขนมขบเคี้ยวจำนวนหนึ่ง ผมเดินนำไปยังขอบสระตรงบริเวณที่มีร่มไม้ทอดเงา ก่อนจะนั่งลงและแกะลูกอมเม็ดหนึ่งใส่ปาก จากนั้นจึงเอาเท้าจุ่มน้ำตามคิมหันต์
“พร้อมไหม” ผมถามขณะเราช่วยกันตั้งกระดาน ซึ่งก็เป็นการถามตัวเองด้วยเช่นกัน
คิมหันต์ในสภาพเปลือยท่อนบนพยักหน้า แล้วเขาก็ให้เกียรติผมเลือกหมากก่อน ผมเลือกสีขาวอีกตามเคย
พอว์นดีสี่คือหมากที่ผมเดินเพื่อเปิดเกม คิมหันต์ไม่ลังเลที่จะเคลื่อนพอว์นหน้าคิงมาที่อีห้า ผมเหลือบมองใบหน้านิ่งเรียบแวบหนึ่งก่อนจะกินหมากตัวนั้นทันทีด้วยพอว์นในตำแหน่งดีสี่ รู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่การปล่อยให้กินฟรีอย่างแน่นอน
เขาเดินไนท์มาซีหกอย่างรวดเร็วเพื่อขู่พอว์นของผม ฉะนั้นผมจึงหยิบไนท์มากันที่ตำแหน่งเอฟสามเพื่อปกป้อง คิมหันต์วางควีนที่อีเจ็ด ผมสู้ด้วยการนำบิชอปเคลื่อนมาที่เอฟสี่เพื่อไม่ให้เขาทำอันตรายได้
ชายหนุ่มส่งสายตาเหมือนเหยี่ยวมาจนผมขนลุก ในจังหวะที่ผมคิดว่าเล่นดีที่สุดแล้วคิมหันต์ก็ได้ทำลายความมั่นใจนั้นด้วยการนำควีนขึ้นมาประกาศ ‘รุก’ อย่างองอาจที่บีสี่ ผมนิ่งไปเลยเมื่อตระหนักว่ากำลังเสียเปรียบ
“นายเล่นงานได้ถูกจุดมาก” ผมบอก เพราะไม่เพียงแค่การประกาศจะเขมือบคิงของผม ควีนตัวนั้นยังข่มขู่บิชอปเอฟสี่กับพอว์นบีสองอีกด้วย
“ยืมเทคนิคของพ่อมาใช้น่ะ ก็แอบลุ้นอยู่ว่าจะได้ผลกับนายหรือเปล่า” พูดจบเขาก็เอนหลังโดยเอามือยันพื้นไว้ ส่วนเท้าทั้งสองแกว่งน้ำอย่างสบายอารมณ์
ตอนแรกผมกะจะยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนั้นเลย แต่มันอาจดูเหมือนว่าผมจงใจเกินไป ร้อนรนที่จะเข้าประเด็นแท้จริงของการแข่งขันนี้ ดังนั้นจึงดึงสติเอาไว้
ผมจ้องกระดานและคิดวางแผน แผนการที่จะทำให้ผมมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกประเดี๋ยวเดียว แค่สองสามตาเท่านั้น
คิมหันต์ไถลตัวลงสระน้ำ เขาว่ายไปอีกฝั่งด้วยท่ากบขณะรอผมตัดสินใจ และเมื่อกลับมาก็พบว่าผมเคลื่อนบิชอปเอฟสี่ไปที่ดีสองแล้ว
“ถ้าชนะนายอยากสั่งหรืออยากถาม” เขาถามหลังจากใช้ควีนกินพอว์นบีสองของผม
ผมมองหยดน้ำที่เกาะตามไหปลาร้าและโครงหน้าหล่อเหลาด้วยอารมณ์ประหลาด
“ไม่ถูกสักอย่าง” ผมหยิบบิชอปมาวางที่ซีสามช้า ๆ อย่างมีนัย “เราไม่ได้อยากสั่งหรือต้องการรู้ความลับของนาย เราแค่…อยากขอร้อง”
คิมหันต์ดึงบิชอปเอฟหนึ่งขึ้นไปตำแหน่งบีสี่ก่อนจะเงยหน้ามองผมและพูดว่า
“นายขอเราได้ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรอให้ชนะหมากรุกก็ได้”
ผมส่ายหน้า แล้วจึงขยับควีนขึ้นมาที่ดีสองตามแผนการ
“ไม่ได้ทุกเรื่องหรอก ไม่ใช่สำหรับเรื่องนี้แน่นอน”
เขายังมองผมไม่เลิกและผมก็ยินดีมากที่ได้เห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่นานนักผมก็แทบคลั่งเมื่อคิมหันต์นอนหงายลอยตัวบนผิวน้ำ ด้วยความที่กางเกงตัวนั้นเป็นสีขาวและบางมาก ผมจึงมองเห็นชั้นในสีเข้มที่แทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
“สำคัญมากเลยเหรอ”
ผมพยักหน้าในจังหวะที่เขาตั้งใจมองมาทางนี้อีกครั้ง ความตื่นเต้นแผ่ซ่านไปจนถึงปลายนิ้ว เช่นเดียวกับความกลัวที่แผ่ขยายทั่วหัวใจ แต่ความรู้สึกทั้งหมดล้วนมีความหมาย ทุกวินาทีที่ผ่านไปจะกลายเป็นความทรงจำที่มีคุณค่า
แล้วชายหนุ่มก็ว่ายน้ำเข้ามา เขามองกระดานและมองผมอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็เท้าแขนกับขอบสระ
“นายตั้งใจแพ้” เขาเลิกคิ้ว “ทำไมกัน นายไม่ต้องการที่จะชนะหรอกเหรอ”
ผมใช้เท้าตีน้ำจนสาดกระเซ็น พยายามควบคุมประสาททุกส่วนให้สงบ พยายามไม่ให้ตัวเองหลุดโพล่งอะไรโง่ ๆ ออกมาและต้องมาเสียใจทีหลัง
“แบบไหนก็เหมือนกันทั้งชนะและแพ้”
คิมหันต์เม้มปาก จากนั้นจึงเดินบิชอบบีสี่กินบิชอปซีสาม เขาเรียงหมากสีขาวทุกตัวที่กินได้ทั้งหมดไว้ข้างกระดานแล้วจึงพูดค่อย ๆ ว่า
“ถ้าอย่างนั้นเราควรยอมแพ้”
“นายควรชนะ” ผมบอก
เขาขมวดคิ้ว
“ทำไม”
“เพราะเราอยากให้นายชนะ ชนะเกมนี้และชนะทุก ๆ อย่าง” ผมบอกไปตามตรง ทำเป็นไม่สนใจสีหน้าตะลึงงันด้วยการมองท้องฟ้า คิมหันต์เกิดมาเพื่อสิ่งนี้และเขาก็ทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งด้วยการชนะใจของผมมาเนิ่นนาน
“นายกำลังทำให้เราสับสน” เขาเอ่ยหลังจากผมพูดประโยคนั้นไปได้สักพัก
“เดี๋ยวนายก็จะเข้าใจ อีกไม่นานแล้วล่ะ”
พูดจบผมก็ใช้ควีนกินบิชอปซีสาม เปิดทางให้ควีนของเขาเข้ามาพิชิตคิงของผมโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่เปิดรอคิมหันต์อยู่เสมอ
หลังจากนั้นเมฆก็เคลื่อนมาบังพระอาทิตย์พอดี บรรยากาศรอบตัวกลายเป็นสีเทาหม่น ทว่าผมยังคงเห็นประกายจากแววตาที่มองมา และถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือตาพร่าเลือน ผมคิดว่าคิมหันต์กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนนิ้วเท้าสัมผัสกับหน้าท้องของเขา พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ
“มันเกี่ยวกับเรื่องที่เคยถามตอนไปสวนหลวงใช่ไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ทำเอาผู้ฟังอยากเปลื้องผ้าด้วยความยินดี
“เล่นให้จบก่อนสิ” ผมเสี่ยงใช้ปลายเท้าปัดขึ้นลงตามลอนกล้ามท้องช้า ๆ  บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรเพราะเขานิ่งมาก แต่ผมไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่มีเวลาให้วิตกสิ่งใดนอกจากทำให้ผมกลายเป็นของเขา
ชั่วขณะหนึ่งที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดอันน่าประหลาดระหว่างเรา ในที่สุดคิมหันต์ก็หยุดยั้งมันด้วยการขยับควีนไปยังช่องซีหนึ่ง เขาทำมันโดยที่ไม่ละสายตาไปจากผม
“รุกฆาต” เขาประกาศชัยชนะ “คราวนี้จะบอกได้หรือยัง”
เวลาของผมมาถึงแล้ว…มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ  ผมต้องคว้ามันเอาไว้และพูดเดี๋ยวนี้ อย่ามัวรีรออีกเลยเพราะกำลังจะลงแดงตายอยู่รอมร่อ
ทว่าขณะผมกำลังจะเอื้อนเอ่ย จู่ ๆ ก็สังหรณ์ลึก ๆ ว่าคิมหันต์รู้แล้วว่าผมกำลังจะพูดอะไร มันไม่ใช่เพราะผมวิเคราะห์จากสายตาที่กำลังมองมา ไม่ใช่เพราะสีหน้าคาดหวังที่เขาแสดงออก แต่เป็นเพราะท่าทีของเขาที่กำลังหมุนแหวนประคำที่สวมอยู่ต่างหาก ราวกับกำลังภาวนาบางอย่างอยู่ในใจ
 แล้วผมก็ทำบางอย่างที่ขาดสติโดยเอื้อมมือไปแตะแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา
“เราใช่ไหม” เขาเคลื่อนเข้ามาที่หว่างขาของผม “บอกสิ”
คำพูดและท่วงท่านี้กระตุ้นอัตราเต้นของหัวใจให้พุ่งสูงในพริบตา ทรวงอกของผมไม่สามารถทนกับแรงเต้นอันบ้าคลั่งไปได้มากกว่านี้อีกแล้วเพราะอาจจะหน้ามืดเสียก่อน แม้ปรารถนาจะพูดสักคำแต่ก็ดันเกร็งจนปากแข็ง กว่าจะเอ่ยออกมาได้ก็ผ่านไปหลายวินาที
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่…เราชอบนาย ชอบมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ต่อให้นายเกลียดเราเพราะเรื่องนี้เราก็จะยังชอบนาย มันห้าม --”
เขาใช้มือยันขอบสระและดันตัวเองขึ้นมาจูบผม ดูดกลืนประโยคที่เหลือด้วยริมฝีปากอุ่นไม่ต่างจากการจรดดื่มจากถ้วยชา ความตกใจทำให้ผมเผลอปัดตัวหมากรุกและขนมกระจัดกระจายจนร่วงลงน้ำ แต่ก็มีสติพอที่จะตอบสนองคืนอย่างแผ่วเบา เนิบนาบและอ่อนละมุน
วินาทีนั้นสมองผมเบลอไปหมด ยากจะเชื่อว่ามันจบลงด้วยการจูบกับคนที่ผมคิดมาตลอดว่าไม่มีใจให้ ผมเคยหวังว่าถ้าหากผิดพลาด อย่างน้อยที่สุดเขาจะเมตตาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและปล่อยผมกลับสู่โลกใบเดิมโดยไม่ทำร้ายความรู้สึกใด ๆ  แต่...อัลเลลูยา...ผมกลับได้รับสิ่งที่ดีงามเกินคาดฝัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนจนกระทั่งคิมหันต์ถอนริมฝีปากออกช้า ๆ  เขายังคงทรงตัวอยู่ท่าเดิมซึ่งกึ่ง ๆ จะค่อมผมอยู่ ผมไม่กล้ามองเขาจึงได้แต่ก้มหน้ามองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอก อารมณ์มากมายถาโถมราวกับคลื่นปั่นป่วนในทะเลสาบกาลิลี
“เราก็เหมือนกัน” เขากล่าว ลมหายใจร้อนปะทะแก้มซ้ายราวกับจุมพิษ “ชอบมาก ไม่อยากเสียนายไปไหน อยากอยู่กับนายตลอดไป” คิมหันต์หยุดครู่หนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตาของผมก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่นุ่มกว่าเดิม “กลัวมากว่านายจะพูดชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่เรา”
ผมตัวสั่น
“น...นายไม่รังเกียจเหรอ”
คิมหันต์ตอบด้วยการจูบที่แก้มทั้งสองซับรอยน้ำตา
“แบบนี้เรียกว่ารังเกียจไหม”
นั่นมากพอที่จะทำให้ผมกล้าประคองใบหน้าของเขาด้วยสองมืออันสั่นเทา มองลึกเข้าไปในดวงตาและโน้มจูบอีกครั้ง คราวนี้ดูดดื่มหนักหน่วงมากเป็นพิเศษ ถลำลึกด้วยลิ้นที่ต่างฝ่ายต่างตวัดหากันและกัน ลิ้มรสชาติของริมฝีปากบนและล่างอย่างโหยหา และก่อนที่เหตุการณ์จะดำเนินไปไกลกว่านี้ ผมตัดสินใจถอนจูบออกมาแม้จะอ้อยอิ่งก็ตามที
“ดีใจจัง” ผมพูดเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เราเครียดจะแย่อยู่แล้ว คิดไม่ตกเลยว่าจะทำยังไงถ้านายเกลียดเราเพราะสิ่งที่พูด”
“เช่นกัน” เขาบอก ใบหน้าดูผ่องใสด้วยแสงแดดที่สาดส่องลงมาอีกครั้ง “เรากลุ้มใจมาตลอดเลย บอกใครก็ไม่ได้...นายเองก็น่าจะเข้าใจดี แต่มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วใช่ไหม”
ผมยิ้มด้วยความโล่งอกเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ใช่ ไม่จำเป็นอีกแล้ว”
ณ ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งความรู้สึกวิเศษสุดพรรณนานี้ได้ ราวกับผมได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์และความเห็นใจจากนรกพร้อมกัน ต่อให้แผ่นดินสูบผมลงไปหรือฟ้าผ่าลงมาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงว่าผมรักชายคนนี้มากสุดหัวใจ ทุกความฝันและทุกสิ่งที่ผมทำก็เพื่อวันนี้ เป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าที่สุด
จากนั้นผมก็ลงสระ ว่ายน้ำดื่มด่ำความรู้สึกเหมือนได้รับศีลจุ่มอีกครั้ง ชำระความเจ็บปวดและปลดเปลื้องตัวตนเก่าออกไป เกิดใหม่ด้วยความสัมพันธ์ที่กำลังผลิบานซึ่งมีผมกับเขาเท่านั้นที่มองเห็น เป็นอิสระจากทุกสิ่งที่พันธนาการเอาไว้ ลืมทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่
คิมหันต์สาดน้ำใส่ผม ผมสาดกลับคืน เราเล่นน้ำอยู่พักหนึ่งก่อนจะช่วยกันเก็บของที่จมอยู่ก้นสระและปีนบันไดขึ้นบก ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากนั่งพักเงียบ ๆ อยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ และเมื่อผมถอดเสื้อยืดเปียกชุ่มออก คิมหันต์จึงลุกขึ้นและจูงแขนผมเข้าบ้าน หวังเพียงแค่น้อยนิดว่าเขาจะไม่ทำผมเจ็บหลังจากเดินตามไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา