เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) เดิมพัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ผมคุ้นชินกับบ้านหลังนี้หลังผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ แม้ความใหญ่โตของมันจะยังทำให้ขนลุกแต่ผมก็ไม่รู้สึกกลัวเมื่อมีคิมหันต์นั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องนั่งเล่น หรือมองมาจากโซฟาขณะผมกำลังพิจารณารูปภาพบนฝาผนังอย่างสนใจ
เช้านี้หลังจากตื่นนอนแทนที่ผมจะล้างหน้าแปรงฟัน ทว่าสิ่งแรกที่ผมเลือกทำคือสวมแว่นตาและเปิดประตูห้องอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนบนเตียงรู้สึกตัว จากนั้นจึงลงไปยังสระว่ายน้ำหลังบ้านอันเงียบสงบ มันคือจุดที่ดีที่สุดที่จะรับอากาศสดชื่น
ผมนึกย้อนกลับไปตอนมาถึงที่นี่ใหม่ ๆ ขณะนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำเย็นฉ่ำ เราทานไอศกรีมตัดรสกะทิอยู่ข้างสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อนจะกระโดดลงน้ำเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นเพียงแค่ไม่กี่องศา
วันหนึ่งขณะนอนลอยคออยู่ในน้ำ คิมหันต์ปีนขึ้นจากสระแล้วเดินเข้าในบ้านด้วยท่าทางรีบร้อน สักพักก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องไม้ใบหนึ่ง ผมจึงว่ายเข้าไปใกล้ขอบสระอย่างสงสัย
“เล่นหมากรุกสากลเป็นไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่คาดหวังพร้อมกับเปิดกล่องนั่นออก เผยให้เห็นกระดานลายตารางสมมาตรและถุงผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินสำหรับใส่ตัวหมาก
“นิดหน่อย เคยเล่นกับพวกคุณพ่อมาบ้างเหมือนกัน” ผมถามต่อ “นายเล่นเป็นเหรอ”
“แน่นอน เมื่อก่อนเราเล่นกับพ่อบ่อยมาก” เขาบอกขณะเรียงหมากบนกระดาน “ลองเล่นดูสักตาไหม”
แม้นี่จะไม่ใช่สิ่งที่ผมกระตือรือร้นหรือสนใจเป็นพิเศษ แถมยังมีโอกาสสูงมากที่จะแพ้อัจฉริยะอย่างเขา แต่กระนั้นก็ยังอยากลองพิสูจน์ฝีมือตัวเองดูสักตั้ง สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมชนะคิมหันต์สามกระดานรวดราวกับอัศจรรย์ในวันอีสเตอร์
เมื่อมาถึงจุดนี้ผมจึงสงสัยว่าเขาน่าจะยอมให้ ผมถามหาความจริงจากเขาขณะถือคิงของฝ่ายตรงข้ามไว้ในมือหนึ่ง คิมหันต์เพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดปฏิเสธอะไรทั้งนั้น
หากวันไหนอากาศไม่ร้อนมากเขาจะพาผมออกไปข้างนอก ขับมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะในละแวกนี้ตามคำขอของผม บางครั้งก็เลยไปไกลเกินกว่าที่คาดคิด คิมหันต์พาผมไปเปิดหูเปิดตาหลายที่และพาผมไปรู้จักกับเพื่อนของเขา ผมยินดีที่จะกินและดื่มหากเลี่ยงไม่ได้ แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยเพราะพวกเราแค่นอนเล่นเกมและชวนกันคุยเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงปลากัด
ขณะนั่งคิดไปเรื่อยผมก็สัมผัสถึงสายตาที่มองมาจากทิศหนึ่ง เมื่อเงยหน้าหันไปก็เห็นคิมหันต์ยืนเท้าแขนกับราวระเบียงชั้นสอง หัวไหล่เปลือยเปล่าสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย กางเกงกีฬาสีน้ำเงินโบกกระพือตามแรงลม
“วันนี้ไปไหนดี” เขาถาม
“ไปไหนก็ได้” ผมตอบพลางใช้เท้าแกว่งน้ำ “ที่ไหนก็ได้ที่นายอยากพาไป”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็อยู่บ้านนี่แหละ” คิมหันต์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นผมทำหน้างอ
“เห้ย!” ผมอุทานดังลั่นเมื่อจู่ ๆ เขาก็กระโดดลงจากชั้นสองลงมายืนบนสนามหญ้าด้วยท่วงท่าของนักกีฬาชั้นสูง
คิมหันต์ปัดมือขณะเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ และเอาเท้าจุ่มน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งประทับใจกึ่งไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไมทำแบบนั้น ไม่กลัวขาหักรึไง”
“แล้วหักไหมล่ะ” คิมหันต์ยิ้มที่มุมปาก
ผมเงียบ ยังคงแกว่งเท้าในน้ำแล้วจึงยิ้มตามในที่สุด
“ว่าไง” เขาเอ่ยขึ้นราวกับถามถึงสภาพอากาศ ผมรู้ว่านั่นหมายถึงอะไร
“ไปเที่ยวสวนหลวงกันไหม อยากรู้ว่ามันจะสวยเหมือนที่เห็นในทีวีหรือเปล่า” ผมเสนอ
“ได้สิ” เขาว่า “ถ้างั้นก็รีบอาบน้ำกันเถอะจะได้ออกไปหาอะไรกินด้วย”
ว่าแล้วคิมหันต์ก็พลักผมลงสระโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นเขาก็กระโดดม้วนตัวตามลงมาติด ๆ  ผมเปิดฉากด้วยการวักน้ำใส่อีกฝ่ายกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อเอาคืน ส่วนคิมหันต์เพียงแค่ดำน้ำมุดหนีไปอย่างคล่องตัวเหมือนเงือกจอมเจ้าเล่ห์
ช่วงสาย ๆ พวกเราเดินไปยังโรงจอดรถข้างบ้านฝั่งทิศเหนือ หลังจากเปิดประตูโลหะม้วนพับขึ้นด้านบนแล้วคิมหันต์ก็ดึงผ้าคลุมรถยนต์คันหนึ่งออก เผยให้เห็นรถเก๋งสีบรอนซ์รูปร่างปราดเปรียวเป็นมันวาว ผมเคยเห็นรถรุ่นนี้แล่นบนท้องถนนในกรุงเทพฯ มาบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพาหนะของคนมีอันจะกิน
เขาส่งกระดานหมากรุกที่นำมาด้วยให้ผมถือ จากนั้นจึงไขกุญแจเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ผมยืนมองข้าง ๆ อย่างงุนงงขณะคิมหันต์ลองติดเครื่องยนต์
“จะขับรถไปเหรอ” ผมเอ่ยถามหลังจากชายหนุ่มผู้ตื่นเต้นหมุนกระจกลง
“อืม ต้องใช้งานมันบ้างเดี๋ยวไม่งั้นพัง” เขาบอก
ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งโรงจอดรถก็ดังกระหึ่มด้วยเสียงเครื่องยนต์ คิมหันต์ร้องอย่างดีใจที่มันยังคงใช้งานได้ กลิ่นน้ำมันรถกระจายอบอวลจนต้องย่นจมูก
“นายมีใบขับขี่ไหม” ผมถามต่อ
เขาส่ายหน้า ผมกอดอก ความคิดมากมายผสมกับความกังวลใจเริ่มก่อตัวขึ้นในหัว
“จะดีเหรอคิม เราว่าขี่มอเตอร์ไซค์น่าจะดีกว่านะ” พูดจบผมก็ชะงัก จู่ ๆ ก็สังหรณ์ว่าเขาอาจไม่มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์เช่นกัน แต่อย่างน้อยถ้าเป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่น่าจะเสียเงินซ่อมมากนัก
“นายจะบ้าเหรอ จากนี่ไปสวนหลวงมันไกลมากเลยนะรู้หรือเปล่า ขับรถยนต์ไปแหละดีที่สุดแล้ว” เขาบอกอย่างสบาย ๆ  ไร้วี่แววแห่งความวิตกในน้ำเสียง
“แต่ว่าถ้าพ่อกับแม่นายรู้เข้าจะไม่ว่าอะไรเหรอ” ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี
“รู้แล้วจะทำอะไรได้” เขาพูดพร้อมเอาศอกขวาพาดกับขอบหน้าต่าง สีหน้าเหมือนกำลังตลกขบขัน “เอ้า เลิกคิดมากได้แล้ว รีบไปเปิดประตูเร็วเข้า หิวข้าวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”
ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะปัจจัยหลายอย่างทำให้ลังเลที่จะไปหรือไม่ไปดี แต่แล้วผมก็ขยับออกจากจุดนั้นและตรงไปเปิดประตูรั้วเหล็กดัด
จะมีโอกาสสักกี่ครั้งในชีวิตที่ผมจะได้ทำเรื่องแบบนี้ จะเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่ที่ผมจะได้สนุกไปกับปัจจุบันโดยไม่นึกเสียใจในภายหลัง ผมคิดขณะรถเก๋งเคลื่อนตัวออกไปจอดรอที่ข้างถนน มองดูคิมหันต์ชะโงกหัวออกมาและยิ้มให้อย่างแจ่มใส แล้วความอบอุ่นก็อาบทั่วทั้งหัวใจ ผมจึงหยุดกังวลทันที
เราทานอาหารข้างนอกค่อนข้างบ่อย บางครั้งก็ซื้อวัตถุดิบเข้ามาและช่วยกันทำไปตามประสา ถึงแม้ที่นี่จะมีแม่บ้านและคนสวนแต่ก็ถูกจ้างไว้แค่ดูแลความสะอาดขณะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบปากท้องของเรา
หลังออกจากร้านข้าวมันไก่เราก็ขับรถไปเติมน้ำมัน จากนั้นก็แวะไปบ้านเพื่อนของคิมหันต์ที่อยู่ในละแวกนี้เพื่อชวนให้ไปเที่ยวด้วยกัน หลังแรกไปไม่ได้เพราะต้องเฝ้าร้านขายของ ดังนั้นเราจึงไปชวนหลังที่สองซึ่งปรากฏว่าต้องไปเรียนกวดวิชาตามที่พ่อแม่บังคับ ส่วนบ้านหลังสุดท้ายนั้นไม่มีใครอยู่
“สงสัยคงมีแค่เราสองคนแล้วล่ะ” คิมหันต์เอ่ยขึ้นขณะขับรถออกจากบ้านหลังนั้นและหาทางเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่
“อืม ไปสองคนก็สนุกเหมือนกัน” ผมบอก แอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมจึงคิดว่าถ้าไปหลาย ๆ คนน่าจะสนุกกว่า ทว่าผมก็ไม่ได้มองว่ามันทำให้การเที่ยวสนุกน้อยลงแต่อย่างใด
                สวนหลวง ร. 9 สวยงามและใหญ่กว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้มากโข ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับกำลังมองทะลุเข้าไปในฝันกลางวัน ผมเดินไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีอย่างตื่นเต้นโดยมีคิมหันต์ตามหลัง นกและผีเสื้อบินแตกกระเจิงเมื่อผมเข้าไปใกล้ดอกไม้สีเหลืองแปลงหนึ่ง ผมเชื่อว่าธิดาต้องชอบที่นี่มากแน่ ๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่เยอะพอ ๆ กับดอกไม้ก็น่าจะเป็นผู้คน มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่เจอใครแม้แต่ในส่วนที่ผมคิดว่าลึกลับที่สุด คิมหันต์พาผมเดินไปตามถนนเส้นเล็กและใหญ่ เข้าและออกอุโมงค์ที่มีไม้เลื้อยออกดอกสีสดใส มีบางคนแถวนั้นเข้ามาขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ คิมหันต์รับทำหน้าที่นั้นโดยมีผมยืนมองดูอยู่ห่าง ๆ
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงในที่สุดเราก็ได้นั่งรถราง ผมคิดถึงเพื่อน ๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าขณะชมทัศนียภาพโดยรอบของสวนสาธารณะ ผมอยากให้พวกเขามาที่นี่ด้วยกัน เพราะนอกจากตลาดนัดกับวัดเราก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะคิมหันต์ตอนนี้ผมก็คงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนอย่างเหงา ๆ
“คิดอะไรอยู่” คิมหันต์ถามจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“คิดถึงเพื่อนที่บ้านเด็กกำพร้า” ผมหันกลับมา “รู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบพวกนั้นยังไงก็ไม่รู้”
เขาเคาะนิ้วลงบนกระดานหมากรุกที่ตอนนี้พับเป็นกระเป๋าเล็ก ๆ บนตัก
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ ทำไมนายชอบคิดมากอยู่เรื่อยเลย”
ผมยิ้ม เขาพูดถูก นี่อาจเป็นนิสัยแก้ยากที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ท้องไส้ของผมเต้นระบำ
“ก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอกพลางขยับที่นั่งให้กับผู้ชายข้าง ๆ  แล้วจากนั้นก็มองดูวิวทิวทัศน์ต่อไป
พอลงจากรถรางเราก็เดินมาที่ริมคลองด้านหลังหอรัชมงคล
“นั่งตรงนั้นดีไหม” ผมชี้ให้คิมหันต์ดูร่มเงาใต้ต้นก้ามปูที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“อืม” เขาว่า “เหมาะเลย”
เรานั่งกันที่นั่น มองดูผู้คนปั้นเรือเป็ดอยู่ในคลองเบื้องหน้าโดยมีลมพัดโชยมาเป็นระยะ สักพักผมจึงนอนตะแคงลงบนพื้นหญ้าและใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะเอาไว้อย่างผ่อนคลาย ส่วนคิมหันต์เริ่มตั้งกระดานหมากรุกและจัดเรียงตัวหมากเข้าประจำตำแหน่ง
“แข่งกันไหม” เขาเอ่ยชวน “ใครชนะมีสิทธิ์สั่งให้คนแพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”
ผมเม้มปากและเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยประกายแห่งความตื่นเต้น
“ว่าไง สนใจไหม”
แน่นอนว่าผมสนใจ มันคงเป็นการแข่งขันที่จริงจังกว่าที่ผ่านมาและก็เสี่ยงกว่ามาก บางอย่างบอกให้ผมตอบตกลงแต่ก็กลัวว่าจะแพ้ ผมควรปล่อยให้เขาเล่นคนเดียวไหมนะ นั่นอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะผมเดาไม่ถูกเลยว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไรหากเขาเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้าเกิดผมชนะขึ้นมาล่ะ
“ได้” ผมบอกยิ้ม ๆ “แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังนะ”
ดูเหมือนคิมหันต์จะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของผมสักนิด
“ให้เลือกเลยว่าจะเดินหมากสีอะไร” เขาบอก
“สีขาว”
เขาหมุนกระดานเพื่อเปลี่ยนฝั่ง ผมลุกนั่งเตรียมพร้อมและจับมือกับเขาตามมารยาท เราแลกสายตากันแวบหนึ่ง แล้วผมก็เริ่มเกมด้วยการเปิดพอว์นไปที่อีสี่ คิมหันต์โต้กลับทันทีด้วยพอว์นซีห้าเพื่อเข้าสู่การป้องกันแบบซิซิเลียน จากนั้นเราก็ผลัดกันเดินและแลกหมากกันอย่างดุเดือด
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที ตอนนี้แต่ละฝ่ายเหลือหมากเพียงแค่หยิบมือ ต่างกันแค่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบและอีกฝ่ายเสียเปรียบสุด ๆ
อากาศร้อนก็จริงแต่เหงื่อที่ผุดนั้นออกมาจากความตึงเครียดมากกว่า ผมไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไรแต่คิมหันต์ก็สามารถสร้างควีนเพิ่มขึ้นมาอีกสองตัวและเล่นงานผมไม่ยั้ง ตอนนี้สวนหลวงได้กลายเป็นสมรภูมิรบของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีสองคนโดยสมบูรณ์แบบ
“รุก” เขาเลื่อนรุคขึ้นมาไล่ต้อนคิงของผมในตำแหน่งเฮชแปด ซึ่งมีควีนอีกสองตัวประจำการอยู่ที่ซีแปดและอีห้า อีกทั้งยังมีพอว์นขวางทางที่เอสี่ ส่วนคิงของผมยืนเปลือยเปล่าอยู่ที่บีหกและหมากตัวอื่นก็อยู่ห่างเกินกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือทัน
ผมกำลังถูกกดดัน สมาธิและความมั่นใจหนีหายไปหมด ผมรู้ว่ามันก็แค่เกมธรรมดาและบทลงโทษก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นแต่ผมก็ไม่อยากพ่ายแพ้ ต้องมีอะไรสักอย่างที่ผมอาจทำได้ดีกว่าเขาบ้างสิ
คิมหันต์เอนกายนอนในท่าทางแบบที่ผมนอนในตอนแรก มือซ้ายเท้าศีรษะเอาไว้ ส่วนมือขวาพร้อมหยิบหมากตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมาโจมตีผมได้ทุกเมื่อ สายตาเพ่งมาที่ผมจนมือเย็นและประหม่าไปหมด
ผมเลื่อนหลบคิงมาที่เอเจ็ด เขาขยับควีนมาที่บีแปดอย่างรวดเร็ว ผมลนลานจนคิดอะไรไม่ออกเลยตัดสินใจเลือกที่จะเดินคิงมาที่เอหก
“ควีนบีห้า” คิมหันต์ประกาศอย่างมีชัย “รุกฆาต!”
ผมถอนหายใจ ทั้งรู้สึกแย่และโล่งอกในเวลาเดียวกัน คิมหันต์เล่นเก่งมากและผมก็เดาได้ถูกต้องแล้ว
“นายเล่นเก่งนี่” ผมพูด “ที่ผ่านมาอ่อนให้เรามาตลอดเลยหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่านะ นายเล่นชนะเราได้จริง ๆ ต่างหาก” เขาบอกอย่างไม่อาจเก็บซ่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจเอาไว้ได้ “เชื่อสิ”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงนิ่งเงียบ ที่ผ่านมาคิมหันต์ไม่เคยโกหกผมเลยและครั้งนี้ก็คงด้วยเช่นกัน ผมเอนหลังโดยเอามือทั้งสองข้างยันพื้นเอาไว้ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจำนน
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญสั่งมาได้เลยครับคุณคิม ผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างแล้ว”
คิมหันต์ไม่พูดอะไรนอกจากนั่งมองกระดานหมากรุกอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วจึงเก็บหมากใส่ถุงกำมะหยี่และพับกระดานกลับเป็นกระเป๋าตามเดิม
“ยังไม่สั่งตอนนี้หรอก” เขาบอก “ไปเดินเล่นกันต่อเถอะ มีอีกตั้งหลายที่ที่นายยังไม่ได้ไปดูเลย”
คิมหันต์ลุกขึ้นและยื่นมามือให้ ผมจับมือเขาเพื่อดึงตัวเองขึ้น จากนั้นเราสองคนก็เดินจากไปที่อื่น
เวลาผ่านไปจนกระทั่งบ่ายโมง ผมกับคิมหันต์ตกลงกันว่าจะไปสวนนานาชาติเป็นที่สุดท้ายก่อนจะวนออกไปที่จอดรถ ณ ทางเข้าประตูดาวเรือง อันที่จริงยังมีหลายสถานที่ที่ยังไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้อากาศร้อนมาก อีกทั้งยังเริ่มรู้สึกหิวและเหนื่อยมากเช่นกัน
                “สวนอังกฤษ” คิมหันต์อ่านป้ายด้านหน้าก่อนจะเดินนำเข้าไปข้างใน ส่วนผมตามหลังมาด้วยความคาดหวัง
                “นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ซะอีก” ผมพูดขณะมองดูสวนโล่ง ๆ ที่คาดว่าน่าจะตกแต่งตามวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ  
                “อย่างเช่นอะไรบ้าง” คิมหันต์ถามอย่างสนใจขณะเดินเข้าไปใกล้ศาลาเล็ก ๆ ที่มุมหนึ่ง
                ผมส่ายหัว
                “ไม่รู้สิ อย่างเช่นน้ำตกจำลองมั้ง” ถึงจะบอกอย่างนั้นทว่าสมองกลับนึกถึงรูปปั้นในสวนด้านหลังอาสนวิหารที่จังหวัด อ.  “แต่เราก็ไม่ได้รู้ดีไปกว่าคนแต่งสวนหรอกว่าไหม”
                “นายพูดถูก” เขาว่า “ถ้าเพิ่มน้ำตกก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเป็นรูปปั้นล่ะ”
                ผมยิ้ม เขาเองก็เช่นกัน ดูเหมือนคิมหันต์ก็คิดแบบเดียวกับผม
                จากนั้นผมก็เดินทะลุไปยังสวนฝรั่งเศสซึ่งอยู่ติดกัน มันได้รับการตกแต่งสวยกว่าเล็กน้อย มีดอกไม้เล็ก ๆ สีสันสดใสปลูกไว้รายรอบแต่ก็ไม่ได้หวือหวาเกินกว่าจุดแรก ผมไม่แปลกใจเลยที่แถวนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามา แต่อย่างน้อยรูปปั้นทูตสวรรค์ตรงกลางกับซุ้มประตูสี่เสาก็ดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว
                คิมหันต์เดินไปที่ซุ้มประตูและยืนอยู่ตรงกลาง ส่วนผมเข้าไปใกล้รูปปั้นเพื่อพิจารณารายละเอียดท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงโดยมีจักจั่นส่งเสียงร้องอื้ออึงสลับกับเสียงของใบไม้ลู่ลม
                “รัน” เขาเรียก
                ผมละสายตาจากใบหน้าเรียวของทูตสวรรค์ไปยังใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล
                “ว่าไง”
                “เราจะสั่งแล้วนะ”
                ผมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าเขาจะทำมันที่นี่ ผมเชิดหน้าเล็กน้อยและกอดอกเป็นเชิงตั้งรับ
                “ว่ามา”
                “เราขอสั่งให้นายตอบคำถามหนึ่งข้อ” คิมหันต์พูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบขณะมองลงมา หลังจากผมพยักหน้าเขาก็เอ่ยขึ้น “มีใครที่นายแอบชอบอยู่บ้างไหม”
                ผมรู้สึกเหมือนน้ำเข้าหู ราวกับวินาทีก่อนหน้านั้นเป็นแค่เหตุขัดข้องอันฉับพลันทางการรับรู้
                “นายว่าไงนะ” ผมถามย้ำอีกครั้ง
                “มีใครที่นายแอบชอบอยู่บ้างหรือเปล่า”
                คราวนี้ผมได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ผมก้มหน้าลงและคลายวงแขนออกจากอ้อมอก สูญเสียทั้งการตั้งรับและความมั่นใจไปโดยสิ้นเชิง อาการประหม่าที่ตรึงร่างของผมอยู่นั้นยังเทียบไม่ได้เลยกับความสับสนที่วิ่งชนกันในหัว
ทำไมคิมหันต์ถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ มีอะไรที่ผมเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจหรือทำผิดพลาดบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่แล้วอะไรกันที่ทำให้เขานึกสนใจเรื่องส่วนตัวของผม
                ผมควรจะตอบอย่างไรดี โกหกหรือบอกความจริง หรือแค่นิ่งเงียบและคอยดูว่าคิมหันต์จะคาดคั้นต่อไหม
                หรือบางทีนี่อาจเป็นจังหวะเหมาะที่ผมจะใช้โอกาสนี้สื่อความในใจ มันคงได้ผลถ้าผมทำมันอย่างระมัดระวัง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหนเพราะหนทางนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
                ผมผ่อนลมหายใจออกแล้วจึงพยักหน้าช้า ๆ เหมือนคนที่กำลังระแวดระวัง  คิมหันต์ไม่พูดอะไรนอกจากมองผมอยู่อย่างนั้นจนเริ่มอึดอัด ดังนั้นผมจึงเดินทะลุออกไปยังสวนอิตาลีซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน แล้วสักพักคิมหันต์ก็เดินมาประกบด้านหลังที่น้ำพุใจกลางสวน
                เรายังคงเงียบ ผมใจสั่นเกินกว่าที่จะกล้าหันไปมองหรือขยับไปไหน ราวกับว่าอาจเป็นการแสดงอาการบางอย่างออกมาให้เขาจับผิดได้
“อยากรู้จังว่าใคร” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ
                “ชนะหมากรุกให้ได้อีกครั้งเดี๋ยวจะบอก” ผมบอก จากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตัวสูง “แต่ถ้านายแพ้ก็ต้องโดนถามกลับบ้างเหมือนกัน”
                คิมหันต์ยิ้มพลางใช้นิ้วเคาะลงที่กล่องกระดานหมากรุก
                “ได้สิ” เขาว่า “เดิมพันด้วยความลับโอเคไหม”
                ผมบีบมือตัวเองแน่น
                “โอเค”
                ผมไม่รู้ว่าที่ทำลงไปนั้นถูกต้องหรือไม่ การรับปากอีกฝ่ายไปนั้นจะทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากหรือเปล่า ไม่เคยคิดเลยว่าหมากรุกจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงที่มีปลายทางแยกออกเป็นผลลัพธ์นับล้านรูปแบบ
ทว่าทุกอย่างที่ผมทำลงไปก็เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาไม่ใช่หรอกหรือ ถ้าโชคดีผมอาจได้เห็นสีหน้าสุกใสของคิมหันต์หลังการตอบคำถามของผม แต่ถ้าโชคร้ายผมก็อาจไม่ได้รับอะไรแถมยังสูญเสียทุกอย่าง แต่นั่นย่อมดีกว่าการที่ไม่พยายามทำอะไรเลยใช่ไหม?
                หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินทางกลับบ้าน คิมหันต์เปิดวิทยุและบังเอิญได้ฟังเพลงพูดไม่ค่อยเก่งของ เอ. บี. นอร์มอล กระนั้นบทเพลงก็ไม่อาจหันเหความสนใจของผมได้สำเร็จ แม้แต่เสียงร้องอันไพเราะของเขาก็ไม่สามารถดึงผมให้หลุดจากโลกส่วนตัว เรื่องนี้อาจสำคัญเท่ากับการได้รับความรอดเลยก็ว่าได้ ผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องในสวนหลวง ร. 9 ได้เลยสักวินาทีเดียว
แต่คิมหันต์ก็ยังคงเป็นคิมหันต์เสมอ เขาไม่เคยแสดงท่าทีผิดแปลกหลังการล้อเล่นกับจิตใจของคนอื่น และไม่เคยมีพิรุธให้จับผิดได้เลยว่าลึก ๆ แล้วกำลังคิดอะไรอยู่ ผมอยากรู้ว่านี่คือพรสวรรค์หรือเป็นความสามารถที่ฝึกขึ้นมาโดยเฉพาะ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่าหมั่นไส้เมื่อถามว่าผมหิวไหม ผมประชดด้วยการพยักหน้าแรง ๆ  คิมหันต์จึงแวะร้านข้าวข้างทางก่อนเข้าบ้าน
คืนนั้นผมนอนลืมตาโพลงนานหลายชั่วโมง มือข้างหนึ่งกายหน้าผาก คำนึงถึงเหตุการณ์เดียวที่กวนใจไม่เลิกรา นอกจากเรื่องทั้งหมดที่กลายเป็นประสบการณ์สวยงาม ผมมองข้ามสิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำระสายแล้วเพ่งไปยังสิ่งที่ทำให้ความคิดว้าวุ่น นั่นก็คือคำถามที่ผมได้รับจากคิมหันต์ในสวนฝรั่งเศส
ผมไม่กล้าคาดคะเน มันอาจมีความนัยซ่อนอยู่หรือไม่มีเลยก็ได้ คิมหันต์อาจแค่นึกสนุกด้วยการล้วงความลับตามประสาเพื่อน แต่ก็มีเรื่องอีกถมเถที่น่าถามมากกว่าไม่ใช่หรือ เช่น ผมอยากทำอะไรหลังเรียนจบ เขาไม่อยากรู้เหรอว่าผมจะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากนั้น มีชีวิตแบบไหนโดยที่อาจไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย
หรือบางทีเขาควรแค่เล่นไปตามเงื่อนไขโดยสั่งให้ผมทำอะไรบ้า ๆ สักอย่างเป็นการลงโทษ ซึ่งคิมหันต์คงเห็นด้วยถ้าผมเสนอจะปีนต้นไม้แล้วขย่มให้ผู้คนเสียขวัญ หรือออกแรงถีบเรือเป็ดคนเดียวเพื่อทดสอบว่าผมจะไม่ตายง่าย ๆ ก่อนจะอายุสิบแปด
ทว่ามันคงง่ายกว่านั้นมากหากผมทำเป็นโวยวายและบ่ายเบี่ยง ผมอาจแสร้งทำเป็นไม่พอใจเมื่อได้ยินคำถามที่ออกจะละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว คิมหันต์จะทำอะไรได้ถ้าหากผมไม่ยอม แต่สวรรค์รู้ว่าผมดีใจที่มันเกิดขึ้น และซาตานคงยิ้มกริ่มที่ผมไม่สามารถปฏิเสธหรือผลักตัวเองออกมาจากเกมของเขาเพราะมันรู้ดีว่าผมชอบ
นั่นสินะ ผมชอบที่คิมหันต์ทำแบบนี้เสมอ ทำให้ใบหน้าร้อนผาวด้วยการมอง พูดและสัมผัสเล็กน้อยในบางโอกาส ทำให้ผมคลั่งตลอดเวลาแม้เราจะนั่งอยู่คนละฝั่งที่สระน้ำ ผมแทบอยากจะร้องใส่หน้าเขาว่ามีความสุขแค่ไหนกับสิ่งเหล่านี้ แต่ผมทำได้แค่เอ่ยชมเขาอย่างแนบเนียนเมื่อถึงจังหวะเหมาะ
ผมชอบทัศนคติของคิมหันต์ ครั้งหนึ่งตอนนั่งเขียนรายงานวิชาศาสนาในห้องพัก ผมเอ่ยถามอย่างคนพร่ำเพ้อขณะเขาอ่านออกเสียงมาถึงข้อความน่าสนใจในหนังสือปฐมกาล
“รักแรกพบของอดัม” ผมกล่าวพลางเอาขาพาดขอบเตียง “นายคิดว่าเอวารักเขาไหม”
“รักสิ” เขาตอบมาจากโต๊ะเขียนหนังสืออีกฝั่ง “เธอมาจากเขานะ”
ผมประสานมือบนหน้าท้องเหมือนคนใช้ความคิด
“แล้วถ้าเธอไม่ได้มาจากเขาล่ะ นายว่าอดัมยังจะรักเธอหรือเปล่า”
“รักสิเพราะเธอคือเนื้อคู่ของเขา” คิมหันต์ตอบแทบจะทันที
“แม้แต่ตอนที่ซาตานล่อลวงให้กินผลไม้ต้องห้ามไปแล้วเนี่ยนะ” ผมว่า
“ใช่”
“ถ้างั้นแปลว่าไม่มีอะไรขวางกั้นความรักได้ นายคิดแบบนั้นใช่ไหม”
“ใช่” เขาพยักหน้า “เราคิดแบบนั้น”
“แล้วถ้าพระเจ้าปั้นเอวาเป็นผู้ชายล่ะ อดัมจะทำยังไง” ผมถามต่อเหมือนได้ใจ ไม่รู้อะไรสั่งให้ทำเช่นนั้น
คิมหันต์วางปากกาลงและมองผมด้วยสายตาพินิจจนน่าหวั่นใจ
“คำถามที่ดีกว่านั้นคือทำไมพระเจ้าต้องกำหนดเพศให้วุ่นวายในเมื่อพระองค์ต้องการให้เรารักทุกคนโดยไม่มีขอบเขต” เขาเลิกคิ้ว “นายคิดว่าไง”
ผมไม่คาดว่าจะได้ยินคำพูดทำนองนี้ ไม่เคยรู้สึกคุ้มค่ากับการเสี่ยงถามเท่านี้มาก่อน มันช่วยไม่ได้ที่จะเริ่มมีความกล้าและความหวังต่อสิ่งลม ๆ แล้ง ๆ ขึ้นมา
“มีคำถามที่ดียิ่งกว่าคือพระเจ้าสร้างเราขึ้นมาทำไมต่างหาก” ผมยักไหล่ “ดูเราสิ เกิดมากำพร้าไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น”
คิมหันต์นั่งฟังอย่างสงบเหมือนคุณพ่อรับฟังแก้บาป
“แต่นายมีเรานะ” เขากล่าว “ไม่ดีเหรอที่เกิดมาเจอกัน”
ผมจิกเล็บลงบนหลังมือ หัวใจแทบกระโจนขึ้นมาเต้นในลำคอและเกือบเสียหลักตกจากเก้าอี้
“ดีสิ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ดีมากเลย”
“นั่นแหละที่สำคัญ” คิมหันต์พูดอย่างนุ่มนวล “เราเสียใจกับเรื่องของนายนะ แต่ปล่อยอดัม เอวากับซาตานไปเถอะ อย่าไปสนใจเลย ส่วนพวกเราสนใจแค่พรุ่งนี้จะยิ้มให้ใครก็พอ”
เขามองผมที่ดวงตาและยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้นึกถึงวันแรกที่พบกันที่สถานีรถไฟ ซึ่งนั่นตอกย้ำให้ผมตระหนักในรสชาติของการตกหลุมรักว่าวิเศษเพียงใดและแย่มากแค่ไหนที่ความรู้สึกนี้อาจต้องตายไปพร้อมกับผมสักวันหนึ่งโดยไม่ผ่านความกระตือรือร้นที่จะแสดงมันออกมา
ผมพลิกตัวบนฟูกอย่างกระสับกระส่าย สายตากวาดทั่วเพดานดำมืดก่อนจะมองไปยังเตียงที่มีคิมหันต์หลับอยู่ ถ้าไม่ใช่ที่นี่หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก่อนจองตั๋วรถไฟกลับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไหนเหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้ว มันคงถึงเวลาแล้วสินะที่ผมจะเผยให้เขารู้ ใช่...ผมไม่มีอะไรจะสูญเสียนอกจากมิตรภาพระหว่างเรา แต่ผมพร้อมแล้วที่จะมองดูคิมหันต์โยนหัวใจผมทิ้งไปหรือโอบไว้เหมือนดังจอกศักดิ์สิทธิ์หลังจากพูดต่อหน้าเขาว่า “คนที่เราแอบชอบก็คือนายไง”
เราชอบนาย
ชอบมาก ชอบตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกและจะชอบตลอดไป
ผมพึมพำเบา ๆ เป็นการซักซ้อมล่วงหน้า นึกภาพตอนเสียหมากนับสิบและคิงเพียงหนึ่งเดียวให้เขาด้วยความเต็มใจในฤดูร้อนนี้ ก่อนจะบอกความลับสุดยอดที่พาไปสู่ความสุขหรือความเจ็บปวดนิรันดร แล้วผมก็หลับตาพร้อมกับดึงความคิดทั้งหมดลงสู่ห้วงเหวแห่งนิทรา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา