เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บ้านดาวประจักษ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแต่การรอคอยไม่ง่ายอย่างที่คิด สำหรับผมแล้วความทรมานของมันก็คือความน่าเบื่อแม้ว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงปิดเทอมใหญ่แล้วก็ตาม ผมบอกตัวเองเสมอว่าอย่าจินตนาการถึงรายละเอียดบ้านของคิมหันต์มากจนเกินไป แต่นั่นก็ไม่ช่วยระงับจิตใจที่โหยหาการเดินทางได้เลยสักนิด
ผมเคยคิดว่าการเข้ามาดูตัวของครอบครัวหนึ่งตอนปิดเทอมเล็กจะช่วยเบี่ยงเบนความอยากไปเที่ยวบ้านคิมหันต์ได้บ้าง แต่มันกลับทำให้ผมต้องการไปที่นั่นให้เร็วยิ่งขึ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ทำให้ผมประทับใจเอาเสียเลย
ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่พี่เลี้ยงเดินเข้ามาชวนคุยและบอกให้เตรียมตัว สักพักเธอก็เล่าให้ฟังว่าสามีภรรยาคู่นี้น่าสงสารมาก ถึงแม้จะเป็นนักธุรกิจมีฐานะแต่เงินทองก็ไม่สามารถช่วยอะไรไม่ได้ โชคร้ายที่คุณผู้หญิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรงจนแท้งลูกเมื่อหลายปีก่อน เธอเองก็เกือบไม่รอดและนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนกลายเป็นหมัน
ภายในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ มีผม เด็กชายกับเด็กหญิงถูกจัดให้นั่งเรียงแถวหน้ากระดานโดยหันหน้าเข้าหาสองสามีภรรยา นี่เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้พวกเราได้พูดคุยกัน ผมระมัดระวังเต็มที่เรื่องคำพูด พยายามทำตัวร่าเริงแจ่มใสโดยหวังว่ามันจะช่วยเรียกความสนใจได้บ้าง แต่พวกเขาแทบไม่มองผมเลยนอกจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กข้าง ๆ ผม
อายุมากเกินไป โตเกินไป เด็กผู้หญิงน่าจะเลี้ยงง่ายกว่า
นั่นแหละคือเหตุผลที่คนพวกนี้มักบอกกับผู้ดูแล ผมซึ่งแอบฟังอยู่ใกล้ ๆ รู้สึกทั้งโกรธและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน บางทีนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ต้องการที่จะมีครอบครัว
ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างในตัวอาคาร เฝ้ามองเด็กผู้หญิงรุ่นน้องเดินตามสองสามีภรรยาไปยังโรงจอด จากนั้นไม่นานรถเก๋งสีขาวก็เคลื่อนตัวออกจากรั้วเหล็กดัดไปสู่ชีวิตใหม่
หัวใจของผมปวดหนึบ ไม่เคยชินสักทีกับความรู้สึกผิดหวัง สุดท้ายคนที่ถูกเลือกก็ไม่ใช่ผมอยู่ดี
“รัน”
เสียงหนึ่งเอ่ยเรียกชื่อจากด้านหลัง ผมหันไปและพบกับหญิงสาวหน้าตาสวยยืนเกาะราวบันได เธอสวมชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่มีระบายลูกไม้ขับผิวขาวให้ดูผุดผ่อง ผมยาวเหยียดตรงของเธอปล่อยเป็นอิสระ ธิดาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ราวกับเป็นการปลอบขวัญจากนางฟ้า
“ธิดา มาได้ยังไง” ผมถามอยากประหลาดใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้
“มากับแม่น่ะ” เธอบอก “แม่เล่าให้ฟังว่าวันนี้จะมีคนมาพบรัน เราเลยอยากมาให้กำลังใจ”
“ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้เธอ
ธิดายังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ อย่างน้อยการมาของเธอก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมรู้สึกละอายใจยิ่งนักที่ครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธรักของเธอเมื่อหลายปีก่อน ขอบคุณธิดาจริง ๆ ที่เข้าใจและยังอยากเป็นเพื่อนกับผมอยู่
เนื่องจากเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ดังนั้นผมจึงชวนเธอไปนั่งเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของผม เราไต่ถามสารทุกข์สุกดิบและพูดคุยกันถึงเรื่องมากมายในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ผมยินดีที่ได้รู้ว่าธิดามีความตั้งใจอยากจะสอบเป็นพยาบาล ซึ่งก็เหมาะกับอุปนิสัยอ่อนโยนและเอาใจใส่ของเธอมากทีเดียว
“เธอเก่งอยู่แล้ว ต้องเป็นพยาบาลที่สุดยอดแน่นอน” ผมพยายามให้กำลังใจเธอเช่นกัน ซึ่งก็ไม่คาดว่าจะทำให้ธิดาแก้มแดงระเรื่อขึ้นมา เธอหลบสายตาผมโดยมองไปที่ดอกกุหลาบสีชมพูในกระถางใกล้ ๆ
ระหว่างสนทนากันธิดาไม่เคยพยายามซักถามหรือบีบคั้นให้ผมเล่าเรื่องต่าง ๆ ในวันนี้ให้ฟังเลย เธอรู้ว่าผมเสียใจและนั่นจึงทำให้เธอยอมเป็นผู้ฟังมากกว่าจะเป็นผู้พูด เพราะในที่สุดแล้วผมก็จะระบายออกมาเอง ธิดาจะสรรหาคำพูดปลอบใจดี ๆ มาปลอบเสมอ ส่วนผมก็ได้แต่พิศวงในความเก่งและอ่อนโยนของเธอ
เมื่อถึงเวลาเย็นพี่เลี้ยงผู้หญิงท่านนั้นก็ขับรถพาผมมาส่งที่บ้านเณรโดยมีธิดาติดสอยห้อยตามมาด้วย เธอแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนผมเพื่อความสบายใจของเธอเองซึ่งผมก็ไม่กล้าปฏิเสธ
เมื่อรถเลี้ยวเข้าโรงเรียนและขับเคลื่อนช้า ๆ บนถนน เด็กหนุ่มแถวนั้นต่างพากันมองอย่างสนใจจนธิดาทำตัวไม่ถูก กระทั่งรถมาจอดอยู่ที่หน้าหอพักนักบุญมัทธิว 2 ผมจึงเห็นว่าคิมหันต์กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งเยื้องประตูทางเข้าหอ
“คิม” ผมร้องเรียกเมื่อลงจากรถ “มานั่งทำอะไรตรงนี้”
“รอนายนั่นแหละ ทำไมกลับมาซะเย็นเชียว” เขาบอกด้วยน้ำเสียงฟังดูห้วน ๆ จนผมแอบตกใจ
“พอดีเจอเพื่อนก็เลยอยู่คุยกันนาน” ทำไมผมต้องร้อนใจอธิบายด้วยนะราวกับว่าทำอะไรผิด
แล้วคิมหันต์ก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นธิดาก้าวลงจากรถ เธอเดินมายืนข้างผมพลางมองเราสองคนสลับกัน
“มีอะไรหรือเปล่า” เธอถาม
“ไม่มีอะไร” ผมบอกและถือโอกาสนี้แนะนำแต่ละคนให้รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ” ธิดากล่าวทักทายอย่างอัธยาศัยดีพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีครับ” คิมหันต์ตอบกลับอย่างสุภาพแล้วจึงส่งยิ้มให้
“ธิดากับเรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เลย เรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนนึงเลยก็ได้” ผมหันไปทางหญิงสาว “ส่วนคิมก็คือคนที่เราเล่าให้ฟังไง รูมเมทคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาตอนม. 5 เขาเป็นหลานของพ่อพล”
พวกเรายืนคุยกันได้สักพักก่อนที่พี่เลี้ยงจะเรียกธิดาให้ขึ้นรถเพราะต้องรีบกลับไปทำงานต่อ ผมจึงบอกลาและขอบคุณเธออีกครั้ง ก่อนจะโบกมือขณะมองดูรถเก๋งสีดำเคลื่อนตัวหายไปในความมืดยามหัวค่ำ
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เหล่านั้นได้ผ่านมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วจนกระทั่งถึงปิดเทอมใหญ่ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเฝ้ารอคอย
คืนก่อนวันเดินทางช่างเป็นความรู้สึกที่เหนือคำบรรยาย ผมทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวจนนอนแทบไม่หลับ บางครั้งก็สงสัยว่านี่คือเรื่องจริงหรือเปล่า แต่เมื่อมองไปยังกระเป๋าเป้ซึ่งวางบนโต๊ะก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป เรากำลังจะออกเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว
ทั้งชีวิตผมไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกและนับว่าสุดยอดมากเมื่อได้ไปกับคิมหันต์ แค่ผมกับเขาตามลำพัง
ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงขณะวาดภาพบ้านเดี่ยวล้อมรอบด้วยรั้วในหัว ด้านหลังมีสระว่ายน้ำซึ่งผมเดาว่าคงใสสะอาดกว่าน้ำในคลองเป็นไหน ๆ มันคงน่าสนุกมากที่จะได้ดำผุดดำว่ายท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าและอากาศร้อนจัดตอนเราเบื่อ ๆ
ผมยังคงติดอยู่กับความคิดเหล่านั้นจนกระทั่งรถเคลื่อนมาจอดสนิทในสถานีรถไฟประจำจังหวัด อ. ผม คิมหันต์และคุณพ่ออรรถพลลงจากรถก่อนจะตรงเข้าไปในชานชาลาซึ่งค่อนข้างแออัดและมีเสียงพูดคุยดังตลอดเวลา
“พวกเอ็งไม่ลืมอะไรใช่ไหม” คุณพ่อหันมาถามหลังจากนั่งรอได้สักครู่
“ไม่ครับ” เราสองคนตอบพร้อมกัน
“ถ้ามีอะไรก็โทรมาบอกพ่อกับพี่หญิงนะเข้าใจไหม แล้วอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยล่ะ”
“ครับ” ผมตอบ
แล้วท่านก็เบนสายตาไปทางหลานชาย
“ดูแลเพื่อนดี ๆ ด้วยล่ะคิม ไปถึงแล้วอย่าลืมโทรหานะเข้าใจไหม”
“ครับลุง แล้วผมจะโทรหาครับไม่ต้องเป็นห่วง” คิมหันต์ให้คำตอบอย่างหนักแน่นซึ่งทำให้บาทหลวงดูสบายใจขึ้นมาก
รถไฟสีเหลืองส้มแล่นเข้ามาเทียบจอดที่ชานชาลาด้วยเสียงอึกทึกตอนเก้าโมงครึ่ง เมื่อพนักงานชายลงจากตู้ขบวนและประกาศเรียกผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วไปลงสถานีหัวลำโพง ผมกับคิมหันต์จึงสะพายกระเป๋าเป้และเดินไปต่อแถวปะปนกับคนอื่น ๆ ส่วนคุณพ่ออรรถพลอยู่รอดูจนกระทั่งหวูดรถไฟดังลากยาวครั้งสุดท้าย แล้วท่านจึงโบกมือลาก่อนจะหันหลังจากไป
การเดินทางไปสู่สถานีหัวลำโพงเป็นไปอย่างราบรื่น ท้องฟ้าแจ่มใสและสมองของผมก็ปลอดโปร่ง ความเครียดจากการสอบปลายภาคเลือนหายไปดังอากาศ ผมภาวนาขอให้ทุกวินาทีต่อไปนี้เป็นความทรงจำที่คู่ควรจะเก็บไว้และทำให้อบอุ่นหัวใจเสมอ
ขณะรถไฟแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอผ่านย่านชนบท ไร่นาและข้ามสะพานที่ทำให้รู้สึกเสียวไส้พุง ผมก็นึกอยากให้ตัวเองมีกล้องถ่ายรูปเสียเหลือเกินจะได้ถ่ายรูปและล้างออกมาไว้ดูภายหลัง
ผมสงสัยว่าจะรู้สึกอย่างไรขณะนั่งดูรูปภาพเหล่านั้นตอนอายุสามสิบ สี่สิบหรือเจ็ดสิบ ผมจะยังจำใบหน้าของคิมหันต์ได้ไหม จะยังเก็บความรักวัยเยาว์เอาไว้ในใจได้หรือเปล่า หรือผมอาจจำอะไรไม่ได้เลยเพราะทรมานกับโรคชราที่รุมเร้า
มันคงดีไม่น้อยถ้าผมกับเขาจะมีรูปถ่ายด้วยกันสักใบ แต่มันจะดีมากกว่านั้นถ้าเราได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า หากเป็นเช่นนั้นผมจะเลิกเก็บภาพเอาไว้ในความทรงจำและหันมาทำอัลบั้มรูปถ่ายคิมหันต์แทน
ผมเผลอยิ้มออกมาคนเดียวเมื่อจินตนาการว่ากำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเขาตอนกำลังทานอาหารเช้า ตอนเล่นฟุตบอล ขณะกำลังเปลื้องผ้าและตอนอยู่บนเตียง ผมจะทำอัลบั้มทุกประเภท ผมจะทำตามที่ใจปรารถนาทุกประการหากเขายอมตกลงจะใช้ชีวิตเหมือนดังวันสุดท้าย
ผมหวังว่ามันจะเป็นวันที่ยาวนานราวกับไร้ที่สิ้นสุด
แล้วจากนั้นผมกับคิมหันต์ก็ผลัดกันเล่นเกมบอยเพื่อฆ่าเวลา และในขณะที่รอผมก็ชมวิวข้างทางหรือไม่ก็มองใบหน้าหล่อคมเข้มจากฝั่งตรงข้าม
“ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง” คิมหันต์พูดขึ้นโดยสายตาเพ่งอยู่ที่หน้าจอเล็ก ๆ ในมือ
ผมกระตุกยิ้มแต่ก็เปลี่ยนเป็นเบ้ปากอย่างรวดเร็ว
“หลงตัวเองไปป้ะ”
“แล้วมองทำไมล่ะ”
“เปล่ามองสักหน่อย”
คิมหันต์ไม่ต่อล้อต่อเถียงทว่ากลับยิ้มอย่างพออกพอใจจนน่าหมั่นไส้ ผมจึงฉกเกมบอยมาจากมือจากเขา
“เห้ย เอาคืนมานะ!” คิมหันต์ร้องอย่างตกใจ “เอาคืนมาเร็ว ๆ!”
เขาพยายามยื้อแย่ง แต่ผมกอดมันเอาไว้ฉะนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้ามาปลุกปล้ำแย่งชิง ผมหลุดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อมือหนาจิ้มรัว ๆ เข้าที่ซี่โครงจนรู้สึกจั๊กจี้ สุดท้ายคิมหันต์ก็ได้มันกลับคืน
“พวกหนูเบาเสียงหน่อยได้ไหมป้าจะนอน”
หญิงวัยกลางคนจากที่นั่งข้าง ๆ พูดเสียงเขียวก่อนจะงีบหลับต่อ คิมหันต์หันมามองผมและทำท่าที่สื่อว่าเป็นเพราะผมนั่นแหละ ส่วนผมก็ทำแบบเดียวกันกลับคืนเพราะอยากยั่วโมโหเขาเล่น ๆ อีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปเล่นเกมต่อทว่าก็อมยิ้มไปด้วย
รถไฟแวะจอดหลายสถานีเพื่อถ่ายเทผู้โดยสารและรับขึ้นมาใหม่ ช่วงแรกผมเพลิดเพลินกับการได้เห็นสถานที่แปลกใหม่หากแต่ตอนนี้กลับเริ่มเซ็งเสียแล้ว การเดินทางนาน ๆ บางทีก็มีช่วงน่าเบื่อ ผมกับคิมหันต์คุยกันจนไม่รู้จะคุยอะไรแล้วและในที่สุดจึงตัดสินใจงีบหลับเพื่อเอาแรง
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนผมนอนน้อยจึงผ็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคิมหันต์ปลุกผมให้ตื่นก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ผมมองออกนอกหน้าต่างและเห็นบ้านเรือนที่ปลูกแน่นแออัดโดยมีท้องฟ้าสีม่วงอมส้มเป็นฉากหลัง ซึ่งนั่นทำให้รู้ว่าเราใกล้จะถึงแล้ว
สถานีรถไฟหัวลำโพงใหญ่โตเกินคาด เมื่อก้าวลงมายืนบนชานชาลาผมก็จับชายเสื้อคิมหันต์เอาไว้เพราะรู้สึกตื่นกลัว ภายใต้โดมหลังคาโค้งแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของคนแปลกหน้าที่สัญจรไปมาไม่ขาดสาย แถมยังเป็นแหล่งเสียงครึกโครมวุ่นวายที่ชวนให้ประสาทเสีย ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนคิมหันต์จะจูงมือผมและพาเดินเบียดเสียดฝูงชนเพื่อหาทางออกไปข้างนอก
“เราจะไปต่อยังไงเหรอ” ผมถามขณะก้าวฉับ ๆ ตามหลัง
“ต้องนั่งรถตุ๊ก ๆ ต่อเข้าไปที่บ้าน ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก”
มีรถสามล้อจอดคอยให้บริการมากมายเมื่อเราออกมาถึงด้านหน้าสถานี คิมหันต์เรียกมาคันหนึ่งและตกลงราคากับลุงคนขับ พอเราสองคนก็ขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วรถขนาดเล็กก็แล่นอย่างคล่องตัวออกไปสู่ถนนกว้างของเมืองกรุง
ผมไม่รู้หรอกว่าถนน ตรอกซอกซอยหรือสถานที่ต่าง ๆ มีชื่อว่าอะไร มันเยอะแยะไปหมดและดูคล้ายกันจนตาลาย ผมทำได้แค่มองรถยนต์กับตึกอาคารอย่างตื่นเต้น อ่านป้ายบอกทาง จดจำเอาไว้ในใจและปล่อยให้ลมพัดผ่านร่างกายอย่างมีความสุข ส่วนคิมหันต์ก็ไม่หยุดชี้ให้ผมดูตรงนั้นตรงนี้พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่าเขาเคยมาเที่ยวบ่อย ๆ สมัยตอนเป็นเด็ก
มืดมากแล้วตอนที่รถสามล้อเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งในเขตบางรัก มันเป็นซอยเล็ก ๆ ที่จัดสรรค่อนข้างเป็นระเบียบ มีอาคารพาณิชย์ปลูกเรียงสองฝั่งที่ปากทางเข้า ต่อมาก็เป็นบ้านเรือนน้อยใหญ่ที่สร้างจากไม้และปูน
เมื่อเข้ามาลึกเรื่อย ๆ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ก็ลดจำนวนลง จนกระทั่งสุดซอยก็พบแค่บ้านขนาดใหญ่เพียงหลังเดียวตั้งตระหง่านอยู่โดยหันหน้าเข้าหาถนน มีตัวหนังสือสีทองสลักอยู่ในแผ่นป้ายโลหะหน้าประตูรั้วอ่านได้ใจความว่า ‘บ้านดาวประจักษ์’
“จอดตรงนี้แหละครับ” คิมหันต์ร้องบอกคนขับ
ถึงแม้จะมีแค่ไฟข้างถนนส่องสว่าง แต่ผมก็สามารถมองเห็นความสวยงามและใหญ่โตของบ้านสีขาวสองชั้นตรงหน้าได้เป็นอย่างดี กระทั่งรั้วเหล็กดัดก็ยังดูมีราคาจนผมไม่กล้าเข้าใกล้ นี่คงไม่ใช่บ้านของคิมหันต์หรอกใช่ไหม?
คิมหันต์ปฏิเสธเสียงแข็งที่จะรับเงินค่ารถที่ผมเสนอจะหารครึ่ง ก่อนจะค้นหากุญแจในกระเป๋าเป้และไขเปิดประตูเหล็ก
“เข้ามาสิ” เขากวักมือเรียกเมื่อเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ
จู่ ๆ ผมก็ลังเลขึ้นมา ราวกับว่าตัวเองช่างไม่เข้ากับที่นี่เลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะคิมหันต์แล้วละก็ผมคงกระโดดขึ้นรถตุ๊ก ๆ และตีตั๋วรถไฟกลับบ้านเณรคืนนี้เลย
ผมสูดหายใจเข้าลึกพลางมองรอบ ๆ อีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในและเดินตามหลังคิมหันต์สู่บ้านอันโอ่อ่า
ฐานะร่ำรวยคงไม่ใช่คำนิยามเกินจริงสำหรับครอบครัวนี้ แม้คิมหันต์จะเคยเล่าให้ฟังทั้งเรื่องบ้านและเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับครอบครัวของเขาหลายหนแต่ผมก็ไม่คิดว่าตระกูลดาวประจักษ์จะมั่งคั่งขนาดนี้ เพราะนอกตัวบ้านที่ทำเอาผมแทบลืมหายใจ นอกจากแสงไฟสว่างไสวแพรวพราวตามจุดต่าง ๆ ทว่าการตกแต่งภายในก็ดูดีมากไม่แพ้กัน
ผมยืนมองสภาพแวดล้อมใหม่รอบตัวอย่างอึ้งทึ่ง แล้วความเศร้าก็มาเยือนจิตใจอย่างฉับพลันเพราะนี่เป็นการตอกย้ำว่าเราช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ผมก็รีบสลัดความคิดบ้า ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว
เราสองคนเดินผ่านโถงกลางบ้านและเข้าไปในห้องนั่งเล่นกว้างขวาง ตามผนังส่วนใหญ่มีรูปวาดสีน้ำและภาพถ่ายแขวนประดับอย่างลงตัว ส่วนเครื่องเรือนทุกชนิดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าเพื่อป้องกันฝุ่นจับ ดังนั้นผมจึงไม่เห็นว่าพวกมันหน้าตาเป็นอย่างไร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคนดูแลจะเข้ามาช่วยทำความสะอาด” คิมหันต์บอกขณะมองรอบ ๆ ห้องและหยุดสายตาที่ผม “หิวข้าวไหม”
ผมพยักหน้าพลางกระชับสายกระเป๋าเพราะรู้สึกไม่คุ้นชินสถานที่
“ถ้างั้นขึ้นไปอาบน้ำกันเถอะเดี๋ยวจะพาออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านโก๋เล้ง”
“ไกลไหม” ผมถาม
“ไม่ไกลหรอก ขับมอไซต์แป๊บเดียวก็ถึง”
“งั้นให้เราเป็นคนจ่ายนะ” ผมบอกพร้อมกับทำหน้าจริงจัง “เถอะนะ”
คิมหันต์พยักหน้าแล้วจึงเดินนำขึ้นบันไดไปยังชั้นสองซึ่งมีประตูหลายบาน
ชายหนุ่มพาเดินเลี้ยวที่หัวมุมบันไดและเปิดประตูบานหนึ่ง เมื่อเปิดไฟก็พบกับห้องนอนกว้างสบายที่มีเตียงขนาดห้าฟุตตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งใกล้กับหน้าต่าง ผมวางกระเป๋าลงข้างเตียงที่มีผ้าคลุมและเริ่มค้นหาเสื้อผ้าที่จะใส่ ส่วนคิมหันต์ตั้งต้นรื้อผ้าคลุมออกจากทุกสิ่ง ทำให้ห้องนี้กลับคืนชีพอีกครั้งด้วยสีสันของเฟอร์นิเจอร์และของใช้
ขณะที่ผมกำลังชำระร่างกายในห้องน้ำซึ่งมีอ่างอาบสวยหรู คิมหันต์ก็ลงไปข้างล่างเพื่อโทรศัพท์ถึงคุณพ่ออรรถพล เราใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานแล้วจากนั้นก็ลงไปยังโรงจอดรถ ทุกอย่างในนี้ล้วนถูกคลุมด้วยผ้าเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้าน ทั้งรถยนต์สองคัน จักรยานและมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีเหลือง
คิมหันต์หยิบหมวกกันน็อคสีขาวกับดำที่วางบนโต๊ะข้าง ๆ มาใส่ตะกร้าหน้า แล้วจึงเข็นมอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอกและพยายามติดเครื่องอยู่พักใหญ่ ๆ
“เอางี้ เดี๋ยวเราช่วยเข็นตูดแล้วคิมก็สตาร์ทนะ” ผมเสนอวิธี
“โอเค”
ผมดันท้ายมอเตอร์ไซค์ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ส่วนคิมหันต์ก็พยายามทรงตัวพร้อมกับออกแรงถีบคันสตาร์ทรัว ๆ อย่างมุ่งมั่น จนในที่สุดเจ้าเวสป้าที่จอดนิ่งสนิทเป็นเวลาเกือบปีก็ส่งเสียงคำรามและไฟหน้าก็สว่างจ้าขึ้นมา
“เห้ยได้แล้ว! ติดแล้วโว้ยยยยย!”
คิมหันต์ร้องลั่นด้วยความดีใจ ส่วนผมก็รีบวิ่งไปเปิดประตูบ้านให้เขา
เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของแม่กุญแจแล้วผมก็กระโดดขึ้นไปซ้อนท้าย คิมหันต์ยื่นหมวกกันน็อคสีขาวแบบไร้กระจกกันลมให้ผม
“ใส่หมวกด้วย” เขากำชับ ผมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย
“จับอะไรตรงนั้นอะ จับเอวเรานี่”
เขาพูดขึ้นเมื่อผมใช้มือทั้งสองข้างจับที่ราวเหล็กข้างเบาะ
“ได้เหรอ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ รู้สึกได้เลยว่ากำลังหน้าร้อนผ่าว
“ได้สิจะเป็นอะไรล่ะ” เขาว่า
ผมไม่มีเวลามัวครุ่นคิดนานนักเพราะหิวข้าวมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจยื่นมือทั้งสองข้างออกไปจับเสื้อยืดของเขาไว้
“จับแน่น ๆ ล่ะ”
แล้วคิมหันต์ก็ขับเวสป้าแล่นไปตามท้องถนนอันเงียบสงบสู่ร้านก๋วยเตี๋ยวโก๋เล้งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ