เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) คำชวน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเข้าค่ายปีนั้นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่พิสูจน์ว่าคำภาวนาได้รับการตอบสนอง เพราะนอกจากจะเป็นสามวันสองคืนที่ได้ฟื้นฟูสภาพจิตใจแล้ว ผมยังมีบุญได้แก้ไขความผิดพลาดให้กลับมาดีขึ้น พระเจ้าทำให้ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนจุดสุดยอดของความเป็นไปได้และนำพาความเบิกบานมาสู่หัวใจเสมอ
ผมจำได้ว่าวันนั้นเราตื่นตั้งแต่ตีสี่ รีบอาบน้ำแต่งตัวและออกมายืนรอรถที่หน้าโรงเรียน ผมกับคิมหันต์ปีนขึ้นไปนั่งบนกำแพงรั้วพลางดูเพื่อน ๆ ในสภาพสะลึมสะลือโผล่ออกมาจากเงามืดทีละคน แล้วสักพักตงเปียนก็เดินแยกออกมาจากด้านหลังเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่ง
“ได้นอนกันบ้างเปล่าเนี่ย หน้าตาพวกมึงดูเพลียมาก” เขาถามขณะสำรวจดูสภาพพวกเรา
“นิดนึง” ผมตอบก่อนจะหาวจนน้ำหูน้ำตาซึม
บางอย่างในแววตาของตงเปียนทำให้ผมเย็นสันหลังวาบจนรู้สึกประหม่า ตั้งแต่ที่ธนภูมิกับตุลธรพูดจาหาเรื่องในวันนั้นเขาก็ดูแปลกไปราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะพูดหรือถามอะไรดีเมื่ออยู่ต่อหน้าผม
ตงเปียนจับสายกระเป๋าสะพายทั้งสองข้างและชะเง้อมองไปยังถนนทางซ้ายและขวา
“รถใกล้จะมาหรือยัง” เขาถามโดยติดสำเนียงจีนเหน่อ ๆ
“ใกล้แล้วแหละ ตอนนี้พ่อประเสริฐกำลังโทรเช็คอยู่”
คิมหันต์ตอบด้วยเสียงเนือย ๆ เขาเองก็ง่วงนอนไม่แพ้กันเพราะเมื่อคืนเราคุยกันจนดึกดื่นและเพิ่งมาหลับตอนใกล้จะถึงเวลาลุกเตรียมตัว
พวกเราทั้งหมดนั่งรอจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เมื่อแสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องพ้นขอบฟ้า ตอนนั้นเองที่รถบัสปรับอากาศสีเขียวก็ขับแล่นมาจอดอย่างนุ่มนวลที่ริมถนนด้านหน้าโรงเรียน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มปลุกนักเรียนทุกคนให้ตื่นตัว
คุณพ่อประเสริฐกระวีกระวาดเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งและตะโกนสั่งให้นักเรียนตั้งแถวเพื่อเช็คชื่อ หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ทยอยเอาของไปเก็บใต้ท้องรถและรีบขึ้นไปหาที่นั่งจนชุลมุนวุ่นวาย
เวลาผ่านไปเสียงพูดคุยเฮฮาก็ค่อย ๆ กลายเป็นเสียงกรนแผ่วเบา ตอนนี้รถบัสปรับอากาศกำลังขับขึ้นเนินเขาซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งดอกทานตะวันและไร่นาเขียวชอุ่ม หลังจากเลี้ยวเข้าซอยสองสามแห่งในตำบล ว. ในที่สุดคณะเดินทางจากบ้านเณรก็มาถึงหมู่บ้าน ก. อันเงียบสงบ ณ เวลาเก้าโมง
ขณะคนขับกำลังนำรถเทียบจอด ผมก็มองออกนอกหน้าต่างไปยังโบสถ์สีขาวซึ่งดูโดดเด่นท่ามกลางต้นไม้ที่ขึ้นรอบ ๆ โดยทั้งหมดถูกตีกรอบด้วยรั้วฉาบปูนสูงประมาณสองเมตรให้ความรู้สึกปลอดภัย ส่วนเหนือประตูทางเข้าติดป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า “วัดแม่พระองค์อุปถัมภ์”
พวกเราลงไปรับสัมภาระก่อนจะเดินเรียงแถวเข้าไปข้างในอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นจึงไปรวมตัวกันที่ศาลาเล็ก ๆ ข้างวัด ไม่นานคุณพ่อประเสริฐก็เข้ามากล่าวเปิดค่ายอย่างเป็นทางการรวมถึงแนะนำคุณพ่อยอห์น สุทธิพงษ์เจ้าอาวาสวัดให้ได้รู้จัก
และเพื่อความสะดวกต่อการทำกิจกรรมพวกคุณพ่อจึงแบ่งนักเรียนออกเป็นสามกลุ่มโดยคละกัน ผมภาวนาขอให้ได้อยู่กลุ่มเดียวกับตงเปียนและคิมหันต์ แต่สุดท้ายดันถูกจับให้อยู่กลุ่มเดียวกับชลเทพเสียอย่างนั้น
ผมหันไปมองเด็กหนุ่มหน้าสิวอย่างไม่สบายใจ
สวรรค์กำลังทดสอบความอดทนของผมใช่ไหมเพราะชลเทพคือบุคคลลำดับท้าย ๆ บนโลกที่ผมอยากอยู่ใกล้
แล้วเขาก็จ้องกลับมาด้วยทำสีหน้าแววตาไม่ต่างกัน จังหวะนั้นผมนึกในใจว่าต้องเกิดเรื่องแน่ ๆ ชลเทพอาจพูดบางอย่างที่ร้ายกาจยามที่คุณพ่อเผลอ แต่แล้วเขาก็รีบหันไปทางอื่นราวกับผมเป็นสิ่งผิดศีลธรรมต่อสายตา
“ใครจะนอนในศาลาก็ได้นะเดี๋ยวพ่อพงษ์ไปมุ้งมาให้ ส่วนถ้าใครไม่อยากนอนเบียดกันที่นี่ก็ไปกางเต็นท์นอนเอา” คุณพ่อประเสริฐเท้าสะเอวเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของเด็ก ๆ “พวกนอนเต็นท์จะนอนกลับใครก็ได้แต่ห้ามเกินสองคนนะเข้าใจไหมเพราะเต็นท์มันไม่ได้ใหญ่”
“พ่อครับแล้วเราจะกางเต็นท์ตรงไหนได้บ้าง” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ตรงลานหน้าวัดก็ได้หรือไม่ก็ข้าง ๆ แถวนี้แหละ” คุณพ่อสุทธิพงษ์ชี้ไปยังสนามหญ้าราบเรียบข้างศาลา
ผมหันไปมองคิมหันต์และยิ้มกริ่ม ดีใจมากที่สายตาประสานกันอย่างรู้ความหมาย
ดังนั้นพอถึงพักเที่ยง ผม คิมหันต์และตงเปียนจึงรีบไปช่วยคุณพ่อประเสริฐขนเต็นท์มาจากรถบัส ผมมองไปรอบ ๆ บริเวณวัดอย่างตื่นเต้นว่าจะกางตรงจุดไหนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ได้จนกระทั่งหมดเวลาพัก
อย่างไรก็ตามแม้ทั้งกลุ่มจะมีเพียงผมกับชลเทพที่ไม่คุยกัน หากแต่โชคดีที่การทำกิจกรรมทั้งหลายก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นราวปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาตั้งแต่บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นนั่งฟังคุณพ่อสุทธิพงษ์บรรยาย ซึ่งผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่เผลอหลับใน
ขณะทุกคนแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวตอนห้าโมงเย็น ผมกับคิมหันต์กลับเดินถือเต็นท์ไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างวัดและช่วยกันประกอบโครงร่าง ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มร่างโตดูจะคล่องแคล่วกว่าประหนึ่งว่าเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ผมลอบมองคิมหันต์ด้วยความชื่นชมเหมือนสาวน้อยตกหลุมรัก
“มีอะไรที่นายทำไม่เป็นบ้างไหม” ผมถามเมื่อยื่นหมุดเหล็กให้
คิมหันต์ยิ้มขณะรับไปและตอกมันลงดินด้วยก้อนหิน ผมรู้ว่าเขาชอบคำถามนี้เพราะเขากำลังทำทุกอย่างช้าลงอย่างมีนัย
“ไม่มี”
ผมเลิกคิ้ว
“ไม่มีเลยเหรอ”
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบต่างหาก” เขาเงยหน้าขึ้นมองผม “ไม่มีเลยสักคน”
ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นดูจริงจังมากจนผมพูดอะไรไม่ออก
ใช่ ผมรู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้พูดเกินจริง แต่ถึงอย่างนั้นทำไมผมยังคงเชื่อว่าชายคนนี้คือสิ่งสร้างที่ได้รับการยกเว้น ราวกับเขาถูกเจิมด้วยรอยจูบศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าให้เป็นที่หนึ่งตั้งแต่ก่อนกาล ส่วนผมถูกสร้างขึ้นมาภายหลังเพื่อชื่นชมบารมีของคิมหันต์ตลอดไป
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมบอกหลังจากเอาสัมภาระมาไว้ที่นี่แล้ว
คิมหันต์พยักหน้าขณะเปิดกระเป๋าค้นหาชุดที่จะใส่นอนคืนนี้
ผมเดินบนถนนโรยหินกรวดไปได้ไม่ไกลก็บังเอิญพบปราการกับชลเทพยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงข้างทาง ผมหยุดเพื่อมองดูทั้งสองพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด แต่ไม่นานพวกเขาก็นิ่งเงียบเมื่อสังเกตเห็นผม
ปราการส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้ ส่วนชลเทพเดินผ่านหน้าผมกลับไปยังศาลาน้อยท่ามกลางแสงแดดยามอัสดง
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามอย่างสงสัยเมื่อเดินเข้าไปใกล้ปราการ
เขาไม่ตอบทันที ยังคงมองตามแผ่นหลังชลเทพที่เพิ่งจะเลี้ยวหายตรงทางโค้งซึ่งมีต้นไม้ขึ้นบดบัง
“กูคุยกับมันเรื่องมึงนี่แหละ”
“คุยเรื่องกูเหรอ!” ผมร้องอย่างตกใจ
“เออ กูอยากให้มันเลิกเข้าใจผิดสักที”
ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แน่นอนว่าการแก้ปัญหาคือส่วนสำคัญที่ต้องรีบสะสาง แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่มั่นใจว่าพร้อมจะกลับไปเป็นมิตรกับชลเทพอีกครั้งเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาทำลงไป
“แล้วมันว่ายังไงบ้าง” ผมถามด้วยความอยากรู้ หัวใจเต้นรัวเพราะหวั่นเกรงในคำตอบ
“มันก็...ยังไม่เปิดใจฟังเท่าไหร่หรอก หาว่ากูกลัวโดนไล่ออกบ้างล่ะ ปอดแหกบ้างล่ะ” ปราการส่ายหัว “แต่กูก็เล่าให้มันฟังไปหมดแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่มันจะไปคิดเอาเอง”
แล้วเขาก็วางมือบนไหล่ข้างหนึ่งของผม
“กูขอโทษแทนไอ้ชลด้วยนะ มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนทิฐิสูง แต่เดี๋ยวกูจะพูดกับมันอีกทีวันหลัง”
“ช่างมันเถอะ กูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมากอยู่แล้ว” ผมบอกไปตามความรู้สึก “ถ้าพระเจ้าอยากให้กูกับมันเป็นเพื่อนกันสักวันนึงก็คงคืนดีกันเองแหละ”
ปราการพยักหน้าและยิ้มอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากจนลืมไปแล้วว่าเคยคิดถึง หัวใจของผมฟูพองด้วยความอบอุ่น
ตอนนั้นเองคำถามนั้นก็ผุดขึ้นในใจ มันไม่เคยเรียกร้องให้ผมเปิดปากเอ่ยถามมากเท่านี้มาก่อนเลย ผมเหลือบมองใบหน้าซีกซ้ายของปราการอย่างประหม่าก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
“การ กูขอถามอะไรหน่อยดิ”
“อะไรเหรอ” ชายหนุ่มกล่าว
“คือกูอยากรู้ว่าทำไมมึงถึงย้ายห้องว้ะ มึงไม่บอกกูเลยสักคำ จู่ ๆ ก็ไป”
ปราการจ้องหน้าผมแล้วก็มองพื้นดิน ปล่อยให้เสียงตะโกนพูดคุยจากห้องน้ำดังกลบความเงียบที่เกิดขึ้น เขาดูลำบากใจที่จะตอบคำถามอย่างเห็นได้ชัด
“กู...เอ่อ...กูกลัวมึงจะรำคาญไง มึงก็รู้ว่ากูชอบไปดูถ่ายทอดสดฟุตบอลแล้วก็กลับห้องดึก กู…เกรงใจเวลาเปิดไฟตอนมึงนอน”
โกหก
ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลแท้จริง ผมรู้จักปราการนานมากพอจะรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขามองต่ำหรือเลี่ยงการสบตานั่นหมายความว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้
ผมอยากคาดคั้น ผมอยากดึงดันจะรู้ความจริงให้ได้ทว่าเราเพิ่งจะสมานฉันท์กันสด ๆ ร้อน ๆ ความสัมพันธ์ของเราเหมือนแก้วที่เพิ่งหลอมและขึ้นรูปใหม่ เปราะบางเกินไปที่จะมีอะไรมากระทบกระทั่ง ฉะนั้นผมจึงเงียบและไม่ต่อความยาวสาวความยืด
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะมึงน่าจะบอกกูสักคำ กูกลุ้มใจมากรู้ไหม”
“เออ กูขอโทษ”
ผมทำท่าโบกไม้โบกมือ
“เลิกขอโทษกูได้แล้ว” ผมบอก “ยังไงมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ลืม ๆ มันไปเถอะ”
จากนั้นเราก็ยืนคุยกันเกี่ยวกับวิธีที่จะบอกความจริงกับตงเปียน ปราการไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรมากนอกจากให้กำลังใจผม จากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังศาลา
ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากที่สุดก็คือสายตาของตงเปียน เช่นตอนที่พวกเราร้องเพลงขณะนั่งล้อมรอบกองไฟตอนหัวค่ำและก่อนจะแยกย้ายเข้านอน ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และไม่รู้ว่าจะดีหรือแย่หากตัดสินใจบอกไป แต่ที่แน่ ๆ คือผมอึดอัดจนไม่อยากทนเก็บไว้อีกต่อไปแล้ว
“ไอ้ตงมันต้องเข้าใจอยู่แล้วเชื่อสิ” คิมหันต์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ผมคุยกับเขาขณะนอนอยู่ในเต็นท์ เราเห็นพ้องต้องกันว่าเข้าค่ายนี้เป็นโอกาสดีที่จะจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเพราะคงไม่มีช่วงเวลาไหนเหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“นายคิดอย่างนั้นเหรอ”
“อืม ถ้าเป็นเราคงโล่งใจมากเลยที่ได้รู้ความจริงสักที จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย”
“รู้สึกผิด?” ผมหันไปหาคนข้าง ๆ ซึ่งกำลังนอนลูบแหวนประคำ
“ก็ใช่น่ะสิ ใครจะอยากให้เพื่อนเจ็บตัวเพราะเราล่ะจริงไหม” เขาหันมา “ถึงมันจะไม่โอเคที่นายถูกต่อย แต่ถ้าได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะนายเต็มใจทำเพื่อปกป้องมัน เราว่าไอ้ตงคงซาบซึ้งมากกว่านะ”
ซาบซึ้งอย่างนั้นหรือ?
ผมไม่ได้ต้องการให้ตงเปียนซาบซึ้งกับสิ่งที่ผมทำลงไปหรอก ทั้งหมดที่ผมต้องการคือขอให้เขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำลงไปก็พอ
หลังจากเงียบไปสักพักคิมหันต์ก็เอ่ยขึ้น
“สวดสายประคำกันไหม” เขาเอ่ยชวน “ขอให้แม่พระช่วย นายจะได้รู้สึกสบายใจด้วย”
ผมประหลาดใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น คิมหันต์ไม่เคยชวนผมสวดภาวนาด้วยกันมาก่อนเลยและผมก็ไม่กล้าด้วยเช่นกันเพราะรู้ว่าเขาไม่เคร่ง
“เอาสิ” ผมรีบตอบด้วยความดีใจ
พูดจบผมก็ถอดแหวนออกมาก่อนจะนำสวดภาวนาอย่างตั้งใจ และคืนนั้นผมก็นอนหลับโดยไม่ฝันถึงอะไรเลยนอกจากเห็นตัวเองยืนร้องไห้ต่อหน้าตงเปียน
ดังนั้นหลังเสร็จสิ้นพิธีมิสซาตอนหกโมงเช้า ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่งัวเงียและเตร็ดเตร่เพื่อรอรับประทานอาหาร ผมเลยใช้โอกาสนี้ชวนคิมหันต์กับตงเปียนไปเดินเล่นที่สวนผักกับผลไม้ซึ่งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของวัด
ที่นี่ถูกจัดสรรไว้อย่างลงตัว มีแปลงผักที่ขุดเป็นร่องจำนวนสี่แถวยาวหลายเมตรอยู่ทางซ้าย ส่วนด้านขวามีต้นส้มกับอะโวคาโดปลูกสลับกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ตงเปียนเดินเข้าไปใกล้อะโวคาโดต้นหนึ่งซึ่งมีผลสีเขียวสดห้อยต่องแต่ง เขาสำรวจดูผลของมันอย่างสนใจก่อนจะหันไปดูผลส้มซึ่งก็เป็นสีเขียวเช่นกัน
“มึงมะนาวลูกโคตรใหญ่เลย!” เขาบอกด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ “ใช้ปุ๋ยอะไรเนี่ย!”
“ใช่ที่ไหนล่ะ อันนี้มันส้มเขียวหวาน” คิมหันต์ชี้ไปที่แผ่นไม้เก่า ๆ ที่ตอกติดกับลำต้น ตัวหนังสือบนนั้นซีดจางจนแทบอ่านไม่ออก
“แหมไม่หลงกลกูเลยนะพวกมึง”
ตงเปียนยิ้มร่าขณะเดินตัดไปตัดมาระหว่างแปลงผักกับฝั่งที่ปลูกผลไม้ ท่าทางเหมือนเด็กน้อยในสนามเด็กเล่นที่กำลังเพลิดเพลิน เขานั่งลงและยื่นหน้าเข้าไปใกล้กะหล่ำปลีหัวหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบความใหญ่
“กะหล่ำปลีว่าใหญ่แล้วนะ แต่หัวมึงใหญ่กว่าอีกอะ” ผมพูดแกล้งแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตงเปียนเบ้ปากอย่างฉุน ๆ
“กวนตีนละ หัวใหญ่ขนาดนี้ถ้ากูไม่ฉลาดระดับไอน์สไตน์ก็เนื้องอกในสมองแล้วโว้ย”
“แต่บางทีมันอาจจะแค่กลวงก็ได้นะ เหมือนกะลามะพร้าวไง” คิมหันต์เสริมอย่างเจ็บแสบจนผมถึงกับอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
ตงเปียนเท้าสะเอวและถลึงตา
“ด่ากูว่าโง่ยังจะเจ็บน้อยกว่าอีกนะไอ้คิม” เขาว่า “มึงมานี่เลยยยยย!”
แล้วตงเปียนก็วิ่งไล่เตะคิมหันต์ พวกเขาหัวเราะลั่นและกระโดดข้ามแปลงผักไปมาอย่างน่าเสียวน่าขวาน ไม่นานก็เดินไปนั่งที่ใต้ต้นส้มต้นนั้น ผมตามไปและนั่งลงตรงกลางระหว่างพวกเขา ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านกิ่งก้านและใบไม้ด้วยหัวใจหนักอึ้ง
“ไอ้ตงกูมีเรื่องจะบอกมึง” ผมหันไปทางซ้ายซึ่งเด็กหนุ่มตัวเล็กกำลังหอบหายใจจนไหล่สั่น “เกี่ยวกับเรื่องแผลพวกนี้”
ตงเปียนตาโต กลืนน้ำลายและแทบจะกลั้นหายใจในทันที เขามองไปทางคิมหันต์ซึ่งเอนหลังพิงต้นส้มอย่างสบาย ๆ และกลับมาสบตากับผมอีกครั้ง
“ที่กูบอกว่าตกบันไดหรืออะไรก็แล้วแต่...กูโกหกทั้งเพ” ผมพูดออกไปด้วยกล้าที่เตรียมมาทั้งคืน “จริง ๆ แล้วไอ้ชลเป็นคนทำต่างหาก”
ต้นไม้เอนไหวตามแรงลมจนเกิดเสียงของธรรมชาติ มันควรจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายทว่ากลับกลายเป็นความอึดอัดที่ดังกว่าเสียงใด ๆ ในละแวกนี้
ผมมองตงเปียน ไม่แน่ใจว่าระหว่างเฉดสีของก้อนเมฆกับสีหน้าของเขาอย่างไหนซีดกว่ากัน
“กูขอโทษ” เขากล่าว “จริง ๆ กูก็พอจะเดาออกมาสักพักแล้วล่ะ”
“อย่าขอโทษกูเลย มึงไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ผมบอกและไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลย “เป็นใครก็คงทำแบบมึงนั่นแหละ”
“ไม่ได้หรอก มึงเดือดร้อนก็เพราะกูไม่ใช่เหรอ” เขามองผมอย่างเศร้า ๆ
“แต่กูเต็มใจทำ ไม่มีใครบังคับเลย”
ตงเปียนปากสั่น ผมมองดูเขาด้วยความปวดร้าวเพราะเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี
ต่อมาผมก็เล่าให้เขาฟังทั้งหมด ตั้งแต่ที่ขอร้องคิมหันต์ให้ช่วยปกปิดความจริงจากชลเทพไปจนถึงตอนที่โดนทำร้ายร่างกายในโรงเก็บของ ตงเปียนไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ จนกระทั่งเล่าจบ
“กูจะไปคุยกับไอ้ชล” เขาลุกขึ้นพรวด คิมหันต์มองพวกเราอย่างตกใจ
“เดี๋ยวก่อนมึง ใจเย็น ๆ!” ผมลุกขึ้นตามโดยจับแขนเขาเอาไว้ข้างหนึ่ง
“กูใจเย็นอยู่แล้วมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูแค่อยากไปเคลียร์กับมันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก็เท่านั้น” ตงเปียนขมวดคิ้ว “หรือว่ามึงไม่อยาก”
ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“อยากสิ แต่ให้เวลากูทำใจหน่อย” ผมอธิบายอย่างกลัดกลุ้ม
ตงเปียนเม้มปากอย่างชั่งใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“งั้นแล้วแต่มึงก็แล้วกัน...ขอบคุณมึงมากนะที่ช่วยกู” เขากุมมือของผมไว้ “แต่คราวหน้ามึงอย่าทำอีกล่ะ กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บตัวแบบนี้อีก”
ไม่รู้ทำไมผมถึงยิ้มออกมาประหนึ่งว่ามันคือเรื่องตลก
“ได้เลย” ผมว่า “กูจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของใครอีกแล้วกูสัญญา”
จู่ ๆ เพื่อนตัวน้อยก็พุ่งเข้ามาสวมกอดผม แล้วคิมหันต์ก็ลุกขึ้นและเข้ามาโอบกอดพวกเราด้วยวงแขนกว้างพิเศษ ความอบอุ่นนี้ลบล้างทุกความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและแทนที่ด้วยความสุขภายในจิตใจอย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นเราสามคนก็นั่งเงียบ ๆ พลางมองดูแมกไม้และผู้คนที่อยู่ห่างออกไปในสนามหญ้า นี่อาจเป็นความเงียบที่ผมรู้สึกสบายใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ จนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเช้าจึงกลับไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ ที่ศาลา
เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของการเข้าค่าย วันนั้นเราทำกิจกรรมและปิดค่ายเสร็จตั้งแต่ตอนสิบโมงซึ่งถือว่าค่อนข้างไว ฉะนั้นจึงเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางกลับ
อย่างไรก็ตามวันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสและอากาศก็สดชื่นเป็นพิเศษ บรรยากาศเป็นใจมากจนคุณพ่อสุทธิพงษ์ตัดสินใจพานักเรียนไปดูน้ำตกเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ขณะที่พวกเราเดินต่อแถวไปตามทางเล็ก ๆ ที่มีต้นหญ้าขึ้นสูงเรี่ยหัวเข่า คุณพ่อประเสริฐก็คอยตะโกนรั้งท้ายเพื่อกำกับความเป็นระเบียบ
เราใช้เวลาเดินทางประมาณสิบห้านาที ผ่านบริเวณป่ารกและไร่มันสำปะหลังไปทางทิศตะวันออก ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงน้ำไหลเหมือนเสียงกระซิบ จนเมื่อมาถึงจุดที่มีรั้วหนามขึงไว้เป็นแนวยาวซึ่งอีกฟากมีทางเดินเป็นหินลาดต่ำลงไป เราทั้งหมดก็ถึงคราวต้องมุดรั้วทีละคนอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้ว่ามันจะไม่งดงามเท่าน้ำตกดัง ๆ ที่ผมเคยเห็นในหนังสือหรือโทรทัศน์ แต่ที่นี่ก็สวยงามมากในแบบฉบับของมันเอง ผมมองรอบ ๆ ตัวอย่างสนใจ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ข้างตลิ่ง ผีเสื้อกับแมลงปอบินว่อนอยู่ในอากาศ โดยมีชั้นน้ำตกต่ำ ๆ ไหลรินอยู่เบื้องหน้า
เราได้รับอนุญาตให้พักผ่อนตามอัธยาศัยจนถึงบ่ายโมง ผม คิมหันต์ ตงเปียนและนักเรียนคนอื่น ๆ จึงสนุกสนานอย่างเต็มที่กับการเล่นน้ำ พวกเราส่วนใหญ่ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงชั้นใน ไม่อายที่บางครั้งมันเลื่อนลงมาครึ่งบั้นท้ายเมื่อขึ้นมาจากน้ำ ส่วนคุณพ่อทั้งสองท่านแยกไปนั่งบนขอนไม้ใกล้ ๆ เฝ้าสังเกตการณ์ราวกับเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนตกน้ำ
เวลาทุกนาทีดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องจริงขณะที่เรากำลังมีความสุข เช่นเดียวกับตอนที่ผมดำลึกลงไปจนถึงก้นน้ำตกและพบกับหินที่สะท้อนแสงแปลก ๆ ผมสังเกตดูรายละเอียดของมันเมื่อโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มันเป็นหินสีส้มแดงตะกอนที่มีเหลี่ยมแวววาวคล้ายเพชรพลอย ผมรู้สึกประหลาดใจมากจึงรีบเอาไปให้คิมหันต์ดู
“เราเจออะไรก็ไม่รู้ใต้น้ำ” ผมยื่นสิ่งนั้นให้เขา “ดูสิ”
เขารับก้อนหินขนาดเท่าไข่ไก่ไปพิจารณา ก่อนจะชูขึ้นฟ้าเพื่อส่องดูกับแสงแดด
“สวยจัง”
“นายว่ามันใช่เพชรไหม” ผมถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช่หรอก” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่มั่นใจ “แต่อาจจะเป็นพลอยก็ได้นะ นายเก็บเอาไว้เถอะ”
ผมจุ่มหินลงในน้ำอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด แล้วจากนั้นก็ตัดสินใจเดินตามคิมหันต์ขึ้นฝั่งเพื่อไปพักผ่อน
ผมกับคิมหันต์นอนเอาศีรษะหนุนรากไม้ ส่วนตงเปียนนั่งอยู่ริมตลิ่งขณะพยายามตกปลาด้วยต้นหญ้าอย่างเพลิดเพลิน ผมชูหินขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างพิศวง เลื่อนไปต้องกับแสงแดดจนเกิดประกายระยิบระยับ สีของมันทำให้ผมนึกถึงสีผิวของคนที่กำลังนอนอยู่ข้างกาย
แล้วผมก็ทำบางสิ่งตามที่สมองสั่งโดยไม่คิดมากเป็นครั้งแรก คือการวางหินลงที่กลางอกของคิมหันต์ เฝ้ามองมันขยับขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจเข้าออก
“เราให้” ผมบอก
คิมหันต์ลืมตาขึ้นและหยิบมันขึ้นมามองดู ผมภาวนาขอให้เขาอย่าโยนมันทิ้งหรือคิดว่าผมกำลังทำเรื่องไร้สาระ เพราะแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่ใช่ของน่าประทับใจเหมือนอะไรก็ตามที่เขามี แต่ผมก็อยากให้เขาเก็บมันไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนความจำหากวันใดที่เราจากกันไปแล้ว
ได้โปรดเก็บมันไว้ ผมคิด
“ขอบใจ” เขาหันมาและยิ้มกว้าง
รอยยิ้มนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าแสงแดดที่ส่องกระทบผิวกายของเราเป็นไหน ๆ สวยงามมากจนผมรู้สึกสมองเบลอไปด้วยความคิดนับล้าน
เสียงพูดและเสียงกระโดดน้ำดังลอยมาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดสาย ส่วนตงเปียนก็ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายามหลังจากล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนจนตอนนี้เขาย้ายไปที่อื่นซึ่งไกลออกไปพอประมาณ จึงเหลือผมกับเขานอนเคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง
“ปิดเทอมเล็กนี้ไปเที่ยวบ้านเรานะ” คิมหันต์เอ่ยขึ้น
อาจเป็นเพราะเสียงรอบตัวหรือผมกำลังเคลิ้มฝันจึงไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องไหม
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
“ปิดเทอมเล็กนี้ไปเที่ยวบ้านเรานะ” คิมหันต์พูดช้า ๆ อย่างเสียงดังฟังชัด
ผมพลิกตัวนอนตะแคงและจ้องมองเขาด้วยหัวใจสั่นไหว แทบไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มแป้นเหมือนถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง
อัลเลลูยา
ผมจะมีโอกาสได้เห็นบ้านของคิมหันต์จริง ๆ หรือนี่ ได้เข้าไปในห้องนอนที่มีเตียง ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของสะสมและอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นจักรวาลของเขา สำหรับผมแล้วมันไม่ต่างอะไรจากฝันซ้อนฝันเลยทีเดียว
ทำไมพระเจ้าจึงยอมประทานสิ่งนี้แก่ผมนะ เป็นเพราะความรัก ความดีหรือความเมตตาสงสารกันแน่ ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าทำไม แต่ผมก็ดีใจมากจนไม่รู้จะกล่าวขอบคุณพระองค์อย่างไรนอกจากพูดในใจว่าอัลเลลูยา
แล้วทันใดนั้นผมก็เศร้าสลดเมื่อฉุกคิดได้ว่าปิดเทอมที่จะถึงนี้จะมีครอบครัวหนึ่งมาดูตัวผมกับเด็กคนอื่น ๆ เพื่อพิจารณาขอรับไปอุปการะเลี้ยงดู ผมรู้ว่านี่เป็นโอกาสหายากแต่ผมก็ไม่ได้คิดใส่ใจกับมันมานานมากแล้วเช่นกัน บางทีผมก็คิดว่าตัวเองมีความสุขดีโดยไม่จำเป็นต้องมีครอบครัวเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป ทว่าผมก็ขัดพวกผู้ใหญ่ไม่ได้เช่นกัน
“ปิดเทอมนี้เราติดธุระอะ มันจำเป็นจริง ๆ” พยายามไม่เผยความเศร้าผ่านน้ำเสียงมากจนเกินไป
คิมหันต์พลิกตัวเข้ามาผมและจ้องมองด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ไม่เป็นไร ถ้างั้นรอไปตอนปิดเทอมใหญ่ก็ได้”
“ได้เหรอ”
“ได้แน่นอน”
ผมมองท้องฟ้าและหลับตาลง หัวใจกลับมาพองโตอีกครั้งจนตัวแทบลอยไปถึงสรวงสวรรค์
ผมนอนยิ้มไม่หุบ นับจากวินาทีนี้ผมจะเฝ้ารอวันนั้นด้วยความอดทนเพราะรู้ว่านอกจากมันจะช่วยเยียวยาความไร้เป้าหมายในชีวิต นี่ยังเป็นดังการชิมลางน้ำผึ้งพระจันทร์อีกด้วย คิมหันต์จะรู้ไหมว่าคำชวนของเขามีค่าต่อผมอย่างมหาศาลเหมือนดังอากาศหายใจ
ใช่ ผมคิดว่าเขารู้เพราะคิมหันต์เองก็ยิ้มอย่างดีใจเช่นกัน ก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสพวงแก้มของผมอย่างแผ่วเบาด้วยปลายนิ้ว ผมปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นโดยไม่คิดจะเอ่ยห้ามหรือต่อต้าน ผมไม่สนด้วยเช่นกันว่าอาจมีคนเดินผ่านมาเห็น ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความสุขของผมอีกแล้ว แค่ครั้งเดียวในชีวิตที่ผมจะปล่อยให้มันเป็นไป แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
และก่อนที่เราจะกลับวัดคุณพ่อประเสริฐก็ได้เรียกให้ไปถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกที่บริเวณใกล้ ๆ น้ำตก หลังจากนั้นทุกคนก็รีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหารและเก็บของให้เรียบร้อย เราต่างโบกมืออำลาคุณพ่อสุทธิพงษ์เมื่อขึ้นมานั่งบนรถบัส พลางมองดูวัดแม่พระองค์อุปถัมภ์ที่โล่งและว่างเปล่าเมื่อไม่มีเต็นท์กางบนสนามหญ้าอีกต่อไป
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ในที่สุดรถบัสก็เคลื่อนตัวและแล่นออกจากหมู่บ้าน ก. อันเงียบสงบ ผ่านท้องไร่และทุ่งนาเขียวขจี มุ่งไปตามเส้นทางที่นำไปสู่สามเณราลัยโดยมีผมนั่งหลับและซบไหล่คิมหันต์ไปตลอดทาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ